กาลเวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงปลายฤดูสารท ย่างเข้าสู่ต้นฤดูเหมันต์ของปี 1985 สายลมเย็นที่พัดโชยมากับไอหมอกในยามเช้า เป็นดั่งสัญญาณบอกว่าอีกไม่นานหิมะแรกก็จะโปรยปรายลงมา
ร้านของเยว่ซินในตอนนี้ไม่ได้เป็นเพียงร้านค้าเล็ก ๆ อีกต่อไปแล้ว แต่ได้กลายเป็นวิสาหกิจขนาดย่อมที่สร้างงานและสร้างชื่อเสียงให้กับอำเภอ เยว่ซินได้ว่าจ้างแม่บ้านในหมู่บ้านสองสามคนมาช่วยในฝ่ายการผลิต ทำให้พวกเธอมีรายได้เสริมจุนเจือครอบครัวโดยไม่ต้องจากบ้านไปไกล ชื่อเสียงของครอบครัวหลินในตอนนี้ขาวสะอาดและเป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คนโดยทั่วไป พวกเขาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการจากดินสู่ดาวอย่างแท้จริง
แต่ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งกำลังรุ่งโรจน์ อีกฝ่ายหนึ่งกลับกำลังร่วงโรย...
ข่าวความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าของซูเหม่ยลี่ได้กลายเป็นเรื่องตลกขบขันในแวดวงสังคมชั้นสูงของอำเภอ ภาพลักษณ์คุณหนูผู้เพียบพร้อมของเธอบัดนี้ได้ด่างพร้อยจนยากจะขัดถูให้กลับมางดงามดังเดิมได้อีก เธอกลายเป็นคนที่เพื่อนฝูงในกลุ่มแอบหัวเราะเยาะลับหลัง และที่เลวร้ายกว่านั้นคือธุรกิจของตระกูลซูเองก็เริ่มประสบปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วเกินกว่าที่ซูเจิ้งกั๋วจะปรับตัวได้ทัน
ชีวิตที่เคยสมบูรณ์แบบของซูเหม่ยลี่ บัดนี้กลับมีรอยด่างขนาดใหญ่ที่ชื่อว่าหลินเยว่ซินคอยทิ่มแทงใจเธออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และแล้วโชคชะตาก็ได้นำพาให้ศัตรูทั้งสองต้องกลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง...
บ่ายวันหนึ่ง ณ ห้างสรรพสินค้าของรัฐ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทันสมัยและหรูหราที่สุดในอำเภอ หลินเยว่ซินกำลังยืนเลือกซื้อกระดุมและด้ายคุณภาพดีจากต่างประเทศที่เพิ่งนำเข้ามาใหม่ เธอกำลังวางแผนจะออกเสื้อผ้าคอลเลกชันฤดูหนาวระดับพรีเมียมเพื่อเจาะตลาดลูกค้ากระเป๋าหนัก
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ซูเหม่ยลี่และกลุ่มเพื่อนคุณหนูอีกสองสามคนก็กำลังเดินเลือกซื้อเครื่องสำอางนำเข้าอยู่ที่ชั้นเดียวกันพอดี
“เหม่ยลี่ ดูนั่นสิ...” เพื่อนคนหนึ่งสะกิดแขนเธอแล้วพยักพเยิดหน้าไปทางเยว่ซิน
สายตาของซูเหม่ยลี่หรี่ลงทันทีเมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคย เธอเห็นหลินเยว่ซินกำลังยืนพูดคุยกับพนักงานขายด้วยท่าทีที่มั่นใจและสง่างาม ไม่เหลือเค้าของเด็กสาวชาวนาที่ตื่นกลัวโลกอีกต่อไป ภาพนั้นมันช่างขัดหูขวางตาเธอเสียเหลือเกิน
เธอตัดสินใจว่านี่คือโอกาสอันดีที่จะได้สั่งสอนและเหยียบย่ำนังเด็กนั่นให้จมดินต่อหน้าเพื่อน ๆ และสายตาของคนทั้งห้าง
