LOGINบ่ายคล้อยแดดส่องลอดม่านไม้เลื้อยหน้าบ้านสไตล์โมเดิร์นหรูเงียบสงบในย่านผู้ดีเก่า ยิปซีสวมชุดเดรสสั้นสีไวน์แดง รองเท้าส้นสูง ปากแดงจัดและน้ำหอมฉุนเบา ๆ เดินยิ้ม ๆ ตรงขึ้นประตูหน้าบ้านเฮียครามอย่างคนคุ้นเคย เธอยกมือกดกริ่งแบบไม่ลังเล ราวกับเป็นแขกที่ได้รับเชิญ
ประตูเปิดโดย “คุณริน” ภรรยาของสงคราม ผู้หญิงวัยสี่สิบกลาง ๆ หน้าตาสงบนิ่ง แต่งตัวเรียบร้อยเรียบง่าย ท่าทีสงบแต่ไม่ต้อนรับ
"คุณน้องยิปซี”
“อ๊ะ สวัสดีค่ะพี่ริน มาเปิดประตูเองเลยนะคะ” ยิปซีส่งเสียงหวานก่อนยกมือไหว้อย่างเสียไม่ได้
“ผ่านมาแถวนี้เลยแวะมาทักเฮียนิดหน่อยคะ ไม่ได้เจอตั้งนาน”
คุณรินมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า ดวงตาเรียบนิ่ง
“เฮียไม่อยู่ค่ะ ไปประชุมค่าย”
"อุ๊ย ตายจริง แต่ไม่เป็นไรค่ะ หนูรอได้ บ้านหลังนี้ก็คุ้นมากเลย” ยิปซีแทรกตัวเข้ามาโดยไม่รอฟังอนุญาต เหมือนตั้งใจให้ทุกก้าวที่เหยียบ เป็นการย้ำว่า “ฉันเคยมาที่นี่แล้ว”
ทันทีที่เข้ามาในบ้าน เธอหันซ้ายแลขวา แล้วยิ้มเยาะเบา ๆ กับภาพครอบครัวที่แขวนบนผนัง
“ลูกสาวพี่ก็น่ารักดีนะคะ หน้าตาคล้ายเฮียเลย”
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังลงมาจากบันได “ลัณณ์” ลูกสาววัยมัธยมปลายของสงครามเดินลงมา เห็นยิปซียืนอยู่กลางห้องรับแขก เธอหยุดชะงักเล็กน้อย
“แม่คนนี้ใครเหรอคะ" คุณรินหันไปตอบลูกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“คนรู้จักของพ่อ แวะมาเยี่ยมแบบไม่ได้นัด" ยิปซียิ้มบาง ๆ
“ใช่ค่ะ พี่สาวคนสวยของเธอเอง เคยร่วมงานกับพ่อหนูบ่อยมาก จนสนิทกันเป็นพิเศษเลยล่ะ" ลัณณ์ทำหน้าตึงเล็กน้อยแล้วส่งข้อความไปหาสงคราม
“ก็แค่อีตัวของพ่อ แล้วพ่อรู้ไหมคะ ว่าคุณ” ยิปซีถึงับหน้าถอดสี แต่ยังไม่ตอบโต้
“ยังจ้ะแต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวเฮียรู้ก็ดีใจแน่นอน” ยิปซีหันไปมองคุณริน
“ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูแค่อยากมานั่งคุยสั้น ๆ บางทีอาจจะนานหน่อย เพราะช่วงนี้พี่เขายุ่ง ไม่ค่อยมีเวลามาหาเลย” คุณรินยืนนิ่ง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น
“คุณยิปซี ดิฉันไม่ใช่คนโง่ และไม่ใช่คนที่ไม่รู้เรื่อง”
“ดิฉันรู้มาตลอดว่าผัวฉันคนนี้ เขามีคนมากมายแค่ไหน”
