เข้าสู่ระบบภาพจิวารียิ้มกว้างเห็นฟันขาว โดยมีภูผายืนยิ้มมองหน้าเธออยู่ข้าง ๆ ด้วยสายตาละมุน ในมือถือขนมไทย อีกมือจิ้มชิ้นขนมยกขึ้นมาตรงหน้าเหมือนจะป้อนหญิงสาว หรือว่าตะวันแอบไปเรียนถ่ายรูปมาหรือเปล่าถึงได้ภาพเหมาะเจาะเหมือนจับวางแบบนี้
และอีกหลายภาพก็ถูกส่งเข้ากลุ่มอย่างรัว ๆ เหมือนตั้งใจ คู่ของเอวากับกีตาร์ก็ไม่เบา ตะวันหามุมได้ไม่เลว กดถ่ายภาพแชะแล้วแชะอีก จนเป็นที่น่าพอใจ
ธีธัช : “ลำไย”
ธีธัช : “กูหล่อกว่าเยอะ”
ข้อความตอบกลับจากธีธัชเพียงคนเดียว แต่ถูกเปิดอ่านแล้วจากทุกคนในกลุ่ม
อิทธิพลหยุดยืนมองภาพตรงหน้าหย่างหงุดหงิด ตอนเขาลงแข่งเธอก็ไม่ไปดูไปเชียร์ กวาดตามองหารอบสนามก็ไม่มีแม้เงา ที่แท้ก็อยู่กับไอ้นี่นี่เอง ปากก็บอกไม่ได้ชอบมัน เก่งนักเรื่องหว่านเสน่ห์แบบไม่ได้คิดอะไร นี่เหรอไม่คิดของเธอ
“หยุดทำไมละคะพี่ดิน?” น้ำฝนที่เกาะแขนอยู่เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม
“เปล่า”
“ชิมนี่ดูสิคะอร่อยนะ เธอจิ้มผลไม้สดยื่นให้ชายหนุ่มทำท่าเหมือนจะป้อน”
“ไม่พี่ไม่ชอบ” น้ำเสียงค่อนข้างห้วน หงุดหงิดคนตรงหน้าก็มากพอแล้ว น้ำฝนยังจะเดินตามต้อย ๆ เหมือนเป็นเงาเขาอยู่ได้ ขนาดปลีกตัวออกมายังจะตาดีมองเห็นอีก
“อันนี้ละกัน” เธอเปลี่ยนเป็นขนมแทน และคะยั้นคะยอให้ชายหนุ่มชิมให้ได้
จิวารีหันกลับมาพลันรอยยิ้มของเธอก็หุบลงทันที กับภาพปาท่องโก๋หนุ่มสาวนั่นและรีบหันกลับ“ภูผา...จิ๋วอยากชิมอันนั้นน่ะอร่อยหรือเปล่า” เพราะมั่นใจว่าไม่นานสองหนุ่มสาวก็คงเดินมาถึงซุ้มขนมไทย
ภูผาเอื้อมมือไปหยิบขนมที่หญิงสาวบอกมาเปิดกล่อง
“อันนี้นะเหรอ?” ยื่นให้เธอ
“ขอบคุณนะ” ส้อมจิ้มที่ชิ้นขนมส่งให้ภูผา
“ชิมไหม๊?”