ซูเหม่ยลี่เชิดหน้าขึ้นแล้วเดินนำกลุ่มเพื่อนตรงเข้าไปหาเยว่ซินทันที
“ตายจริง ดูสิว่าใครมาอยู่ที่นี่ได้” เธอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หวานแต่แฝงไปด้วยยาพิษ “นึกว่าใคร ที่แท้ก็เถ้าแก่เนี้ยน้อยจากบ้านนอกนี่เอง ฉันล่ะประหลาดใจจริง ๆ ที่สถานที่อย่างห้างสรรพสินค้าจะยอมให้คนแต่งตัวซอมซ่ออย่างเธอเข้ามาเดินเพ่นพ่านได้ด้วย”
คำพูดดูถูกที่ไร้เหตุผลสิ้นดี เพราะชุดที่เยว่ซินสวมใส่อยู่ในวันนี้คือชุดที่เธอออกแบบและตัดเย็บเองอย่างประณีต มันดูเรียบง่ายแต่กลับสง่างามและมีรสนิยมยิ่งกว่าชุดราคาแพงแต่ไร้รสนิยมของซูเหม่ยลี่เสียอีก
เยว่ซินละสายตาจากกระดุมมุกตรงหน้าแล้วหันมามองผู้มาเยือน เธอไม่ได้แสดงอาการโกรธเคืองใด ๆ เพียงแค่พยักหน้าให้เล็กน้อยอย่างเย็นชา
“คุณหนูซู”
ความสงบนิ่งของเธอยิ่งราดน้ำมันลงบนกองไฟแห่งความริษยาของซูเหม่ยลี่
“ได้ยินว่ากิจการรังหนูของเธอกำลังไปได้สวยนี่” ซูเหม่ยลี่กล่าวเยาะหยัน “น่าทึ่งจริง ๆ นะว่าโชคที่ขโมยมากับแบบเสื้อที่ลอกเขามามันจะทำเงินได้มากขนาดนี้ แต่จำไว้นะกาที่สวมขนหงส์ ก็ยังคงเป็นกาอยู่วันยังค่ำ ไม่มีวันบินได้สูงส่งเหมือนหงส์ที่แท้จริงหรอก!”
เธอหยุดไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าววาจาที่ร้ายกาจที่สุดออกมา “เธอคงจะภูมิใจน่าดูสินะ ที่ทอดทิ้งครอบครัวผู้ให้กำเนิดตัวเองเพื่อมาหาเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการขายเศษผ้าให้พวกชาวนา ฉันล่ะสงสัยจริง ๆ ว่ากลางคืนเธอนอนหลับลงได้ยังไง ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าตัวเองคือลูกสาวที่อกตัญญูที่สุดในปฐพี!”
ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างพากันหยุดชะงักแล้วหันมามุงดูเหตุการณ์ด้วยความสนใจ พวกเขารู้จักหญิงสาวทั้งสองคนนี้ดี นี่คือการปะทะกันโดยตรงระหว่างคุณหนูตัวจริงและคุณหนูที่ถูกสลับตัวไป
ซูเหม่ยลี่คิดว่าเยว่ซินจะต้องอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี หรือไม่ก็คงจะโต้เถียงกลับมาด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่เธอคิดผิด!
หลินเยว่ซินกลับยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่บางเบาแต่เย็นเยียบไปถึงขั้วหัวใจ
“คุณหนูซู ความห่วงใยที่คุณหนูมีต่อการนอนหลับของฉัน ช่างน่าซาบซึ้งใจจริง ๆ ค่ะ” เธอเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่กลับคมกริบราวกับมีดที่เพิ่งลับใหม่ ๆ “แต่คงต้องขอทำให้คุณหนูต้องผิดหวัง เพราะฉันนอนหลับสนิททุกคืน ด้วยมโนธรรมที่ขาวสะอาด”
“ฉันหาเลี้ยงครอบครัวที่ชุบเลี้ยงฉันมา ฉันสร้างงานสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน และฉันก็เสียภาษีให้กับรัฐอย่างครบถ้วน ไม่ทราบว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่สามารถพูดแบบเดียวกันได้หรือเปล่าคะ?”