“แต่มีคนเดียวที่ยืนอยู่ในบ้านหลังนี้ และอยู่จนถึงวันที่เขาล้มคือดิฉัน” ยิปซีหัวเราะในลำคอ
“โห แม่พระเลยค่ะพี่ริน เก็บอดีตของเฮียไว้ได้ทุกเวอร์ชั่นเลยแล้วแบบนี้ไม่เบื่อเหรอคะ”
"แม่ เมื่อไหรป้านี่จะกลับ" ลัณณ์ถามแม่ ได้เวลาจะออกไปข้างนอก
“ไม่เบื่อค่ะ เพราะดิฉันไม่ได้รักเขาแค่ตอนที่เขาดี แต่ดิฉันรับผิดชอบทั้งชีวิตของเขา รวมถึงทุกสิ่งที่คุณเคยหวังว่าจะได้”
ยิปซีชะงักไปวูบหนึ่ง ดวงตาเริ่มแข็งขึ้น เธอกำลังจะพูดบางอย่าง แต่เสียงไลน์เข้าในมือถือของคุณรินดังขึ้นพอดี เธอกดดู แล้วหันมองยิปซีอีกครั้ง
“สงครามบอกให้ฉันส่งคุณกลับให้ไวที่สุด เขาไม่สะดวกเจอใครตอนนี้” ใบหน้ายิปซีเริ่มหุบรอยยิ้มลง แต่ยังแถอย่างถือดี
“โอเคค่ะ งั้นหนูฝากความคิดถึงด้วยแล้วกัน... บอกเฮียด้วยว่า ของเก่า มันอาจจะกลับมาใหม่ได้เสมอ ถ้ามีใครบางคนไม่รู้วิธีดูแลให้ดี”
ก่อนเดินออกจากบ้าน ยิปซีเหลือบมองลัณณ์กับคุณรินอีกครั้ง รอยยิ้มเธอยังอยู่ แต่สายตาเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างกว่าตอนเข้า เมื่อเธอก้าวออกไป ลิณณ์เดินมาหาแม่ กระซิบเบา ๆ
“แม่เขาใช่เหรอคะ" คุณรินวางมือบนไหล่ลูก
“ใช่ และไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น เพราะถ้าแม่ยังยืนอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครแทรกเข้ามาในบ้านเราได้ง่าย ๆ หรอกลูก”
เฮียสงคราม ที่เพิ่งกลับจากคุยงานได้รับข่าวทันที ว่ามีบางคนบุกถึงบ้านโดยไม่ขออนุญาต และเขาจะตอบโต้ด้วยความเดือดดาลแบบ “ผู้ชายเงียบ ๆ ที่น่ากลัวตอนโมโห” พร้อมเผยนิสัยของสงครามว่า… ถึงจะใจดีในวงการ แต่ในบ้านและชีวิตส่วนตัว เขา ไม่ยอมให้ใครล้ำเส้นเด็ดขาด
ภายในห้องทำงานส่วนตัวชั้นบนสุดของตึกสำนักงานค่ายเพลง บรรยากาศมืดแค่เพียงแสงไฟจากโคมตั้งโต๊ะ เสียงเครื่องปรับอากาศเดินเบา ๆ ขณะที่ “เฮียสงคราม” นั่งจิบกาแฟดำ ร่างสูงใหญ่สวมเสื้อเชิ้ตพับแขน ท่าทีเงียบขรึม เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเขาเปิดข้อความจาก ลูกสาวที่ภรรยาให้ส่งมาสั้น ๆ
"วันนี้ยิปซีมาหาถึงบ้าน เจอลัณณ์ด้วย เขาพูดไม่ดีกับแม่" สงครามนิ่งไปประมาณ 3 วินาที แต่ดวงตาเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกทันที
เขาวางแก้วกาแฟลงอย่างเงียบเชียบ หยิบมือถือขึ้นโทรออกไปยังเบอร์ผู้ช่วย