“ไม่ดีกว่า...ผมไม่ชอบมันหวาน” ภูผาส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“งั้นจิ๋วก็ไม่กิน”
“อ้าว ไหนบอกอยากชิมลองไง” ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ
“ก็หน้าตามันน่ากินแต่นายบอกหวานก็เลยเปลี่ยนใจดีกว่า”
พร้อมกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ของสองหนุ่มสาว เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ซึมเต็มขอบหน้าผากของจิวารี ถึงแม้ท้องฟ้าจะเริ่มตั้งเค้าดำทะมึนบดบังแสงอาทิตย์แล้ว แต่ยังคงร้อนอบอ้าวอยู่ ภูผาหยิบกระดาษชำระมาซับเหงื่อที่หน้าผากออกให้อย่างอ่อนโยน
“ขี้ร้อนจังนะ”
น้ำฝนและอิทธิพลมาหยุดอยู่หน้าซุ้มขนมไทย
“อ้าวพี่ภู” น้ำฝนทักทายภูผา
“แข่งเสร็จแล้วเหรอคะ?” ภูผาพยักหน้า
ที่แท้ก็ไปเชียร์มันนี่เอง มิน่าล่ะถึงหาไม่เจอ อิทธิพลนึกในใจหน้าที่ตึงอยู่แล้วเหมือนโดนขันนอตเข้าให้ตึงหนักเข้าไปอีก มองหน้าภูผาและจิวารีสลับกันไปมา
“ขอบคุณค่ะ” น้ำฝนกล่าวขอบคุณภูผาที่ยื่นกล่องขนมให้เธอ มือบางยังคงคล้องอยู่ที่แขนชายหนุ่มเหมือนกลัวจะหลงทาง ภูผาจำได้ชายหนุ่มคนนี้คือคนที่ไปรับจิวารีที่ร้านในคืนนั้น ตัวเองก็มีน้ำฝนอยู่แล้วยังจะมาทำหวงก้างอีก
“ดิน” เอวาทักทาย
“แข่งเสร็จแล้วเหรอ?” คำถามเดียวกัน
“อือ”
“แพ้หรือชนะ?”
“ชนะ” ตอบสั้น ๆ
“ก็แน่ล่ะกำลังใจดีขนาดนี้”
เอวาแซวปนกระแหนะกระแหน จิวารีลมออกหูแต่ข่มอาการไว้ ส่วนน้ำฝนยิ้มเขินอายจนตัวบิดเงยหน้ามองอิทธิพลที่บึ้งตึงเรียบเฉยเหมือนเพิ่งกันผึ้งไปทั้งรัง
จิวารีมองมือที่คล้องแขนอิทธิพลอยู่ด้วยหางตาก่อนจะตวัดสายตาขึ้นมองเจ้าของร่าง ชายหนุ่มมองเธออยู่ก่อนแล้ว สองสายตาปะทะกันรังสีร้อนระอุกระจายไปทั่วบริเวณ
“ลงแข่งกี่โมง?” อิทธิพลเอ่ยถาม
“บ่าย” จิวารีตอบสั้น ๆ
“ไม่ไปเตรียมตัวล่ะ”
“เดี๋ยวค่อยไป”
“ใกล้ได้เวลาแล้ว กินข้าวหรือยัง?” อิทธิพลถามห้วน ๆ
“อือ” คนตอบห้วนกว่า
ภูผามองปฏิกิริยาของสองหนุ่มสาวที่ทำให้บรรยากาศเริ่มร้อนระอุขึ้นกว่าเดิม
“จิ๋วอยากกินกาแฟไม่ใช่เหรอ ผมพาไป”
จิวารีหันมามองหน้าคนพูดก่อนจะส่งยิ้มน้อย ๆ และหันไปมองเอวา
“เดี๋ยวมานะเอวาไปซื้อกาแฟแป็บนึงแกเอาอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่อ่ะ รออยู่นี่ดีกว่าขี้เกียจเดิน”
หญิงสาวพยักหน้า กำลังจะก้าวตามภูผาแต่โดนมือหนาของอิทธิพลคว้าไปและดึงเข้ามาหาตัว แกะมือน้ำฝนออกจากแขนแข็งแรง
“มีเรื่องจะคุยด้วย” พูดห้วน ๆ พร้อมกับมองภูผาก่อนจะลากเธอเดินไป น้ำฝนทำตาปริบ ๆ ยืนงงอยู่ตรงนั้น
“ปล่อย” จิวารีรั้งขาตัวเองไว้ไม่ให้ก้าวตามเขา
“ฉันเดินเองได้” ยืนประจันหน้ากันอยู่ตรงนั้นเหมือนปลากัด จิวารีเดินกลับมาคว้ามือน้ำฝนให้ไปเกาะแขนอิทธิพลเหมือนเดิม จ้องหน้าเขาอย่างท้าทาย และหันไปหาภูผา
“ไว้ค่อยคุยกันนะ จิ๋วไปเตรียมตัวก่อน ไปเถอะเอวา” ก้าวขาฉับ ๆ ไปทันที
“เดี๋ยวสิจิ๋ว รอด้วย”
“ไว้เจอกันวันหลังนะคะ” เอวาโบกมือลากีตาร์และภูผา
“ไว้เจอกันนะดิน” วิ่งตามเพื่อนไปทันที
อิทธิพลถอนหายใจทิ้ง มองตามหลังคนหัวดื้อไปอย่างหงุดหงิด
กีตาร์มองถุงขนมที่วางอยู่ตรงหน้า รีบคว้ามาถือไว้และวิ่งตามเอวาไป
“เอวา ลืมขนม”
แต่เจ้าของชื่อไม่ได้ยินก้าวขาตามเพื่อนสาวไปอย่างเร่งรีบ กีตาร์เร่งฝีเท้าตามไปติด ๆ
“เอวา” เรียกชื่อเธออีกครั้งเพิ่มระดับความดังขึ้นอีก
เสียงเรียกชื่อคุ้นหูทำให้จิวากรหันไปมอง ยัยหูตึงกำลังตรงมาทางเขาด้วยท่าทีเร่งรีบ โดยมีชายหนุ่มที่เห็นภาพในไลน์กลุ่มที่ตะวันส่งเข้าไปเดินฝ่าผู้คนตามมาติด ๆ
“เอวา”
เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้เอวาหันกลับไปมองและหยุดชะงักขาที่กำลังก้าวอยู่ กลุ่มคนที่เดินมาข้างหน้าชนเข้ากับร่างเธออย่างจัง เพราะมัวแต่คุยเล่นกันมาตามทางกับเพื่อน ๆ โดยไม่ได้มอง แรงกระแทกจากการชนทำให้เธอเซถลาเสียการทรงตัว มือตะกายคว้าอากาศพัลวันเพื่อรั้งตัวเองไว้
จิวากรพุ่งเข้ารับร่างหญิงสาวที่กำลังจะล้มไว้ แต่ช้ากว่ามือกีตาร์ที่ดึงข้อมือเอวาเขามาหาตัว มืออีกข้างคว้าเอวบางดึงเข้ามาแนบชิด สองใบหน้าห่างกันแค่คืบตัวติดกันแนบชิดยิ่งว่ากล้วยแฝด
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” ชายหนุ่มถามด้วยความเป็นห่วง
หญิงสาวผละออกจากอ้อมแขนของกีตาร์และขยับออกห่าง ก่อนจะนิ่วหน้าเพราะอาการเจ็บแปลบที่ข้อเท้า ไม่กล้าลงน้ำหนักเต็มที่ที่ขาข้างนั้น
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะ”
จิวากรยืนมองอยู่ในระยะประชิดตัวเธอยังมองไม่เห็น อะไรจะอินเลิฟขนาดนั้น เป็นผู้หญิงยิงเรือมายืนกอดอยู่กับผู้ชายในที่สาธารณะแบบนี้ไม่อายบ้างหรือไง ทั้งที่รู้ว่าเป็นอุบัติเหตุก็ยังไม่วายตำหนิเธอในใจ ส่วนตัวเองก็มีสาวเดินเกาะแขนมาตามทางเหมือนคนตาบอดพาขายล็อตเตอร์รี่เสียอย่างนั้น
กีตาร์นั่งลงจับที่ข้อเท้าเธอแตะเบา ๆ
“ไม่เป็นไรแน่นะ” เงยหน้าขึ้นมองเอวา
“ไม่เป็นไรมากหรอกค่ะ” เธอจิกปลายเท้าลงพื้นและหมุนข้อเท้าเบา ๆ
“แค่เสียหลักเฉย ๆ เดี๋ยวก็ดีขึ้นค่ะ”
