LOGINไม่นานทีมนักกีฬาวิ่งผลัดก็ลงสนามท่ามกลางเสียงเชียร์และปรบมือให้กำลังใจ
จากกองเชียร์อย่างล้นหลาม เสียงกลองจังหวะคึกคักดังอย่างต่อเนื่อง ธีธัชลุกขึ้นเต้นตามจังหวะอย่างสนุก สร้างเสียงหัวเราะสดใสให้กับเอวาอย่างลืมตัว เธอหัวเราะจนตัวงอตาหยีกับท่าเต้นพิสดารของเพื่อน รอยบุ๋มข้างมุมปากเด่นชัดทำให้เจ้าของรอยยิ้มดูน่ารักจนคนมองเผลอไหลตามอารมณ์นั้น จิวากรอมยิ้มพร้อมกับเผลอหัวเราะอย่างลืมตัว“ยัยนี่เป็นไบโพล่าหรือเปล่านะ”
เมื่อกี้ยังวีนเขาอยู่เลย แค่ไม่กี่นานทีหัวเราะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พร้อมกับสายตาของเธอมองมาพอดี และหุบยิ้มทันทีเมื่อสบตากับเขาพร้อมกับมองค้อนไปหนึ่งดอก
จิวากรขมวดคิ้ว พร้อมกับความอีหยังวะในใจ หันไปมองหน้าเธออีกครั้ง ตอนนี้หญิงสาวปรบมือหัวเราะชอบใจอยู่กับธีธัชและตะวันต่ออย่างสนุกสนาน นี่ตกลงหล่อนโกรธเขาจริง ๆ ใช่ไหม แต่ก็ไม่มีคำตอบให้ตัวเอง
อิทธิพลเดินเข้ามารวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ จิวารีเตรียมพร้อมที่สนามแล้ว เสียงประกาศของผู้บรรยายดังรอบทิศทางเพื่อให้นักกีฬาเตรียมพร้อม
“จิ๋ว” ภูผายกมือป้องปากตะโกนเข้าไปในสนาม จิวารียืนอยู่ลำดับสุดท้ายของทีมในการวิ่ง 4x100 เจ้าของชื่อหันมามอง ชายหนุ่มชูมือขึ้นส่งสัญญาณให้กำลังใจหญิงสาว
จิวารีส่งยิ้มตอบ“สู้ ๆ นะ” ภูผามือป้องปากอีกครั้งตะโกนแข่งกับเสียงเชียร์
“หึ” อิทธิพลแค่นหัวเราะในลำคอ ไอ้นี่จะเกินไปแล้ว
หลังจากส่งสัญญาณให้เตรียมพร้อม เสียงนกหวีดดังขึ้น นักกีฬาก็พุ่งตัวออกราวลูกธนู พร้อมเสียงเชียร์กระตุ้นเลือดในกายให้สูบฉีด เสียงตะโกนชื่อนักกีฬาดังประสานกันอยู่ของแต่ละสี และดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อเปลี่ยนไม้ เอวาเดินกะเผลกออกมาด้านหน้าเมื่อใกล้ถึงคิวของเพื่อนรักที่กำลังจะรับไม้ต่อเป็นคนสุดท้าย จิวารีเตรียมตัวรออย่างตั้งมั่นและมีสติ ก่อนจะคว้าไม้มาถือไว้ได้อย่างมั่นคงพร้อมกับออกสปีดเต็มกำลังขา
เสียงเชียร์จากขอบสนามเป็นเหมือนยาชูกำลังชั้นดี แววตาของเธอแน่วแน่เด็ดเดี่ยวจับอยู่ที่เส้นชัยเท่านั้น แต่ละก้าวเคลื่อนไปอย่างมั่นคง และดีดสปีดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อใกล้เส้นชัย ปล่อยเต็มขีดสุดเมื่อระยะทางสั้นลงเรื่อย ๆ และแซงอันดับไปอยู่ต้น ๆ พร้อมกับเสียงเชียร์ที่เหมือนจะเซ็งแซ่จนฟังไม่ได้ศัพท์