“กาย เรียกยิปซีมาเจอฉันตอนนี้ไม่ใช่ที่ค่าย ไม่ใช่ห้องประชุม” เสียงต่ำของเขาหนักแน่นอย่างมีแรงอำนาจ
“บอกเธอว่าฉันให้เวลาเธอ 30 นาที ถ้าเกินนั้นฉันจะส่งคนไปลากเธอมาเอง”
น้ำเสียงไม่มีแววล้อเล่น ไม่มีแม้แต่โทนโมโห แต่มันเยือกเย็น เย็นจนคนฟังไม่กล้าหายใจแรง สงครามวางสาย แล้วพิงหลังกับพนักเก้าอี้
มือที่เคยจับแก้วกาแฟ เปลี่ยนเป็นจับรูปถ่ายครอบครัวบนโต๊ะเขาหลุบตา ก่อนพูดพึมพำกับตัวเอง
“ใครก็ตามที่ล้ำเข้ามาในเขตบ้าน ต่อให้เคยเป็นของฉันก็ไม่มีสิทธิ์”
ห้องคอนโดส่วนตัวของเฮียสงคราม เงียบ เย็น แสงสลัวประตูเปิดออก ยิปซีปรากฏตัวในชุดเดรสรัดรูป สีดำผ่าข้าง ผิวเนียนแต่งจัดจ้าน เดินเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่แววตารู้ว่าเกมนี้อาจไม่ง่ายเหมือนเคย
“นึกว่าจะไม่กล้าให้เจอแล้วซะอีกค่ะเฮีย”
“คิดถึงกันบ้างมั้ยคะ” สงครามนั่งนิ่ง ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง เขาเคลื่อนสายตาไปที่เอกสารบนโต๊ะ แล้วหยิบซองเช็คเงินสดวางต่อหน้า
“รับไป แล้วออกไปซะ” ยิปซีหัวเราะในลำคอ เดินเข้ามานั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ยกขาขึ้นไขว่ห้างอย่างจงใจ
“แค่นี้เหรอคะ เฮียเคยให้ฉันมากกว่านี้ ทุกอย่างในชีวิตฉันมันก็เพราะเฮียทั้งนั้นนะ” สงครามเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตานิ่งจนวาบเย็น
“และนั่นคือสิ่งเดียวที่ฉันเสียใจ ที่เคยให้เธอมากเกินไป”
“เธอไม่มีสิทธิ์บุกบ้านฉัน ไปเจอลูกฉัน พูดจาทำร้ายคนในบ้าน”
“ถ้าเธอยังคิดจะใช้ชื่อฉันเพื่อเดินเข้าทุกที่โดยไม่มีขอบเขตต่อไปเธอจะไม่มีสิทธิ์ได้แม้แต่เดินผ่านหน้าค่าย” ยิปซีชะงักรอยยิ้มเธอเริ่มแข็ง
“หรือเพราะตอนนี้เฮียมีเด็กใหม่ให้หลงแล้ว”
“ร้อยดาวใช่มั้ยคะ หรือจะเป็นเด็กที่หน้าใส ๆ แต่แอบเก่งบนเตียง เฮียถึงได้ปกป้องนัก”
เสียงฝ่ามือกระแทกโต๊ะดังลั่นไม่ใช่การตีเธอ แต่เป็นเสียงของถ้อยคำสุดท้าย สงครามลุกขึ้นยืนอย่างเงียบงัน แต่ดวงตาเหมือนจะกลืนเธอได้
“อย่าเอาคำพูดโสโครกมาป้ายใครในค่ายของฉัน”
“เธอจะเป็นอดีตที่ฉันลืม หรือเป็นปัญหาที่ต้องจัดการเธอเลือกเอาเองยิปซี” ยิปซีกัดฟันแน่น ลุกขึ้นยืนเช่นกัน น้ำตารื้น แต่ไม่ยอมแพ้
“ฉันไม่ใช่ขยะนะเฮีย ฉันเคยเป็นคนที่เฮียเลือก เฮียเคยบอกว่าจะไม่มีใครแทนที่ฉันได้!”
