ชายผู้นี้ไร้เหตุผลนัก“เสด็จพี่ ชิงยวนก็แค่…” ฟู่อวิ๋นโจวกำลังจะเอ่ยปากฟู่เฉินหวนมองเขาสายตาเย็นเยียบ น้ำเสียงของเขาก็หนาวเยือกไปถึงกระดูก “ลั่วชิงยวนเองก็แต่งงานเข้าตำหนักอ๋องมานานแล้ว เหตุใดองค์ชายห้าถึงยังไม่เปลี่ยนใจ? คำว่าชายาอ๋องและคำว่าพระชายานั้น ท่านอาจารย์ลืมสอนสั่งสองคำนี้กับองค์ชายห้าหรือ?”น้ำเสียงเย็นนั้นแฝงแววข่มขู่และสีหน้าฟู่อวิ๋นโจวก็ซีดเผือดเขาก้มหน้าลงด้วยความหวาดกลัว “พ่ะย่ะค่ะ อวิ๋นโจวจะฟังคำสั่งสอนของท่านอ๋อง”ลั่วชิงดวยดูไม่มีปัญหาอะไรกับการที่องค์ชายห้าเรียกนางด้วยชื่ออย่างสนิทสนม“หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวไปก่อน” นางยังร้อนใจอยากจะไปหาฉินไป๋หลี่แต่ใบหน้าฟู่เฉินหวนกลับบิดเบี้ยวน่ากลัว เขาตวาดเสียงแข็ง “จากวันนี้เป็นต้นไป เจ้ามิได้รับอนุญาตให้ออกไปไหน”“ในฐานะพระชายา เจ้าเตร็ดเตร่ไปมาในเมืองทั้งวันวี่ สร้างเรื่องให้ผู้คนพูดกันไม่หยุดหย่อน จากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องอยู่แต่ในตำหนักทบทวนความผิดของตัวเจ้า เจ้ามิอาจออกไปนอกตำหนักได้โดยไม่ได้รับคำอนุญาตจากข้า”ลั่วชิงยวนตะลึง “ฟู่เฉินหวน ไยท่านถึงได้เสียสตินัก? หม่อมฉันไปยั่วโทสะท่านเมื่อใดรึ? ท่านมิได้รั
เด็กที่แทบไม่พูดเลยนั้นกลับพูดขึ้นมาเป็นครั้งแรกเมื่อได้ยินแล้วก็เศร้าโศกยิ่งนักเวินซีหลานปลอบ “ไม่หรอก ท่านพ่อไม่ลืมพวกเรา”ลั่วชิงยวนดูเคร่งขรึม หากว่าตอนนี้นางออกไปด้านนอกมิได้ ส่วนฉินไป๋หลี่เองก็เข้ามามิได้เป็นแน่สถานการณ์พลันหยุดนิ่ง ณ จุดนี้“พวกเจ้าอดทนรอสักสองสามวัน วันนี้ฉินไป๋หลี่มาแล้ว วันนี้เขารีบร้อนมา เขาต้องคิดถึงพวกเจ้าแล้วอยากหาความจริงเป็นแน่”“เขาจะมาอีกแน่ ข้าจะให้พวกเจ้าได้พบ”ลั่วชิงยวนพูดอย่างมุ่งมั่นเวินซีหลายพยักหน้า “ขอบคุณมากเจ้าค่ะ”เมื่อพูดไปเช่นนี้ลั่วชิงยวนก็ไม่กล้าฝากความหวังไว้กับความกระตือรือร้นของฉินไป๋หลี่ว่าจะมาที่หน้าตำหนักเอง นางจะพยายามโน้มน้าวให้แม่นมเติ้งมาร่วมมือกับนางเพื่อหนีไปจากตำหนักแอบออกทางประตูหลังปีนกำแพงสวนออกไปกลางดึกนางลองทำทุกทางแต่ไม่ว่าวิธีไหนก็ล้มเหลวเพราะว่าเซียวชูนั้นลอบจับตามองนางอยู่ และทุกครั้งที่นางต้องการหนี องครักษ์ของตำหนักก็จะมาพาตัวนางกลับไปเพราะแบบนี้ ลั่วชิงยวนจึงล้มเลิกความคิดที่จะหนีออกจากตำหนักนางนั้นเบื่อมาก แล้วทำได้เพียงขอให้องครักษ์ในตำหนักอ๋องนำหุ่นไม้มาตั้งไว้ให้นางในเรือนสองสามตั
