ฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ คำกล่าวนี้ไม่เคยเป็นจริงเท่าวันนี้มาก่อนสำหรับครอบครัวหลิน
หลังจากเหตุการณ์ปะทะคารมกับเผยฮุ่ยหลันที่ตลาดวันนั้น ชื่อเสียงของแผงลอยใบไหวดีไซน์ก็ยิ่งโด่งดังเป็นพลุแตก เรื่องราวการตอบโต้อย่างชาญฉลาดและมีชั้นเชิงของหลินเยว่ซินกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่น่าชื่นชม ผู้คนไม่ได้มองว่าเธอเป็นแค่เด็กสาวอัจฉริยะอีกแล้ว แต่ยังมองว่าเธอเป็นนักสู้ผู้หยิ่งทะนงที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับความไม่เป็นธรรม ลูกค้ามากมายต่างแวะเวียนมาที่ร้าน ส่วนหนึ่งเพื่อซื้อเสื้อผ้าดีไซน์เก๋ และอีกส่วนหนึ่งก็เพื่อมาดูหน้าวีรสตรีคนเก่งด้วยตาตัวเอง
กิจการที่รุ่งเรืองทำให้เงินทองเริ่มไหลมาเทมาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของครอบครัว แม้จะยังไม่มากมายนัก แต่ก็มากพอที่จะทำให้บนโต๊ะอาหารของพวกเขามีเนื้อสัตว์ปรากฏขึ้นสัปดาห์ละครั้งสองครั้ง และทุกคนก็เริ่มมีเสื้อผ้าใหม่ ๆ ที่สะอาดสะอ้านใส่กับเขาบ้างแล้ว
ทว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากกว่าสถานะทางการเงิน ก็คือจิตใจของคนในครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลินต้าเฉียงและหลินซิวอิง
ทุกครั้งที่พวกเขายืนมองน้องสาวคนเล็กยืนต้อนรับลูกค้าอย่างฉะฉาน ตอบคำถามได้อย่างคล่องแคล่ว และนับเงินทอนได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้ลูกคิด หัวใจของสองพี่น้องก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ แต่ในขณะเดียวกัน ลึกลงไปในใจนั้นก็เริ่มมีตะกอนความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้น มันไม่ใช่ความอิจฉา แต่เป็นความรู้สึกด้อยค่าของตนเอง
เยว่ซินทั้งฉลาด ทั้งกล้าหาญ และกำลังจะกลายเป็นเสาหลักของครอบครัว แล้วพวกเขาล่ะ? คนหนึ่งเป็นเพียงชายหนุ่มที่เรียนไม่จบและมีดีแค่พละกำลัง อีกคนเป็นหญิงสาวเงียบขรึมที่ลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาเป็นกรรมกรในโรงงานทอผ้า พวกเขาจะสามารถยืนเคียงข้างน้องสาวที่กำลังจะโบยบินไปไกลเกินเอื้อมคนนี้ได้อย่างไร พวกเขาไม่อยากเป็นเพียงภาระที่คอยถ่วงความเจริญของน้องสาวไปตลอดชีวิต
ความคิดนี้กัดกินใจของสองพี่น้องอยู่หลายวัน จนกระทั่งคืนหนึ่ง...
หลังจากปิดร้านและกินข้าวเย็นเสร็จเรียบร้อย ขณะที่เยว่ซินกำลังจะเริ่มทบทวนตำราเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนเช่นเคย ต้าเฉียงที่นั่งเงียบอยู่นานก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
“เยว่ซิน...” เขาเรียกชื่อน้องสาวเสียงเบา มีท่าทีลังเลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“มีอะไรหรือคะพี่ใหญ่?” เยว่ซินเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ มองพี่ชายด้วยความแปลกใจ
ต้าเฉียงเกาหัวแกรก ๆ อย่างประหม่า “คือพี่... พี่เห็นเธอเก่งขึ้นทุกวัน ทั้งเรื่องเรียน ทั้งเรื่องค้าขาย พี่ก็ดีใจด้วยนะ แต่พี่ก็รู้สึกว่าตัวเองช่างไร้ประโยชน์เหลือเกินนอกจากเรื่องใช้แรงงาน”
ซิวอิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พยักหน้าเห็นด้วยเบา ๆ “พี่ก็เหมือนกันจ้ะ เวลาลูกค้าถามอะไรยาก ๆ เกี่ยวกับเนื้อผ้าหรือการออกแบบ พี่ก็ได้แต่ยืนนิ่งเป็นใบ้ ตอบอะไรไม่ได้เลย”
“หนังสือที่เธอเคยให้พวกพี่อ่าน...” ต้าเฉียงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้น “พี่อยากจะกลับไปอ่านมันอีกครั้ง ไม่สิ... พี่อยากจะเรียนมันอย่างจริงจังเสียที พี่ไม่อยากเป็นพี่ชายที่โง่เง่าอีกต่อไปแล้ว!”
