Share

บทที่ 6

last update Last Updated: 2025-06-15 03:50:05

บทที่ 6

ผ่านไปห้าปีเต็ม ตั้งแต่โจวอี้หลงเข้าร่วมกองทัพในฐานะลูกชายของแม่ทัพใหญ่โจวหยางเฉิง เด็กหนุ่มผู้เคยอยู่ใต้เงาของบิดา วันนี้กลายเป็นนักรบที่บรรดาทหารทั้งกองทัพให้ความเชื่อมั่นและเชื่อใจ

ภายหลังจากที่บิดาของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสในศึกใหญ่เมื่อปีก่อน โจวอี้เทียน และโจวอี้เหวินที่เป็นรองแม่ทัพก็อารักขาพาบิดากลับไปรักษาตัวที่เมืองหลวง

โจวอี้หลงได้รับมอบหมายให้เป็นแม่ทัพแทนชั่วคราว แม้จะอายุน้อยแต่ชื่อเสียงจากชัยชนะนับครั้งไม่ถ้วนของเขาทำให้ทหารทั้งหลายไม่มีใครกังขาทั้งยังยินดีที่เป็นเขาอีกด้วย

ความเก่งกาจของโจวอี้หลงพูดถึงไปทั่วทั้งแคว้น ทุกคนล้วนยินดี อาจจะมีแค่คนเดียวเท่านั้นที่ดูจะไม่พอใจ

“ว่าที่คู่หมายของเจ้าได้ข่าวว่าขึ้นเป็นแม่ทัพแล้วนี่”

“ใครสนกัน เขากับข้าไม่เคยเจอกันสักครั้ง” หลี่หว่านเอ๋อร์ในวัยสิบสามปีคุยกับเพื่อนสนิทอย่างจูหลิง

แม้นางจะชอบมารดาของอีกฝ่าย ที่มักจะนำของมาฝากบ่อย ๆ แต่กับตัวคู่หมั้นนามว่าโจวอี้หลงนั้นหญิงสาวไม่ได้อยากเจอหน้าแม้เพียงนิด

ตอนนั้นที่มีการหมั้นหมายเป็นเพราะนางยังเด็กนักจึงไม่เข้าใจ แต่ยามนี้นางโตพอจะรับรู้ได้แล้วว่าการหมั้นหมายคืออะไร หากเป็นไปได้นางก็อยากให้เขามาขอถอน ๆ หมั้นไปซะ

ทางด้านโจวอี้หลงก็คิดไม่ต่างกัน ตลอดเวลาห้าปี นอกจากเรื่องความเป็นตายของพี่น้องทหารร่วมรบแล้วเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นอีก วัน ๆ ก็ต้องรบอยู่ในสนามรบ ยามนี้เขากลายเป็นหนุ่มเต็มตัว ท่าทางก็ดูสง่างามแต่เจ้าตัวกลับไม่ได้สนใจเรื่องรูปลักษณ์นัก

ดังเช่นตอนนี้ที่อี้หลงอยู่ในชุดเกราะเหล็กสีดำสนิทนั่งอยู่บนหลังม้า เส้นผมที่ยาวขึ้นถูกมัดรวบเอาไว้ส่ง ๆ ส่วนที่เหลือก็ปลิวไหวไปกับสายลม เขากระชับดาบในมือให้แน่นขึ้นอีก

ดาบเล่มนี้เคยใช้ปกป้องชีวิตของเขาและลูกน้องมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนและวันนี้ก็คงจะเป็นวันที่ชี้ชะตาสักที "พวกมันต้องการให้เรากลัว แต่เราไม่มีอะไรต้องกลัว" เสียงของเขาดังก้องไปทั่ว ทหารที่ได้ยินก็ยิ่งฮึกเหิมเพราะไม่เคยมีครั้งใดที่โจวอี้หลงนำทัพแล้วจะพ่ายแพ้

“เมื่อวานเราไม่แพ้วันนี้ก็เช่นกัน กองหน้า เตรียมธนู” โจวอี้หลงตะโกนคำสั่ง ดวงตาเหยี่ยวของเขาจับจ้องแนวหน้าของข้าศึกที่กำลังเคลื่อนพลเข้ามา

เมื่อข้าศึกมาถึงในระยะยิงเขาก็ส่งสัญญาณให้ยิงธนู ลูกธนูที่พุ่งออกจากคันไปปักที่กองหน้าของข้าศึกทำให้เกิดเสียงร้องดังระงมจากอีกฝั่ง

เมื่อถึงจุดที่ทำกับดักเอาไว้โจวอี้หลงก็ตวัดมือให้สัญญาณเหล่าทหารที่ซ่อนตัวอยู่ในหลุมลึกด้านข้างเข้าโจมตีศัตรูที่รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่

แนวหน้าของศัตรูที่บาดเจ็บหนักก็เริ่มกระจัดกระจายก่อนจะถูกเก็บกวาดในขั้นตอนสุดท้ายด้วยเหล่าทหารม้า

ภาพของกองหน้าที่ถูกโจมตีจนแตกพ่ายทำให้แม่ทัพอีกฝั่งไม่กล้าสั่งบุกเขามาอีก และยังสั่งให้ถอยทัพกลับไปยังค่าย

ปกติแล้วในครั้งก่อน ๆ อี้หลงมักจะปล่อยให้คนเหล่านั้นล่าถอยกลับค่ายไปโดยไม่ได้ทำอะไรทำให้ฝ่ายนั้นชะล่าใจไม่ได้หาทางป้องกัน

แต่ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ทำอย่างนั้น กองกำลังที่เหลือเข้าโอบล้อมศัตรูทั้งหมดและตีอีกฝ่ายจนถอยเข้าไปในค่ายของตน

เสียงดาบปะทะกันดังสะท้านไปทั่ว โจวอี้หลงนำพลทหารเข้าสู้ด้วยตัวเอง ดาบในมือฟาดฟันศัตรูตรงหน้าล้มลงไปคนแล้วคนเล่า

"ฆ่า ฆ่าพวกมันอย่าให้เหลือ" เสียงของโจวอี้หลงดังก้อง เขาปัดป้องดาบที่พุ่งเข้ามาหาตัวก่อนจะตวัดดาบสวนกลับอย่างเร็วเมื่อดาบศัตรูแตกออกเป็นสองท่อนเขาก็ยกดาบของตัวเองเตรียมฟาดลงไป

แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอย่างนั้นแม่ทัพของอีกฝั่งก็พุ่งเข้ามาขวางเอาไว้ แม่ทัพฝั่งนั้นยังคงอยู่บนหลังม้าต่างจากเขาที่ลงมารบที่พื้นแล้ว โจวอี้หลงหลบการโจมตีของหอกที่แทงเข้ามาก่อนจะคว้ามันเอาไว้แน่นเพื่อดึงให้ศัตรูตกลงมาจากหลังม้า

"ข้าคือแม่ทัพโจวอี้หลง หากเจ้าต้องการมีชัยในศึกนี้ก็เข้ามา แต่ถ้าทำไม่ได้เจ้าจะไม่มีหัวกลับไป" โจวอี้หลงประกาศท้าทายอีกฝ่าย

แม่ทัพของฝ่ายศัตรูถือตนว่าตัวใหญ่กว่าก็พุ่งเข้าใส่อี้หลงด้วยแรงมหาศาล เสียงโลหะกระทบกันดังลั่น แรงปะทะนั้นทำให้ดาบของทั้งสองสั่นสะเทือน แต่โจวอี้หลงไม่ถอยแม้ก้าวเดียว

เขาเบี่ยงตัวหลบและตวัดดาบสวนเข้าใส่ช่องว่างของเกราะศัตรู ดาบของเขาแทงทะลุเกราะตรงหน้าอกของอีกฝ่าย ก่อนที่อีกมือจะจับดาบของเจ้าตัวฟันหัวของแม่ทัพฝั่งศัตรูจนสิ้น

เสียงโห่ร้องดังขึ้นทั่วสนามรบ ในที่สุดการศึกกว่าห้าปีและเป็นศึกครั้งแรกของโจวอี้หลงก็จบลง ที่เขาทำทั้งหมดครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อตระกูลเพียงอย่างเดียว แต่ยังเพื่อสิ่งสำคัญที่สุดของตัวเขานั่นก็คืออิสระของตัวเอง

เมื่อสงครามยุติ เหลือเพียงแค่สนามรบที่เต็มไปด้วยร่างไร้วิญญาณและกลิ่นเลือด โจวอี้หลงยืนอยู่ท่ามกลางชัยชนะอีกครั้งและครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สำคัญที่สุด

"เก็บกวาดสนามรบ จัดการศพของทุกคนเป็นอย่างดี" ชายหนุ่มสั่งการด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบแม้แต่ในยามชนะโจวอี้หลงก็ไม่เคยประมาท

เพราะเขารู้ดีว่าภาระของแม่ทัพไม่ใช่เพียงแค่ชนะศึก แต่ยังต้องพาทุกคนกลับบ้านโดยปลอดภัย นั่นคือคำสัญญาที่เขามีใหักับทุกคนที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา เชื่อใจเขามาตั้งแต่ต้น

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ยามเมื่อใจ เพรียกหาเพียงเจ้า   บทที่ 7

    บทที่ 7โจวอี้หลงในชุดเกราะดำสนิทปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูวังหลวง เกราะที่ผ่านศึกมาอย่างโชกโชน มีร่องรอยของการขูดขีดและคราบเลือดเกาะติดอยู่อย่างชัดเจน แม้จะได้รับการขัดเช็ดจนสะอาดแต่ก็ยังสามารถมองเห็นประสบการณ์สุดสยองในสนามรบได้แต่ละย่างก้าวหนักแน่นและมั่นคง ชายหนุ่มก้าวเดินไปตามทางเดินในวังหลวง ไปยังท้องพระโรงเขาเข้ามาที่นี่ตามพระราชโองการแต่ก็ไม่ได้อยากอยู่นานนัก ทุกย่างก้าวของเขาทำให้ผู้คนรอบข้างต่างหวาดหวั่นและถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะหน้าตาดีแต่ก็ไม่มีใครเงยหน้าขึ้นสบตาเขา "นั่นหรือแม่ทัพโจวอี้หลงหรือ เขาดูน่ากลัวอย่างกับปีศาจ สนามรบคงทำให้เขาไร้หัวใจไปแล้ว" เสียงกระซิบกระซาบของเหล่าข้าราชบริพารไม่ได้ทำให้อี้หลงกังวลหรือสนใจ เพราะวันนี้เขาขี่ม้าเข้ามาเมืองหลวงเพื่อเรื่องเดียวเท่านั้น นั่นคือการขอย้อนกลับไปอยู่ที่นั่น อย่างน้อย ๆ เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องวุ่นวายที่แม่ของเขาสร้างเอาไว้เมื่อห้าปีที่แล้วเขาไม่ได้โทษมารดาเรื่องนี้ แต่หากไม่มีข้อต่อรองดี ๆ ให้แม่ของเขายกเลิกการหมั้น เขาก็คงอยู่เมืองหลวงอย่างไม่เป็นสุขแน่ ๆ “ถวายบังคมฝ่าบาท กระหม่อมกลับมาเมืองหลวงตามพระบัญชา แต่ชัยชนะครั้ง

  • ยามเมื่อใจ เพรียกหาเพียงเจ้า   บทที่ 6

    บทที่ 6ผ่านไปห้าปีเต็ม ตั้งแต่โจวอี้หลงเข้าร่วมกองทัพในฐานะลูกชายของแม่ทัพใหญ่โจวหยางเฉิง เด็กหนุ่มผู้เคยอยู่ใต้เงาของบิดา วันนี้กลายเป็นนักรบที่บรรดาทหารทั้งกองทัพให้ความเชื่อมั่นและเชื่อใจภายหลังจากที่บิดาของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสในศึกใหญ่เมื่อปีก่อน โจวอี้เทียน และโจวอี้เหวินที่เป็นรองแม่ทัพก็อารักขาพาบิดากลับไปรักษาตัวที่เมืองหลวงโจวอี้หลงได้รับมอบหมายให้เป็นแม่ทัพแทนชั่วคราว แม้จะอายุน้อยแต่ชื่อเสียงจากชัยชนะนับครั้งไม่ถ้วนของเขาทำให้ทหารทั้งหลายไม่มีใครกังขาทั้งยังยินดีที่เป็นเขาอีกด้วยความเก่งกาจของโจวอี้หลงพูดถึงไปทั่วทั้งแคว้น ทุกคนล้วนยินดี อาจจะมีแค่คนเดียวเท่านั้นที่ดูจะไม่พอใจ“ว่าที่คู่หมายของเจ้าได้ข่าวว่าขึ้นเป็นแม่ทัพแล้วนี่” “ใครสนกัน เขากับข้าไม่เคยเจอกันสักครั้ง” หลี่หว่านเอ๋อร์ในวัยสิบสามปีคุยกับเพื่อนสนิทอย่างจูหลิงแม้นางจะชอบมารดาของอีกฝ่าย ที่มักจะนำของมาฝากบ่อย ๆ แต่กับตัวคู่หมั้นนามว่าโจวอี้หลงนั้นหญิงสาวไม่ได้อยากเจอหน้าแม้เพียงนิด ตอนนั้นที่มีการหมั้นหมายเป็นเพราะนางยังเด็กนักจึงไม่เข้าใจ แต่ยามนี้นางโตพอจะรับรู้ได้แล้วว่าการหมั้นหมายคืออะไร หากเป็นไป

  • ยามเมื่อใจ เพรียกหาเพียงเจ้า   บทที่ 5

    บทที่ 5คหบดีหลี่และฮูหยินที่ยืนอยู่ข้างในจวนหันมองหน้ากันก่อนจะถอนหายใจออกมา แม้จะพยายามยิ้มแย้มแต่ใบหน้าพวกเขากลับเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ “เราควรทำอย่างไรดี” ฮูหยินหลี่ถามเสียงเบา สายตาจับจ้องไปยังขบวนสินสอดที่กำลังขนเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย พวกเขาไม่ได้ตื่นเต้นกับมูลค่าของมันเลยแม้แต่นิด เพราะตระกูลหลี่ก็เป็นหนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวย พวกเขาค้าขายได้ดี มีเงินทองมากมาย ร้านขายข้าวของพวกเขาก็เรียกได้ว่าเป็นร้านที่ขายได้ดีที่สุดในเมืองร้านหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงพ่อค้าคหบดีหลี่ถอนหายใจหนักอีกครั้งก่อนจะตอบกลับไปอย่างไร้หนทาง “เราไม่มีทางเลือกอื่น ขุนนางใหญ่โตอย่างตระกูลโจวจะทำอะไร ใครจะสามารถขัดขวางได้ ถ้าเราปฏิเสธ... พ่อค้าทุกคนในเมืองคงจะหันหน้าหนีไม่ทำการค้ากับพวกเรา ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องเป็นเรื่องแน่ ๆ เรื่องนี้ค่อยหาวิธีแก้ไขกันภายหลังก็แล้วกัน”ทั้งคู่ตกลงจะตามน้ำไปก่อนเพราะรู้ดีว่าพวกเขาไม่มีอำนาจมากพอที่จะต่อต้านตระกูลโจว ตระกูลแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ แม้ในใจจะไม่เต็มใจแต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมจำนนโดยมิได้รู้เลยว่าไม่ได้มีแต่พวกเขาที่ไม่ต้องการให้งานหมั้นหมายครั้งนี้เกิดขึ

  • ยามเมื่อใจ เพรียกหาเพียงเจ้า   บทที่ 4

    บทที่ 4ซ่งอวี้หลินเดินเข้าไปในจวนหลี่พร้อมผู้ติดตาม เมื่อได้พบกับคหบดีหลี่ นางก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่ถึงกระนั้นก็แอบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาคาดคั้น“ข้ามาเพื่อไต่ถามเรื่องเวลาตกฟากของบุตรสาวคนเล็กของท่านคหบดีหลี่ ข้าทราบมาว่านางเกิดปีกระต่าย เดือนเจีย เพียงแต่วันนั้นคหบดีหลี่พอจะบอกความจริงแก่ข้าได้หรือไม่”คหบดีหลี่หายใจยาว เขาคิดอยู่แล้วว่าอาจจะมีวันนี้ ตั้งแต่ได้ยินข่าวคนตามหาเด็กสาวที่เกิดปีและเดือนเดียวกับลูกสาวของเขาตอนแรกไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นตามหาไปเพื่ออะไร และใครเป็นคนตามหา แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรเขาก็หวังว่าคงจะมีเด็กสักคนที่มีวันเดือนปีเกิดใกล้เคียงกับบุตรีของเขาแล้วเดี๋ยวเรื่องมันก็คงจะซาไปเอง แต่ดูเหมือนตอนนี้จะไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว ชายมีอายุหันไปมองภรรยาของเขาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ทั้งคู่สบตากันอย่างจำยอมก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ เพื่อตอบรับคำของฮูหยินของตระกูลโจว“บุตรีคนเล็กของข้า เกิดปีเถาะ เดือนเจีย วันขึ้น 8 ค่ำ ยามเหม่าขอรับ”ดวงตาของซ่งอวี้หลินสว่างวาบ นางยิ้มกว้างด้วยความดีใจ “เช่นนั้นข้าขอทำการสู่ขอและหมั้นหมายบุตรีของท่านกับบุตรชายของข้าโจวอี้หลงจะได้หรือไม่ อีกไม่เกินชั

  • ยามเมื่อใจ เพรียกหาเพียงเจ้า   บทที่ 3

    บทที่ 3โจวหยางเฉิงที่เดินเข้ามาในห้องพร้อมบุตรชายทั้งสามก็ได้แต่มองภรรยาของตนแล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ “นี่เจ้าจะจริงจังกับเรื่องนี้มากเกินไปหรือเปล่า ข้ากับลูกจะต้องเดินทางอยู่อีกไม่กี่วันนี่แล้ว เจ้ายังจะวุ่นวายเรื่องนี้อยู่อีกหรือ”“ท่านพี่อย่ามาว่าราวกับข้าบกพร่องในหน้าที่นะเจ้าคะ ข้าวของเครื่องใช้ที่จะต้องเตรียมสำหรับการเดินทางของท่านพี่และลูกชายของเราข้าล้วนเตรียมเอาไว้เสร็จสิ้นแล้ว ยังไปช่วยสะใภ้ใหญ่ของเราจัดการของอี้เทียนแล้วด้วย เหลือเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่ข้าจะต้องทำเพื่ออี้หลง หากข้าไม่ทำอะไรเลย ข้าจะนอนหลับได้อย่างไร”“ท่านพ่อ ข้าว่าปล่อยให้ท่านแม่ทำเถอะ เพื่อความสบายใจของท่านแม่ ขนาดน้องเล็กยังไม่ขัดพวกเราก็ควรที่จะปล่อยให้ท่านแม่ทำไป” โจวอี้เทียนเอ่ยขึ้น แม้จะไม่ได้เห็นด้วยนัก แต่ก็ไม่อยากขัดใจผู้เป็นแม่ อี้เหวินและอี้หลงก็พยักหน้า โจวหยางเฉิงมองภรรยาและลูกชายก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง“ข้าจะไม่ขัดเจ้าก็แล้วกัน แต่ขอบอกให้เจ้ารู้เอาไว้ อีกสองวันข้ากับลูก ๆ ก็จะออกเดินทางไปที่ค่ายนอกเมืองเพื่อไปจัดเตรียมกองกำลัง มิได้อยู่รั้งรอในเมืองและไปพร้อมกับเสบียง หากเจ้าอยากทำอะไรก็ค

  • ยามเมื่อใจ เพรียกหาเพียงเจ้า   บทที่ 2

    บทที่ 2ห้องโถงใหญ่ที่ตกแต่งด้วยผ้าปักอักษรจีนที่ดูเหมือนยันต์ยากจะอ่าน และกลิ่นของกำยานที่ค่อนข้างเฉพาะตัวทำให้ใครก็ตามที่เข้ามาหาซินแสเฒ่าในที่แห่งนี้ก็มักจะมีกลิ่นประหลาดนี่ติดตัวออกไปและมันก็เป็นสิ่งที่โจวอี้หลงไม่ชอบเลยสักนิด เขามองไปทั่ว ๆ และพบกับซินแสเฒ่านั่งลูบเคราอยู่หลังโต๊ะไม้ใหญ่กลางห้องใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา และเพียงแค่สบตากับโจวอี้หลงเครานั่นก็ขยับเหมือนว่าเจ้าตัวกำลังยกยิ้ม มือที่แห้งเหี่ยวตามกาลเวลาหยิบแผ่นดวงชะตาของอี้หลงไปดู โจวอี้หลงมองมารดาของตัวเองที่นั่งอยู่เคียงข้างบิดาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย เขารู้ว่าแม่ของเขาเชื่อถือซินแสคนนี้มาก เขาก็ได้แต่หวังว่าซินแสผู้นี้จะไม่พูดอะไรแปลก ๆ จนทำให้ชีวิตของเขาวุ่นวาย เด็กหนุ่มส่ายหน้าน้อย ๆ อย่างเหนื่อยใจก่อนจะกลับไปนั่งนิ่งสงบเสงี่ยมตามเดิมแม้จะอายุเพียงแค่สิบสามปี แต่คุณชายโจวคนนี้ก็ทำตัวราวกับบิดา เขานั่งหลังตรง หน้าตาที่ควรจะยิ้มแย้มสมวัยกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น สายตาของเด็กชายมองทุกอย่างด้วยแววตาเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นมิเพียงแค่ท่าทางที่ไม่สมวัย แต่รูปร่างสูงโปร่งของเขาก็ดูจะเป็นผู้ใหญ่ก

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status