”หุบปาก” ฉินไป๋หลี่ตะโกนอย่างโมโหแต่เสียงตวาดของเขาไม่อาจหยุดหลิวฮุ่ยเซียงได้ตอนนั้นเองก็มีเสียงเย็นเยียบดังขึ้น…“หลิวฮุ่ยเซียง ข้าคิดว่าเจ้าช่างไม่รู้ตัวเองเลย เจ้าต่างหากที่ตายแล้วต้องโดนดึงลิ้นแล้วลงกระทะทองแดงมิใช่รึ?”ลั่วชิงยวนเปิดประตูและเดินออกมาอย่างไม่หวั่นกลัว ความสงบนิ่งของนางยามที่เผชิญเรื่องอันตรายนั้นมั่นคงดุจเขาไท่ซานหลิวฮุ่ยเซียงตะลึงไป นางโมโหมากและรีบพุ่งเข้าไป “ลั่วชิงยวน เจ้าใช้อาคมอะไรล่อลวงสามีข้า ข้าจะสู้ตายกับเจ้า”ฉินไป๋หลี่หยุดนางไว้ เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาปูดโปนพร้อมคำรามว่า “หลิวฮุ่ยเซียง ข้าบอกว่าให้พอ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพระชายา เจ้าบ้าหรือไร?”หลิวฮุ่ยเซียงทรุดฮวบพร้อมคร่ำครวญอย่างสิ้นหวัง ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิงและนางก็ตื่นตระหนกมาก“จักไม่เกี่ยวกับนางได้อย่างไร? แล้วข้าล่ะ? ข้านั้นเจ็บหนักเจียนตายแต่ท่านกลับมาหานางทุกวัน ท่านมิได้โดนนางแย่งไปแล้วหรอกหรือ? นี่มันเรื่องอันใดกัน ข้าเป็นภรรยาของท่านมิใช่รึ”หลิวฮุ่ยเซียงหวาดกลัว นางกลัวมากนางกลัวว่าฉินไป๋หลี่จะรู้เรื่องการตายของเวินซีหลาน หลังจากที่พบกับลั่วชิงยวนเขาจะเริ่มสืบหาเรื่องเกี่ยวก
เสียงนั้นมาจากชายวัยกลางคนที่สวมชุดเกราะอ่อนเดินช้า ๆ เข้ามาหา ใบหน้าของเขาดูสูงส่งและหนักแน่น“ท่านพ่อ เหตุใดท่านมาอยู่ที่นี่?” ฉินไป๋หลี่ตกใจกลายเป็นว่าคนผู้นี้ก็คือแม่ทัพใหญ่ฉินบิดาแท้ ๆ ของฉินไป๋หลี่แม่ทัพฉินมองฉินไป๋หลี่ด้วยสีหน้ามืดครึ้ม “เจ้าเสียเวลาตามหาสตรีผู้นั้นอยู่นานหลายปี แล้วตอนนี้เจ้าก็มีเสียสติไปเพราะคำพูดไม่กี่คำของลั่วชิงยวน เจ้ามันไร้ประโยชน์นัก”“เจ้าจะมัวติดอยู่กับอดีตมิได้ เจ้าต้องเดินหน้าต่อไป บัดนี้ฮุ่ยเซียงคือภรรยาของเจ้า ภรรยาเพียงคนเดียว”“เจ้าถึงกับทิ้งนางที่ป่วยหนักเพื่อมาหาลั่วชิงยวน สตรีผู้นี้ป้อนเรื่องไร้สาระอันใดให้เจ้ากัน?”เมื่อได้ยินคำพูดของแม่ทัพใหญ่ฉิน ลั่วชิงยวนก็อดนิ่วหน้ามิได้ฉินไป๋หลี่เถียง “ท่านพ่อ ข้าก็แค่อยากรู้ความจริงเรื่องการจากไปของซีหลาน หากว่านางโดนคนที่นางหนีตามไปทำร้ายแล้วข้าจะปล่อยเรื่องนี้ไปได้อย่างไร”“ถึงนางจะตายแล้ว ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า” แม่ทัพใหญ่ฉินตวาดเสียวเข้มจากนั้นเขาก็มองลั่วชิงยวนและพูดอย่างไม่พอใจว่า “ในเมื่อพระชายาสมรสกับท่านอ๋องแล้ว นางก็ต้องทำตามจรรยาสตรี มิอาจเที่ยวเตร่ไปมาข้างนอกได้ เพราะอาจจะทำให