“พี่ก็ด้วย!” ซิวอิงกล่าวเสริมทันที ดวงตาของเธอฉายแววมุ่งมั่นอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน “พี่อยากจะเรียนรู้ อยากจะเข้าใจในสิ่งที่น้องทำ พี่อยากจะช่วยน้องได้มากกว่าการนั่งเย็บผ้าไปวัน ๆ”
คำสารภาพจากใจของพี่ทั้งสองคนทำให้เยว่ซินถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนที่รอยยิ้มที่กว้างที่สุดและจริงใจที่สุดจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ หัวใจของเธอพองโตด้วยความยินดีจนแทบจะระเบิดออกมา
นี่คือสิ่งที่เธอรอคอย เธอไม่เคยต้องการที่จะเป็นผู้นำที่แบกทุกคนไว้บนบ่า แต่เธอต้องการที่จะเป็นผู้จุดประกายให้ทุกคนได้ค้นพบศักยภาพของตัวเองและก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อม ๆ กันต่างหาก
“นี่เป็นข่าวที่ดีที่สุดที่ฉันได้ยินมาในรอบเดือนเลยค่ะ!” เธอกล่าวด้วยความตื่นเต้น “แน่นอนสิคะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ คนที่จะพิชิตหนทางได้ก็คือคนที่เริ่มก้าวเดิน ไม่สำคัญหรอกค่ะว่าเราจะเริ่มเมื่อไหร่ สำคัญที่กว่านั้นคือการที่เราได้เริ่มแล้วต่างหาก!”
เยว่ซินลุกขึ้นยืนด้วยความกระตือรือร้น “ถ้าอย่างนั้นนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป บ้านของเราจะเปิดโรงเรียนภาคค่ำอย่างเป็นทางการ! โดยมีหนูเป็นคุณครูเอง!”
…
เยว่ซินค้นพบว่าพี่ชายและพี่สาวของเธอไม่ได้โง่เขลาอย่างที่พวกเขาเคยคิดเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่พวกเขาไม่เคยได้รับโอกาสและแนวทางที่ถูกต้องเท่านั้นเอง
ต้าเฉียงผู้ซึ่งเคยเกลียดวิชาคณิตศาสตร์เข้าไส้ กลับแสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ด้านการคิดเชิงตรรกะอย่างน่าทึ่ง เมื่อเยว่ซินเปลี่ยนโจทย์พีชคณิตที่น่าเบื่อให้กลายเป็นการคำนวณกำไรขาดทุนของร้าน เขาก็สามารถทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนซิวอิงผู้เงียบขรึมและช่างจดจำก็มีพรสวรรค์ด้านภาษาอย่างน่าอัศจรรย์ เธอสามารถจดจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เยว่ซินสอนได้อย่างแม่นยำ และมีลายมือที่สวยงามราวกับพิมพ์
เยว่ซินใช้เทคนิคการสอนจากอนาคต เธอไม่ได้บังคับให้พวกเขาท่องจำ แต่สอนให้พวกเขาเข้าใจถึงแก่นแท้ของแต่ละวิชา เธอเชื่อมโยงฟิสิกส์เข้ากับหลักการทำงานของจักรเย็บผ้า เชื่อมโยงเคมีเข้ากับชนิดของสีย้อมผ้า และเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ให้กลายเป็นนิทานที่น่าติดตาม
ทุกค่ำคืนจนถึงเวลาดึกดื่นนั้น เสียงท่องหนังสือและเสียงอธิบายของเยว่ซินจะดังคลอเบา ๆ อยู่ในกระท่อมหลังน้อย พ่อหลินกับแม่หลินแม้จะไม่ได้เข้าร่วมวงเรียนด้วย แต่พวกท่านก็จะคอยนั่งอยู่เงียบ ๆ คอยเติมน้ำมันตะเกียงและต้มน้ำร้อนมาให้ลูก ๆ ได้ดื่มแก้หนาว แววตาของพวกท่านทอประกายแห่งความสุขและความภูมิใจอย่างสุดซึ้ง ภาพลูก ๆ ทั้งสามคนที่ก้มหน้าก้มตาเรียนหนังสืออยู่ด้วยกันใต้แสงตะเกียงดวงเดียวกันนี้ คือภาพที่งดงามที่สุดในชีวิตของพวกท่านแล้ว
เวลาผ่านไปราวสองเดือน...