“แล้ววันนี้ล่ะ โยนฉันทิ้งเหมือนอะไร” สงครามหยิบซองเช็คขึ้นมา ยื่นให้เธออีกครั้ง
“เพราะเธอเคยมีค่าจริง ๆ ฉันถึงยอมจ่ายเพื่อให้เธอไปจากชีวิตฉันอย่างเงียบที่สุด”
“แต่ถ้าเธอยังไม่หยุด อย่าหาว่าฉันไม่เตือน” ยิปซีมองเช็คในมือ แรงสั่นไหวบนใบหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความแค้นจาง ๆ
เธอหยิบเช็คขึ้นมา ยิ้มเยาะ
“เฮียอาจจะลืม แต่ฉันไม่ลืมหรอกว่าเคยขึ้นชื่อว่าเป็นของสงคราม"
“และคนที่ได้ชื่อนั้นไปต่อให้เฮียลืม ฉันจะไม่มีวันให้ใครแทนที่ฉันได้ง่าย ๆ หรอกค่ะ” เธอหันหลังเดินออกไป โดยไม่คืนเช็คสงครามยืนนิ่ง ปล่อยให้เธอเดินออกไป ก่อนที่จะนั่งกินเบียร์ต่ออีกสักพัก
ร้อยดาวยังลูบหัวเจ้ามะยมกับเจ้าก้อนทองที่กระโดดไปกระโดดมาบนเบาะหลังอยู่ไม่หยุด มาคินยื่นมือมาเปิดประตูรถฝั่งเธอ ลมหนาวตีเข้ามาทันทีจนเธอต้องห่อตัว ดึงผ้าพันคอคลุมแน่น“หนาว” เสียงเธอสั่น ๆ พอให้มาคินขำในลำคอมือหนายื่นมาโอบไหล่เธอไว้ ก่อนจะหยิบกระเป๋าเล็ก ๆ ของเธอสะพายเองแล้วพาก้าวลงจากรถทันทีที่เท้าเหยียบพื้นดินบนลานจอดบ้านพัก เสียงกรวดกรอบ ๆ ใต้รองเท้าฟังดูสงบกว่าทุกวัน เจ้าก้อนทองกับเจ้ามะยมกระโดดลงมาก่อน วิ่งดมดิน ดมต้นหญ้า หมอกบาง ๆ ลอยผ่านขนหมาจนเปียกเป็นหย่อม ๆบ้านพักไม้สองชั้นทรงเรียบ แต่มีระเบียงกว้างทอดออกไปด้านหลัง มองเห็นเนินเขาลูกแล้วลูกเล่า ปลายไม้ระเบียงมีละอองน้ำเกาะพราวเป็นหยด ยามแสงแดดอ่อน ๆ ของเช้าเริ่มส่องลอดกลุ่มหมอก ก็ดูเหมือนเกล็ดเพชรระยิบระยับ“สวยจนเหมือนฝันเลยนะ” ร้อยดาวพึมพำออกมาเบา ๆ เธอเกาะแขนเขาแน่น มาคินหันมามอง ยิ้มบางอย่างใจดี“ไม่ใช่ฝันหรอก วันนี้ของจริงแล้ว” เขาดันประตูบ้านพักออกไปเบา ๆ กลิ่นไม้สนหอมอ่อน ๆ ลอยออกมาต้อนรับภายในบ้านมีเตาผิงเล็ก ๆ มุมหนึ่ง แต่สองคนไม่สนใจอะไรในบ้านเลย เพราะข้างนอกนั่นกำลังเรียกพวกเขาออกไปหามาคินวางกระเป๋า แล้วจับมือ
