Beranda / รักโบราณ / ยอดบุปผาโฉมสะคราญ / บทที่ 13 เข้าร่วมค่ายทหาร

Share

บทที่ 13 เข้าร่วมค่ายทหาร

last update Terakhir Diperbarui: 2025-04-21 15:04:23

หลายวันต่อมาก็มีราชโองการจากราชสำนักออกประกาศเปิดรับสมัครสตรี ที่มีความสามารถจากทั่วทั้งแคว้นฟงหลิง เข้ามาเป็นทหารหญิงในค่ายทหาร ซึ่งถือเป็นครั้งแรก การเปิดรับสตรีเข้าค่ายทหารมี กฎระเบียบระบุเอาไว้ว่า หญิงสาวที่จะเข้าร่วมต้องยังไม่แต่งงาน มีอายุไม่เกินยี่สิบปี เมื่อพวกนางผ่านการคัดเลือกรอบแรกแล้ว จะต้องเข้าไปฝึกในค่ายทหารหญิงที่จัดเตรียมให้สตรีโดยเฉพาะ

เมื่อฝึกฝนจนผ่านทุกด่านได้แล้ว ก็จะได้รับพระราชทานตำแหน่งในราชสำนักหรือเข้าร่วมกองทัพแห่งแคว้นออกรบกับบุรุษได้

ต่างมีเสียงวิพากวิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ ว่าเป็นผู้หญิงจะไหวหรือ อีกทั้งการฝึกก็เหมือนกับบุรษทุกอย่าง ที่สำคัญแม่ทัพใหญ่จางและรองแม่ทัพเซียว ก็มาคุมการฝึกซ้อมด้วยตนเอง การฝึกทหารหญิงค่อนข้างเข้มงวดไม่ต่างจากบุรุษเลยด้วยซ้ำ

เจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ นางแต่งกายอย่างทะมัดทะแมง จัดการรวบผมขึ้นเป็นทรงหางม้า ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่รับสมัครทหารหญิงในทันที เมื่อมาถึงก็พบกับหญิงสาวมากมายที่มาสมัคร พวกนางล้วนไม่ได้มีหน้าตางดงาม แต่ร่างกายกลับกำยำบึกบึนกว่าสตรีน้อยใหญ่ในเมืองหลวง อีกทั้งยังดูมีพละกำลังมากมายอีกด้วย

เหล่าหญิงสาวที่มาร่วมสมัครต่างมองดูจางเหมี่ยวลี่เป็นตาเดียว ด้วยเพราะนางงดงามสะดุดตา ผิวพรรณก็ขาวเนียนละเอียด รูปร่างบางระหง หากเข้าค่ายทหารไม่เกินสามวันคงร้องไห้โฮกลับบ้านไปเป็นแน่

แต่จางเหมี่ยวลี่ไม่ได้สนใจ ร่างเดิมของนางตอนเป็นเจียงหร่านก็ผอมเพรียวเช่นกัน แต่กลับมีพละกำลังมากมาย อีกทั้งร่างนี้ก็ฝึกยุทธ์มาตั้งแต่วัยเยาว์มีพื้นฐานที่ดีีเช่นนี้แล้ว ย่อมอดทนต่อแรงกดดันได้อยู่แล้ว

ไม่เป็นไร เพียงแค่เริ่มต้นใหม่เท่านั้นเอง

การคัดเลือกรอบแรกนั้นมิได้มีอะไรมาก แต่จะเป็นขั้นตอนที่สองและสามที่ค่อนข้างละเอียด ขั้นตอนที่สองคือการตรวจร่างกาย หากร่างกายมีจุดบกพร่องก็จะไม่สามารถผ่านการคัดเลือกได้ จะมีหมอหลวงหญิงมาตรวจอย่างละเอียด เรื่องนี้นางค่อนข้างรับมือได้สบายอยู่แล้ว

คนที่ผ่านการคัดเลือกข้อสองนั้นมีไม่น้อยเลย อีกทั้งมียังมีแม่นางน้อยผู้หนึ่งอายุราวสิบหกปี หน้าตานับว่าพอใช้ได้ ร่างกายก็เพรียวบางไม่ต่างจากนาง สาวน้อยถือทวนเอาไว้ในมือ ใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตรกับทุกคน เจี่ยงหร่านที่เห็นดังนั้นก็ลอบอุทานในใจว่าอาวุธในมือนางนับว่าเป็นอาวุธที่ดีจริงๆ