คำถามนั้นไม่เพียงแต่ตอกกลับซูเหม่ยลี่ แต่ยังแทงใจดำไปถึงกลุ่มเพื่อนคุณหนูที่เอาแต่ผลาญเงินพ่อแม่ไปวัน ๆ อีกด้วย
เธอยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น “ส่วนเรื่องที่ว่ากาไม่มีวันเป็นหงส์ได้นั้นคุณหนูพูดถูกค่ะ แต่คุณหนูลืมอะไรไปอย่างหนึ่ง หงส์ที่จิตใจโหดเหี้ยมและเหยียดหยามผู้อื่น ก็ยังดูต่ำต้อยกว่ากาที่รู้จักสร้างรังและหาเลี้ยงลูกน้อยของตนเองด้วยลำแข้ง อย่างน้อยที่สุด กาตัวนั้นก็ได้โบยบินด้วยปีกของมันเอง ไม่ได้อาศัยเกาะปีกเคลือบทองของพ่อแม่เหมือนใครบางคน”
ราวกับมีสายฟ้าฟาดลงกลางวงสนทนา เยว่ซินได้พลิกคำดูถูกของซูเหม่ยลี่ให้ย้อนกลับไปทิ่มแทงตัวเธอเองได้อย่างเจ็บแสบที่สุด
ซูเหม่ยลี่โกรธจนตัวสั่น ริมฝีปากเม้มแน่นจนขาวซีด “แก... แกกล้าดียังไง!”
“และเรื่องสุดท้าย เรื่องความอกตัญญู...” เยว่ซินก้าวเข้าไปใกล้อีกหนึ่งก้าว จ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่กำลังสั่นระริกของซูเหม่ยลี่ “ฉันเชื่อว่าความกตัญญูที่แท้จริง คือการนำมาซึ่งเกียรติยศชื่อเสียง ไม่ใช่ความอัปยศอดสูให้กับวงศ์ตระกูล พ่อแม่ของฉัน ครอบครัวหลิน พวกท่านภูมิใจในตัวฉันมาก”
เธอหยุดไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวประโยคเผด็จศึก “แล้วพ่อแม่ของคุณหนูล่ะคะ? พวกท่านภูมิใจในตัวคุณหนูบ้างหรือเปล่า? หรือว่าบางทีพวกท่านอาจจะกำลังผิดหวังกับลูกสาวที่ไม่มีอะไรดีไปกว่าการเที่ยวพ่นพิษร้ายแห่งความอิจฉาไปทั่วเช่นนี้?”
สิ้นคำพูดนั้นทุกอย่างก็เงียบกริบ...
ซูเหม่ยลี่ถูกต้อนจนมุมอย่างสมบูรณ์แบบ เสมือนกับการที่เธอถูกเปลื้องผ้ากลางตลาดจนไม่เหลือความน่าเกรงขามใด ๆ อีกต่อไป
ฝูงชนที่มุงดูอยู่ต่างพากันส่งเสียงฮือฮาชื่นชมในความเฉลียวฉลาดและคารมที่เหนือชั้นของเยว่ซิน
“พูดได้ดีจริง ๆ”
“เฉียบขาดมาก! ไม่ใช้คำหยาบเลยสักคำแต่เจ็บไปถึงกระดูกดำ!”
“ที่แท้คุณหนูตระกูลซูก็เป็นแค่เด็กสปอยล์ขี้อิจฉานี่เอง!”