ภูผาจ้องมองหญิงสาวด้วยดวงตาทอประกายมันช่างเป็นภาพที่สวยงามน่าทึ่ง และยิ้มกริ่มอย่างพอใจ
ส่วนอิทธิพลไม่เป็นอันทำอะไรทั้งลุ้นเอาใจช่วยนักกีฬาในสนาม สายตาก็คอยมองภูผาอยู่เป็นระยะ ไม่ผิดคาดตามที่เขาคิดเลยสักนิด ดูจากสายตาหยาดเยิ้มที่มันมองจิวารีแล้วทำให้หัวใจชายหนุ่มชักหวั่น ๆ นี่ถ้าไอ้เทมายืนอยู่ใกล้ ๆ อีกคน เขาคงร้อนเหมือนถูกจับย่างเป็นแน่
หันไปมองนักกีฬาในสนามอีกครั้ง ภาพเธอวิ่งด้วยความเร็วในสนามท่ามกลางเสียงเชียร์ แต่เขากลับเห็นมันเป็นภาพช้าเหมือนกำลังถูกเปิดโหมดสโลว์ไว้ พร้อมภาพความทรงจำเก่า ๆ ที่เคยมีร่วมกันก็พรั่งพรูเข้ามา เขามีคำตอบให้กับตัวเองแล้ว ว่าเพื่อนสนิทคนนี้เข้าไปอยู่ในหัวใจของเขาเต็มทั้งสี่ห้องเรียบร้อยแล้ว และไม่เผื่อไว้ให้ใครเลยสักนิด เป็นไงเป็นกันเขาจะไม่ปล่อยเธอให้หลุดมือไปแน่นอน ส่วนไอ้พวกหน้าด้านพวกนั้นอย่าได้หวังว่าจะแทรกเข้ามาได้ง่าย ๆ
“จิ๋วสู้ ๆ”
“จิ๋วสู้ ๆ”
เสียงตะโกนเชียร์ของเพื่อน ๆ ดังสุดคือเสียงที่เปล่งออกจากปากเอวาจนคอแทบแตก เดินกะเผลกออกมายืนข้างจิวากรเมื่อไหร่ไม่รู้อยู่แถวหน้าแล้ว ทั้งธีธัช ตะวัน และอิทธิพล เธอปรบมือกระโดดโลดเต้นลุ้นจนตัวโก่งเมื่อจิวารีใกล้เส้นชัยเข้าไปทุกที โดยไม่มีใครสามารถแซงเธอได้เลย
“เย้”
เสียงเฮลั่นสนามเมื่อนักกีฬาทีมสีแดงแตะเส้นชัย กองเชียร์ลุกพรึบกระโดดชูมือขึ้นอย่างเริงร่า มีแปลกปลอมแค่สามหนุ่มที่ใส่สีฟ้าแต่เชียร์สีแดง
เอวากระโดดกอดจิวากรอย่างลืมตัวด้วยความดีใจ ชายหนุ่มโอบกอดเธอตอบกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นและหมุนตัวไปโดยรอบ จนปลายเท้าฟาดเข้ากับคู่ของธีธัช ที่กอดคอกันกลมเช่นกัน ตะวันรีบปล่อยมือคว้าโทรศัพท์มือถือมาเก็บภาพไว้อย่างรวดเร็ว กดแชะอย่างรัว ๆ ก่อนที่จิวากรจะปล่อยเธอลงพื้น เอวามองหน้าเขาเก้ออยู่กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ ปั้นหน้าอยู่สักพักก่อนจะผละออกห่างเขา จิวากรอมยิ้มและเฉมองไปทางอื่น
“ไปหาจิ๋วกันเถอะ” ชวนเพื่อน ๆ
