บทที่ 2
ห้องโถงใหญ่ที่ตกแต่งด้วยผ้าปักอักษรจีนที่ดูเหมือนยันต์ยากจะอ่าน และกลิ่นของกำยานที่ค่อนข้างเฉพาะตัวทำให้ใครก็ตามที่เข้ามาหาซินแสเฒ่าในที่แห่งนี้ก็มักจะมีกลิ่นประหลาดนี่ติดตัวออกไป
และมันก็เป็นสิ่งที่โจวอี้หลงไม่ชอบเลยสักนิด เขามองไปทั่ว ๆ และพบกับซินแสเฒ่านั่งลูบเคราอยู่หลังโต๊ะไม้ใหญ่กลางห้อง
ใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา และเพียงแค่สบตากับโจวอี้หลงเครานั่นก็ขยับเหมือนว่าเจ้าตัวกำลังยกยิ้ม มือที่แห้งเหี่ยวตามกาลเวลาหยิบแผ่นดวงชะตาของอี้หลงไปดู
โจวอี้หลงมองมารดาของตัวเองที่นั่งอยู่เคียงข้างบิดาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย เขารู้ว่าแม่ของเขาเชื่อถือซินแสคนนี้มาก เขาก็ได้แต่หวังว่าซินแสผู้นี้จะไม่พูดอะไรแปลก ๆ จนทำให้ชีวิตของเขาวุ่นวาย เด็กหนุ่มส่ายหน้าน้อย ๆ อย่างเหนื่อยใจก่อนจะกลับไปนั่งนิ่งสงบเสงี่ยมตามเดิม
แม้จะอายุเพียงแค่สิบสามปี แต่คุณชายโจวคนนี้ก็ทำตัวราวกับบิดา เขานั่งหลังตรง หน้าตาที่ควรจะยิ้มแย้มสมวัยกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น สายตาของเด็กชายมองทุกอย่างด้วยแววตาเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่น
มิเพียงแค่ท่าทางที่ไม่สมวัย แต่รูปร่างสูงโปร่งของเขาก็ดูจะเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ อีกทั้งยังแข็งแรงและก็เคร่งขรึมกว่าคนในช่วงอายุเดียวกัน
คงเป็นเพราะวัน ๆ อี้หลงมักจะฝึกฝนตนเองตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบู๊หรือบุ๋น และถึงแม้ว่าเขาจะเอาแต่ฝึกกลางแดด ตากลม ตากฝน หรือแม้แต่หิมะ แต่ผิวของชายหนุ่มก็ยังดูขาวละเอียดสมวัย นี่คงเป็นอย่างเดียวที่บอกให้รู้ว่าเขาอายุเพียงสิบสามปีเท่านั้น
หากจะว่าไป คุณชายโจวคนนี้ก็ถือได้ว่าเป็นคนหน้าตาดี กรอบหน้าชัด จมูกโด่งและริมฝีปากบางที่มักจะเม้มแน่นไม่ค่อยแสดงความรู้สึกใด ๆ แต่ไม่ใช่กับตอนนี้ที่มันดูคว่ำลงเล็กน้อยราวกับไม่พอใจอะไรบางอย่าง
“ดวงชะตาของคุณชายโจว เด่นในเรื่องความแข็งแกร่งและสติปัญญา หากได้สู้รบย่อมมีวาสนาใหญ่ แต่มันก็เสี่ยงอยู่บ้าง...หากอยากจะแน่ใจว่าชีวิตของเขาจะปลอดภัย กลับมาโดยไม่บุบสลาย จำต้องมีการผูกดวงไว้กับคู่ชีวิต”
โจวอี้หลงนิ่งไปชั่วครู่หากเขาโตกว่านี้ คงจะลุกขึ้นแล้วเอ่ยถามกับซินแสไปแล้วว่านั่นมันคำทำนายประเภทใดกัน แต่เพราะเขาถูกสอนมาอย่างดีจึงไม่อาจจะทำแบบนั้นได้