กลุ่มเพื่อนของซูเหม่ยลี่เริ่มขยับตัวออกห่างอย่างแนบเนียน พวกเธอไม่อยากจะถูกร่างแหแห่งความอับอายนี้ไปด้วย
ซูเหม่ยลี่ถูกทิ้งให้ยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้นและความอัปยศอดสูจนแทบจะกลายเป็นสีม่วง เธอตัวสั่นเทิ้มจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่จ้องมองเยว่ซินราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
หลินเยว่ซินมองเธอด้วยแววตาที่ผสมปนเปกันระหว่างความสมเพชและความเย็นชา ก่อนจะหันหลังกลับไปเลือกซื้อของของเธอต่ออย่างใจเย็นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทิ้งให้ซูเหม่ยลี่จมอยู่กับสงครามน้ำลายที่เธอเป็นผู้ก่อขึ้นมาเอง
เสียงซุบซิบนินทาและสายตาดูแคลนจากคนรอบข้างเป็นดั่งเข็มนับพันเล่มที่ทิ่มแทงจิตใจของซูเหม่ยลี่ ความเกลียดชังที่เธอมีต่อหลินเยว่ซินในตอนนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความริษยาอีกต่อไปแล้ว แต่มันได้กลายเป็นความอาฆาตแค้นที่กัดกินจิตวิญญาณของเธอจนหมดสิ้น
‘นังสารเลว! แค่คำพูดมันยังน้อยไป!’ เธอกรีดร้องอยู่ในใจ
‘ฉันจะไม่ใช่แค่เอาชนะแก แต่ฉันจะทำลายแก ฉันจะเผาทุกอย่างที่แกสร้างขึ้นมาให้กลายเป็นเถ้าถ่านเลย คอยดู!’
สิบปีล้างแค้นยังไม่สาย แต่สำหรับเธอแล้ว เธอจะไม่รอแม้แต่วันเดียว!
กาลเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของปี 1989 โลกได้หมุนไปข้างหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง...ณ กรุงปักกิ่ง หลินเยว่ซิน หลินต้าเฉียง และหลินซิวอิงได้กลายเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ บริษัทหลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ปได้เปิดสำนักงานใหญ่และสาขาแฟล็กชิปที่เมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย และได้กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับชาติที่ทรงอิทธิพลทว่าณ อำเภอหลิวอันที่ห่างไกล ช่วงนี้ได้มีข่าวลือระลอกใหม่เกิดขึ้นในวงน้ำชาของเหล่าแม่บ้าน ข่าวลือที่เกี่ยวกับบุคคลที่แทบจะถูกลบหายไปจากความทรงจำของผู้คนแล้ว“นี่เธอได้ยินเรื่องนั้นหรือยัง?” หญิงคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนบ้าน “เห็นว่านังหนูซูเหม่ยลี่อะไรนั่นกำลังจะกลับมาแล้วนะ”“หา?! กลับมาอะไรกัน?” อีกคนถามด้วยความไม่ใส่ใจ“ก็ฉันได้ยินมาว่าเธอไปเจอผู้อุปถัมภ์คนใหม่ เป็นถึงเถ้าแก่จากต่างเมืองที่ร่ำรวยมากเลยล่ะ เห็นว่าเธอกำลังจะกลับมาทวงทุกอย่างคืน เธอบอกกับคนไปทั่วว่าความจริงทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดโปง ที่แท้หลินเยว่ซินนั่นแหละคืออสรพิษตัวจริง!”ในอดีต ข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้คงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดไปแล้ว แต่ในวันนี้ปฏิกิริยาของผู้คนกลับแตกต
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ท่านนายพลลู่และภรรยาเดินทางกลับไปแล้ว บ้านของตระกูลหลินก็ยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขและความตื่นเต้นไม่จางหาย ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขท่ามกลางความชื่นมื่นนั้น หลินเยว่ซินกลับรู้สึกว่าหัวใจของตนเองยังคงมีม่านหมอกบาง ๆ ปกคลุมอยู่ เธอยอมรับการสู่ขอ แต่ทว่าเธอยังไม่เคยได้ให้คำตอบแก่เขาจากหัวใจของเธออย่างแท้จริงเลยบ่ายวันนั้น ขณะที่เธอกำลังนั่งออกแบบเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ในห้องทำงาน ลู่เฟิงในชุดลำลองสบาย ๆ ก็เดินเข้ามาหาอย่างเงียบ ๆ“เยว่ซิน” เขาเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ไปเดินเล่นกับฉันหน่อยได้ไหม?”