การแข่งขันอื่น ๆ ก็ดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ พร้อมกับฝนที่โปรยปรายลงเหมือนเป็นการร่วมแสดงความยินดีกับผู้ชนะและปลอบประโลมผู้แพ้ ผู้คนข้างสนามวิ่งหลบฝนจ้าละหวั่น บางคนกางแขนออกรับสายฝนอย่างเต็มใจ นักกีฬาบางประเภทกำลังแข่งขันท่ามกลางสายฝน จู่ ๆ จิวากรก็อุ้มเอวาวิ่งเข้าไปหลบฝนในอาคารโดยที่เจ้าตัวยังงง ๆ โดยไม่ได้มองเพื่อน ๆ ว่าวิ่งไปทางไหน หญิงสาวมือคล้องคอเขาไว้แนบหน้าหลบฝนที่ข้างอก ลอบมองปลายคางของเขาที่กำลังวิ่งอย่างเร่งรีบ และวางเธอลงเมื่อเข้าไปใต้ชายคา
“ขอบคุณนะคะ” เสียงอ่อนลงทันที
อิทธิพลวิ่งเข้าไปหลบในซุ้มของทีมโค้ช สายตากวาดมองไปที่สนามมองหาร่างที่คุ้นเคย แต่ไม่เจอเธอแล้ว ซุ้มเล็ก ๆ แต่เนืองแน่นไปด้วยผู้คน และน้ำฝนก็วิ่งเข้ามาเบียดเพิ่มอีกหนึ่งคน ร่างของเธอเปียกปอนเสียแล้วและเสื้อที่สวมอยู่ก็แนบเนื้อจนมองทะลุปรุโปร่งไปถึงไหนต่อไหน สายตาของหนุ่ม ๆ ในซุ้มเดียวกันจับจ้องอยู่ที่หน้าอกอวบอั๋น เธอหันหลังให้กลุ่มผู้ชายทันที แต่ด้านหลังก็ไม่แตกต่างบางจ๋อยเห็นทรวดทรงองเอวได้อย่างถนัดตา สีหน้าเธอไม่ค่อยสู้ดีนัก
อิทธิพลเปิดกระเป๋าเป้ที่สะพายมาด้วยหยิบเสื้อแจ็คเก็ตออกมาคลุมร่างให้เธอ น้ำฝนเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มทันที
“ขอบคุณค่ะพี่ดิน” เธอยิ้มขอบคุณอย่างซึ้งใจ
“โหย...ไอ้ดินมีหวงเว้ย” เสียงแซวจากด้านหลัง
ฝนโปรยปรายลงมาห่าใหญ่ ไม่นานก็ค่อย ๆ ซาลง การแข่งขันยังมีอย่างต่อเนื่อง อิทธิพลเดินไปส่งน้ำฝนที่ชมรมเพราะเธอเก็บกระเป๋าไว้ที่นั่น และบอกจะคืนเสื้อให้ชายหนุ่ม แต่จริง ๆ แล้วเธอแค่อยากมีโอกาสได้พูดคุยทำความรู้จักกับเขาตามลำพังแค่นั้นเอง
ภูผาพาจิวารีมายืนหลบฝนอยู่ในซุ้มขนมไทยที่เก็บโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เพราะไม่หลงเหลือขนมเลยสักชิ้น โชคดีที่ยังมีซุ้มเหลือไว้ให้หลบแดดหลบฝน เธอกวาดสายตามองผู้คนที่ทยอยเดินออกจากสนามหลังจากฝนซา หญิงสาวบางคนใส่เสื้อบางเมื่อโดนฝนก็ไม่ต้องจินตนาการภาพใด ๆ เพราะเห็นชัดเจนแจ่มแจ้งนึกเห็นใจพวกหล่อนอยู่ไม่น้อย พลางก้มลงมองสำรวจตัวเอง ถึงแม้เธอจะสวมชุดกีฬาที่ไม่บางเหมือนชุดลำลองของพวกหล่อนทั้งหลาย แต่ก็กังวลอยู่ในใจว่าร่างที่เปียกปอนของเธอจะมองทะลุไส้ในเหมือนสาว ๆ เหล่านั้นหรือเปล่านะ
และภูผาน่าจะเข้าใจได้เป็นอย่างดี หยิบเสื้อวอร์มนักกีฬามาคลุมไหล่ให้เธอ
“หนาวเหรอ?” แกล้งพูดไปแบบนั้นเพื่อให้เธอสบายใจ
“ขอบคุณนะ”
ชายหนุ่มยิ้มรับคำขอบคุณ
“จิ๋วต้องไปหาเพื่อนแล้วล่ะ เอวารออยู่ที่ตึกตรงโน้น” เธอบุ้ยปากบอกชายหนุ่ม
“ไปสิเดี๋ยวเดินไปส่ง”
“จะกลับเลยไหม?”