สตรีที่จับดาบถือทวนมักจะองอาจสง่างามเสมอ

เมื่อผ่านด่านสองแล้ว ทหารหญิงที่ผ่านการคัดเลือกก็จะได้เข้าพัก ในห้องพักรวมกันห้องละห้าคน นับว่าเป็นโชคดีที่เจี่ยงหร่านได้พักกับแม่นางน้อยที่ถือทวนมาด้วยผู้นั้น นางมีนามว่าโจวลี่ มาจากหมู่บ้านชนบทนอกเมือง เพราะบิดามารดาฐานะยากจน นางที่เป็นบุตรสาวคนเดียวจึงตั้งใจมาที่ค่ายทหารเพื่อจะได้มีเบี้ยหวัดไปเลี้ยงดูบิดามารดา

ส่วนหญิงสาวอีกคนหนึ่งรูปร่างแข็งแรงกำยำไม่น้อย มีนามว่าอากัว เป็นบุตรสาวนายกองผู้หนึ่งที่มิได้มีตำแหน่งใหญ่โตอันใดในกองทัพ เหตุด้วยนางมีรูปร่างสูงใหญ่เหมือนบุรุษ จึงไม่มีบุรุษใดอยากแต่งงานด้วย บิดาของนางจึงส่งนางมาเป็นทหารเพื่อจะได้มีเงินเลี้ยงชีพตนเอง

ส่วนคนอื่นๆ นั้นมิได้สนทนาใดๆ กับเจี่ยงหร่านมากนัก ออกจะไม่สนใจนางเสียด้วยซ้ำ และยังเอ่ยวาจาเหน็บแนมว่านางงดงามปานนี้ คงไม่ใช่ว่าฝึกได้สองวันก็หนีกลับบ้านไปแล้ว

เจี่ยงหร่านไม่ใส่ใจแม้แต่นิดเดียว เมื่อนางจัดที่นอนและทุกอย่างเรียบร้อยก็เปลี่ยนชุดที่ค่ายทหารมอบให้และออกมารวมตัวกับทุกคนที่ลานฝึก

ก่อนหน้าที่จะมาสมัครทหาร กว่านางจะสลัดจางฮูหยินได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มารดาเอาแต่ร่ำร้องว่าไม่อยากให้นางต้องไปลำบาก กว่านางจะออกมาได้ก็เหนื่อยไม่ใช่น้อย

ยามนี้ผู้ที่คุมการฝึกมีทหารที่เป็นหัวหน้าอยู่สามคน และคนที่นั่งดูอยู่บนหอสังเกตการณ์มีสองคน คนหนึ่งคือแม่ทัพใหญ่จางบิดาของนางและอีกคนก็คือเซียวจิ้งนั่นเอง แม่ทัพใหญ่จางมองนางด้วยสายตาที่อ่อนโยนและห่วงใยในคราวเดียวกัน แต่เซียวจิ้งกลับมองนางราวกับต้องการจะจับผิดอยู่ตลอดเวลา

"นับเป็นพระกรุณาของฝ่าบาทที่เปิดรับทหารหญิง พวกเจ้าทุกคนรู้ใช่หรือไม่ว่า การเข้าค่ายทหารแล้วย่อมไม่สะดวกสบาย การฝึกจะไม่ต่างจากบุรุษเลยแม้แต่น้อย หากพวกเจ้าอดทนฝึกฝนจนผ่านไปถึงด่านสุดท้ายได้แล้ว ก็จะได้เข้าไปเป็นทหารหญิงของราชสำนัก จะมีเกียรติและอำนาจไม่น้อยเลย"

บรรดาสตรีทั้งหลายที่ได้ยินเช่นนั้น ก็ยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ ต่างจากเจี่ยงหร่านที่ไม่ได้มีท่าทีดีใจอันใด

พูดจาสวยหรู มีเกียรติมีอำนาจเช่นนั้นหรือ นั่นเป็นเรื่องหลังจากที่สามารถรอดชีวิตกลับมาจากสงครามได้ต่างหาก

