เพียงแค่การฝึกในวันแรกนั้น ผู้หญิงหลายคนก็ถึงกับเป็นลมล้มพับไปหลายต่อหลายครั้ง เจี่ยงหร่านยกน้ำขึ้นดื่ม ก่อนจะมองดูเหล่าสตรีร่างกายบึกบึนหลายคนที่ถูกหามกลับไปที่ห้องพัก แม้ร่างกายจะใหญ่โตแต่เพราะไม่เคยผ่านการฝึกเช่นนี้มาก่อน จึงทำให้ร่างกายรับไม่ไหว เรื่องนี้นางเองเข้าใจดี เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่ยังอยู่ในร่างเดิม เจี่ยงหร่านก็ผ่านการฝึกอย่างหนักเช่นเดียวกัน ซ้ำยังต้องฝึกร่วมกับบุรุษอีกด้วย
เจี่ยงหร่านหันไปมองโจวลี่และอากัวที่เดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้างกายนาง คนทั้งสองยิ้มซื่อๆ ให้นาง ใบหน้าดูเหนื่อยล้าไม่ต่างจากนางมากนัก อากัวหันมามองจางเหมี่ยวลี่ แล้วชมเชยเป็นการใหญ่
"เจ้าใช้ได้นี่ ครั้งแรกข้าเห็นเจ้าบอบบาง ได้ยินว่าเป็นบุตรสาวของท่านแม่ทัพใหญ่ด้วย คาดไม่ถึงว่าจะแข็งแรงขนาดนี้"
โจวลี่ที่ได้ยินอากัวเอ่ยเช่นนั้นก็พยักหน้า ก่อนเสริมขึ้นว่า
"นั่นสิ ปกติพวกคุณหนูในเมืองหลวงน่ะ บอบบางราวกับต้นหลิว แต่เจ้าเป็นข้อยกเว้น"
เจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่ได้ยินก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่ผุดซึมออกตามใบหน้า พร้อมกับสนทนากับโจวลี่และอากัวอย่างสนิทสนม เซียวจิ้งที่มองดูอยู่บนหอสังเกตการณ์พลันขมวดคิ้ว พร้อมกับจ้องมองจางเหมี่ยวลี่ด้วยความสงสัย
เหตุใด นางจึงพูดคุยกับคนอื่นอย่างสนิทสนมได้ถึงเพียงนี้ แต่ไหนแต่ไรมา จางเหมี่ยวไม่ชอบคบหากับสหายสตรีคนไหน นางมักจะริษยาคนอื่นไปทั่ว แต่วันนี้กลับพูดคุยกับสตรีที่มาจากนอกเมืองหลวงได้อย่างออกรสออกชาติ
เมื่อทุกคนวิ่งจนครบแล้ว ครูฝึกทหารก็เรียกทุกคนมารวมตัวกัน ก่อนจะบอกให้ไปพักกินอาหารได้ จากนั้นพักผ่อนให้ดี ทุกเช้าจะมีการวิ่งเช่นนี้ และหากใครทำผิดกฎ ตื่นสาย ไม่ทำตามกฎระเบียบจะต้องถูกลงโทษตามกฎทหาร เจี่ยงหร่านมิได้ใส่ใจเท่าใดนัก นางคุ้นเชินเสียแล้ว แต่กับคุณหนูคนอื่นๆนั้นนางมองเห็นแววตาที่เหนื่อยล้าและทนไม่ไหวของพวกนางได้อย่างชัดเจน
