บ่ายคล้อยแดดส่องลอดม่านไม้เลื้อยหน้าบ้านสไตล์โมเดิร์นหรูเงียบสงบในย่านผู้ดีเก่า ยิปซีสวมชุดเดรสสั้นสีไวน์แดง รองเท้าส้นสูง ปากแดงจัดและน้ำหอมฉุนเบา ๆ เดินยิ้ม ๆ ตรงขึ้นประตูหน้าบ้านเฮียครามอย่างคนคุ้นเคย เธอยกมือกดกริ่งแบบไม่ลังเล ราวกับเป็นแขกที่ได้รับเชิญ
ประตูเปิดโดย “คุณริน” ภรรยาของสงคราม ผู้หญิงวัยสี่สิบกลาง ๆ หน้าตาสงบนิ่ง แต่งตัวเรียบร้อยเรียบง่าย ท่าทีสงบแต่ไม่ต้อนรับ
"คุณน้องยิปซี”
“อ๊ะ สวัสดีค่ะพี่ริน มาเปิดประตูเองเลยนะคะ” ยิปซีส่งเสียงหวานก่อนยกมือไหว้อย่างเสียไม่ได้
“ผ่านมาแถวนี้เลยแวะมาทักเฮียนิดหน่อยคะ ไม่ได้เจอตั้งนาน”
คุณรินมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า ดวงตาเรียบนิ่ง
“เฮียไม่อยู่ค่ะ ไปประชุมค่าย”
"อุ๊ย ตายจริง แต่ไม่เป็นไรค่ะ หนูรอได้ บ้านหลังนี้ก็คุ้นมากเลย” ยิปซีแทรกตัวเข้ามาโดยไม่รอฟังอนุญาต เหมือนตั้งใจให้ทุกก้าวที่เหยียบ เป็นการย้ำว่า “ฉันเคยมาที่นี่แล้ว”
ทันทีที่เข้ามาในบ้าน เธอหันซ้ายแลขวา แล้วยิ้มเยาะเบา ๆ กับภาพครอบครัวที่แขวนบนผนัง
“ลูกสาวพี่ก็น่ารักดีนะคะ หน้าตาคล้ายเฮียเลย”
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังลงมาจากบันได “ลัณณ์” ลูกสาววัยมัธยมปลายของสงครามเดินลงมา เห็นยิปซียืนอยู่กลางห้องรับแขก เธอหยุดชะงักเล็กน้อย
“แม่คนนี้ใครเหรอคะ" คุณรินหันไปตอบลูกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“คนรู้จักของพ่อ แวะมาเยี่ยมแบบไม่ได้นัด" ยิปซียิ้มบาง ๆ
“ใช่ค่ะ พี่สาวคนสวยของเธอเอง เคยร่วมงานกับพ่อหนูบ่อยมาก จนสนิทกันเป็นพิเศษเลยล่ะ" ลัณณ์ทำหน้าตึงเล็กน้อยแล้วส่งข้อความไปหาสงคราม
“ก็แค่อีตัวของพ่อ แล้วพ่อรู้ไหมคะ ว่าคุณ” ยิปซีถึงับหน้าถอดสี แต่ยังไม่ตอบโต้
“ยังจ้ะแต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวเฮียรู้ก็ดีใจแน่นอน” ยิปซีหันไปมองคุณริน
“ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูแค่อยากมานั่งคุยสั้น ๆ บางทีอาจจะนานหน่อย เพราะช่วงนี้พี่เขายุ่ง ไม่ค่อยมีเวลามาหาเลย” คุณรินยืนนิ่ง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น
“คุณยิปซี ดิฉันไม่ใช่คนโง่ และไม่ใช่คนที่ไม่รู้เรื่อง”
“ดิฉันรู้มาตลอดว่าผัวฉันคนนี้ เขามีคนมากมายแค่ไหน”