ทหารคืออันใด ทหารก็คือคนที่อยู่ในสนามรบ ผ่านสมรภูมิคมหอกคมดาบ ใช้ชีวิตอยู่กลางดินกินกลางทราย บางคนเป็นทหารมาครึ่งชีวิตยังไม่มีตำแหน่งเลยด้วยซ้ำ

การอยู่ในสนามรบเท่ากับเอาขาก้าวเข้าไปในปรโลกก้าวหนึ่งเสมอ

นี่คือเหตุผลที่เจี่ยงหร่านขอเวลาเซียวจิ้งให้นานหน่อย หากว่าวันที่นางต้องแก้แค้นฉู่อี้เฉินและฟ่านเหยา และสุดท้ายไม่สามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้ เขาจะได้มีเวลามองหาหญิงสาวคนใหม่มาแต่งงานด้วย

คนที่ดีเช่นเซียวจิ้ง ควรจะได้พบเจอคนที่ดีกว่านี้

ด้วยเพราะนางรู้ว่าการใช้ร่างของคนอื่นแก้แค้นเรื่องของตนเองนั้นมิใช่เรื่องดี แต่นางก็ไม่มีทางเลือก นี่เป็นหนทางสุดท้ายแล้วที่นางจะทำได้

นางต้องทำให้ตนเองผ่านการฝึกฝนและก้าวไปอยู่ในจุดที่สามารถออกรบได้ แล้วนางจึงจะสามารถสังหารคนชั่วพวกนั้นได้

ที่สำคัญการได้เข้ามาอยู่ในค่ายทหารก็เพื่อจะสามารถรับรู้ข่าวคราวของสงครามในต่างแคว้นได้ เผื่อว่านางอาจจะสอดแนมเรื่องต่างๆ ของฉู่อี้เฉิน แม้จะเป็นเรื่องน้อยนิดแต่ก็นับว่าสำคัญสำหรับนาง

เจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่ถอนหายใจออกมายาวเหยียดและไม่เอ่ยสิ่งใดอีก ก่อนจะแยกย้ายกันกลับที่พัก เพราะวันพรุ่งนี้จะต้องเริ่มการฝึกแล้ว

คืนนั้นนางนอนหลับไม่ค่อยสนิทนัก กว่าจะหลับได้ก็เกือบค่อนคืนไปแล้ว เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาก็รู้สึกเพลียเล็กน้อย

การฝึกในวันแรกคือการวิ่งรอบค่ายทหารที่มีพื้นที่ใหญ่มากหลายสิบรอบเพื่อปรับสภาพร่างกาย ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า เจี่ยงหร่านเหนื่อยล้าเป็นอันมาก เพราะร่างนี้มิได้เคยฝึกอย่างเคี่ยวกรำเช่นร่างเดิมของนาง หลังจากวิ่งครบรอบเจี่ยงหร่านก็ถึงกับทิ้งกายนั่งพิงกำแพงค่ายทหารอย่างอ่อนแรงก่อนจะยกน้ำขึ้นดื่ม

ให้ตายเถอะ! ทั้งง่วงทั้งเหนื่อย แต่อย่างไรก็ต้องสู้

เซียวจิ้งที่ยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์มองดูจางเหมี่ยวลี่ด้วยแววตาที่เรียบเฉย เขากำลังสงสัยว่านางคิดจะเล่นสนุกอันใดและที่สำคัญ เขากำลังนั่งนับวันรอวันที่จางเหมี่ยวลี่บอกว่า อยากกลับจวนตระกูลจางใจจะขาดแล้ว!