เมื่อกลับมาถึงห้องพัก เจี่ยงหร่านก็เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ในขณะที่กำลังจะก้าวออกจากห้อง ก็พบว่ามีคนมาหานาง บอกว่าเป็นคำสั่งจากแม่ทัพใหญ่จางให้นำอาหารมาให้คุณหนู เจี่ยงหร่านได้ยินเช่นนั้นก็โคลงศีรษะ แม่ทัพใหญ่จางรักใคร่บุตรสาวมาก แต่ไหนแต่ไรมา มักจะประคบประหงมราวกับไข่มุกในอุ้งมือ แต่นางกลับเอาร่างบุตรสาวของเขามาทำเช่นนี้
เจี่ยงหร่านรับกล่องอาหารมาถือเอาไว้ก่อนจะบอกไปว่า
"เจ้าไปบอกท่านพ่อที ว่าครั้งหน้าไม่ต้องทำเช่นนี้ ข้ากินอาหารกับคนในค่ายทหารได้ ถึงอย่างไรข้าก็เข้ามาแล้ว จะให้ข้าทำตัวอยู่เหนือผู้อื่นได้เช่นไร ไม่อย่างนั้นคงจะเสียชื่อท่านพ่อแย่"
"ขอรับ"
"อืม เจ้าไปเถอะ"
เอ่ยจบเจี่ยงหร่านก็เดินกลับมาหาโจวลี่และอากัว ก่อนจะชักชวนพวกนาง
"พวกเราไปกินอาหารกันเถอะ บิดาข้านำอาหารมาให้ด้วย ข้าจะแบ่งพวกเจ้ากินด้วยกัน กินหลายคนอร่อยดี"
โจวลี่และอากัวสบตากันเล็กน้อย เดิมทีคิดว่าจางเหมียวลี่จะต้องเป็นสตรีที่หยิ่งยโส เพราะตั้งแต่ก้าวเข้ามาในค่ายทหาร พวกนางได้ยินเสียงคนพูดกันว่านางชอบเล่นคุณไสยมนต์ดำ อีกทั้งยังทะเลาะตบตีคนไปทั่ว
แต่เท่าที่พวกนางเห็นในยามนี้ กลับไม่เป็นเช่นที่ผู้คนเล่าลือกันเลย หรือว่าจะเป็นเพียงเรื่องซุบซิบนินทาเท่านั้น
เจี่ยงหร่านออกจากห้องพร้อมกับสหายทั้งสองและเดินตรงมายังโรงอาหาร นางวางกล่องอาหารลงบนโต๊ะ ก่อนจะไปรับอาหารที่โรงครัวแจกมารับประทาน ในขณะที่นางกำลังเดินกลับมาก็เห็นสตรีหน้าตาดุดันนางหนึ่ง เดินมาที่กล่องอาหารของนางและใช้มือปัดกล่องอาหารร่วงหล่นลงไปบนพื้น อาหารร่วงตกกระจัดกระจายทั่วพื้นไปหมด ผู้คนต่างหันมามองเป็นตาเดียว
เจี่ยงหร่านปรายตามองสตรีนางนั้นแวบหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมา แม้กระทั่งในกลุ่มบุรุษยังมีการเขม่นกันเอง นับประสาอะไรกับค่ายทหารหญิงที่มีสตรีเช่นนี้ โจวลี่และอากัวที่เห็นเหตุการณ์พลันรี่เข้าไปหาสตรีนางนั้น อากัวเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน
"ข้าเห็นนะว่าเจ้าปัดกล่องข้าวของจางเหมี่ยวลี่"
สตรีนางนั้นทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ปฏิเสธทันที
"ผู้ทำใดทำกัน มันหล่นเองต่างหาก ทำไมหรือ คุณหนูจางจะใช้อำนาจเหนือคนอื่นด้วยการให้บิดาเอาอาหารมาให้กินทุกวัน ในขณะที่คนอื่นๆ ได้กินของในค่าย เจ้านี่ช่างเป็นลูกแหง่เสียจริง"
เจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่ไม่ชอบมีปัญหากับใคร โดยเฉพาะกับผู้หญิงเพศเดียวกัน นางมองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ จึงดึงโจวลี่และอากัวให้กลับมานั่งกินอาหาร
"อย่ามีปัญหาเลย ข้ากินอาหารในค่ายได้ ข้าบอกท่านพ่อไปแล้วว่า ไม่ต้องนำมาให้อีก"
"น่าเสียดายแย่"
โจวลี่พูดด้วยความเสียดาย อากัวก็เช่นเดียว คนทั้งสามจึงนั่งลงกินอาหารด้วยกันโดยไม่สนใจสตรีนางนั้นอีก เมื่อเห็นว่าจางเหมี่ยวลี่ไม่แสดงอาการใดออกมานางก็เริ่มมีโทสะ
"เหอะ ทำเป็นเงียบไปเถอะ ก่อนจะเข้าค่ายทหารผู้ใดบ้างไม่รู้ ว่าเจ้าน่ะเล่นคุณไสยมนต์ดำสาปแช่ง ชอบตบตีคนอื่น ผู้ใดจะรู้ นางอาจจะอยากเป็นที่หนึ่งในค่ายทหารจนทำของสาปแช่งพวกเราก็เป็นได้"
เจี่ยงหร่านที่ได้ยินเช่นนั้นก็หลับตาลงพยายามระงับความโกรธ ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าคลื่นอารมณ์แห่งความดุดันของเจ้าของร่างนี้ยังคงมีอยู่ และมันจะแสดงออกมาทุกครั้งที่มีคนมายั่วโมโห เจี่ยงหร่านพยายามระงับโทสะ ก่อนจะวางตะเกียบในมือลง แล้วจึงหันไปตอบโต้กับสตรีนางนั้น
"เจ้าบอกว่าข้าเป็นคนไม่ดี เล่นคุณไสย แล้วไหนเล่าหลักฐานเจ้ามีหรือไม่ หรือเพียงแค่กล่าวหาลอยๆ ข้าจะบอกเอาไว้นะ ข้าเข้ามาที่นี่เพราะอยากฝึกทหาร ไม่ได้มาแย่งความดีความชอบกับใคร และไม่ได้มาทำร้ายผู้ใดทั้งสิ้น ขอเตือนว่าให้ต่างคนต่างอยู่ ข้าไม่โต้ตอบมิได้แปลว่าข้าไม่สู้คน เพราะหากข้าลงมือขึ้นมา เกรงว่าแม้แต่สตรีร่างหนาเช่นเจ้า ก็เอาข้าลงไม่ได้! อ้อ หากควบคุมสติตนเองไม่ได้ จิตใจมีแต่ความมืดดำ เช่นนั้นก็ออกจากค่ายทหารไปเสีย!"
เจี่ยงหร่านเอ่ยจบก็เตรียมจะกินข้าวต่อ แต่สตรีนางนั้นเหมือนไม่ยอมลดราวาศอก อีกทั้งยังพุ่งเข้ามาหมายจะทุบตีนาง เจี่ยงหร่านหมดความอดทนแล้ว นางลุกขึ้นก่อนจะเบี่ยงกายหลบฝ่ามือสตรีผู้นั้น และยกมือขึ้นไปจับแขนของสตรีเจ้าปัญหา บิดอย่างแรงจนนางร้องไห้โฮ
“ทำอันใดกัน ก่อเรื่องหรือ!"
เสียงของครูฝึกตะโกนอย่างดุดัน เมื่อเห็นว่าจางเหมี่ยวลี่ลงไม้ลงมือกับสตรีนางนั้น จนนางร้องไห้โฮจึงจัดการรวบตัวจางเหมี่ยวลี่กดลงกับพื้น ออกคำสั่ง
"พานางไป!”