กีตาร์ลุกขึ้นยืนและยื่นถุงขนมในมือให้เธอ
“เอวาลืมขนมผมเลยเอามาให้”
“ขอบคุณนะคะ” รับขนมจากมือเขาและยิ้มให้
“ค่อย ๆ เดินนะครับไม่ต้องรีบเดี๋ยวจะเจ็บกว่าเดิม ผมจะเดินไปส่ง”
กีตาร์เอื้อมมือกะจะพยุงหญิงสาว แต่โดนจิวากรผลักออกแบบพยายามให้สุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเรื่องสุภาพเขาไม่ค่อยถนัดนัก
“ไม่ต้อง” มองหน้ากีตาร์อย่างไม่เป็นมิตร และขยับมาพยุงเอวา
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” ถามอย่างอ่อนโยนด้วยสีหน้าเป็นห่วง เอวาไม่ตอบแต่ส่ายหน้า มองผู้หญิงของเขาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“ไว้เจอกันนะคะ วาไม่เป็นไรค่ะ” บอกกีตาร์ ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันหลังเดินกลับไป
“จะไปไหน?” จิวากรเอ่ยปากถามเอวาที่กำลังเดินกะเผลกหนีเขา
“ไปดูจิ๋วแข่งค่ะ” ตอบหน้าตึง
“พี่เดินไปส่ง”
“ไม่ต้องค่ะ”
ปรายตามองผู้หญิงของเขา ก่อนจะตวัดสายตาขึ้นมองหน้าชายหนุ่มและเผลอค้อนเขาอย่างลืมตัว ค่อย ๆ เดินไปอย่างทุลักทุเล
“ไว้เจอกันนะน้ำผึ้ง” จิวากรหันไปมองหญิงสาวที่เดินมาด้วยกัน
“ค่ะ” น้ำผึ้งยกมือขึ้นโบกลาชายหนุ่มพลางเกิดคำถามในใจ ใครกันผู้หญิงคนนี้เขาถึงได้ดูเป็นห่วงนัก
จิวากรก้าวขายาวแค่ไม่กี่ก้าวก็ทันคนเจ็บแล้ว เอื้อมมือไปพยุงเธอเดิน เอวาเงยหน้าบึ้ง ๆ ขึ้นมองเขาดันมือชายหนุ่มออกไม่ให้พยุงเธอ
“วาเดินเองได้ค่ะ” น้ำเสียงห้วนจัดแต่ฟังดูทำไมมันเหมือนงอนเขาเสียอย่างนั้น
“เจ็บขาไม่ใช่เหรอ?”
“นิดเดียวค่ะ เดี๋ยวก็หาย” ตอบแบบเฉยชา
“ขี่หลังพี่ไหม?”
“ไม่...ค่ะ” เสียงหนักแน่น
“วาไม่ใช่เด็ก” เดินต่อ
จิวากรเอื้อมมือไปพยุงเธอเดิน เอวาเงยหน้าขึ้นกำลังจะอ้าปากวีน
“หรือจะให้อุ้ม” ดุด้วยสายตา
“ถ้าไม่...ก็ไม่ต้องพูดอะไรเดี๋ยวเดินไปส่ง” เอวาก้มหน้าก้มตาเง้างอดเดินต่อไป
จิวากรพาเธอมานั่งที่ข้างสนามวิ่งผลัด หญิงสาวกดส่งข้อความบอกจิวารี เช่นเดียวกับจิวากรที่ส่งข้อความหาเพื่อน ๆแจ็ค : “พวกมึงอยู่ไหนกัน?”
แจ็ค : “กูกับเอวารอยู่ข้างสนาม ไอ้จิ๋วใกล้จะลงแข่งแล้ว”
พร้อมกับถ่ายภาพเอวาที่นั่งหน้าบึ้งบอกบุญไม่รับ ส่งเข้าไลน์กลุ่ม ตะวันเปิดดูภาพที่จิวากรส่งมาพร้อมเสียงหัวเราะคิกคักคนเดียว
“มึงเป็นอะไรไอ้ตี๋” ธีธัชเอ่ยถาม
“เปล่าครับ เราไปหาแจ็คกันเถอะ”
เอวาเปิดอ่านข้อความด้วยใบหน้าถมึงทึง ตวัดสายตาขึ้นมองคนถ่ายรูปอย่างหัวเสีย
“พี่ถ่ายรูปวาทำไมคะ?”