“ผูกดวงเอาไว้กับคู่ชีวิตหรือเจ้าคะ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าคู่ชีวิตของเขาคือใครกัน” โจวหยางเฉิงส่ายหัวให้กับท่าทางของภรรยาของเขา ชายมีอายุเอื้อมมือไปจับแขนของนางเอาไว้แน่นแต่อีกฝ่ายกลับสะบัดออกเบา ๆ แล้วเอ่ยถามกับซินแสต่อ “ว่าอย่างไรเจ้าคะ”
ซินแสเหลือบตามองโจวอี้หลงก่อนเอ่ยต่อ
“คู่ชีวิตที่เหมาะสมต้องเป็นผู้ที่เกิดปีกระต่าย เดือนเจีย ข้างขึ้น ผิวขาวเนียนละมุน ริมฝีปากอิ่ม ปลายคางมน ได้ลักษณะสมดุลแห่งดวงชะตา หากได้หมั้นหมายไว้ จะกลายเป็นยันต์คุ้มภัยให้คุณชายโจวท่านนี้กลับมาอย่างปลอดภัย เพราะวาสนาของทั้งสองมีสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันมาหลายชาติภพ หากอีกฝ่ายอยู่ดี บุตรชายของท่านก็จะอยู่ดี”
ซ่งอวี้หลินฟังแล้วก็ฮึกเหิมขึ้นมาทันที “เช่นนั้นข้าจะไปตามหาสตรีผู้นั้นได้จากที่ไหนกันล่ะเจ้าคะ มีเวลาไม่มากแล้วด้วย”
“หลินเอ๋อร์” แม่ทัพโจวเสียงเข้ม คิ้วของเขาขมวดแน่น “เจ้า...จะทำเช่นนี้จริง ๆ น่ะหรือ การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่นะ”
“ท่านพี่ อย่าขัดข้าสิเจ้าคะ หากมันช่วยให้อี้หลงปลอดภัยกลับมาได้ ข้าก็ยินดีทำทุกวิถีทาง แม้กระทั่งจับเขาหมั้นก็ตาม” ซ่งอวี้หลินเถียงสามี นางมองตาอีกฝ่ายอย่างมุ่งมั่น บางเรื่องนางขัดเขาไม่ได้ แต่เรื่องนี้อีกฝ่ายก็ขัดนางไม่ได้เช่นเดียวกัน
“ข้าไม่อยากแต่งนะท่านแม่” โจวอี้หลงพูดขึ้นบ้างเมื่อเห็นว่าบิดาสู้มารดาไม่ได้แล้ว “รบแพ้ชนะมิได้อยู่ที่ดวงแต่อยู่ที่ฝีมือ ท่านแม่เชื่อข้าเถอะเราไม่ต้องทำอะไรหรอก”
“อี้หลง ลูกยังไม่เข้าใจ” ซ่งอวี้หลินตอบบุตรชาย “แม้ว่านี่จะฟังดูเห็นแก่ตัวแต่เจ้ารู้เอาไว้เถอะว่ามันมิใช่เพื่อลูกคนเดียว แต่ที่ต้องทำก็เพื่อความสบายใจของแม่ด้วย”
โจวหยางเฉิงเห็นท่าทางที่อึ้งไปของบุตรชายและสายตาที่จริงจังของภรรยาก็ถอนหายใจหนัก
“เช่นนั้น ก็ทำตามที่เจ้าต้องการเถิด หลินเอ๋อร์ แต่ข้าอยากให้เจ้ารอบคอบ นี่มิใช่เรื่องเล่น ๆ นั่นคือคู่ชีวิตในวันข้างหน้าของบุตรชายของเจ้าเลยนะ”
“ข้ามั่นใจเจ้าค่ะท่านพี่ ว่ามันจะเป็นทางเลือกที่ดีให้กับอี้หลง”
โจวอี้หลงได้ฟังคำของมารดาก็จำยอม แม้เขาจะไม่อยากจะหมั้นกับใครก็ไม่รู้
แต่หากมันทำให้มารดาของเขาอยู่ที่นี่ รอพวกเขากลับมาอย่างมีความหวังเขาก็จะยอม ไว้วันข้างหน้าค่อยถอนการหมั้นหมายนี้ก็ได้