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ยอดบุปผาโฉมสะคราญ   ตอนพิเศษ

    หนึ่งปีหลังแต่งงานหลังจากแต่งงานกันหนึ่งปี เซียวจิ้งและเจี่ยงหร่านมีชีวิตหลังแต่งงานที่มีความสุขเป็นอย่างมาก ในทุกๆ วันเขาและนางมักจะมีรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นให้แก่กันมีครั้งหนึ่งเซียวจิ้งเปิดไปเจอกล่องที่จางเหมี่ยวลี่เจ้าของร่างเดิมเก็บยันต์และสมุดบันทึกเอาไว้ เจี่ยงหร่านที่มาเห็นก็ถึงกับร้องว่าแย่แล้ว เดิมทีนางคิดจะทิ้งไป แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเยว่ซินกลับนำกล่องใบนั้นมาพร้อมสินเดิมของนางด้วย นางรีบเอ่ยปรามไม่ให้เขาดูแต่เซียวจิ้งกลับเปิดอ่านและบอกว่าดีจริง จางเหมี่ยวลี่เขียนท่วงท่าอันเผ็ดร้อนทิ้งไว้ให้เขาอ่านเช่นนี้นับว่าดีมากและยังบอกอีกว่าคืนนี้จะนำท่วงท่าเหล่านั้นมาใช้กับนาง!ให้ตายเถอะ! คนผีทะเล!วันนี้เป็นวันที่เซียวจิ้งพาเจี่ยงหร่านกลับมาที่จวนตระกูลจาง ตั้งแต่แต่งงานกันเขาและนางไม่ได้ยึดถือกฎระเบียบตายตัวใดมากนัก อยากจะกลับจวนตระกูลจางเมื่อใดก็กลับมาได้เสมอแม่ทัพใหญ่จางและจางฮูหยินนั้นดีใจยิ่งนักที่บุตรสาวกลับมาเยี่ยมเยือนตน ยามนี้เซียวหลิงตั้งครรภ์ใกล้จะคลอดเต็มทีแล้ว จางเฉวียนก็คอยดูแลนางเป็นอย่างดี จางฮูหยินนั้นแม้จะดีใจที่ลูกสะใภ้กำลังจะมีหลาน แต่นางกลับไม่สบายใจเรื่องที่จางเหมี

  • ยอดบุปผาโฉมสะคราญ   ตอนจบ

    เมื่อสงครามสงบลงแล้ว กองทัพทั้งหมดต่างยอมศิโรราบขึ้นตรงต่อแคว้นฟงหลิง แคว้นซ่งและแคว้นต้าฉี ผนวกเข้ารวมดินแดนเป็นหนึ่งเดียวกับแคว้นฟงหลิง ส่วนแคว้นฉู่ก็ยินดีสวามิภักดิ์และเปิดการค้าขายเชื่อมต่อทั้งสี่ชายแดน อีกทั้งยังส่งองค์หญิงมาเป็นสนมของฮ่องเต้เซียวหลางเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีอีกด้วย ผู้คนสามารถเดินทางค้าขายผ่านเมืองต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวสงครามอีกต่อไป แม่ทัพใหญ่จางและจางเฉวียนมุ่งหน้ากลับแคว้นฟงหลิงไปก่อน เพื่อกราบทูลเรื่องน่ายินดีนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบ และบอกเซียวจิ้งและจางเหมี่ยวลี่ว่าหลังจากสถาณการณ์ที่นี่สงบเรียบร้อยแล้วก็ให้รีบตามกลับไปในภายหลังในยามนี้ เจี่ยงหร่านกำลังควบม้าเคียงข้างเซียวจิ้ง โดยมีเจี่ยงเฮ่าควบม้าตามหลังพร้อมกับสวีเฉินที่ติดตามมาด้วย เขาบอกว่าจะพานางมาดูสถานที่แห่งหนึ่ง แรกเริ่มเจี่ยงหร่านยังไม่เข้าใจ จนกระทั่งได้เห็นหลุมศพหลายหลุมตรงหน้า นางก็ถึงกับปล่อยโฮออกมาสวีเฉินเป็นคนฝังศพคนในตระกูลเจี่ยง เขาเขียนชื่อและทำสัญลักษณ์เอาไว้ จึงจำได้ว่าหลุมใดคือหลุมศพของแม่ทัพใหญ่เจี่ยง เขาขออภัยเจี่ยงหร่านที่ศพอื่นเขาไม่ได้ทำสัญลักษณ์เอาไว้ เพราเขาไม่เคยเห็นหน้าคนอื