“อือ...ว่าจะกลับเลยวันนี้เหนื่อยแล้ว และก็เปียกด้วย”
สองหนุ่มสาวเดินสนทนามาตามทาง เดินผ่านหัวโค้งก็มายืนเผชิญหน้ากับอิทธิพลและน้ำฝน โลกมันช่างกลมแท้ อิทธิพลมองเสื้อที่คลุมร่างของจิวารีอยู่ไม่บอกก็รู้ว่าเสื้อใคร
ส่วนจิวารีมองร่างที่เปียกปอนของน้ำฝน และแจ็คเก็ตคุ้นตาที่คลุมร่างของหล่อนอยู่ไม่บอกก็รู้ว่าเจ้าของเสื้อเป็นใคร
“อ้าว พี่ภูเจอกันอีกแล้วนะคะ” น้ำฝนเอ่ยขึ้นก่อน
“จะกลับแล้วเหรอ?” ภูผาเอ่ยถามน้ำฝน
“ค่ะ” ส่งยิ้มให้
“ไว้เจอกันนะ” ภูผาเอ่ยขึ้น ส่วนคนที่เหลือทั้งสองคนไม่มีคำพูดใด ๆ ออกจากปากทั้งสองเลย
“ไปกันเถอะ” ภูผาหันมาพูดกับจิวารี และเดินผ่านหน้าอิทธิพลไป พร้อมกับมือของอิทธิพลที่คว้าข้อมือจิวารีไว้
“จะกลับหรือยัง?” จิวารีเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูง
“อือ” สั้น ๆ
“รออยู่กับเอวาเดี๋ยวไปส่ง”
“ไม่ต้อง” ดึงมือกลับและเดินผ่านหน้าไป
อิทธิพลข่มอารมณ์ไม่พอใจกดไว้ข้างใน เธอจำเป็นต้องแสดงความเฉยชากับเขาต่อหน้าไอ้นี่ขนาดนี้เชียวเหรอ
จิวารีเดินผละออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย มันคิดว่ามันเป็นใครถึงมาสั่งให้รอมันไปส่ง ทั้งที่ตัวเองกำลังไปส่งผู้หญิงคนอื่นอยู่แท้ ๆ ฝันไปเถอะ มีขากลับเองได้อยู่แล้วทำไมต้องรอ ตลกไปไหมไอ้ดิน หน้าตึงขึ้นมาทันที
“เพื่อนพี่ดินเหรอคะ?” น้ำฝนเอ่ยถามเมื่อเดินออกได้สักพัก ชายหนุ่มพยักหน้า น้ำฝนลอบมองหน้าอิทธิพลที่เดินไปส่งด้วยใบหน้าเรียบเฉย แม้หญิงสาวจะชวนพูดคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้เขาก็แค่ยิ้ม ๆ เท่านั้น
“แกไปอยู่ไหนมาฉันรอตั้งนาน” เอวาโวยเสียงอ่อนเมื่อต้องอยู่สองต่อสองกับจิวากร และบรรยากาศมันช่างดูพิกล ๆ ยังไงบอกไม่ถูก
“ก็หลบฝนนะสิเปียกหมดเลยเนี่ย”
“ดีใจด้วยนะที่ชนะ แกเก่งมากเลย โคตรเท่” เอวาเปลี่ยนเรื่องทันทีอย่างอารมณ์ดี
“อือ” พยักหน้ายิ้มให้เพื่อน
“เออ แล้วขาแกเป็นไงบ้าง?” เห็นจากที่เอวาส่งภาพให้เธอดูในไลน์
“เจ็บนิดหน่อย กลับห้องค่อยทายาคงดีขึ้น”
“เรากลับกันเถอะฉันเหนื่อยมากแล้ว” จิวารีเอ่ยชวน
“แกไปค้างกับฉันนะวันนี้” เอวาชวนจิวารี
“อือ”
“แกขับรถมานี่ แล้วขาเจ็บขับกลับไหวเหรอ?”