“แต่มีคนเดียวที่ยืนอยู่ในบ้านหลังนี้ และอยู่จนถึงวันที่เขาล้มคือดิฉัน” ยิปซีหัวเราะในลำคอ
“โห แม่พระเลยค่ะพี่ริน เก็บอดีตของเฮียไว้ได้ทุกเวอร์ชั่นเลยแล้วแบบนี้ไม่เบื่อเหรอคะ”
"แม่ เมื่อไหรป้านี่จะกลับ" ลัณณ์ถามแม่ ได้เวลาจะออกไปข้างนอก
“ไม่เบื่อค่ะ เพราะดิฉันไม่ได้รักเขาแค่ตอนที่เขาดี แต่ดิฉันรับผิดชอบทั้งชีวิตของเขา รวมถึงทุกสิ่งที่คุณเคยหวังว่าจะได้”
ยิปซีชะงักไปวูบหนึ่ง ดวงตาเริ่มแข็งขึ้น เธอกำลังจะพูดบางอย่าง แต่เสียงไลน์เข้าในมือถือของคุณรินดังขึ้นพอดี เธอกดดู แล้วหันมองยิปซีอีกครั้ง
“สงครามบอกให้ฉันส่งคุณกลับให้ไวที่สุด เขาไม่สะดวกเจอใครตอนนี้” ใบหน้ายิปซีเริ่มหุบรอยยิ้มลง แต่ยังแถอย่างถือดี
“โอเคค่ะ งั้นหนูฝากความคิดถึงด้วยแล้วกัน... บอกเฮียด้วยว่า ของเก่า มันอาจจะกลับมาใหม่ได้เสมอ ถ้ามีใครบางคนไม่รู้วิธีดูแลให้ดี”
ก่อนเดินออกจากบ้าน ยิปซีเหลือบมองลัณณ์กับคุณรินอีกครั้ง รอยยิ้มเธอยังอยู่ แต่สายตาเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างกว่าตอนเข้า เมื่อเธอก้าวออกไป ลิณณ์เดินมาหาแม่ กระซิบเบา ๆ
“แม่เขาใช่เหรอคะ" คุณรินวางมือบนไหล่ลูก
“ใช่ และไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น เพราะถ้าแม่ยังยืนอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครแทรกเข้ามาในบ้านเราได้ง่าย ๆ หรอกลูก”
เฮียสงคราม ที่เพิ่งกลับจากคุยงานได้รับข่าวทันที ว่ามีบางคนบุกถึงบ้านโดยไม่ขออนุญาต และเขาจะตอบโต้ด้วยความเดือดดาลแบบ “ผู้ชายเงียบ ๆ ที่น่ากลัวตอนโมโห” พร้อมเผยนิสัยของสงครามว่า… ถึงจะใจดีในวงการ แต่ในบ้านและชีวิตส่วนตัว เขา ไม่ยอมให้ใครล้ำเส้นเด็ดขาด
ภายในห้องทำงานส่วนตัวชั้นบนสุดของตึกสำนักงานค่ายเพลง บรรยากาศมืดแค่เพียงแสงไฟจากโคมตั้งโต๊ะ เสียงเครื่องปรับอากาศเดินเบา ๆ ขณะที่ “เฮียสงคราม” นั่งจิบกาแฟดำ ร่างสูงใหญ่สวมเสื้อเชิ้ตพับแขน ท่าทีเงียบขรึม เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเขาเปิดข้อความจาก ลูกสาวที่ภรรยาให้ส่งมาสั้น ๆ
"วันนี้ยิปซีมาหาถึงบ้าน เจอลัณณ์ด้วย เขาพูดไม่ดีกับแม่" สงครามนิ่งไปประมาณ 3 วินาที แต่ดวงตาเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกทันที
เขาวางแก้วกาแฟลงอย่างเงียบเชียบ หยิบมือถือขึ้นโทรออกไปยังเบอร์ผู้ช่วย