ไฟห้องนั่งเล่นเปิดสลัว ๆ มีเพียงเสียงหมาน้อยสองตัวที่วิ่งไล่กันอยู่บนพื้นไม้ เสียงกรงเล็บเล็กกระทบพื้นดังกิ๊ก ๆ สลับกับเสียงเห่าเถียงของเจ้าก้อนทองกับเจ้ามะยมมาคินนั่งพิงโซฟา ยื่นขาถอดรองเท้าออกวางบนพรม ร้อยดาวเพิ่งเดินออกจากครัวพร้อมถ้วยโกโก้อุ่นในมือสองใบ กลิ่นนมสดกับผงโกโก้แท้ลอยคลุ้งไปทั่วบ้าน เธอวางแก้วใบหนึ่งลงตรงหน้ามาคิน แล้วทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ มืออุ่นของเธอเลื่อนมาลูบหัวเจ้าก้อนทองที่กระโดดขึ้นมาตักคืนนี้ไม่มีแสงสปอร์ตไลท์ ไม่มีเสียงแฟนคลับกรี๊ด ไม่มีไฟเวทีพร่างตา มีเพียงลมหายใจของสองคน ที่กำลังจะออกเดินทางไปหาหมอกขาวบนดอยในวันรุ่งเช้า เสียงหรีดหริ่งเรไรข้างบ้านดังลอดหน้าต่าง ครู่หนึ่งร้อยดาวหันมามองคนข้างกาย“นี่ คิดดีแล้วใช่มั้ย จะพาฉันกับหมาสองตัวไปหนาวบนดอยด้วยเนี่ย" มาคินอมยิ้ม หันมาจับแก้มเธอเบา ๆ ปลายนิ้วเย็นนิดหน่อเพราะเพิ่งแตะแก้วโกโก้“คิดดีแล้วครับคุณแฟน เพราะไม่มีเธอ ฉันก็หนาวแย่สิ”ร้อยดาวตีแขนเขาเบา ๆ แต่ก็ยอมเอนหัวซบไหล่เหมือนเด็กขี้อ แสงไฟสีอุ่นในห้องนั่งเล่นตกกระทบเสี้ยวหน้าเธอ ดวงตาเป็นประกายระยิบเหมือนเด็กที่กำลังเฝ้ารออะไรสักอย่างด้วยใจเต้นแรงเจ้ามะยมกร
AFTER PARTY ก้าวต่อไปหลังไฟสปอร์ตไลท์ดับค่ำคืนนั้นหลังเวทีใหญ่ปิดฉาก เสียงปรบมือยังแว่วอยู่ในหัว ร้อยดาวกับมาคินเพิ่งเปลี่ยนชุดเป็นชุดสบาย ๆ เดินออกจากห้องแต่งตัวด้วยใบหน้ายังแดงระเรื่อจากไฟบนเวทีในห้องพักหลังคอนเสิร์ต ทีมงานทุกคนรออยู่แล้ว โปเต้เดินถือขนมกล่องใหญ่กับเครื่องดื่มในมือ สงครามยืนพิงกำแพงรอ ส่วนอ๊อฟกับก็อปเปอร์นั่งกอดหมอนบนโซฟายาว สภาพทุกคนดูอ่อนล้าแต่ตากลับเปล่งประกายเหมือนเพิ่งได้รับพลังใหม่บนโต๊ะกลางมีเค้กเล็ก ๆ ปักเทียน “1 Year Anniversary” ที่โปเต้สั่งให้ บรรยากาศไม่มีเสียงกรี๊ด ไม่มีใครถือแท่งไฟ มีแต่เสียงหัวเราะเบา ๆ ของคนที่เป็นเหมือนครอบครัวจริง ๆ โปเต้วางกล่องขนมลงโต๊ะ“เอ้า นี่ของขวัญวันครบรอบหนึ่งปีของเด็กคู่นี้… พี่สั่งมากับมือ ไม่ได้ให้เอฟซีนะ พี่ให้เอง” โปเ้เองพอใจในน้อง ๆ สังกัดตนเองทุกคน“ขอบคุณพี่โปเต้มากครับ พี่นี่แหละคนดันเรามาตลอด”“เฮีย ถ้าไม่มีเฮีย หนูคงไม่มีวันนี้จริง ๆ ค่ะ” ร้อยดาวขอบคุณสงคราม“ถ้าเธอสองคนไม่อดทน ก็คงไม่มีวันนี้เหมือนกัน จำเอาไว้ ทุกเทคที่ซ้อมกันยันเช้า ไม่เสียเปล่าเลย” สงครามพยักหน้านิ่งก็อปเปอร์ลุกมาดึงทั้งคู่มานั่งรวมวงบนพื