ลั่วชิงยวนอยากจะนำมาให้เขาดู เพราะอย่างไรนางก็นำภาพหญิงงามซีหลานมาด้วยแต่ว่า….บนร่างฉินไป๋หลี่มียันต์อยู่ ฉินชิงไห่เองก็เช่นกัน ดังนั้นเวินซีหลานจึงออกไปจากรูปสาวงามนานแล้วและอยู่ที่เรือนห่างออกไป มิกล้าที่จะเข้ามาใกล้สักนิดหากนำรูปนี้ออกมาให้ฉินไป๋หลี่ได้ชมแล้วมันดูไม่เหมือนตัวจริง เขาต้องผิดหวังอย่างมากและตัดใจไม่กลับมาอีกดังนั้นจึงไม่อาจเอารูปออกมาให้เขาดูได้ตอนนั้นเองก็มีคนอีกผู้หนึ่งที่ร้อนใจยิ่งกว่านาง หลิวฮุ่ยเซียงรีบพุ่งเข้ามาหาอย่างคลุ้มคลั่ง “ลั่วชิงยวน เจ้าวางยาสามีข้าใช่หรือไม่?”หลิวฮุ่ยเซียงเสียสติไปแล้ว นางพุ่งเข้าไปหมายคว้าคอเสื้อลั่วชิงยวนฟู่เฉินหวนดวงตาเย็นเฉียบ เขาคว้าแขนหลิวฮุ่ยเซียงและเหวี่ยงนางออกไปเขามองแม่ทัพใหญ่ฉินสายตาคมปลาบ “แม่ทัพใหญ่ฉินตั้งใจจะให้สตรีบ้าผู้นี้มาสร้างความร้าวฉานระหว่างเราทั้งสองจวนรึ?”แม่ทัพฉินโมโหลั่วชิงยวนและฟู่เฉินหวนมาก เขามองสภาพคลุ้มคลั่งของหลิวฮุ่ยเซียงและรู้สึกอับอายเขาตวาดเสียงดังว่า “หากอยากก่อเรื่องก็ไปทำที่จวน เจ้าจะสร้างปัญหาที่นี่อีกแค่ไหนถึงจะหยุด?”หลิวฮุ่ยเซียงทรุดฮวบลงคุกเข่า นางโขกหัวคำนับให้ลั่วชิงยวนอ
”แม่นางหลิวจู่ ๆ ก็มากล่าวหาข้า หาว่าข้าล่อลวงคุณชายฉิน และคุณชายฉินเองก็พูดตลอดว่าเขามาที่นี่เพื่อภาพหญิงงามซีหลาน สรุปได้ว่าปัญหาทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพราะภาพหญิงงามซีหลาน”“วันนั้นที่หอเริงรมย์ก็เป็นเจ้าที่คิดจะประชันฝีมือวาดภาพกับข้า หากข้ารู้ว่าแม่นางหลิวมิอาจยอมรับความพ่ายแพ้ได้ ข้าก็คงจะมิวาดภาพหญิงงามซีหลานขึ้นมา”“วันนี้เจ้ายังมากล่าวหาว่า ข้านั้นล่อลวงสามีของเจ้าและใส่ร้ายข้ามากมาย ความคิดของแม่นางหลิวนั้นไม่เรียบง่ายเลยจริง ๆ”“ข้ามิสนใจหรอกหากว่าเจ้าทำให้ข้าต้องเสียชื่อเสียง แต่ข้ามิอาจปล่อยให้เจ้าทำให้ท่านอ๋องต้องเสียชื่อได้”“วันนี้ข้าขอสัญญากับเจ้าเลยว่า ชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่วาดภาพอีก ภาพหญิงงามซีหลานนั้นจะเป็นภาพสุดท้ายของข้า เช่นนี้แม่นางหลิวจะปล่อยข้าไปได้หรือยัง?”ใครจะไปแสร้งเป็นอ่อนแอและร้องไห้อย่างน่าสมเพชกัน?ทันทีที่ลั่วชิงยวนเอ่ยออกมา ลมก็เปลี่ยนทิศทันที บรรดาคนที่วิจารณ์อยู่รอบตัวต่างก็เปลี่ยนหัวข้อ“นางจะไม่วาดรูปอีกแล้วในชีวิตนี้งั้นหรือ? วันนั้นข้าเห็นที่หอเริงรมย์ ผู้คนต่างก็ชื่นชมทักษะการวาดภาพที่ล้ำเลิศของพระชายา นางนั้นวาดคนได้เหมือนมีชีวิต หากว่านา