“กาย เรียกยิปซีมาเจอฉันตอนนี้ไม่ใช่ที่ค่าย ไม่ใช่ห้องประชุม” เสียงต่ำของเขาหนักแน่นอย่างมีแรงอำนาจ
“บอกเธอว่าฉันให้เวลาเธอ 30 นาที ถ้าเกินนั้นฉันจะส่งคนไปลากเธอมาเอง”
น้ำเสียงไม่มีแววล้อเล่น ไม่มีแม้แต่โทนโมโห แต่มันเยือกเย็น เย็นจนคนฟังไม่กล้าหายใจแรง สงครามวางสาย แล้วพิงหลังกับพนักเก้าอี้
มือที่เคยจับแก้วกาแฟ เปลี่ยนเป็นจับรูปถ่ายครอบครัวบนโต๊ะเขาหลุบตา ก่อนพูดพึมพำกับตัวเอง
“ใครก็ตามที่ล้ำเข้ามาในเขตบ้าน ต่อให้เคยเป็นของฉันก็ไม่มีสิทธิ์”
ห้องคอนโดส่วนตัวของเฮียสงคราม เงียบ เย็น แสงสลัวประตูเปิดออก ยิปซีปรากฏตัวในชุดเดรสรัดรูป สีดำผ่าข้าง ผิวเนียนแต่งจัดจ้าน เดินเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่แววตารู้ว่าเกมนี้อาจไม่ง่ายเหมือนเคย
“นึกว่าจะไม่กล้าให้เจอแล้วซะอีกค่ะเฮีย”
“คิดถึงกันบ้างมั้ยคะ” สงครามนั่งนิ่ง ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง เขาเคลื่อนสายตาไปที่เอกสารบนโต๊ะ แล้วหยิบซองเช็คเงินสดวางต่อหน้า
“รับไป แล้วออกไปซะ” ยิปซีหัวเราะในลำคอ เดินเข้ามานั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ยกขาขึ้นไขว่ห้างอย่างจงใจ
“แค่นี้เหรอคะ เฮียเคยให้ฉันมากกว่านี้ ทุกอย่างในชีวิตฉันมันก็เพราะเฮียทั้งนั้นนะ” สงครามเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตานิ่งจนวาบเย็น
“และนั่นคือสิ่งเดียวที่ฉันเสียใจ ที่เคยให้เธอมากเกินไป”
“เธอไม่มีสิทธิ์บุกบ้านฉัน ไปเจอลูกฉัน พูดจาทำร้ายคนในบ้าน”
“ถ้าเธอยังคิดจะใช้ชื่อฉันเพื่อเดินเข้าทุกที่โดยไม่มีขอบเขตต่อไปเธอจะไม่มีสิทธิ์ได้แม้แต่เดินผ่านหน้าค่าย” ยิปซีชะงักรอยยิ้มเธอเริ่มแข็ง
“หรือเพราะตอนนี้เฮียมีเด็กใหม่ให้หลงแล้ว”
“ร้อยดาวใช่มั้ยคะ หรือจะเป็นเด็กที่หน้าใส ๆ แต่แอบเก่งบนเตียง เฮียถึงได้ปกป้องนัก”
เสียงฝ่ามือกระแทกโต๊ะดังลั่นไม่ใช่การตีเธอ แต่เป็นเสียงของถ้อยคำสุดท้าย สงครามลุกขึ้นยืนอย่างเงียบงัน แต่ดวงตาเหมือนจะกลืนเธอได้
“อย่าเอาคำพูดโสโครกมาป้ายใครในค่ายของฉัน”
“เธอจะเป็นอดีตที่ฉันลืม หรือเป็นปัญหาที่ต้องจัดการเธอเลือกเอาเองยิปซี” ยิปซีกัดฟันแน่น ลุกขึ้นยืนเช่นกัน น้ำตารื้น แต่ไม่ยอมแพ้
“ฉันไม่ใช่ขยะนะเฮีย ฉันเคยเป็นคนที่เฮียเลือก เฮียเคยบอกว่าจะไม่มีใครแทนที่ฉันได้!”
“แล้ววันนี้ล่ะ โยนฉันทิ้งเหมือนอะไร” สงครามหยิบซองเช็คขึ้นมา ยื่นให้เธออีกครั้ง
“เพราะเธอเคยมีค่าจริง ๆ ฉันถึงยอมจ่ายเพื่อให้เธอไปจากชีวิตฉันอย่างเงียบที่สุด”
“แต่ถ้าเธอยังไม่หยุด อย่าหาว่าฉันไม่เตือน” ยิปซีมองเช็คในมือ แรงสั่นไหวบนใบหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความแค้นจาง ๆ
เธอหยิบเช็คขึ้นมา ยิ้มเยาะ
“เฮียอาจจะลืม แต่ฉันไม่ลืมหรอกว่าเคยขึ้นชื่อว่าเป็นของสงคราม"
“และคนที่ได้ชื่อนั้นไปต่อให้เฮียลืม ฉันจะไม่มีวันให้ใครแทนที่ฉันได้ง่าย ๆ หรอกค่ะ” เธอหันหลังเดินออกไป โดยไม่คืนเช็คสงครามยืนนิ่ง ปล่อยให้เธอเดินออกไป ก่อนที่จะนั่งกินเบียร์ต่ออีกสักพัก
กำลังใจจากครอบครัวหลังจากนั่งพักได้ไม่นาน เสียงประตูข้างเวทีก็เปิดออกอย่างเบา ๆ แม่ของร้อยดาวเดินนำเข้ามาก่อน ตามด้วยพ่อแม่ของมาคิน ทุกคนยิ้มให้กันด้วยความเก้อเขินปนอบอุ่น“แม่” ร้อยดาวร้องเรียกเสียงเบา ลุกไปกอดแม่ตัวเองแน่น แม่ลูบหัวลูกสาวเบา ๆ เห็นใบหน้าเหนื่อยล้าก็ถอนหายใจอย่างโล่งใจ“ลูกทำได้ดีแล้วนะ แม่อยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ต้องกลัวแล้วนะ” มาคินเดินไปยกมือไหว้พ่อแม่ตัวเอง ก่อนจะหันมายกมือไหว้แม่ร้อยดาวด้วย ร้อยดาวยกมือไหว้พ่อแม่มาคินเช่นกัน“ขอบคุณนะคะ ที่มาดูพวกเราด้วยตัวเอง” ร้อยดาวก้มศีรษะบอกแม่มาคินด้วย รอยยิ้มบนหน้าทุกคนเหมือนเชื่อมกันไว้แน่นกว่าเดิมในอ้อมแขนพ่อของมาคินมี เจ้ามะยม หมาตัวน้อยหูตั้ง ๆ ใส่ผ้าพันคอสีเหลือง ส่วนเจ้าก้อนทองนั่งอยู่บนตักแม่ร้อยดาว ขนฟูจมอยู่ในตะกร้าใส่ของกิน พร้อมเสียงเห่าเมื่อเจอหน้าร้อยดาวทันที“ดูสิ ๆ พาเด็ก ๆ มาด้วย เผื่อจะให้กำลังใจพวกแก” แม่มาคินพูดขำ ๆ แล้วอุ้มเจ้ามะยมเดินวนไปรอบ ๆเจ้าก้อนทองกระโดดออกจากตะกร้า พุงเล็ก ๆ ชะโงกดมถุงขนมบนโต๊ะ ทำเอาอ๊อฟกับก๊อปเปอร์หัวเราะแล้วแหย่มันเล่น“โอ๊ย ก้อนทองนี่กินเก่งเหมือนแม่มันเลย" ก๊อปเปอร์แซวแล้วโดนร
วันแถลงข่าวเปิดตัว 1st Anniversary คู่วงจิ้น Kin&Daoจัดที่โถงใหญ่ของค่าย ศิลปินรุ่นพี่รุ่นน้องยืนออรอให้กำลังใจอยู่รอบนอกมาคินใส่สูทสีเบจ เนี้ยบแต่ดูอบอุ่น ร้อยดาวอยู่ในเดรสยาวลูกไม้สีขาวอมชมพู รวบผมหลวม ๆ ให้ดูน่ารักแต่สง่าสองคนเดินจับมือออกมาหน้าแบ็กดรอปพร้อมกัน ท่ามกลางแฟลชกล้องจากนักข่าวและเสียงกรี๊ดของเอฟซีที่ตามมาตั้งแต่เช้าหลังตอบคำถามเรื่องอัลบั้มใหม่ โปรเจกต์เพลง และเซอร์ไพรส์เวทีใหญ่ ร้อยดาวหันมามองกลุ่มแม่ ๆ เอฟซีที่ยืนรวมกันตรงแถวหน้า เธอจับไมค์แน่นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจน สั่นนิด ๆ เพราะตื้นตัน“ขอบคุณนะคะ ที่รักกันมาตลอดปีที่ผ่านมา ขอบคุณที่อยู่ข้างเราตั้งแต่ตอนที่เรายังไม่มีอะไรเลย จนถึงวันที่มีเวทีเป็นของตัวเองแบบนี้” เธอยกมือไหว้แฟนคลับทุกบ้าน เสียงกล้องยังดังไม่หยุด แต่ทุกคนจะได้ยินถ้อยคำที่ออกจากใจเธอชัดเจน“หนูขออ้อนแม่ ๆ ทุกบ้านเลยนะคะ วันจริงอย่าลืมพากันมาดูพวกเราด้วยนะ มาเจอกันหน้างานอีกครั้ง จะมีที่ว่างตรงนี้ให้แม่ ๆ เสมอค่ะ” เสียงกรี๊ดแทบแตกฮอลล์ มาคินหันมามองแฟนสาวแล้วส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนหัวเราะออกมา“ถ้าใครไม่ได้มานะ ดาวจะน้อยใจจริง ๆ ด้วย”หลังจบช่วงตอบ
วันซ้อมใหญ่เปิดเวที 1 ปีคู่จิ้นฮอลล์คอนเสิร์ตขนาดกลาง ถูกจัดไฟรันระบบเต็มสูบเป็นรอบ ซ้อมใหญ่ โปสเตอร์ข้างเวทีติดป้ายชัดเจน “1st Year Anniversary คู่จิ้นรักร้อยดาว x มาคิน”ร้อยดาวสวมเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงยีนส์ขาสั้นง่าย ๆแต่บนเวที เธอเหมือนคนละคน จับไมค์ด้วยมือที่เคยสั่นแต่วันนี้กลับมั่นคงเสียงหัวเราะของทีมซาวด์ ทีมแดนซ์ ทีมไฟดังระหว่างพักเบรก โปเต้ยืนกอดอกดูงานเงียบ ๆ ส่วนสงครามนั่งหลังบอร์ดควบคุมไฟด้วยแววตาเหมือนพ่อที่ภาคภูมิใจในลูกศิษย์มาคินยืนอยู่ข้างเธอในชุดสบาย ๆ เหมือนกัน เขาหันมาดึงสายกีตาร์ปรับจูนให้แฟนสาวเอง มือเขากับมือเธอสอดกันแว็บหนึ่ง“พร้อมมั้ยดาว” เสียงมาคินทุ้มนุ่ม ไม่ได้ถามแบบโปรดิวเซอร์ แต่ถามในฐานะคนที่อยู่ข้างเธอทุกครั้งร้อยดาวพยักหน้า