โจวลี่กับอากัวตั้งท่าจะข้ามาช่วย แต่เจี่ยงหร่านส่งสายตาห้ามพวกนางเอาไว้ นางถูกพามาที่ห้องสอบสวน และคนที่อยุ่ในนั้นก็คือเซียวจิ้ง
เขากวาดตามองนางครู่หนึ่ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เขารับทราบแล้ว
"เจ้าก่อเรื่องอีกแล้ว"
เจี่ยงหร่านที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระพลันเงยหน้ามามองเซียวจิ้งก่อนจะทักท้วงว่า
"ก่อเรื่องอันใดกัน นางหาเรื่องข้าก่อน อีกทั้งยังคิดจะมาทุบตีข้าอีก ข้าก็ต้องปกป้องตนเอง ทำไม หรือว่ากฎทหารของที่นี่ห้ามป้องกันตนเอง ต้องยอมให้ถูกคนอื่นทุบตีเช่นนั้นหรือ"
"สามหาว! สั่งให้นางงดอาหารมื้อเย็น"
"งดก็งดสิ! พูดจบแล้วใช่หรือไม่ ข้าขอตัว"
"ช้าก่อน"
ยังไม่ทันที่จางเหมี่ยวลี่จะเดินออกไปเซียวจิ้งก็เอ่ยเรียกนางเสียก่อน เขายกมือสั่งให้ทหารคนอื่นๆออกไปให้หมด เมื่อเหลือกันเพียงสองคนแล้ว เขาจึงกล่าวกับนาง
"เจ้าเห็นหรือยัง ว่ามีคนไม่ชอบเจ้ามากเพียงใด"
เจี่ยงหร่านถอนหายใจออกมาก่อน แล้วถามว่า
"ในสายตาท่านข้าเป็นคนไม่ดีใช่หรือไม่ ไม่ดีมากเลยใช่หรือไม่"
เซียวจิ้งไม่ตอบ เพียงจ้องมองนางด้วยแววตาคมกริบ เจี่ยงหร่านลอบหัวเราะเยาะหยันตนเองในใจ ให้ตายเถอะ ผู้ใดใช้ให้นางมาอยู่ในร่างสตรีทีเขาไม่ชอบกันเล่า
"จางเหมี่ยวลี่ เจ้าจะอดทนได้อีกเท่าใดกัน"
"เท่าใดก็เท่านั้น แต่ขอบอกท่านว่าข้าไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก ข้าคนเดิมอาจจะนิสัยไม่ดี แต่ตอนนี้ข้าฟื้นจากความตายมาแล้ว ข้าย่อมรักชีวิตตนเอง ข้าย่อมไม่มีทางเดินซ้ำรอยเดิม ขอตัวก่อน ข้าจะรีบไปกินข้าว จะได้ไม่หิวยามที่ต้องงดมื้อเย็น"
กล่าวจบนางก็เดินจากไปทันที ทิ้งให้เซียวจิ้งยืนอยู่เพียงลำพัง
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา ก่อนจะเรียกครูฝึกทหารเข้ามา
"ไล่สตรีที่เป็นคนหาเรื่องจางเหมี่ยวลี่ออกจากค่ายทหาร ผู้ที่เข้ามาแล้วก่อปัญหาข้าไม่เลี้ยงเอาไว้"
"ขอรับ"
หนึ่งปีหลังแต่งงานหลังจากแต่งงานกันหนึ่งปี เซียวจิ้งและเจี่ยงหร่านมีชีวิตหลังแต่งงานที่มีความสุขเป็นอย่างมาก ในทุกๆ วันเขาและนางมักจะมีรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นให้แก่กันมีครั้งหนึ่งเซียวจิ้งเปิดไปเจอกล่องที่จางเหมี่ยวลี่เจ้าของร่างเดิมเก็บยันต์และสมุดบันทึกเอาไว้ เจี่ยงหร่านที่มาเห็นก็ถึงกับร้องว่าแย่แล้ว เดิมทีนางคิดจะทิ้งไป แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเยว่ซินกลับนำกล่องใบนั้นมาพร้อมสินเดิมของนางด้วย นางรีบเอ่ยปรามไม่ให้เขาดูแต่เซียวจิ้งกลับเปิดอ่านและบอกว่าดีจริง จางเหมี่ยวลี่เขียนท่วงท่าอันเผ็ดร้อนทิ้งไว้ให้เขาอ่านเช่นนี้นับว่าดีมากและยังบอกอีกว่าคืนนี้จะนำท่วงท่าเหล่านั้นมาใช้กับนาง!