หลังจากเรื่องราวครั้งนั้นที่ตำรวจคลี่คลายคดีแล้ว แม่ของเอวาก็อนุญาตให้เธอขับไปไหนมาไหนเองได้บ้างเป็นครั้งคราวเพื่อความสะดวก
“พี่แจ็คขับไปส่งพวกฉันเลย แล้วค่อยนั่งแท็กซี่กลับ”
จิวากรหันมามองเจ้าของรถ ดูว่าอารมณ์หล่อนจะประมาณไหน แปรปรวนอีกหรือเปล่า เอวายื่นกุญแจรถให้เขา จิวากรรับกุญแจจากมือเธอและเดินนำหน้าไป
“พี่แจ็ค” จิวารีดุพี่ด้วยสายตา
“แล้วเอวาจะเดินไปยังไงกว่าจะถึงรถ แล้วทำไมไม่ให้เอวาขี่หลัง ฉันแบกไม่ไหวหรอกนะ มีน้ำใจหรือเปล่าเนี่ย” ขึ้นเสียงอย่างมีอารมณ์ หงุดหงิดกับอีกคนแต่มาระบายกับอีกคน
อะไรของมันวะ นี่พวกหล่อนเป็นเมนส์พร้อมกันหรือยังไงเนี่ย หันหลังเดินกลับมานั่งยอง ๆ กับพื้นให้เอวาขี่หลัง
“เร็ว ๆ เข้าจะได้รีบกลับ”
จิวารีหันมาดุเอวาที่กำลังอิดออดไม่อยากขี่หลังชายหนุ่มเหมือนเด็ก ๆ ที่ถูกขัดใจ แต่ต้องเดินกะเผลกมาขึ้นหลังชายหนุ่มตามคำสั่งของเพื่อนอย่างขัดไม่ได้ และเดินไปที่รถพร้อมกัน
เสียงลมหนาวพัดผ่านรวงข้าวสีทองที่โอนเอนตามแรงลมอย่างอ่อนช้อย แสงอาทิตย์แรกของวันทาบทอลงบนท้องทุ่งกว้าง กลิ่นฟางกลิ่นดินที่ลอยคละคลุ้งในอากาศเมื่อหมอกจาง ๆ เริ่มคลายตัว กลุ่มนกน้อยใหญ่บินวนจิกเมล็ดข้าวในทุ่งนาโดยไม่สนใจหุ่นไล่กาเลยสักนิด ประหนึ่งว่าเป็นเพื่อนที่คุ้นหน้ากันเสียอย่างนั้นอิทธิพลขับมอเตอร์ไซค์ตามทางคดเคี้ยวที่ใช้เป็นทางลัดกลับจากท้ายทุ่ง โดยมีจิวารีนั่งซ้อนท้าย ในมือถือตะกร้าผักสดที่เก็บมาใหม่ ๆ สำหรับให้พ่อโจทำกับข้าวในเช้านี้ หลังจากสองหนุ่มสาวเคลียร์ความวุ่นวายของงานลงตัวแล้วและกลับมาเยี่ยมพ่อผ่านพ้นไปหลายฤดูที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามวันเวลาที่ล่วงผ่าน เช่นเดียวกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของการทำงาน ที่ไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันคือวัคซีนที่สร้างภูมิคุ้มกันอย่างดีให้กับทุกปัญหาของการใช้ชีวิตอิทธิพลได้เข้าศึกษาต่อในสาขาบริหารธุรกิจเพื่อสานต่อตำแหน่งผู้บริหารเต็มตัวหลังจากทรงศักดิ์จากไปอย่างสงบในวัยชรา ดวงยี่หวาโอนกิจการร้านอาหารให้ทายาทเพียงคนเดียวหลังจากออกไปทำกิจการความสวยความงามตามที่เธอชื่นชอบ และมีจิวารีบริหารกิจการต่อจากเธอจิวากรลาออกจากบ
สองหนุ่มสาวหอบหิ้วถุงขนมขบเคี้ยวและกับแกล้มจากร้านสะดวกซื้อ หิ้วพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือไปหมด อีกทั้งเครื่องดื่มที่ตุนไว้สำหรับการเชียร์บอลในคืนนี้ด้วย จิวารีขอตัวไปอาบน้ำหลังจากเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ชำระร่างกายคืนความสดชื่นแล้วยังไม่ทันจะได้นั่งพักเหนื่อยเสียงเคาะที่หน้าประตูก็ดังขึ้น ส่องดูหน้าคนเคาะที่ตาแมว อิทธิพลนั่นเอง“รอนานแล้ว” ทันทีที่เปิดประตูให้เขาก็อ้อนทันที พร้อมกับจูงมือหญิงสาวเดินมาที่ห้อง เครื่องดื่มและของขบเคี้ยวถูกนำมาวางตรงโต๊ะหน้าทีวีสำหรับการเตรียมเชียร์บอลเรียบร้อย พร้อมกับเสียงบรรยายเมื่อการแข่งขันกำลังจะเริ่ม จิวารีนั่งลงข้างเขาเอนพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย“ที่ร้านเป็นไงบ้างวันนี้ยุ่งหรือเปล่า?”