แม้จะเป็นคำเชิญที่เรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้ง นี่คือการนัดหมายครั้งแรกของพวกเขาในฐานะคู่หมั้นอย่างเป็นทางการเยว่ซินพยักหน้ารับเบา ๆ เธอรู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองเสียทีทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกจากตัวเมือง ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่สวยงามหรือโรแมนติกใด ๆ แต่กลับเดินไปตามเส้นทางดินสายเก่าที่ทอดตัวมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านหงซิง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดส
ฤดูสารทของปี 1988 ได้นำพาสายลมเย็นสบายและใบไม้สีทองโปรยปรายมาสู่เมืองหลิวอัน ครอบครัวหลินกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เปี่ยมสุขและวุ่นวายที่สุด พวกเขากำลังเตรียมการใหญ่สำหรับการย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองหลวงของต้าเฉียง ซิวอิง และเยว่ซินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง จดหมายฉบับหนึ่งจากลู่เฟิงก็ได้ถูกส่งมาถึง ซึ่งเนื้อหาข้างในนั้นก็ค่อนข้างที่จะสั้นกระชับ แต่ทว่ากลับทำให้หัวใจของเยว่ซินเต้นไม่เป็นส่ำ เขาเขียนว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์หน้า และครั้งนี้เขาจะไม่ได้มาคนเดียวสัญชาตญาณของเยว่ซินร้องบอกว่าการมาเยือนในครั้งนี้จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และดูเหมือนว่าทุกคนในบ้านก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกัน แม่หลินถึงกับลงมือทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่และสั่งให้พ่อหลินไปซื้อใบชาต้าหงเผาชั้นดีที่สุดมาเตรียมไว้ต้อนรับแขกเช้าวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส รถยนต์เก๋งหงฉีสีดำมันวาวสองคันแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูบ้านทรงลานสี่ทิศของตระกูลหลินอย่างเงียบเชียบแต่แฝงไว้ด้วยบารมีอันน่าเกรงขาม การปรากฏตัวของรถยนต์ระดับผู้นำประเทศเช่นนี้ทำให้เพื่อนบ้านที่สัญจรผ่านไปมาถึงกับต้องหยุดยืนมองด้วยความตก
ฟ้าหลังฝนสำหรับครอบครัวหลินแล้ว ท้องฟ้าของพวกเขาในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะสดใสไร้เมฆหมอกบดบัง แต่มันยังประดับประดาไปด้วยดวงดาวแห่งเกียรติยศที่ส่องประกายเจิดจรัสอีกด้วยเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนของปี 1988 หนึ่งปีกว่านับตั้งแต่การล่มสลายของตระกูลซู ช่วงเวลาที่ปราศจากมารผจญนี้เองที่ทำให้ธุรกิจใบไหวดีไซน์ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดราวกับมังกรทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์บัดนี้ หลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ป ไม่ได้เป็นเพียงร้านค้าในอำเภอเล็ก ๆ อีกแล้ว แต่ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโรงงานตัดเย็บเป็นของตัวเอง มีสาขากระจายอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ทั่วทั้งมณฑล และกำลังจะเริ่มขยายตลาดไปยังเมืองหลวงอย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ แบรนด์ใบไหวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่นที่ทันสมัย