  • ยอดบุปผาโฉมสะคราญ   บทที่ 42 จัดการคน(เคยรัก)ที่แสนชั่วช้า

    กองทัพแคว้นซ่งพ่ายแพ้อย่างราบคาบ บรรดาเหล่าทหารที่ไม่ถูกฆ่าตายล้วนถูกจับเป็นเชลย แม้แต่ฉู่อี้เฉินยามนี้ก็ถูกลากตัวมาขังเอาไว้ในคุกที่เมืองสืออี้ชายแดนแคว้นฟงหลิง เขาตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ไม่คาดคิดว่าตนเองจะพ่ายแพ้ได้เช่นนี้เจี่ยงหร่านรีบเข้าไปประคองเซียวจิ้งที่ร่างกายเต็มไปด้วยคราบโลหิตของผู้อื่น เขาหันมายิ้มให้นางอย่างภูมิอกภูมิใจ"ฝีมือยิงธนูของเจ้ายอดเยี่ยมมาก"เจี่ยงหร่านส่งยิ้มให้เซียวจิ้ง นางใช้มือเช็ดเหงื่อบนใบหน้าให้เขาอย่างอ่อนโยน ก่อนหน้านี้นางและเขาวางแผนเอาไว้ว่า เขาจะออกไปรบ ส่วนนางคอยดูสถานการณ์อยู่ด้านบน คอยหาจุดพลิกผันของฉู่อี้เฉินจากนั้นก็จัดการทันที หากผู้นำทัพล้ม แน่นอนว่าทั้งกองทัพย่อมย่อยยับไม่มีชิ้นดีเมื่อกลับเข้ามาในเมืองแล้ว นางก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และสั่งให้คนจัดการดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บให้ดี แล้วเดินเข้ามาหาเซียวจิ้งที่นั่งอยู่ในห้องพัก ชายหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เขาได้รับบาดเจ็บที่แขนเล็กน้อยเท่านั้น"เซียวจิ้ง ท่านไหวหรือไม่"เซียวจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา"ย่อมต้องไหวอยู่แล้ว เราออกไปดูสถานการณ์ข้างนอกกันเถิด""อืม"เจี่ยงหร่านพยักหน้าเดิน

  • ยอดบุปผาโฉมสะคราญ   บทที่ 41 กลยุทธ์ลดทอนกำลังทหาร

    นับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับบิดา ฟ่านเหยาไม่เคยนอนหลับสนิทได้เลยสักคืน ทุกครั้งที่นางหลับตาลงมักจะฝันเห็นว่าบิดาร้องขอความช่วยเหลือจากนาง ได้ยินเสียงฟ่านเยียนญาติผู้พี่ กำลังดิ้นรนด้วยความทุกข์ทรมาน พร้อมกับร่ำร้องขอให้นางช่วย นานวันเข้าฟ่านเหยาร่างกายก็ย่ำแย่ลง จากที่เคยงดงามเฉิดฉาย แต่เวลานี้ใบหน้าซูบตอบผอมแห้งราวกับคนป่วยหนักที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ นางฝันเห็นเจี่ยงหร่าน ฝันว่าสตรีผู้นั้นเดินเข้ามาบีบปลายคางของนางและกระซิบว่า บุตรของนางยามนี้กำลังไปคอยรับใช้บุตรเจี่ยงหร่านในปรโลกแล้ว และยังบอกอีกว่านับแต่นี้นางอย่าได้ฝันว่าจะสามารถตั้งครรภ์ได้อีกชั่วชีวิต!ครั้งแรกฝันเช่นนี้ฟ่านเหยาด่าทอสาปแช่งเจี่ยงหร่านอย่างเกลียดชัง แต่เมื่อนานวันเข้าความกลัวเริ่มกัดกินจิตใจของนาง ฟ่านเหยาหวาดระแวงไม่กล้าอยู่คนเดียวต้องใช้ชีวิตอยู่บนความทุกข์ราวกับคนตายทั้งเป็นระยะหลังมานี้ไม่รู้เพราะเหตุใด นางกับฉู่อี้เฉินจากแต่ก่อนที่เคยรักกันหวานซึ้ง ตอนนี้กลับทะเลาะกันทุกวัน เขาเอาแต่ตะโกนเรียกหาเจี่ยงหร่านนางแพศยานั่น อีกทั้งยังถามนางว่าตระกูลฟ่านคิดไม่ซื่อกับเขาจริงหรือไม่ เขาถามนางซ้ำๆ อยู่เช่นนั้นราวกับค