แม้จะคิดอย่างนั้นแต่หลังจากกลับมาถึงจวนไม่ถึงหนึ่งก้านธูป บนโต๊ะไม้แกะสลักในห้องโถงกลางก็เต็มไปด้วยจดหมาย และข้อความสำหรับทำป้ายประกาศวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ซ่งอวี้หลินกำลังแจกจ่ายจดหมายและป้ายประกาศเหล่านั้นให้กับคนงานและสาวใช้ในบ้าน
“ประกาศไป หากผู้ใดรู้หรือพบเห็นเด็กสาวที่มีลักษณะตามที่อาจารย์ซินแสกล่าวไว้ ให้นำมาแจ้งให้เร็วที่สุด หากใช่คนที่พวกเรากำลังตามหาจริง ๆ จวนโจวจะมีรางวัลให้อย่างงาม”
บ่าวรับใช้ก้มหัวรับคำสั่งก่อนจะเร่งรีบเดินจากไป
บทที่ 5คหบดีหลี่และฮูหยินที่ยืนอยู่ข้างในจวนหันมองหน้ากันก่อนจะถอนหายใจออกมา แม้จะพยายามยิ้มแย้มแต่ใบหน้าพวกเขากลับเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ “เราควรทำอย่างไรดี” ฮูหยินหลี่ถามเสียงเบา สายตาจับจ้องไปยังขบวนสินสอดที่กำลังขนเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย พวกเขาไม่ได้ตื่นเต้นกับมูลค่าของมันเลยแม้แต่นิด เพราะตระกูลหลี่ก็เป็นหนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวย พวกเขาค้าขายได้ดี มีเงินทองมากมาย ร้านขายข้าวของพวกเขาก็เรียกได้ว่าเป็นร้านที่ขายได้ดีที่สุดในเมืองร้านหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงพ่อค้าคหบดีหลี่ถอนหายใจหนักอีกครั้งก่อนจะตอบกลับไปอย่างไร้หนทาง “เราไม่มีทางเลือกอื่น ขุนนางใหญ่โตอย่างตระกูลโจวจะทำอะไร ใครจะสามารถขัดขวางได้ ถ้าเราปฏิเสธ... พ่อค้าทุกคนในเมืองคงจะหันหน้าหนีไม่ทำการค้ากับพวกเรา ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องเป็นเรื่องแน่ ๆ เรื่องนี้ค่อยหาวิธีแก้ไขกันภายหลังก็แล้วกัน”ทั้งคู่ตกลงจะตามน้ำไปก่อนเพราะรู้ดีว่าพวกเขาไม่มีอำนาจมากพอที่จะต่อต้านตระกูลโจว ตระกูลแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ แม้ในใจจะไม่เต็มใจแต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมจำนนโดยมิได้รู้เลยว่าไม่ได้มีแต่พวกเขาที่ไม่ต้องการให้งานหมั้นหมายครั้งนี้เกิดขึ
บทที่ 4ซ่งอวี้หลินเดินเข้าไปในจวนหลี่พร้อมผู้ติดตาม เมื่อได้พบกับคหบดีหลี่ นางก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่ถึงกระนั้นก็แอบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาคาดคั้น“ข้ามาเพื่อไต่ถามเรื่องเวลาตกฟากของบุตรสาวคนเล็กของท่านคหบดีหลี่ ข้าทราบมาว่านางเกิดปีกระต่าย เดือนเจีย เพียงแต่วันนั้นคหบดีหลี่พอจะบอกความจริงแก่ข้าได้หรือไม่”คหบดีหลี่หายใจยาว เขาคิดอยู่แล้วว่าอาจจะมีวันนี้ ตั้งแต่ได้ยินข่าวคนตามหาเด็กสาวที่เกิดปีและเดือนเดียวกับลูกสาวของเขาตอนแรกไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นตามหาไปเพื่ออะไร และใครเป็นคนตามหา แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรเขาก็หวังว่าคงจะมีเด็กสักคนที่มีวันเดือนปีเกิดใกล้เคียงกับบุตรีของเขาแล้วเดี๋ยวเรื่องมันก็คงจะซาไปเอง แต่ดูเหมือนตอนนี้จะไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว ชายมีอายุหันไปมองภรรยาของเขาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ทั้งคู่สบตากันอย่างจำยอมก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ เพื่อตอบรับคำของฮูหยินของตระกูลโจว“บุตรีคนเล็กของข้า เกิดปีเถาะ เดือนเจีย วันขึ้น 8 ค่ำ ยามเหม่าขอรับ”ดวงตาของซ่งอวี้หลินสว่างวาบ นางยิ้มกว้างด้วยความดีใจ “เช่นนั้นข้าขอทำการสู่ขอและหมั้นหมายบุตรีของท่านกับบุตรชายของข้าโจวอี้หลงจะได้หรือไม่ อีกไม่เกินชั
บทที่ 3โจวหยางเฉิงที่เดินเข้ามาในห้องพร้อมบุตรชายทั้งสามก็ได้แต่มองภรรยาของตนแล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ “นี่เจ้าจะจริงจังกับเรื่องนี้มากเกินไปหรือเปล่า ข้ากับลูกจะต้องเดินทางอยู่อีกไม่กี่วันนี่แล้ว เจ้ายังจะวุ่นวายเรื่องนี้อยู่อีกหรือ”“ท่านพี่อย่ามาว่าราวกับข้าบกพร่องในหน้าที่นะเจ้าคะ ข้าวของเครื่องใช้ที่จะต้องเตรียมสำหรับการเดินทางของท่านพี่และลูกชายของเราข้าล้วนเตรียมเอาไว้เสร็จสิ้นแล้ว ยังไปช่วยสะใภ้ใหญ่ของเราจัดการของอี้เทียนแล้วด้วย เหลือเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่ข้าจะต้องทำเพื่ออี้หลง หากข้าไม่ทำอะไรเลย ข้าจะนอนหลับได้อย่างไร”“ท่านพ่อ ข้าว่าปล่อยให้ท่านแม่ทำเถอะ เพื่อความสบายใจของท่านแม่ ขนาดน้องเล็กยังไม่ขัดพวกเราก็ควรที่จะปล่อยให้ท่านแม่ทำไป” โจวอี้เทียนเอ่ยขึ้น แม้จะไม่ได้เห็นด้วยนัก แต่ก็ไม่อยากขัดใจผู้เป็นแม่ อี้เหวินและอี้หลงก็พยักหน้า โจวหยางเฉิงมองภรรยาและลูกชายก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง“ข้าจะไม่ขัดเจ้าก็แล้วกัน แต่ขอบอกให้เจ้ารู้เอาไว้ อีกสองวันข้ากับลูก ๆ ก็จะออกเดินทางไปที่ค่ายนอกเมืองเพื่อไปจัดเตรียมกองกำลัง มิได้อยู่รั้งรอในเมืองและไปพร้อมกับเสบียง หากเจ้าอยากทำอะไรก็ค