เสียงกรี๊ดต้อนรับดังลั่นจนเกือบกลบเสียงพิธีกรบนเวทีในฮอลล์คอนเสิร์ตใหญ่ที่ถูกตกแต่งด้วยไฟเวทีสีทองนวล พร็อพดอกไม้หลากสีและแบนเนอร์คู่จิ้น ร้อยดาว × มาคินทุกเก้าอี้ถูกจับจองแน่นขนัด แท่งไฟนับพันกวาดแสงไปมาเป็นคลื่นเหมือนท้องทะเลเรืองแสงเสียงเพลงอินโทรเปิดตัวเริ่มขึ้นพร้อมแสงไฟไล่ไปตามแนวเวที เมื่อเงาสองคนก้าวออกมาจากด้านหลัง ม่านไฟพุ่งขึ้นต้อนรับ เสียงกรี๊ดก็ดังสนั่นราวกับฮอลล์จะสั่นสะเทือนร้อยดาวยืนข้างมาคิน มือเล็กกำไมค์ไว้แน่นเพราะหัวใจเต้นแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา แววตาของเธอวาววับ มองแฟนเพลงกว่าพันชีวิตที่โบกแท่งไฟรออยู่"สวัสดีครับ โอ้โห ผมคิดว่าจะไม่มีคนมาดูพวกเราสองคนเสียอีกครับ" เสียงมาคินทักทายเรียกเสียงกรี๊ดดังสนั่นลั่นฮอลล์“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณที่วันนี้ทุกคนมาชาร์จพลังให้พวกเราจริง ๆ ”เสียงเธอสั่นหน่อย ๆ ก่อนจะหัวเราะเบาเมื่อมาคินโอบไหล่ให้กำลังใจข้าง ไฟสปอร์ตไลท์สาดลงบนสองคนที่ยืนเคียงกันเหมือนคู่พระนางในนิทานช่วงกลางคอนเสิร์ต หลังจากเพลงซึ้งจบไปสามสี่เพลงพิธีกรเซอร์ไพรส์ด้วยการเชิญ “แขกรับเชิญพิเศษ” ของสองคนขึ้นมาบนเวทีเสียงกรี๊ดรอบใหม่ดังขึ้นทันที เมื่อเห็นพ่อกับแม่
กำลังใจจากครอบครัวหลังจากนั่งพักได้ไม่นาน เสียงประตูข้างเวทีก็เปิดออกอย่างเบา ๆ แม่ของร้อยดาวเดินนำเข้ามาก่อน ตามด้วยพ่อแม่ของมาคิน ทุกคนยิ้มให้กันด้วยความเก้อเขินปนอบอุ่น“แม่” ร้อยดาวร้องเรียกเสียงเบา ลุกไปกอดแม่ตัวเองแน่น แม่ลูบหัวลูกสาวเบา ๆ เห็นใบหน้าเหนื่อยล้าก็ถอนหายใจอย่างโล่งใจ“ลูกทำได้ดีแล้วนะ แม่อยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ต้องกลัวแล้วนะ” มาคินเดินไปยกมือไหว้พ่อแม่ตัวเอง