เหงื่อผุดเต็มหน้าผากแต่รอยยิ้มกลับสดใส เธอยกไมค์ขึ้น ร้องท่อนฮุคเพลงเก่าที่เธอเคยเขียนไว้ ครั้งนี้ เธอร้องในชื่อของเธอจริง ๆเสียงกลองซ้อมรัวตามจังหวะเบา ๆ พวกเด็กฝึกงานที่ยืนดูกันอยู่ตรงขอบเวทีโห่เชียร์กันเบา ๆ อ๊อฟกับก๊อปเปอร์ที่มาซ้อมแดนซ์เซ็ตใหญ่ทีหลังยังส่งเสียงแซว“พี่ดาวแม่งอย่างเท่! ฮู้วววว”“พี่มาคินอย่าเขินดิ๊! หยิกแก
นามแฝงในเพลงมือของสงครามที่ยื่นให้ร้อยดาวเดินเข้ามาในห้องโปรดิวเซอร์ของค่ายที่เธอคุ้นเคยดี แต่วันนี้บรรยากาศกลับอึดอัดจนลมหายใจแทบขาดห้วงโปเต้นั่งข้างเฮียสงครามเหมือนมือขวาที่เฝ้ารอดูว่าบทสนทนานี้จะไปจบตรงไหนบนโต๊ะไม้สีเข้ม เอกสารหลายแผ่นถูกเรียงอย่างเป็นระเบียบ ไฟสปอตไลท์ในห้องประชุมสว่างพอจะเห็นเงาหน้าร้อยดาวที่ซีดเผือดและมือเล็กที่กำชายเสื้อแน่น สงครามวางปากกาลงบนแฟ้มเสียงเบา ดวงตาคมใต้แสงไฟสบตาเธอโดยไม่กระพริบ“ฉันได้ยินมาว่ามีคนกำลังจะเอาเพลงเก่ามาขายซ้ำ ใช่เพลงเดียวกับที่เธอเคยเขียนไว้หรือเปล่า เพลงที่เธอใช้นามแฝงตอนนั้น” เสียงเขาราบเรียบ เหมือนครูใหญ่เรียกเด็กนักเรียนมาคุย แต่ในความนิ่งนั้นกลับกดดันเหมือนมีหินก้อนใหญ่ทับอกร้อยดาว ร้อยดาวหลบตา ปลายนิ้วเธอขยำชายกางเกงจนยับยู่ยี่ เธอพยายามจะตอบ แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับแหบแห้ง“ค่ะ” เพียงคำเดียวก็พอให้โปเต้ที่นั่งฟังอยู่ข้าง ๆ เห็นร่องรอยเจ็บเก่าที่เธอเก็บไว้มานานสงครามพยักหน้าช้า ๆ เขาเอื้อมมือไปเปิดแฟ้มเอกสาร เผยให้เห็นสำเนาสัญญาเก่าที่มีตราประทับชื่อกันจ์ชัดเจน“ฉันรู้ตั้งแต่วันแรกแล้วว่ากันจ์มันทำอะไรไว้”“มันไม่ใช่แค่เพล
อดีตของร้อยดาวเบื้องหลังเพลงที่ไม่มีชื่อเธอเสียงลมจากแอร์ตัวเก่าดังหึ่ง ๆ ในห้องซ้อมส่วนตัวที่ร้อยดาวใช้ฝึกทุกวัน คืนนี้เธอนั่งอยู่ตรงมุมเดิมที่ใกล้เปียโนไฟฟ้ามากที่สุด มือบางยังคงถือโน้ตเพลงเก่าแผ่นเดิมไว้แน่น ปลายนิ้วที่เคยแต่งทำนองนั้นสั่นเล็กน้อยเหมือนกำลังรื้อความทรงจำที่เธอพยายามลืมมาตลอดร้อยดาวถอนหายใจ ลมหายใจร้อนวาบเพราะเพิ่งร้องเพลงใหม่กับมาคินจนคอแห้ง แต่สิ่งที่ติดอยู่ในหัวเธอกลับไม่ใช่เพลงใหม่ ไม่ใช่ท่อนฮุคหวาน ๆ ที่เขาเพิ่งชมว่าเพราะที่สุดตั้งแต่แต่งมา กลับเป็นประโยคท่อนหนึ่งในสมุดโน้ตแผ่นนี้ที่เธอแต่งมันด้วยลายมือสั่น ๆ ในวันที่ยังอายุไม่ถึงยี่สิบ“ฉันยังจำเนื้อเพลงได้ทุกคำเลยมาคิน แต่ฉันไม่มีสิทธิ์ร้องมัน" เสียงเธอเบาราวกับกลัวว่าลมแอร์จะพัดมันหายไปมาคินหันมามองแฟนสาวตรงหน้า เขานั่งพิงขอบเปียโน ปล่อยให้เสียงกีตาร์โปร่งที่เพิ่งวางไว้เงียบสนิทแสงไฟสีส้มอ่อนสะท้อนในดวงตาเขาอย่างระมัดระวังเขารู้ดีว่าร้อยดาวรักทุกคำ ทุกท่อน ทุกเมโลดี้ในสมุดโน้ตนั้นมากแค่ไหน เขาเคยเห็นเธอลงแรง แก้คำ แก้คอร์ดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่เคยเห็นเธอพูดถึงมันด้วยแววตาเจ็บเท่านี้มาก่อน“ทำไมล่ะดาว นั
ถูกมือกาวย้อนกลับ1645 คำทางเข้าคอนโดของยิปซี ค่อนข้างมืด ไม่มีผู้คนมากนัก“เฮ้ แม่นางเอก เงินฉันอยู่ไหน”เสียงแห้ง ๆ ของเด็กผู้ชายวัยรุ่นที่โผล่มาจากเงามืดหลังรถตู้จอดส่งของ ผมมันเยิ้มกลิ่นกาวและบุหรี่คลุ้งลอยปะทะ จับคอเสื้อยิปซีทันทีที่เธอเดินเลี่ยงออกมาจากฝูงแฟนคลับ ไฟลานจอดรถสว่างเป็นจุด ๆ แต่กลับไม่มีใครสังเกตว่ามีคนกำลังลงไม้ลงมือ“อย่ามาโวย แกยังไม่ได้ทำงานให้ฉันด้วยซ้ำ จะเอาเงินส่วนที่เหลือไปทำเหี้ยอะไร”ยิปซีแหวเสียงสูง ใบหน้าแต่งจัดแต่เหงื่อซึม เธอใส่ชุดเดรสรัดรูปคลุมด้วยโค้ทยาว พยายามแกะมือมันออกแต่โดนบีบแน่นกว่าเดิม“ฉันติดคุกเพราะแกนะเว้ย แกเป็นคนจ้าง ถ้าฉันไม่ได้ตังค์ แกก็อย่าหวังจะได้อยู่ดี ๆ”เสียงเด็กกาวกระแทกพร้อมฟันเหลือง มันหัวเราะหยันเธอเบี่ยงหน้าเลี่ยงกลิ่นกาวที่พ่นรดอยู่ใกล้“อย่ามาขู่ฉันนะ ไอ้ขี้ยา”ยิปซีฟาดเล็บเข้าหน้ามันเต็มแรง เสียงเพี้ยะสะท้อนในลานจอด รถขนเครื่องเสียงสั่นเบา ๆ เหมือนร่วมเป็นพยาน“อีดอก” เด็กกาวสบถลั่น ผลักเธอไปกระแทกผนังคอนกรีตด้านหลังเวที เศษกระดาษโปสเตอร์คอนร่วงปลิวลงเท้าเธอ“สภาพแกตอนนี้ก็เหมือนหมาข้างถนนแล้วล่ะ ยัยนางเอกตกกระป๋อง”เด็