บทที่ 2ห้องโถงใหญ่ที่ตกแต่งด้วยผ้าปักอักษรจีนที่ดูเหมือนยันต์ยากจะอ่าน และกลิ่นของกำยานที่ค่อนข้างเฉพาะตัวทำให้ใครก็ตามที่เข้ามาหาซินแสเฒ่าในที่แห่งนี้ก็มักจะมีกลิ่นประหลาดนี่ติดตัวออกไปและมันก็เป็นสิ่งที่โจวอี้หลงไม่ชอบเลยสักนิด เขามองไปทั่ว ๆ และพบกับซินแสเฒ่านั่งลูบเคราอยู่หลังโต๊ะไม้ใหญ่กลางห้องใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา และเพียงแค่สบตากับโจวอี้หลงเครานั่นก็ขยับเหมือนว่าเจ้าตัวกำลังยกยิ้ม มือที่แห้งเหี่ยวตามกาลเวลาหยิบแผ่นดวงชะตาของอี้หลงไปดู โจวอี้หลงมองมารดาของตัวเองที่นั่งอยู่เคียงข้างบิดาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย เขารู้ว่าแม่ของเขาเชื่อถือซินแสคนนี้มาก เขาก็ได้แต่หวังว่าซินแสผู้นี้จะไม่พูดอะไรแปลก ๆ จนทำให้ชีวิตของเขาวุ่นวาย เด็กหนุ่มส่ายหน้าน้อย ๆ อย่างเหนื่อยใจก่อนจะกลับไปนั่งนิ่งสงบเสงี่ยมตามเดิมแม้จะอายุเพียงแค่สิบสามปี แต่คุณชายโจวคนนี้ก็ทำตัวราวกับบิดา เขานั่งหลังตรง หน้าตาที่ควรจะยิ้มแย้มสมวัยกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น สายตาของเด็กชายมองทุกอย่างด้วยแววตาเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นมิเพียงแค่ท่าทางที่ไม่สมวัย แต่รูปร่างสูงโปร่งของเขาก็ดูจะเป็นผู้ใหญ่ก
บทที่ 1เสียงฝีเท้าของแม่ทัพโจวดังก้องไปทั่วโถงทางเดินของตระกูลโจว หลังจากเขาไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเสร็จก็เร่งตรงกลับมาที่จวนเพราะรู้ว่าข่าวที่เขาจะต้องเปลี่ยนตัวกับแม่ทัพจางที่จะกลับมาจากชายแดนเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บคงถึงหูภรรยาที่รักแล้วเมื่อก้าวเข้าเรือนใหญ่ ซ่งอวี้หลินผู้เป็นภรรยาของเขาก็สะอื้นเสียงดังขึ้นจนแม่ทัพโจวต้องเร่งวางของทุกอย่างในมือและเข้าไปประคองนางหญิงสาวนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่บนเก้าอี้ไม้แกะสลักสีเข้ม ข้างกายมีผ้าเช็ดหน้าอีกสองผืนที่เปื้อนคราบน้ำตาแล้ววางเอาไว้ และในมือก็ยังมีอีกผืนราวกับจะบอกเขาว่านางนั่งร้องไห้เช่นนี้มานานหลายชั่วยามแล้ว เขากังวลใจที่ภรรยาที่รักจะเสียใจ แต่เพราะแต่งงานและอยู่ร่วมกันมานานหลายสิบปีจึงมองออกว่า ที่เป็นอยู่ฮูหยินของเขาคงแค่แสดงเพียงเท่านั้น ถึงกระนั้นเขาก็ต้องปลอบนางเหมือนทุกครั้งที่เขาและบุตรชายจะต้องออกไปรบ“หลินเอ๋อร์...มิใช่เจ้าก็รู้อยู่แล้วหรือว่า การแต่งเข้ามาในตระกูลโจวย่อมต้องเผชิญกับเรื่องเช่นนี้ ข้าเป็นแม่ทัพ ต่อไปบุตรชายของเราก็จักต้องเป็นมิต่าง วันนี้พวกเขาได้ออกศึกก็ถือเป็นการเรียนรู้” โจวหยางเฉิงอธิบายกับภรรยา แม้น้ำเสียงจะดูจ