“อือ ลูกค้าเยอะ วันนี้ใส่รองเท้าส้นสูงคู่ใหม่ไม่สบายเท้าเลย แถมปวดขามากอีกต่างหาก” มือทุบที่หน้าขาตัวเองเบา ๆ“เหนื่อยก็พักมีพี่ไพลินอยู่ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรอก” ยกแขนขึ้นโอบไหล่เธอและดึงเข้ามาซบไหล่ตัวเอง“แล้วเรื่องเรียนต่อของนายไปถึงไหนแล้ว?”“รอเรื่องงานลงตัวก่อนค่อยว่ากันอีกที?” ตอบและจูบที่หน้าผากจิวารีเงยหน้าขึ้นมองเขา“อะไร?” อิทธิพลถามเมื่อหญิงสาวเอาแต่ยิ้มแล
จิวารีอยากตอบตกลงการเริ่มงานใหม่กับเอวา เมื่อถูกทาบทามให้ไปทำงานที่สาขาใหม่ที่เพิ่งเปิดกับการร่วมหุ้นของสองครอบครัวระหว่างดวงยี่หวาและพิมพ์พรรณ แต่ดวงยี่หวาขอร้องให้เธอมาบริหารร้านอาหารแทน โดยยกเหตุผลทั้งร้อยแปดประการให้หญิงสาวใจอ่อน เพียงเพราะเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวไม่อยากให้สาวห่างไกลหูไกลตาเท่านั้นเองส่วนอิทธิพลนั้นตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งตามที่ทรงศักดิ์แต่งตั้ง ในการสานต่อธุรกิจของตระกูล เนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้เป็นปู่ เท่ากับว่าความรักที่เพิ่งผลิบานใหม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและภาระหน้าที่เพราะต่างฝ่ายต่างเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ในชีวิตการทำงาน ทำได้เพียงส่งข้อความหวานและโทรหาเพื่อฟังเสียงเท่านั้น หลังเลิกงานก็มารับหญิงสาวกลับห้องพร้อมกัน เพราะขนกระเป๋าเสื้อผ้ามาอยู่คอนโดที่เคยปฏิเสธแล้ว เนื่องจากดวงยี่หวาอ้างเป็นสวัสดิการและใกล้ที่ทำงานจะได้สะดวกในการเดินทางด้วย“ร้านเดิมนะ ตอนเย็นหลังเลิกงานวันศุกร์”คือข้อความที่นัดเจอกันของกลุ่มเพื่อน หลังจากห่างหายจากการพบปะสังสรรค์นานแล้วหลังจากสิ้นสุดการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งกับการจัดการชีวิตให้เข้าที่เข้าทาง ทั้งเร
“มีอะไรหรือเปล่า?” เป็นเขาที่ถามขึ้นมาก่อน“เอ่อ....” เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ อิทธิพลปิดหลอดยาและเก็บลงกล่อง“เมื่อคืนนายไปส่งฉันใช่ไหม?” ถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใช่จากที่เอวาบอก“อือ” ตอบและเดินไปหยิบรีโมทย์เปิดทีวี นั่งพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย เลื่อนเลือกช่องดูผลการแข่งขันฟุตบอล“ขอบใจนะ” จิวารีอึกอักพูดต่อ“พี่แจ็คไม่อยู่บ้านน่ะ...ออกไปตั้งแต่เช้าก็เลยยังไม่ได้ถาม” ขยายความให้เผื่อเขาสงสัย“แล้ว...” เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้น กลอกตาล้อกแล้กไปมาเหมือนหัวขโมยจอมโกหกที่กลัวคนจับได้“หือ...” อิทธิพลหันมามองหน้ายกคิ้วเป็นคำถาม และรอฟังว่าเธอจะถามอะไรต่อ จิวารีเม้มปากแน่น หายใจติดขัด“คือ...ฉัน...น่าจะเมาหนักมาก”“แล้ว...เผลอทำอะไรรั่ว ๆ หลุด ๆ ไปบ้างหรือเปล่า?” ถามอย่างมีเลศนัยอิทธิพลยกมือขึ้นจับคางทำท่าครุ่นคิด“ก็...”จิวารีลุ้นคำตอบตามอย่างตื่นเต้น“ไม่มีนะ”เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังคำตอบจากเขา ค่อยยังชั่วหน่อย ที่แท้ก็แค่มโนเท่านั้น ยิ้มอย่างผ่อนคลาย กำลังจะอ้าปากถามเขาว่าอาหารจะมาส่งกี่โมง“เราก็แค่จูบกันเฉย ๆ” อิทธิพลพูดสวนขึ้นมารอยยิ้มบาง ๆ เมื่อครู่ค่อย ๆ หุบลง พร้อมกั