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ลั่วอวิ๋นสี่ก็โมโหมากเสียจนกระทืบเท้าเดินจากไปหลังจากทุกคนจากไปแล้ว ซูโหยวก็รีบสั่งทหารยามให้ไล่ชาวบ้านที่มามุงอยู่ไปฟู่เฉินหวนมองลั่วชิงยวนสายตาลึกล้ำและตะลึงมาก การที่สามารถนิ่งสงบได้ทั้งที่โดนแม่ทัพใหญ่ฉินตั้งคำถามคาดคั้นอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องที่สตรีทั่วไปทำได้ วันนี้ลั่วชิงยวนน่าประทับใจยิ่งตอนนั้นเองลั่วขิงยวนประทับใจกับฉากที่เห็นภายในประตูตำหนักอ๋องเวินซีหลานอุ้มลูกชายของนางที่กำลังร้องไห้เสียงดังไว้“ท่านพ่อไปแล้ว… ท่านแม่ ท่านพ่อไม่ต้องการพวกเราอีกแล้ว…”เวินซีหลานดวงตาแดงก่ำและมีน้ำตาเอ่อคลอ นางปลอบบุตร “ไม่หรอก ท่านพ่อของเจ้ามิใช่ไม่ต้องการพวกเรา เขาก็แค่มองไม่เห็นพวกเราเท่านั้น”เด็กน้อยยิ่งร้องไห้หนักขึ้น “หากว่าเขาต้องการตามหาพวกเราจริง ไยเขาถึงได้พกของมีประกายเช่นนั้น? เขาไม่อยากให้พวกเราเข้าใกล้”“ท่านแม่ ท่านคิดว่าท่านพ่ออยากจะมีลูกกับสตรีคนนั้นแล้วไม่ต้องการเราอีกแล้วหรือไม่ ท่านปู่เองก็ไม่ต้องการพวกเราเหมือนกัน…”ฉินเยี่ยนเอ๋อร์ร้องไห้อย่างเศร้าโศก เขารู้สึกปวดใจมากใช่แล้ว หากฉินไป๋หลี่ไม่ได้พกยันต์นั่น เวินซีหลานและบุตรชายของนางก็ส
นางเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ลั่วชิงยวนโดนหลิงฮุ่ยเซียงว่าร้าย ข่าวลือพวกนั้นจะทำให้สถานการณ์ของลั่วชิงยวนยิ่งยากลำบากนางนั้นซาบซึ้งกับความช่วยเหลือของลั่วชิงยวนมาก และนางก็ไม่อยากจะลากลั่วชิงยวนให้เดือดร้อนเพราะเรื่องของตนลั่วชิงยวนตกใจเมื่อจู่ ๆ เวินซีหลานก็พูดออกมาเช่นนั้น “อะไรนะ? เท่านี้หรือ? เจ้าไม่ต้องการพบฉินไป๋หลี่แล้วหรือ?”เวินซีหลานสะอื้นและบอกว่า “มันไม่มีประโยชน์ หากว่าเขาเห็นข้าแล้วจะเป็นเช่นไร? อย่างมากเขาก็เพียงทอดทิ้งหลิวฮุ่ยเซียง นางเป็นบุตรสาวของเจ้ากรม จึงเป็นไปมิได้ที่เขาจะฆ่านางล้างแค้นให้ข้า”“ส่วนเราแม่ลูก ก็ยังต้องแยกจากเขาเพราะความต่างของหยินและหยาง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนย้อนกลับไปแก้ไขมิได้แล้ว”“วันนี้ท่านล่วงเกินแม่ทัพฉิน ต่อไปชีวิตของท่านต้องยากลำบากแน่ ข้าไม่อยากทำให้ท่านต้องเดือดร้อน”“ข้าจะพาลูกจากไปจากที่นี่”เวินซีหลานคิดเรื่องนี้มาแล้ว นางไม่อยากอยู่พัวพันต่อไปแต่ลั่วชิงยวนนิ่วหน้าและบอกว่า “ไม่ เจ้ายอมแพ้ไม่ได้”“เจ้ารู้สึกหมดหวังหลังจากที่ได้เห็นเรื่องวันนี้ แต่ข้ากลับเห็นว่ามันจะเป็นจุดเปลี่ยน เจ้าเชื่อข้าเถอะ เพียงแค่ต้องอดทนรอเท่
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน