กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน ฤดูเหมันต์อันหนาวเหน็บได้พัดผ่านไปพร้อมกับเทศกาลตรุษจีนที่นำพาความหวังและความชื่นมื่นมาสู่ทุกครัวเรือน และสำหรับครอบครัวหลินแล้ว ปีใหม่ปีนี้ช่างแตกต่างจากทุกปีที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง
แผงลอยใบไหวดีไซน์ได้กลายเป็นปรากฏการณ์เล็ก ๆ ในตลาดนัดอำเภอ ตลอดช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา เสื้อผ้าที่ดีไซน์เก๋ไก๋และตัดเย็บอย่างประณีตของพวกเขาขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ผู้คนต่างต้องการเสื้อผ้าชุดใหม่เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญ และร้านของเยว่ซินก็คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบที่สุด
จากแผงลอยที่เคยเงียบเหงา บัดนี้กลับคึกคักไปด้วยลูกค้าที่แวะเวียนมาไม่ขาดสาย ชื่อเสียงของหลินเยว่ซินไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในฐานะเด็กสาวอัจฉริยะอีกต่อไป แต่ยังพ่วงท้ายด้วยตำแหน่งเถ้าแก่เนี้ยน้อยผู้มีหัวคิดล้ำสมัยอีกด้วย
ในหีบไม้ใบเก่าที่เคยเก็บแต่หนังสือเรียนฝุ่นเขรอะ บัดนี้กลับอัดแน่นไปด้วยธนบัตรใบแล้วใบเล่า เป็นเงินเก็บก้อนแรกและก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิตของครอบครัวหลิน มากเสียจนแม่หลินต้องคอยเปิดออกมานับแล้วนับอีกด้วยมือที่สั่นเทาและน้ำตาคลอหน่วยทุกค่ำคืน
สภาพความเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด บนโต๊ะอาหารไม่ได้มีแค่ข้าวต้มกับผักดองอย่างที่ผ่านมา แต่ยังมีทั้งเนื้อ ปลา และไข่ปรากฏขึ้นมาบ่อยครั้ง ทุกคนมีเสื้อผ้าใหม่ ๆ ที่หนาและอบอุ่นพอที่จะต่อสู้กับความหนาวเหน็บได้อย่างสบาย รอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้านหลังนี้อย่างถาวร
ทว่า ความสำเร็จก็มักจะมาพร้อมกับปัญหาใหม่เสมอ
เมื่อความต้องการของลูกค้าเพิ่มสูงขึ้น กำลังการผลิตของพวกเขากลับมีจำกัด บ้านหลังเล็กที่เคยอบอุ่นบัดนี้กลับคับแคบไปถนัดตา ทุกซอกทุกมุมเต็มไปด้วยกองผ้าและอุปกรณ์ตัดเย็บ จักรเย็บผ้าตัวเก่าต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำจนแทบไม่ได้หยุดพัก พวกเขาผลิตสินค้าไม่ทันต่อความต้องการของตลาด ยิ่งไปกว่านั้น การขายของบนแผงลอยยังต้องเผชิญกับลมฟ้าอากาศที่ไม่แน่นอน และที่สำคัญที่สุดคือมันขาดความน่าเชื่อถือในระยะยาว
เยว่ซินตระหนักดีว่าพวกเขามาถึงทางตันแล้ว ธุรกิจของพวกเขาเปรียบเสมือนต้นกล้าเล็ก ๆ ที่ต้องตัดสินใจว่าจะปล่อยให้โตในกระถางเดิมหรือจะย้ายลงดินผืนใหญ่ การอยู่ที่เดิมอาจจะปลอดภัย แต่ก็จะไม่มีวันเติบโตได้อย่างเต็มที่
เช้าวันหนึ่งในต้นฤดูใบไม้ผลิ เยว่ซินเรียกประชุมครอบครัวอีกครั้ง
“พ่อคะ แม่คะ พี่ใหญ่ พี่รอง ฉันคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องก้าวไปอีกขั้น” เธอกล่าวเปิดประเด็นด้วยแววตาที่จริงจัง “เราต้องเปิดร้านของเราเองค่ะ”
คำพูดของเธอทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของทุกคนจางหายไป ถูกแทนที่ด้วยความกังวลใจ
“เปิดร้านเหรอลูก?!” พ่อหลินขมวดคิ้วมุ่น “ค่าเช่าห้องแถวในอำเภอมันแพงเหมือนทองเลยนะลูก เราเพิ่งจะลืมตาอ้าปากได้ไม่นาน หากเอาเงินเก็บทั้งหมดไปทุ่มกับค่าเช่าแล้วเกิดกิจการไปไม่รอดขึ้นมา พวกเราก็จะไม่เหลืออะไรเลยนะ”
“ใช่แล้วเยว่ซิน” แม่หลินกล่าวเสริมด้วยความเป็นห่วง “ตอนนี้แผงลอยของเราก็ขายดีอยู่แล้วนี่ลูก ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปไม่ดีกว่าหรือ? การทำอะไรเกินตัวมันน่ากลัวนะ”
ความกลัวของพ่อกับแม่คือสิ่งที่เยว่ซินเข้าใจดีที่สุด มันเป็นความกลัวที่ฝังลึกมาจากความยากจนที่พวกเขาเผชิญมาตลอดชีวิต
“หนูเข้าใจความเป็นห่วงของพ่อกับแม่ค่ะ” เธอกล่าวอย่างนุ่มนวล “แต่การอยู่ที่เดิมก็มีความเสี่ยงเหมือนกันนะคะ ตอนนี้เริ่มมีร้านอื่นพยายามลอกเลียนแบบเสื้อผ้าของเราแล้ว ถึงฝีมือการตัดเย็บของพวกเขาจะยังสู้เราไม่ได้ แต่ถ้าเราไม่รีบสร้างแบรนด์ของเราให้แข็งแกร่งและแตกต่าง เราก็จะถูกกลืนหายไปในที่สุด”
“การมีหน้าร้านที่ชัดเจนจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ ทำให้เราดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น เสมือนการประกาศว่าเราไม่ได้มาเล่น ๆ แต่เรามาเพื่อที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน การตีเหล็กต้องตีตอนร้อนนะคะ เราต้องฉวยโอกาสที่ชื่อเสียงของเรากำลังดีอยู่ตอนนี้สร้างฐานที่มั่นคงให้เร็วที่สุด”
เธอหยิบแผนที่เล็ก ๆ ที่วาดขึ้นเองออกมา “หนูไปดูทำเลมาแล้วค่ะ มีห้องแถวไม้ชั้นเดียวหลังเล็ก ๆ ว่างให้เช่าอยู่ห้องหนึ่งบนถนนสายรอง มันอาจจะไม่ใช่ทำเลที่ดีที่สุด แต่ค่าเช่าก็ไม่แพงเกินไป และด้วยชื่อเสียงของเราในตอนนี้ หนูเชื่อว่าลูกค้าจะยอมเดินเข้ามาหาเราเองค่ะ”
เหตุผลที่หนักแน่นและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนของเธอ ค่อย ๆ ทลายกำแพงความกลัวในใจของทุกคนลงทีละน้อย ประกอบกับความเชื่อมั่นที่พวกเขามีต่อเธอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ในที่สุดพ่อหลินก็เป็นคนทุบโต๊ะเบา ๆ เพื่อตัดสินใจ
“เอาล่ะ!” เขากล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “ในเมื่อลูกตัดสินใจดีแล้ว พ่อก็พร้อมจะสู้ไปกับลูก เงินเก็บทั้งหมดที่เรามีเราจะเอามันมาสร้างอนาคตใหม่ของพวกเรากัน!”
และแล้วเงินเก็บก้อนแรกในชีวิตของครอบครัวหลินก็ได้ถูกนำออกมาลงทุนเพื่อความฝันครั้งใหญ่
ห้องแถวไม้ที่พวกเขาเช่ามานั้นค่อนข้างเก่าและทรุดโทรม แต่ภายใต้การนำของเยว่ซินมันก็ได้ถูกชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ทั้งหมด สองพ่อลูกหลินเจี้ยนกั๋วและหลินต้าเฉียงรับหน้าที่ช่างไม้และช่างทาสี พวกเขาซ่อมแซมส่วนที่ผุพัง ทาสีผนังด้านในด้วยสีขาวสะอาดตาเพื่อให้ห้องดูสว่างและกว้างขึ้น และยังต่อชั้นวางของกับราวแขวนเสื้อผ้าจากไม้สนอย่างง่าย ๆ แต่ดูดีมีรสนิยม
ส่วนเยว่ซิน ซิวอิง และแม่หลินก็ไม่ได้หยุดพักเช่นกัน ในระหว่างที่ร้านกำลังตกแต่ง เยว่ซินก็ได้เปิดตัวแผนการขั้นต่อไป
“คุณผู้หญิงที่ซื้อชุดสวย ๆ ก็ย่อมต้องการกระเป๋าเก๋ ๆ และเครื่องประดับที่เข้าชุดกันใช่ไหมคะ?” เธอกล่าวพร้อมกับนำภาพร่างชุดใหม่ออกมา “ต่อไปนี้เราจะไม่ได้ขายแค่เสื้อผ้า แต่เราจะขายลุคที่สมบูรณ์แบบค่ะ”
เยว่ซินออกแบบกระเป๋าผ้าทรงเรียบง่ายแต่ใช้งานได้ดี โดยใช้เศษผ้าสีสวย ๆ ที่เหลือจากการตัดเย็บมาสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และยังออกแบบเครื่องประดับทำมือง่าย ๆ เช่น ต่างหูที่หุ้มด้วยผ้าลายเดียวกับชุด หรือสร้อยข้อมือลูกปัดไม้เล็ก ๆ น่ารัก ซึ่งซิวอิงผู้มีนิ้วมือเรียวสวยและใจเย็นก็รับหน้าที่นี้ไปอย่างเต็มใจ
สองสัปดาห์ต่อมา ในฤกษ์งามยามดีของต้นฤดูใบไม้ผลิ ร้านของเยว่ซินก็ได้เปิดตัวขึ้นอย่างเป็นทางการ
ไม่มีการจุดประทัดหรือจัดงานฉลองที่เอิกเกริก มีเพียงป้ายไม้เล็ก ๆ ที่เขียนชื่อร้านด้วยพู่กันอย่างสวยงามแขวนอยู่เหนือประตู หน้าร้านที่เป็นกระจกใสที่ซึ่งเป็นของหายากในยุคนั้น ถูกจัดแสดงไว้อย่างน่ามอง มีเพียงหุ่นโชว์เสื้อหนึ่งตัวที่สวมชุดกระโปรงลายดอกไม้เข้าชุดกับกระเป๋าผ้าและเครื่องประดับอย่างลงตัว ความเรียบง่ายแต่ดูดีมีระดับนี้เองที่ดึงดูดสายตาของผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้อย่างน่าทึ่ง
ซึ่งวันแรกของการเปิดร้านประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย!
ลูกค้าเก่าต่างพากันมาอุดหนุนอย่างเนืองแน่น และบรรยากาศของร้านที่ดูสะอาดสะอ้านและทันสมัยก็ยังดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ซึ่งเป็นกลุ่มคนมีฐานะในอำเภอให้แวะเวียนเข้ามาอีกด้วย
กระเป๋าผ้าและเครื่องประดับที่เยว่ซินออกแบบกลายเป็นสินค้ายอดนิยมในทันที หญิงสาวหลายคนตื่นเต้นกับการได้เลือกซื้อของที่เข้าชุดกันอย่างสนุกสนาน ร้านของเธอได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดในหมู่สาว ๆ ทั่วทั้งเมืองอย่างรวดเร็ว มันได้กลายเป็นสถานที่ที่ต้องไปสำหรับทุกคนที่ไม่อยากตกยุค
ธุรกิจของครอบครัวหลินกำลังรุ่งโรจน์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกคนในบ้านต่างทำงานอย่างมีความสุขและเปี่ยมด้วยความหวัง...
…
ณ ร้านตัดเสื้อผ้าสไตล์โบราณที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน เถ้าแก่เนี้ยหวังมองภาพลูกค้าที่เดินเข้าออกร้านของเยว่ซินอย่างไม่ขาดสายด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความริษยาและชิงชัง และในขณะเดียวกันที่คฤหาสน์ตระกูลซู ข่าวความสำเร็จครั้งใหม่ของหลินเยว่ซินก็ได้ถูกนำไปรายงานให้ซูเหม่ยลี่ได้รับทราบแล้วเช่นกัน...
กาลเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของปี 1989 โลกได้หมุนไปข้างหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง...ณ กรุงปักกิ่ง หลินเยว่ซิน หลินต้าเฉียง และหลินซิวอิงได้กลายเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ บริษัทหลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ปได้เปิดสำนักงานใหญ่และสาขาแฟล็กชิปที่เมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย และได้กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับชาติที่ทรงอิทธิพลทว่าณ อำเภอหลิวอันที่ห่างไกล ช่วงนี้ได้มีข่าวลือระลอกใหม่เกิดขึ้นในวงน้ำชาของเหล่าแม่บ้าน ข่าวลือที่เกี่ยวกับบุคคลที่แทบจะถูกลบหายไปจากความทรงจำของผู้คนแล้ว“นี่เธอได้ยินเรื่องนั้นหรือยัง?” หญิงคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนบ้าน “เห็นว่านังหนูซูเหม่ยลี่อะไรนั่นกำลังจะกลับมาแล้วนะ”“หา?! กลับมาอะไรกัน?” อีกคนถามด้วยความไม่ใส่ใจ“ก็ฉันได้ยินมาว่าเธอไปเจอผู้อุปถัมภ์คนใหม่ เป็นถึงเถ้าแก่จากต่างเมืองที่ร่ำรวยมากเลยล่ะ เห็นว่าเธอกำลังจะกลับมาทวงทุกอย่างคืน เธอบอกกับคนไปทั่วว่าความจริงทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดโปง ที่แท้หลินเยว่ซินนั่นแหละคืออสรพิษตัวจริง!”ในอดีต ข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้คงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดไปแล้ว แต่ในวันนี้ปฏิกิริยาของผู้คนกลับแตกต
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ท่านนายพลลู่และภรรยาเดินทางกลับไปแล้ว บ้านของตระกูลหลินก็ยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขและความตื่นเต้นไม่จางหาย ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขท่ามกลางความชื่นมื่นนั้น หลินเยว่ซินกลับรู้สึกว่าหัวใจของตนเองยังคงมีม่านหมอกบาง ๆ ปกคลุมอยู่ เธอยอมรับการสู่ขอ แต่ทว่าเธอยังไม่เคยได้ให้คำตอบแก่เขาจากหัวใจของเธออย่างแท้จริงเลยบ่ายวันนั้น ขณะที่เธอกำลังนั่งออกแบบเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ในห้องทำงาน ลู่เฟิงในชุดลำลองสบาย ๆ ก็เดินเข้ามาหาอย่างเงียบ ๆ“เยว่ซิน” เขาเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ไปเดินเล่นกับฉันหน่อยได้ไหม?”แม้จะเป็นคำเชิญที่เรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้ง นี่คือการนัดหมายครั้งแรกของพวกเขาในฐานะคู่หมั้นอย่างเป็นทางการเยว่ซินพยักหน้ารับเบา ๆ เธอรู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองเสียทีทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกจากตัวเมือง ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่สวยงามหรือโรแมนติกใด ๆ แต่กลับเดินไปตามเส้นทางดินสายเก่าที่ทอดตัวมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านหงซิง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดส
ฤดูสารทของปี 1988 ได้นำพาสายลมเย็นสบายและใบไม้สีทองโปรยปรายมาสู่เมืองหลิวอัน ครอบครัวหลินกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เปี่ยมสุขและวุ่นวายที่สุด พวกเขากำลังเตรียมการใหญ่สำหรับการย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองหลวงของต้าเฉียง ซิวอิง และเยว่ซินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง จดหมายฉบับหนึ่งจากลู่เฟิงก็ได้ถูกส่งมาถึง ซึ่งเนื้อหาข้างในนั้นก็ค่อนข้างที่จะสั้นกระชับ แต่ทว่ากลับทำให้หัวใจของเยว่ซินเต้นไม่เป็นส่ำ เขาเขียนว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์หน้า และครั้งนี้เขาจะไม่ได้มาคนเดียวสัญชาตญาณของเยว่ซินร้องบอกว่าการมาเยือนในครั้งนี้จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และดูเหมือนว่าทุกคนในบ้านก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกัน แม่หลินถึงกับลงมือทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่และสั่งให้พ่อหลินไปซื้อใบชาต้าหงเผาชั้นดีที่สุดมาเตรียมไว้ต้อนรับแขกเช้าวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส รถยนต์เก๋งหงฉีสีดำมันวาวสองคันแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูบ้านทรงลานสี่ทิศของตระกูลหลินอย่างเงียบเชียบแต่แฝงไว้ด้วยบารมีอันน่าเกรงขาม การปรากฏตัวของรถยนต์ระดับผู้นำประเทศเช่นนี้ทำให้เพื่อนบ้านที่สัญจรผ่านไปมาถึงกับต้องหยุดยืนมองด้วยความตก
ฟ้าหลังฝนสำหรับครอบครัวหลินแล้ว ท้องฟ้าของพวกเขาในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะสดใสไร้เมฆหมอกบดบัง แต่มันยังประดับประดาไปด้วยดวงดาวแห่งเกียรติยศที่ส่องประกายเจิดจรัสอีกด้วยเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนของปี 1988 หนึ่งปีกว่านับตั้งแต่การล่มสลายของตระกูลซู ช่วงเวลาที่ปราศจากมารผจญนี้เองที่ทำให้ธุรกิจใบไหวดีไซน์ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดราวกับมังกรทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์บัดนี้ หลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ป ไม่ได้เป็นเพียงร้านค้าในอำเภอเล็ก ๆ อีกแล้ว แต่ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโรงงานตัดเย็บเป็นของตัวเอง มีสาขากระจายอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ทั่วทั้งมณฑล และกำลังจะเริ่มขยายตลาดไปยังเมืองหลวงอย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ แบรนด์ใบไหวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่นที่ทันสมัย คุณภาพดี และเป็นความภาคภูมิใจของสินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างแท้จริงครอบครัวหลินเองก็ได้ย้ายออกจากบ้านหลังเดิมมาอาศัยอยู่ในบ้านทรงลานสี่ทิศ หลังใหญ่ที่เยว่ซินทุ่มเงินซื้อมันมาแล้วตกแต่งใหม่ทั้งหมด ที่นี่กว้างขวางและงดงามราวกับจวนของขุนนางในสมัยก่อน กลางลานบ้านมีสวนหย่อมที่จัดแต่งอย่างสวยงาม มีสระปลาคาร์ปเล็ก ๆ และต้นไหวที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ปร
หากคิดจะจับ ก็ต้องแสร้งปล่อยไปก่อนนี่คือกลยุทธ์ที่หลินเยว่ซินและลู่เฟิงได้วางไว้ร่วมกัน...สองวันหลังจากที่ซูเหม่ยลี่ได้จ่ายเงินก้อนสุดท้ายของเธอไป บทความชิ้นเอกอันแสนสกปรกของเฒ่าเหมาก็ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ใต้ดินฉบับหนึ่ง มันถูกนำไปแจกจ่ายตามร้านน้ำชาและแผงลอยต่าง ๆ ทั่วทั้งเมือง เรื่องราวที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอย่างสุดฝีมือได้สร้างความสับสนให้กับผู้คนอีกครั้ง ความสงสัยระลอกใหม่เริ่มซัดสาดเข้าใส่ชื่อเสียงของหลินเยว่ซินอีกคราทางฝั่งร้านใบไหวดีไซน์ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ยอดขายตกลงเล็กน้อย และมีเสียงซุบซิบนินทาจากลูกค้ามากขึ้น หลินเยว่ซินดูเหมือนจะตกอยู่ในภาวะตั้งรับ เธอเก็บตัวเงียบ ไม่ได้ออกมาโต้ตอบใด ๆ ท่าทีที่ดูเหมือนยอมจำนนนี้เองที่ทำให้ซูเหม่ยลี่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความสะใจ แต่แล้ว ในขณะที่ข่าวลือกำลังคุกรุ่นถึงขีดสุด ร้านใบไหวดีไซน์ก็ได้เคลื่อนไหวในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดบัตรเชิญที่ถูกออกแบบอย่างสวยหรูได้ถูกส่งไปยังสำนักข่าวทุกแขนง ทั้งสื่อท้องถิ่นและสื่อสิ่งพิมพ์ระดับมณฑล เนื้อหาในบัตรเชิญระบุว่าทางร้านจะจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ
ลมหนาวในช่วงปลายปี พัดพาเอากลิ่นอายของเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึงให้ลอยอบอวลไปทั่วทั้งเมือง บนถนนหนทางประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงสดใส ผู้คนต่างมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสจับจ่ายซื้อของเพื่อเตรียมเฉลิมฉลองวันปีใหม่ แต่สำหรับตระกูลซูแล้วฤดูหนาวในปีนี้มันช่างหนาวเหน็บและโหดร้ายเสียเหลือเกินธุรกิจที่เคยยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ล่มสลายลงโดยสมบูรณ์แล้ว...การที่ข่าวในหนังสือพิมพ์ถูกระงับไปอย่างรวดเร็วผิดปกติ เป็นดั่งสิ่งสุดท้ายที่ทำให้คู่ค้าและธนาคารต่างหมดสิ้นความเชื่อมั่นในตระกูลซู พวกเขารู้ดีว่าตระกูลซูไม่เพียงแต่กำลังจะล้มละลาย แต่ยังไปเหยียบตาปลาของผู้มีอำนาจระดับสูงเข้าให้อีกด้วย ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาอีกตอนนี้พวกเขาอยู่ในสภาวะสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างแท้จริง คฤหาสน์หลังงามกำลังจะถูกยึดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทรัพย์สินเงินทองที่เคยมีก็ร่อยหรอลงไปจนแทบไม่เหลือ พวกเขาไม่มีทางไปอีกแล้วค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบงันอันน่าสมเพชภายในคฤหาสน์ที่เคยโอ่อ่า ซูเจิ้งกั๋วที่บัดนี้ดูแก่ชราลงไปนับสิบปีได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ“เรายังเหลือหนทางสุดท้าย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งแ