ก่อนจะหันมายกมือไหว้แม่ร้อยดาวด้วย ร้อยดาวยกมือไหว้พ่อแม่มาคินเช่นกัน“ขอบคุณนะคะ ที่มาดูพวกเราด้วยตัวเอง” ร้อยดาวก้มศีรษะบอกแม่มาคินด้วย รอยยิ้มบนหน้าทุกคนเหมือนเชื่อมกันไว้แน่นกว่าเดิมในอ้อมแขนพ่อของมาคินมี เจ้ามะยม หมาตัวน้อยหูตั้ง ๆ ใส่ผ้าพันคอสีเหลือง ส่วนเจ้าก้อนทองนั่งอยู่บนตักแม่ร้อยดาว ขนฟูจมอยู่ในตะกร้าใส่ของกิน พร้อมเสียงเห่าเมื่อเจอหน้าร้อยดาวทันที“ดูสิ ๆ พาเด็ก ๆ มาด้วย เผื่อจะให้กำลังใจพวกแก” แม่มาคินพูดขำ ๆ แล้วอุ้มเจ้ามะยมเดินวนไปรอบ ๆเจ้าก้อนทองกระโดดออกจากตะกร้า พุงเล็ก ๆ ชะโงกดมถุงขนมบนโต๊ะ ทำเอาอ๊อฟกับก๊อปเปอร์หัวเราะแล้วแหย่มันเล่น“โอ๊ย ก้อนทองนี่กินเก่งเหมือนแม่มันเลย" ก๊อปเปอร์แซวแล้วโดนร
วันแถลงข่าวเปิดตัว 1st Anniversary คู่วงจิ้น Kin&Daoจัดที่โถงใหญ่ของค่าย ศิลปินรุ่นพี่รุ่นน้องยืนออรอให้กำลังใจอยู่รอบนอกมาคินใส่สูทสีเบจ เนี้ยบแต่ดูอบอุ่น ร้อยดาวอยู่ในเดรสยาวลูกไม้สีขาวอมชมพู รวบผมหลวม ๆ ให้ดูน่ารักแต่สง่าสองคนเดินจับมือออกมาหน้าแบ็กดรอปพร้อมกัน ท่ามกลางแฟลชกล้องจากนักข่าวและเสียงกรี๊ดของเอฟซีที่ตามมาตั้งแต่เช้าหลังตอบคำถามเรื่องอัลบั้มใหม่ โปรเจกต์เพลง และเซอร์ไพรส์เวทีใหญ่ ร้อยดาวหันมามองกลุ่มแม่ ๆ เอฟซีที่ยืนรวมกันตรงแถวหน้า เธอจับไมค์แน่นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจน สั่นนิด ๆ เพราะตื้นตัน“ขอบคุณนะคะ ที่รักกันมาตลอดปีที่ผ่านมา ขอบคุณที่อยู่ข้างเราตั้งแต่ตอนที่เรายังไม่มีอะไรเลย จนถึงวันที่มีเวทีเป็นของตัวเองแบบนี้” เธอยกมือไหว้แฟนคลับทุกบ้าน เสียงกล้องยังดังไม่หยุด แต่ทุกคนจะได้ยินถ้อยคำที่ออกจากใจเธอชัดเจน“หนูขออ้อนแม่ ๆ ทุกบ้านเลยนะคะ วันจริงอย่าลืมพากันมาดูพวกเราด้วยนะ มาเจอกันหน้างานอีกครั้ง จะมีที่ว่างตรงนี้ให้แม่ ๆ เสมอค่ะ” เสียงกรี๊ดแทบแตกฮอลล์ มาคินหันมามองแฟนสาวแล้วส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนหัวเราะออกมา“ถ้าใครไม่ได้มานะ ดาวจะน้อยใจจริง ๆ ด้วย”หลังจบช่วงตอบ