  • ยอดบุปผาโฉมสะคราญ   บทที่ 40 หลุมศพ

    หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เซียวจิ้งและเจี่ยงหรานรวมถึงเจี่ยงเฮ่าก็เร่งเดินทางข้ามเขตชายแดนในทันที เจี่ยงเฮ่านั้นก่อนหน้านี้เจี่ยงหร่านไม่อยากให้เขาติดตามมาด้วย เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายที่คาดไม่ถึง ทว่าเจี่ยงเฮ่ากลับลอบปะปนมากับกองทัพทหาร ด้วยเวลานี้อาการบาดเจ็บที่ขาของเขาเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว แต่เพราะเดินทางมาไกลจึงทำให้อาการกำเริบขึ้น แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงเท่าใดนักเจี่ยงหร่านในเวลานี้กำลังยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ ดวงตาคู่สวยจ้องมองไปยังเบื้องหน้าด้วยแววตาที่ราบเรียบ สายลมพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของนางเป็นระยะตอนนี้นางสังหารพวกมันไปสองคนแล้ว หากบอกว่าการที่ฟ่านเยียนตายคือพายุลูกแรกที่สร้างผลกระทบต่อแคว้นซ่ง การตายของราชครูฟ่านก็เปรียบได้กับคลื่นยักษ์ที่สาดซัดเข้าสู่แคว้นซ่ง คนสำคัญที่เป็นคนคอยชี้แนะฉู่อี้เฉินและสนับสนุนเขายามนี้ตายแล้ว ย่อมทำให้เหล่าบรรดาแม่ทัพทหารแคว้นซ่งและขุนนางในราชสำนักหวาดหวั่นพรั่นพรึงไม่น้อยและยังส่งผลทำให้บัลลังก์มังกรของฉู่อี้เฉินสั่นคลอนเป็นอย่างยิ่งในขณะที่นางกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย ฉับพลันก็มีซาลาเปาลูกหนึ่งยื่นมาตรงหน้าของนาง เมื่อนางหันไปมองก็ยิ้มออก

  • ยอดบุปผาโฉมสะคราญ   บทที่ 39 ส่งมอบของขวัญ

    ราชครูฟ่านถูกจับตัวเอาไว้ เหล่าผู้ติดตามก็ถูกรวบตัวไว้ทั้งหมดเช่นเดียวกัน พวกเขาบางส่วนที่คิดขัดขืนล้วนถูกทุบตีจนไร้ทางสู้ ราชครูฟ่านเงยหน้ามามองเจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่ ด่าทอด้วยความโกรธเกรี้ยว"นังแพศยา เป็นเจ้าใช่หรือไม่ที่สังหารหลานชายของข้า วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าเอง"เมื่อถูกจับได้แล้วก็ย่อมไม่จำเป็นต้องรักษาท่าทีอีกต่อไป เขาพ่นคำหยาบสารพัด ด่าทอทุกคนไม่เหลือท่าทีของราชครูผู้สูงส่ง เช่นในกาลก่อนอีกแล้ว เจี่ยงหร่านยิ้มตาหยี กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงที่เยาะหยัน"ใจเย็นๆ สิราชครูฟ่าน ท่านทำแบบนี้เท่ากับไม่รักษาหน้าตาของตนเลย ท่านเป็นถึงราชครูฟ่านผู้ขาวสะอาดดุจเทพเซียนของแคว้นซ่งเชียวนะ ทำเช่นนี้น่าอับอายจริงเชียว"ราชครูฟ่านเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง นางรู้ได้อย่างไรว่ายามอยู่ที่แคว้นซ่ง เขาได้รับฉายาว่าบัณฑิตผู้สูงส่งขาวสะอาดดุจเทพเซียนด้วยเหตุนี้ราชครูฟ่านจ้องมองดูหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว ทว่านางกลับยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนอ่อนโยนเสียจนน่าขนลุก!คนทั้งหมดถูกจับตัวเอาไว้ ส่วนหลี่ฟางนั้นยามนี้ถูกพาตัวมาไต่สวนในวังหลวง อย่างไรนางก็ได้ชื่อว่าเป็นพระชายาเอกของชินอ

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status