“เอ้า...ก็บอกพวกมันว่ารออยู่นี่” จิวากรตอบ
“ก็ถ่ายรูปพี่สิจะถ่ายรูปวาทำไม?” วีนเขาแบบไม่มีเหตุผลก็แค่ถ่ายรูปเท่านั้นเอง จะอะไรหนักหนา
“แล้วทำไมต้องโกรธขนาดนั้นด้วย?” จิวากรมองหน้าด้วยความสงสัย
“ไม่ได้โกรธค่ะ” แต่อาการมันฟ้อง
“งั้นพี่ถ่ายใหม่ก็ได้เอาแบบสวย ๆ” หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากะจะกดถ่ายภาพอีกครั้ง
“ห้ามถ่ายค่ะ” สั่งห้ามเสียงแหลม
“แล้วโมโหทำไมเนี่ย?” จิวากรเกาหัวงง ๆ
“พี่ทำอะไรให้เธอโกรธหรือเปล่า?” วันนั้นของเดือนหรือไงนะ
“แล้ววามีสิทธิ์อะไรไปโกรธพี่เหรอคะ?” ตอบคำถามด้วยคำถาม
เพิ่มความงงให้จิวากรเข้าไปอีก พูดอะไรก็ดูเหมือนจะไม่ถูกใจคนฟังไปเสียทุกอย่างทำได้แค่เงียบและงงเท่านั้น หันหน้าไปจะชวนคุยเธอก็เมินหน้าหนี บรรยากาศเป็นแบบนั้นจนกระทั่งธีธัชและตะวันมาถึง
เสียงลมหนาวพัดผ่านรวงข้าวสีทองที่โอนเอนตามแรงลมอย่างอ่อนช้อย แสงอาทิตย์แรกของวันทาบทอลงบนท้องทุ่งกว้าง กลิ่นฟางกลิ่นดินที่ลอยคละคลุ้งในอากาศเมื่อหมอกจาง ๆ เริ่มคลายตัว กลุ่มนกน้อยใหญ่บินวนจิกเมล็ดข้าวในทุ่งนาโดยไม่สนใจหุ่นไล่กาเลยสักนิด ประหนึ่งว่าเป็นเพื่อนที่คุ้นหน้ากันเสียอย่างนั้นอิทธิพลขับมอเตอร์ไซค์ตามทางคดเคี้ยวที่ใช้เป็นทางลัดกลับจากท้ายทุ่ง โดยมีจิวารีนั่งซ้อนท้าย ในมือถือตะกร้าผักสดที่เก็บมาใหม่ ๆ สำหรับให้พ่อโจทำกับข้าวในเช้านี้ หลังจากสองหนุ่มสาวเคลียร์ความวุ่นวายของงานลงตัวแล้วและกลับมาเยี่ยมพ่อผ่านพ้นไปหลายฤดูที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามวันเวลาที่ล่วงผ่าน เช่นเดียวกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของการทำงาน ที่ไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันคือวัคซีนที่สร้างภูมิคุ้มกันอย่างดีให้กับทุกปัญหาของการใช้ชีวิตอิทธิพลได้เข้าศึกษาต่อในสาขาบริหารธุรกิจเพื่อสานต่อตำแหน่งผู้บริหารเต็มตัวหลังจากทรงศักดิ์จากไปอย่างสงบในวัยชรา ดวงยี่หวาโอนกิจการร้านอาหารให้ทายาทเพียงคนเดียวหลังจากออกไปทำกิจการความสวยความงามตามที่เธอชื่นชอบ และมีจิวารีบริหารกิจการต่อจากเธอจิวากรลาออกจากบ
สองหนุ่มสาวหอบหิ้วถุงขนมขบเคี้ยวและกับแกล้มจากร้านสะดวกซื้อ หิ้วพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือไปหมด อีกทั้งเครื่องดื่มที่ตุนไว้สำหรับการเชียร์บอลในคืนนี้ด้วย จิวารีขอตัวไปอาบน้ำหลังจากเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ชำระร่างกายคืนความสดชื่นแล้วยังไม่ทันจะได้นั่งพักเหนื่อยเสียงเคาะที่หน้าประตูก็ดังขึ้น ส่องดูหน้าคนเคาะที่ตาแมว อิทธิพลนั่นเอง“รอนานแล้ว” ทันทีที่เปิดประตูให้เขาก็อ้อนทันที พร้อมกับจูงมือหญิงสาวเดินมาที่ห้อง เครื่องดื่มและของขบเคี้ยวถูกนำมาวางตรงโต๊ะหน้าทีวีสำหรับการเตรียมเชียร์บอลเรียบร้อย พร้อมกับเสียงบรรยายเมื่อการแข่งขันกำลังจะเริ่ม จิวารีนั่งลงข้างเขาเอนพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย“ที่ร้านเป็นไงบ้างวันนี้ยุ่งหรือเปล่า?”“อือ ลูกค้าเยอะ วันนี้ใส่รองเท้าส้นสูงคู่ใหม่ไม่สบายเท้าเลย แถมปวดขามากอีกต่างหาก” มือทุบที่หน้าขาตัวเองเบา ๆ“เหนื่อยก็พักมีพี่ไพลินอยู่ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรอก” ยกแขนขึ้นโอบไหล่เธอและดึงเข้ามาซบไหล่ตัวเอง“แล้วเรื่องเรียนต่อของนายไปถึงไหนแล้ว?”“รอเรื่องงานลงตัวก่อนค่อยว่ากันอีกที?” ตอบและจูบที่หน้าผากจิวารีเงยหน้าขึ้นมองเขา“อะไร?” อิทธิพลถามเมื่อหญิงสาวเอาแต่ยิ้มแล
จิวารีอยากตอบตกลงการเริ่มงานใหม่กับเอวา เมื่อถูกทาบทามให้ไปทำงานที่สาขาใหม่ที่เพิ่งเปิดกับการร่วมหุ้นของสองครอบครัวระหว่างดวงยี่หวาและพิมพ์พรรณ แต่ดวงยี่หวาขอร้องให้เธอมาบริหารร้านอาหารแทน โดยยกเหตุผลทั้งร้อยแปดประการให้หญิงสาวใจอ่อน เพียงเพราะเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวไม่อยากให้สาวห่างไกลหูไกลตาเท่านั้นเองส่วนอิทธิพลนั้นตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งตามที่ทรงศักดิ์แต่งตั้ง ในการสานต่อธุรกิจของตระกูล เนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้เป็นปู่ เท่ากับว่าความรักที่เพิ่งผลิบานใหม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและภาระหน้าที่เพราะต่างฝ่ายต่างเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ในชีวิตการทำงาน ทำได้เพียงส่งข้อความหวานและโทรหาเพื่อฟังเสียงเท่านั้น หลังเลิกงานก็มารับหญิงสาวกลับห้องพร้อมกัน เพราะขนกระเป๋าเสื้อผ้ามาอยู่คอนโดที่เคยปฏิเสธแล้ว เนื่องจากดวงยี่หวาอ้างเป็นสวัสดิการและใกล้ที่ทำงานจะได้สะดวกในการเดินทางด้วย“ร้านเดิมนะ ตอนเย็นหลังเลิกงานวันศุกร์”คือข้อความที่นัดเจอกันของกลุ่มเพื่อน หลังจากห่างหายจากการพบปะสังสรรค์นานแล้วหลังจากสิ้นสุดการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งกับการจัดการชีวิตให้เข้าที่เข้าทาง ทั้งเร
“มีอะไรหรือเปล่า?” เป็นเขาที่ถามขึ้นมาก่อน“เอ่อ....” เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ อิทธิพลปิดหลอดยาและเก็บลงกล่อง“เมื่อคืนนายไปส่งฉันใช่ไหม?” ถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใช่จากที่เอวาบอก“อือ” ตอบและเดินไปหยิบรีโมทย์เปิดทีวี นั่งพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย เลื่อนเลือกช่องดูผลการแข่งขันฟุตบอล“ขอบใจนะ” จิวารีอึกอักพูดต่อ“พี่แจ็คไม่อยู่บ้านน่ะ...ออกไปตั้งแต่เช้าก็เลยยังไม่ได้ถาม” ขยายความให้เผื่อเขาสงสัย“แล้ว...” เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้น กลอกตาล้อกแล้กไปมาเหมือนหัวขโมยจอมโกหกที่กลัวคนจับได้“หือ...” อิทธิพลหันมามองหน้ายกคิ้วเป็นคำถาม และรอฟังว่าเธอจะถามอะไรต่อ จิวารีเม้มปากแน่น หายใจติดขัด“คือ...ฉัน...น่าจะเมาหนักมาก”“แล้ว...เผลอทำอะไรรั่ว ๆ หลุด ๆ ไปบ้างหรือเปล่า?” ถามอย่างมีเลศนัยอิทธิพลยกมือขึ้นจับคางทำท่าครุ่นคิด“ก็...”จิวารีลุ้นคำตอบตามอย่างตื่นเต้น“ไม่มีนะ”เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังคำตอบจากเขา ค่อยยังชั่วหน่อย ที่แท้ก็แค่มโนเท่านั้น ยิ้มอย่างผ่อนคลาย กำลังจะอ้าปากถามเขาว่าอาหารจะมาส่งกี่โมง“เราก็แค่จูบกันเฉย ๆ” อิทธิพลพูดสวนขึ้นมารอยยิ้มบาง ๆ เมื่อครู่ค่อย ๆ หุบลง พร้อมกั