คุณภาพดี และเป็นความภาคภูมิใจของสินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างแท้จริงครอบครัวหลินเองก็ได้ย้ายออกจากบ้านหลังเดิมมาอาศัยอยู่ในบ้านทรงลานสี่ทิศ หลังใหญ่ที่เยว่ซินทุ่มเงินซื้อมันมาแล้วตกแต่งใหม่ทั้งหมด ที่นี่กว้างขวางและงดงามราวกับจวนของขุนนางในสมัยก่อน กลางลานบ้านมีสวนหย่อมที่จัดแต่งอย่างสวยงาม มีสระปลาคาร์ปเล็ก ๆ และต้นไหวที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ปร
หากคิดจะจับ ก็ต้องแสร้งปล่อยไปก่อนนี่คือกลยุทธ์ที่หลินเยว่ซินและลู่เฟิงได้วางไว้ร่วมกัน...สองวันหลังจากที่ซูเหม่ยลี่ได้จ่ายเงินก้อนสุดท้ายของเธอไป บทความชิ้นเอกอันแสนสกปรกของเฒ่าเหมาก็ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ใต้ดินฉบับหนึ่ง มันถูกนำไปแจกจ่ายตามร้านน้ำชาและแผงลอยต่าง ๆ ทั่วทั้งเมือง เรื่องราวที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอย่างสุดฝีมือได้สร้างความสับสนให้กับผู้คนอีกครั้ง ความสงสัยระลอกใหม่เริ่มซัดสาดเข้าใส่ชื่อเสียงของหลินเยว่ซินอีกคราทางฝั่งร้านใบไหวดีไซน์ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ยอดขายตกลงเล็กน้อย และมีเสียงซุบซิบนินทาจากลูกค้ามากขึ้น หลินเยว่ซินดูเหมือนจะตกอยู่ในภาวะตั้งรับ เธอเก็บตัวเงียบ ไม่ได้ออกมาโต้ตอบใด ๆ ท่าทีที่ดูเหมือนยอมจำนนนี้เองที่ทำให้ซูเหม่ยลี่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความสะใจ แต่แล้ว ในขณะที่ข่าวลือกำลังคุกรุ่นถึงขีดสุด ร้านใบไหวดีไซน์ก็ได้เคลื่อนไหวในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดบัตรเชิญที่ถูกออกแบบอย่างสวยหรูได้ถูกส่งไปยังสำนักข่าวทุกแขนง ทั้งสื่อท้องถิ่นและสื่อสิ่งพิมพ์ระดับมณฑล เนื้อหาในบัตรเชิญระบุว่าทางร้านจะจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ
ลมหนาวในช่วงปลายปี พัดพาเอากลิ่นอายของเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึงให้ลอยอบอวลไปทั่วทั้งเมือง บนถนนหนทางประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงสดใส ผู้คนต่างมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสจับจ่ายซื้อของเพื่อเตรียมเฉลิมฉลองวันปีใหม่ แต่สำหรับตระกูลซูแล้วฤดูหนาวในปีนี้มันช่างหนาวเหน็บและโหดร้ายเสียเหลือเกินธุรกิจที่เคยยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ล่มสลายลงโดยสมบูรณ์แล้ว...การที่ข่าวในหนังสือพิมพ์ถูกระงับไปอย่างรวดเร็วผิดปกติ เป็นดั่งสิ่งสุดท้ายที่ทำให้คู่ค้าและธนาคารต่างหมดสิ้นความเชื่อมั่นในตระกูลซู พวกเขารู้ดีว่าตระกูลซูไม่เพียงแต่กำลังจะล้มละลาย แต่ยังไปเหยียบตาปลาของผู้มีอำนาจระดับสูงเข้าให้อีกด้วย ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาอีกตอนนี้พวกเขาอยู่ในสภาวะสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างแท้จริง คฤหาสน์หลังงามกำลังจะถูกยึดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทรัพย์สินเงินทองที่เคยมีก็ร่อยหรอลงไปจนแทบไม่เหลือ พวกเขาไม่มีทางไปอีกแล้วค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบงันอันน่าสมเพชภายในคฤหาสน์ที่เคยโอ่อ่า ซูเจิ้งกั๋วที่บัดนี้ดูแก่ชราลงไปนับสิบปีได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ“เรายังเหลือหนทางสุดท้าย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งแ