เพื่อทดสอบความก้าวหน้า เยว่ซินได้ลองสร้างแบบทดสอบฉบับย่อขึ้นมาให้พี่ทั้งสองได้ลองทำ
ทว่า ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าทึ่งมาก!
ต้าเฉียงสามารถแก้โจทย์คณิตศาสตร์และฟิสิกส์ระดับมัธยมต้นได้เกือบทั้งหมด ส่วนซิวอิงก็สามารถอ่านบทความภาษาอังกฤษสั้น ๆ และเขียนจดหมายแนะนำตัวง่าย ๆ ได้อย่างถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
คืนนั้น เยว่ซินนำผลสอบมาให้พี่ทั้งสองดู ดวงตาของต้าเฉียงเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นี่... นี่ฉันทำได้จริง ๆ เหรอเนี่ย?”
“แน่นอนสิคะพี่ใหญ่!” เยว่ซินยิ้มกว้าง “เห็นไหมคะว่าพี่น่ะหัวดีจะตายไป ทักษะการแก้ปัญหาของพี่สุดยอดมากเลยนะ ถ้าพี่ได้เรียนต่อทางด้านวิศวกรรมหรือสถาปัตยกรรม จะต้องรุ่งแน่นอน!”
จากนั้นเธอก็หันไปหาพี่สาว “ส่วนพี่ซิวอิง ทักษะด้านภาษาของพี่ดีเยี่ยมจริง ๆ ค่ะ พี่สามารถเป็นได้ทั้งล่าม นักแปล หรือแม้กระทั่งคุณครูเลยนะคะ”
สองพี่น้องมองหน้ากัน สิ่งที่เยว่อิงพูดออกมานั้นเป็นอาชีพที่พวกเขาไม่เคยแม้แต่จะกล้าฝันถึง มันดูห่างไกลจากชีวิตกรรมกรของพวกเขาราวกับอยู่คนละโลก
เยว่ซินเห็นแววตาของพี่ ๆ แล้วจึงพูดในสิ่งที่เธอคิดมาตลอด “มหาวิทยาลัยในเมืองหลวงมันไม่ใช่ความฝันของหนูคนเดียวอีกต่อไปแล้วนะคะ”
“แต่มันสามารถเป็นความฝันของพวกเราทุกคนได้”
“ถ้าพวกเราพยายามต่อไปแบบนี้อีกหนึ่งถึงสองปี พี่ทั้งสองคนก็สามารถสอบเทียบผู้ใหญ่เพื่อเข้ามหาวิทยาลัยได้เช่นกัน ลองคิดดูสิคะ ภาพที่พวกเราสามพี่น้องได้เดินเข้าประตูมหาวิทยาลัยในเมืองหลวงพร้อม ๆ กัน มันจะสุดยอดแค่ไหน!”
ความคิดที่จะได้ไปเรียนต่อที่ปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้ไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่ง แต่เป็นพวกเขาทั้งสามคน เป็นความคิดที่อาจหาญและทะเยอทะยานจนน่าตกใจ แต่มันก็จุดประกายไฟแห่งความฝันที่เคยดับมอดไปแล้วในใจของต้าเฉียงและซิวอิงให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
ค่ำคืนนั้น สามพี่น้องนั่งคุยกันถึงอนาคตจนเกือบสว่าง พวกเขาวางแผนการเรียน แบ่งปันความฝัน และให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
กาลเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของปี 1989 โลกได้หมุนไปข้างหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง...ณ กรุงปักกิ่ง หลินเยว่ซิน หลินต้าเฉียง และหลินซิวอิงได้กลายเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ บริษัทหลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ปได้เปิดสำนักงานใหญ่และสาขาแฟล็กชิปที่เมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย และได้กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับชาติที่ทรงอิทธิพลทว่าณ อำเภอหลิวอันที่ห่างไกล ช่วงนี้ได้มีข่าวลือระลอกใหม่เกิดขึ้นในวงน้ำชาของเหล่าแม่บ้าน ข่าวลือที่เกี่ยวกับบุคคลที่แทบจะถูกลบหายไปจากความทรงจำของผู้คนแล้ว“นี่เธอได้ยินเรื่องนั้นหรือยัง?” หญิงคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนบ้าน “เห็นว่านังหนูซูเหม่ยลี่อะไรนั่นกำลังจะกลับมาแล้วนะ”“หา?! กลับมาอะไรกัน?” อีกคนถามด้วยความไม่ใส่ใจ“ก็ฉันได้ยินมาว่าเธอไปเจอผู้อุปถัมภ์คนใหม่ เป็นถึงเถ้าแก่จากต่างเมืองที่ร่ำรวยมากเลยล่ะ เห็นว่าเธอกำลังจะกลับมาทวงทุกอย่างคืน เธอบอกกับคนไปทั่วว่าความจริงทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดโปง ที่แท้หลินเยว่ซินนั่นแหละคืออสรพิษตัวจริง!”ในอดีต ข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้คงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดไปแล้ว แต่ในวันนี้ปฏิกิริยาของผู้คนกลับแตกต