จิวารีงัวเงียตื่นมาเข้าห้องน้ำในตอนเช้ามืด ตามด้วยการกินยาแก้ปวดและเดินกลับห้องทิ้งหัวลงหมอนนอนต่อ ลืมตาตื่นอีกทีก็ใกล้เที่ยง มือควานหาโทรศัพท์บนหัวเตียงกดดูเวลาที่หน้าจอ ก่อนจะวางลงที่เดิม ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งและนิ่งอยู่สักครู่ มือนวดวนอยู่ข้างขมับ ก่อนลุกขึ้นไปอาบน้ำเรียกความสดชื่นคืนให้ร่างกายละอองน้ำเย็นที่ซ่ากระเซ็นลงสู่ร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เรียกความตื่นตัวคืนมาได้ไม่น้อย กลิ่นหอมของแชมพูบวกกับกลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ยังติดอยู่ที่ปลายจมูกผสมคละคลุ้งกันภายใต้ไอน้ำเย็นในห้องน้ำเล็ก ๆ จิวารียืนนิ่งใต้ฝักบัวปล่อยให้สายน้ำไหลลงชำระความมึนเมาและความรุงรังในใจออกไปให้หมด ในสมองก็พลอยลำดับเหตุการณ์ของเมื่อคืนไปด้วยภายใต้ภาพความทรงจำที่แสนจะเลือนรางเท่าที่สมองจะบันทึกไว้ได้แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นความฝันนี่เธอเป็นหนักเอาการถึงขั้นฝันว่าได้จูบกับเขาแล้วเชียวเหรอ มือเสยผมที่เปียกปอนลงสองข้างแก้มขึ้น เงยหน้ารับละอองน้ำเย็น เป่าปากถอนหายใจทิ้ง อีกนานแค่ไหนกันนะถึงจะกล้าเผชิญหน้ากับเขาเหมือนเดิมแบบไม่รู้สึกอะไรได้ เอาน่า ต่อไปก็คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ เรียนจบแล้ว ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายหางานทำ
อิทธิพลจอดรถข้างริมฟุตบาทแวะซื้อข้าวต้มริมทาง เผื่อเธอสร่างเมาเมื่อถึงบ้านและเกิดหิวขึ้นมา ตลอดเส้นทางคนเมาที่ตื่นมาบ่นเป็นครั้งคราว“ดิน” เรียกชื่อเขาทั้งที่ตาหลับอยู่“หือ” คนขับหันไปมอง เธอพูดแค่นั้นก่อนจะเงียบลงและหลับต่อ อิทธิพลเอื้อมไปดึงมือเธอมากุมไว้อีกมือจับพวงมาลัย“ว่าไง” แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่นั่งข้างกันรถวิ่งมาจอดหน้าบ้าน ดีว่าเขาเคยมาส่งตะวันในครั้งที่ลืมของไว้ที่นี่ไม่งั้นคงวุ่นวายหาบ้านอยู่เป็นแน่ว่าหลังไหน คนเมาก็พูดไม่รู้เรื่อง หันมามองคนข้าง ๆ ที่นั่งคอพับหลับอยู่“จิ๋ว” มือแตะไหล่ปลุกเธอให้ตื่น“ถึงบ้านแล้ว”“อือ” พลิกตัวหลับต่อ“จิ๋ว...เข้าบ้านนะถึงบ้านแล้ว” พูดซ้ำอีกครั้ง“ฮือ...ไม่เอา...จะนอน” งัวเงีย เสียงในลำคอบ่งบอกว่ารำคาญ“เข้าใปนอนในบ้าน”“กุญแจบ้านอยู่ไหน?” ถามคนเมาที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของเธอมาเปิดหากุญแจ เปิดเข้าไปในบ้านสำรวจก่อนเพื่อความแน่ใจว่าห้องของเธอห้องไหนและเปิดประตูทิ้งไว้ เดินกลับมาอุ้มคนที่หลับอยู่เข้าบ้านวางหญิงสาวลงบนที่นอน ถอดรองเท้าออกให้ และกลับมาปิดรั้วบ้าน ก่อนจะเข้าไปสาละวนกับคนเมาอีกครั้ง“ทำไมเมาทิ้งตัวขน