ให้ตายเถอะ! คนผีทะเล!วันนี้เป็นวันที่เซียวจิ้งพาเจี่ยงหร่านกลับมาที่จวนตระกูลจาง ตั้งแต่แต่งงานกันเขาและนางไม่ได้ยึดถือกฎระเบียบตายตัวใดมากนัก อยากจะกลับจวนตระกูลจางเมื่อใดก็กลับมาได้เสมอแม่ทัพใหญ่จางและจางฮูหยินนั้นดีใจยิ่งนักที่บุตรสาวกลับมาเยี่ยมเยือนตน ยามนี้เซียวหลิงตั้งครรภ์ใกล้จะคลอดเต็มทีแล้ว จางเฉวียนก็คอยดูแลนางเป็นอย่างดี จางฮูหยินนั้นแม้จะดีใจที่ลูกสะใภ้กำลังจะมีหลาน แต่นางกลับไม่สบายใจเรื่องที่จางเหมี
เมื่อสงครามสงบลงแล้ว กองทัพทั้งหมดต่างยอมศิโรราบขึ้นตรงต่อแคว้นฟงหลิง แคว้นซ่งและแคว้นต้าฉี ผนวกเข้ารวมดินแดนเป็นหนึ่งเดียวกับแคว้นฟงหลิง ส่วนแคว้นฉู่ก็ยินดีสวามิภักดิ์และเปิดการค้าขายเชื่อมต่อทั้งสี่ชายแดน อีกทั้งยังส่งองค์หญิงมาเป็นสนมของฮ่องเต้เซียวหลางเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีอีกด้วย ผู้คนสามารถเดินทางค้าขายผ่านเมืองต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวสงครามอีกต่อไป แม่ทัพใหญ่จางและจางเฉวียนมุ่งหน้ากลับแคว้นฟงหลิงไปก่อน เพื่อกราบทูลเรื่องน่ายินดีนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบ และบอกเซียวจิ้งและจางเหมี่ยวลี่ว่าหลังจากสถาณการณ์ที่นี่สงบเรียบร้อยแล้วก็ให้รีบตามกลับไปในภายหลังในยามนี้ เจี่ยงหร่านกำลังควบม้าเคียงข้างเซียวจิ้ง โดยมีเจี่ยงเฮ่าควบม้าตามหลังพร้อมกับสวีเฉินที่ติดตามมาด้วย เขาบอกว่าจะพานางมาดูสถานที่แห่งหนึ่ง แรกเริ่มเจี่ยงหร่านยังไม่เข้าใจ จนกระทั่งได้เห็นหลุมศพหลายหลุมตรงหน้า นางก็ถึงกับปล่อยโฮออกมาสวีเฉินเป็นคนฝังศพคนในตระกูลเจี่ยง เขาเขียนชื่อและทำสัญลักษณ์เอาไว้ จึงจำได้ว่าหลุมใดคือหลุมศพของแม่ทัพใหญ่เจี่ยง เขาขออภัยเจี่ยงหร่านที่ศพอื่นเขาไม่ได้ทำสัญลักษณ์เอาไว้ เพราเขาไม่เคยเห็นหน้าคนอื
กองทัพแคว้นซ่งพ่ายแพ้อย่างราบคาบ บรรดาเหล่าทหารที่ไม่ถูกฆ่าตายล้วนถูกจับเป็นเชลย แม้แต่ฉู่อี้เฉินยามนี้ก็ถูกลากตัวมาขังเอาไว้ในคุกที่เมืองสืออี้ชายแดนแคว้นฟงหลิง เขาตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ไม่คาดคิดว่าตนเองจะพ่ายแพ้ได้เช่นนี้เจี่ยงหร่านรีบเข้าไปประคองเซียวจิ้งที่ร่างกายเต็มไปด้วยคราบโลหิตของผู้อื่น เขาหันมายิ้มให้นางอย่างภูมิอกภูมิใจ"ฝีมือยิงธนูของเจ้ายอดเยี่ยมมาก"เจี่ยงหร่านส่งยิ้มให้เซียวจิ้ง นางใช้มือเช็ดเหงื่อบนใบหน้าให้เขาอย่างอ่อนโยน ก่อนหน้านี้นางและเขาวางแผนเอาไว้ว่า เขาจะออกไปรบ ส่วนนางคอยดูสถานการณ์อยู่ด้านบน คอยหาจุดพลิกผันของฉู่อี้เฉินจากนั้นก็จัดการทันที หากผู้นำทัพล้ม แน่นอนว่าทั้งกองทัพย่อมย่อยยับไม่มีชิ้นดีเมื่อกลับเข้ามาในเมืองแล้ว นางก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และสั่งให้คนจัดการดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บให้ดี แล้วเดินเข้ามาหาเซียวจิ้งที่นั่งอยู่ในห้องพัก ชายหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เขาได้รับบาดเจ็บที่แขนเล็กน้อยเท่านั้น"เซียวจิ้ง ท่านไหวหรือไม่"เซียวจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา"ย่อมต้องไหวอยู่แล้ว เราออกไปดูสถานการณ์ข้างนอกกันเถิด""อืม"เจี่ยงหร่านพยักหน้าเดิน
นับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับบิดา ฟ่านเหยาไม่เคยนอนหลับสนิทได้เลยสักคืน ทุกครั้งที่นางหลับตาลงมักจะฝันเห็นว่าบิดาร้องขอความช่วยเหลือจากนาง ได้ยินเสียงฟ่านเยียนญาติผู้พี่ กำลังดิ้นรนด้วยความทุกข์ทรมาน พร้อมกับร่ำร้องขอให้นางช่วย นานวันเข้าฟ่านเหยาร่างกายก็ย่ำแย่ลง จากที่เคยงดงามเฉิดฉาย แต่เวลานี้ใบหน้าซูบตอบผอมแห้งราวกับคนป่วยหนักที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ นางฝันเห็นเจี่ยงหร่าน ฝันว่าสตรีผู้นั้นเดินเข้ามาบีบปลายคางของนางและกระซิบว่า บุตรของนางยามนี้กำลังไปคอยรับใช้บุตรเจี่ยงหร่านในปรโลกแล้ว และยังบอกอีกว่านับแต่นี้นางอย่าได้ฝันว่าจะสามารถตั้งครรภ์ได้อีกชั่วชีวิต!ครั้งแรกฝันเช่นนี้ฟ่านเหยาด่าทอสาปแช่งเจี่ยงหร่านอย่างเกลียดชัง แต่เมื่อนานวันเข้าความกลัวเริ่มกัดกินจิตใจของนาง ฟ่านเหยาหวาดระแวงไม่กล้าอยู่คนเดียวต้องใช้ชีวิตอยู่บนความทุกข์ราวกับคนตายทั้งเป็นระยะหลังมานี้ไม่รู้เพราะเหตุใด นางกับฉู่อี้เฉินจากแต่ก่อนที่เคยรักกันหวานซึ้ง ตอนนี้กลับทะเลาะกันทุกวัน เขาเอาแต่ตะโกนเรียกหาเจี่ยงหร่านนางแพศยานั่น อีกทั้งยังถามนางว่าตระกูลฟ่านคิดไม่ซื่อกับเขาจริงหรือไม่ เขาถามนางซ้ำๆ อยู่เช่นนั้นราวกับค
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เซียวจิ้งและเจี่ยงหรานรวมถึงเจี่ยงเฮ่าก็เร่งเดินทางข้ามเขตชายแดนในทันที เจี่ยงเฮ่านั้นก่อนหน้านี้เจี่ยงหร่านไม่อยากให้เขาติดตามมาด้วย เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายที่คาดไม่ถึง ทว่าเจี่ยงเฮ่ากลับลอบปะปนมากับกองทัพทหาร ด้วยเวลานี้อาการบาดเจ็บที่ขาของเขาเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว แต่เพราะเดินทางมาไกลจึงทำให้อาการกำเริบขึ้น แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงเท่าใดนักเจี่ยงหร่านในเวลานี้กำลังยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ ดวงตาคู่สวยจ้องมองไปยังเบื้องหน้าด้วยแววตาที่ราบเรียบ สายลมพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของนางเป็นระยะตอนนี้นางสังหารพวกมันไปสองคนแล้ว หากบอกว่าการที่ฟ่านเยียนตายคือพายุลูกแรกที่สร้างผลกระทบต่อแคว้นซ่ง การตายของราชครูฟ่านก็เปรียบได้กับคลื่นยักษ์ที่สาดซัดเข้าสู่แคว้นซ่ง คนสำคัญที่เป็นคนคอยชี้แนะฉู่อี้เฉินและสนับสนุนเขายามนี้ตายแล้ว ย่อมทำให้เหล่าบรรดาแม่ทัพทหารแคว้นซ่งและขุนนางในราชสำนักหวาดหวั่นพรั่นพรึงไม่น้อยและยังส่งผลทำให้บัลลังก์มังกรของฉู่อี้เฉินสั่นคลอนเป็นอย่างยิ่งในขณะที่นางกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย ฉับพลันก็มีซาลาเปาลูกหนึ่งยื่นมาตรงหน้าของนาง เมื่อนางหันไปมองก็ยิ้มออก
ราชครูฟ่านถูกจับตัวเอาไว้ เหล่าผู้ติดตามก็ถูกรวบตัวไว้ทั้งหมดเช่นเดียวกัน พวกเขาบางส่วนที่คิดขัดขืนล้วนถูกทุบตีจนไร้ทางสู้ ราชครูฟ่านเงยหน้ามามองเจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่ ด่าทอด้วยความโกรธเกรี้ยว"นังแพศยา เป็นเจ้าใช่หรือไม่ที่สังหารหลานชายของข้า วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าเอง"เมื่อถูกจับได้แล้วก็ย่อมไม่จำเป็นต้องรักษาท่าทีอีกต่อไป เขาพ่นคำหยาบสารพัด ด่าทอทุกคนไม่เหลือท่าทีของราชครูผู้สูงส่ง เช่นในกาลก่อนอีกแล้ว เจี่ยงหร่านยิ้มตาหยี กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงที่เยาะหยัน"ใจเย็นๆ สิราชครูฟ่าน ท่านทำแบบนี้เท่ากับไม่รักษาหน้าตาของตนเลย ท่านเป็นถึงราชครูฟ่านผู้ขาวสะอาดดุจเทพเซียนของแคว้นซ่งเชียวนะ ทำเช่นนี้น่าอับอายจริงเชียว"ราชครูฟ่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง นางรู้ได้อย่างไรว่ายามอยู่ที่แคว้นซ่ง เขาได้รับฉายาว่าบัณฑิตผู้สูงส่งขาวสะอาดดุจเทพเซียนด้วยเหตุนี้ราชครูฟ่านจ้องมองดูหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว ทว่านางกลับยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนอ่อนโยนเสียจนน่าขนลุก!คนทั้งหมดถูกจับตัวเอาไว้ ส่วนหลี่ฟางนั้นยามนี้ถูกพาตัวมาไต่สวนในวังหลวง อย่างไรนางก็ได้ชื่อว่าเป็นพระชายาเอกของชินอ