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ท่านนายพลลู่และภรรยาเดินทางกลับไปแล้ว บ้านของตระกูลหลินก็ยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขและความตื่นเต้นไม่จางหาย ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขท่ามกลางความชื่นมื่นนั้น หลินเยว่ซินกลับรู้สึกว่าหัวใจของตนเองยังคงมีม่านหมอกบาง ๆ ปกคลุมอยู่ เธอยอมรับการสู่ขอ แต่ทว่าเธอยังไม่เคยได้ให้คำตอบแก่เขาจากหัวใจของเธออย่างแท้จริงเลยบ่ายวันนั้น ขณะที่เธอกำลังนั่งออกแบบเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ในห้องทำงาน ลู่เฟิงในชุดลำลองสบาย ๆ ก็เดินเข้ามาหาอย่างเงียบ ๆ“เยว่ซิน” เขาเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ไปเดินเล่นกับฉันหน่อยได้ไหม?”แม้จะเป็นคำเชิญที่เรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้ง นี่คือการนัดหมายครั้งแรกของพวกเขาในฐานะคู่หมั้นอย่างเป็นทางการเยว่ซินพยักหน้ารับเบา ๆ เธอรู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองเสียทีทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกจากตัวเมือง ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่สวยงามหรือโรแมนติกใด ๆ แต่กลับเดินไปตามเส้นทางดินสายเก่าที่ทอดตัวมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านหงซิง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดส
ฤดูสารทของปี 1988 ได้นำพาสายลมเย็นสบายและใบไม้สีทองโปรยปรายมาสู่เมืองหลิวอัน ครอบครัวหลินกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เปี่ยมสุขและวุ่นวายที่สุด พวกเขากำลังเตรียมการใหญ่สำหรับการย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองหลวงของต้าเฉียง ซิวอิง และเยว่ซินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง จดหมายฉบับหนึ่งจากลู่เฟิงก็ได้ถูกส่งมาถึง ซึ่งเนื้อหาข้างในนั้นก็ค่อนข้างที่จะสั้นกระชับ แต่ทว่ากลับทำให้หัวใจของเยว่ซินเต้นไม่เป็นส่ำ เขาเขียนว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์หน้า และครั้งนี้เขาจะไม่ได้มาคนเดียวสัญชาตญาณของเยว่ซินร้องบอกว่าการมาเยือนในครั้งนี้จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และดูเหมือนว่าทุกคนในบ้านก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกัน แม่หลินถึงกับลงมือทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่และสั่งให้พ่อหลินไปซื้อใบชาต้าหงเผาชั้นดีที่สุดมาเตรียมไว้ต้อนรับแขกเช้าวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส รถยนต์เก๋งหงฉีสีดำมันวาวสองคันแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูบ้านทรงลานสี่ทิศของตระกูลหลินอย่างเงียบเชียบแต่แฝงไว้ด้วยบารมีอันน่าเกรงขาม การปรากฏตัวของรถยนต์ระดับผู้นำประเทศเช่นนี้ทำให้เพื่อนบ้านที่สัญจรผ่านไปมาถึงกับต้องหยุดยืนมองด้วยความตก
ฟ้าหลังฝนสำหรับครอบครัวหลินแล้ว ท้องฟ้าของพวกเขาในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะสดใสไร้เมฆหมอกบดบัง แต่มันยังประดับประดาไปด้วยดวงดาวแห่งเกียรติยศที่ส่องประกายเจิดจรัสอีกด้วยเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนของปี 1988 หนึ่งปีกว่านับตั้งแต่การล่มสลายของตระกูลซู ช่วงเวลาที่ปราศจากมารผจญนี้เองที่ทำให้ธุรกิจใบไหวดีไซน์ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดราวกับมังกรทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์บัดนี้ หลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ป ไม่ได้เป็นเพียงร้านค้าในอำเภอเล็ก ๆ อีกแล้ว แต่ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโรงงานตัดเย็บเป็นของตัวเอง มีสาขากระจายอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ทั่วทั้งมณฑล และกำลังจะเริ่มขยายตลาดไปยังเมืองหลวงอย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ แบรนด์ใบไหวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่นที่ทันสมัย คุณภาพดี และเป็นความภาคภูมิใจของสินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างแท้จริงครอบครัวหลินเองก็ได้ย้ายออกจากบ้านหลังเดิมมาอาศัยอยู่ในบ้านทรงลานสี่ทิศ หลังใหญ่ที่เยว่ซินทุ่มเงินซื้อมันมาแล้วตกแต่งใหม่ทั้งหมด ที่นี่กว้างขวางและงดงามราวกับจวนของขุนนางในสมัยก่อน กลางลานบ้านมีสวนหย่อมที่จัดแต่งอย่างสวยงาม มีสระปลาคาร์ปเล็ก ๆ และต้นไหวที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ปร
หากคิดจะจับ ก็ต้องแสร้งปล่อยไปก่อนนี่คือกลยุทธ์ที่หลินเยว่ซินและลู่เฟิงได้วางไว้ร่วมกัน...สองวันหลังจากที่ซูเหม่ยลี่ได้จ่ายเงินก้อนสุดท้ายของเธอไป บทความชิ้นเอกอันแสนสกปรกของเฒ่าเหมาก็ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ใต้ดินฉบับหนึ่ง มันถูกนำไปแจกจ่ายตามร้านน้ำชาและแผงลอยต่าง ๆ ทั่วทั้งเมือง เรื่องราวที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอย่างสุดฝีมือได้สร้างความสับสนให้กับผู้คนอีกครั้ง ความสงสัยระลอกใหม่เริ่มซัดสาดเข้าใส่ชื่อเสียงของหลินเยว่ซินอีกคราทางฝั่งร้านใบไหวดีไซน์ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ยอดขายตกลงเล็กน้อย และมีเสียงซุบซิบนินทาจากลูกค้ามากขึ้น หลินเยว่ซินดูเหมือนจะตกอยู่ในภาวะตั้งรับ เธอเก็บตัวเงียบ ไม่ได้ออกมาโต้ตอบใด ๆ ท่าทีที่ดูเหมือนยอมจำนนนี้เองที่ทำให้ซูเหม่ยลี่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความสะใจ แต่แล้ว ในขณะที่ข่าวลือกำลังคุกรุ่นถึงขีดสุด ร้านใบไหวดีไซน์ก็ได้เคลื่อนไหวในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดบัตรเชิญที่ถูกออกแบบอย่างสวยหรูได้ถูกส่งไปยังสำนักข่าวทุกแขนง ทั้งสื่อท้องถิ่นและสื่อสิ่งพิมพ์ระดับมณฑล เนื้อหาในบัตรเชิญระบุว่าทางร้านจะจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ
ลมหนาวในช่วงปลายปี พัดพาเอากลิ่นอายของเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึงให้ลอยอบอวลไปทั่วทั้งเมือง บนถนนหนทางประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงสดใส ผู้คนต่างมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสจับจ่ายซื้อของเพื่อเตรียมเฉลิมฉลองวันปีใหม่ แต่สำหรับตระกูลซูแล้วฤดูหนาวในปีนี้มันช่างหนาวเหน็บและโหดร้ายเสียเหลือเกินธุรกิจที่เคยยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ล่มสลายลงโดยสมบูรณ์แล้ว...การที่ข่าวในหนังสือพิมพ์ถูกระงับไปอย่างรวดเร็วผิดปกติ เป็นดั่งสิ่งสุดท้ายที่ทำให้คู่ค้าและธนาคารต่างหมดสิ้นความเชื่อมั่นในตระกูลซู พวกเขารู้ดีว่าตระกูลซูไม่เพียงแต่กำลังจะล้มละลาย แต่ยังไปเหยียบตาปลาของผู้มีอำนาจระดับสูงเข้าให้อีกด้วย ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาอีกตอนนี้พวกเขาอยู่ในสภาวะสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างแท้จริง คฤหาสน์หลังงามกำลังจะถูกยึดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทรัพย์สินเงินทองที่เคยมีก็ร่อยหรอลงไปจนแทบไม่เหลือ พวกเขาไม่มีทางไปอีกแล้วค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบงันอันน่าสมเพชภายในคฤหาสน์ที่เคยโอ่อ่า ซูเจิ้งกั๋วที่บัดนี้ดูแก่ชราลงไปนับสิบปีได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ“เรายังเหลือหนทางสุดท้าย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งแ