จิวารีงัวเงียตื่นมาเข้าห้องน้ำในตอนเช้ามืด ตามด้วยการกินยาแก้ปวดและเดินกลับห้องทิ้งหัวลงหมอนนอนต่อ ลืมตาตื่นอีกทีก็ใกล้เที่ยง มือควานหาโทรศัพท์บนหัวเตียงกดดูเวลาที่หน้าจอ ก่อนจะวางลงที่เดิม ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งและนิ่งอยู่สักครู่ มือนวดวนอยู่ข้างขมับ ก่อนลุกขึ้นไปอาบน้ำเรียกความสดชื่นคืนให้ร่างกายละอองน้ำเย็นที่ซ่ากระเซ็นลงสู่ร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เรียกความตื่นตัวคืนมาได้ไม่น้อย กลิ่นหอมของแชมพูบวกกับกลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ยังติดอยู่ที่ปลายจมูกผสมคละคลุ้งกันภายใต้ไอน้ำเย็นในห้องน้ำเล็ก ๆ จิวารียืนนิ่งใต้ฝักบัวปล่อยให้สายน้ำไหลลงชำระความมึนเมาและความรุงรังในใจออกไปให้หมด ในสมองก็พลอยลำดับเหตุการณ์ของเมื่อคืนไปด้วยภายใต้ภาพความทรงจำที่แสนจะเลือนรางเท่าที่สมองจะบันทึกไว้ได้แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นความฝันนี่เธอเป็นหนักเอาการถึงขั้นฝันว่าได้จูบกับเขาแล้วเชียวเหรอ มือเสยผมที่เปียกปอนลงสองข้างแก้มขึ้น เงยหน้ารับละอองน้ำเย็น เป่าปากถอนหายใจทิ้ง อีกนานแค่ไหนกันนะถึงจะกล้าเผชิญหน้ากับเขาเหมือนเดิมแบบไม่รู้สึกอะไรได้ เอาน่า ต่อไปก็คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ เรียนจบแล้ว ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายหางานทำ
อิทธิพลจอดรถข้างริมฟุตบาทแวะซื้อข้าวต้มริมทาง เผื่อเธอสร่างเมาเมื่อถึงบ้านและเกิดหิวขึ้นมา ตลอดเส้นทางคนเมาที่ตื่นมาบ่นเป็นครั้งคราว“ดิน” เรียกชื่อเขาทั้งที่ตาหลับอยู่“หือ” คนขับหันไปมอง เธอพูดแค่นั้นก่อนจะเงียบลงและหลับต่อ อิทธิพลเอื้อมไปดึงมือเธอมากุมไว้อีกมือจับพวงมาลัย“ว่าไง” แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่นั่งข้างกันรถวิ่งมาจอดหน้าบ้าน ดีว่าเขาเคยมาส่งตะวันในครั้งที่ลืมของไว้ที่นี่ไม่งั้นคงวุ่นวายหาบ้านอยู่เป็นแน่ว่าหลังไหน คนเมาก็พูดไม่รู้เรื่อง หันมามองคนข้าง ๆ ที่นั่งคอพับหลับอยู่“จิ๋ว” มือแตะไหล่ปลุกเธอให้ตื่น“ถึงบ้านแล้ว”“อือ” พลิกตัวหลับต่อ“จิ๋ว...เข้าบ้านนะถึงบ้านแล้ว” พูดซ้ำอีกครั้ง“ฮือ...ไม่เอา...จะนอน” งัวเงีย เสียงในลำคอบ่งบอกว่ารำคาญ“เข้าใปนอนในบ้าน”“กุญแจบ้านอยู่ไหน?” ถามคนเมาที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของเธอมาเปิดหากุญแจ เปิดเข้าไปในบ้านสำรวจก่อนเพื่อความแน่ใจว่าห้องของเธอห้องไหนและเปิดประตูทิ้งไว้ เดินกลับมาอุ้มคนที่หลับอยู่เข้าบ้านวางหญิงสาวลงบนที่นอน ถอดรองเท้าออกให้ และกลับมาปิดรั้วบ้าน ก่อนจะเข้าไปสาละวนกับคนเมาอีกครั้ง“ทำไมเมาทิ้งตัวขน







