กาลเวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเทศกาลตรุษจีนของปี 1986 สายลมหนาวแห่งฤดูเหมันต์พัดพาเอาเกล็ดหิมะบางเบาโปรยปรายลงมาเป็นครั้งแรก ปกคลุมเมืองทั้งเมืองไว้ด้วยสีขาวโพลนสะอาดตา บรรยากาศเฉลิมฉลองแผ่ซ่านไปทั่วทุกหนแห่ง แต่สำหรับซูเหม่ยลี่แล้วความสุขของผู้คนรอบข้างยิ่งขับเน้นให้ความมืดมิดในใจของเธอดำดิ่งลงไปอีก
ในเมื่อการโจมตีซึ่ง ๆ หน้าไม่ได้ผล เธอจึงเปลี่ยนมาใช้กลยุทธ์ที่ร้ายกาจและสกปรกยิ่งกว่า นั่นคือการใช้ข่าวลือ
เธอรู้ดีว่าจุดอ่อนเพียงอย่างเดียวของหลินเยว่ซินในตอนนี้ก็คือลู่เฟิง
ซูเหม่ยลี่เริ่มปล่อยข่าวลือระลอกใหม่ผ่านปากของเหล่าสตรีในแวดวงชั้นสูง ข่าวลือในครั้งนี้ไม่ได้โจมตีเรื่องธุรกิจหรือความกตัญญู แต่กลับเล็งเป้าไปที่เจตนาและศีลธรรมของเยว่ซินโดยตรง
“เธอได้ยินเรื่องของนังเด็กสกุลหลินนั่นหรือยัง? ที่แท้ก็เป็นจิ้งจอกสาวจอมมารยาดี ๆ นี่เอง”
“เธอจงใจสร้างเรื่องน่าสงสาร ตัดขาดกับครอบครัวตัวเองก็เพื่อจะสร้างภาพลักษณ์ให้ดูน่าเห็นใจ หวังตกเบ็ดคันใหญ่ยังไงล่ะ!”
“ใช่แล้ว ตอนนี้เธอก็กำลังอ่อยเหยื่ออย่างคุณชายลู่เฟิงตระกูลลู่อยู่ยังไงล่ะ เขามาจากตระกูลใหญ่ในปักกิ่งเชียวนะ นังนั่นมันก็แค่อยากจะใช้เขาเป็นบันไดไต่เต้าขึ้นไปสู่สังคมชั้นสูงเท่านั้นแหละ ผู้หญิงที่ใช้แม้กระทั่งเรื่องของครอบครัวมาเป็นเครื่องมือได้ช่างใจดำอำมหิตเสียจริง!”
ข่าวลือที่เลวร้ายนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วราวกับเชื้อโรค มันกัดกินใจผู้คนได้ง่ายดายยิ่งกว่าคำโกหกใด ๆ เพราะมันเล่นกับอคติและความอิจฉาที่ผู้คนมีต่อความสำเร็จของเยว่ซินเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พวกปากหอยปากปูเหล่านี้เริ่มทำให้ภาพลักษณ์ที่ขาวสะอาดของเยว่ซินต้องมัวหมองลงอีกครั้ง
ลู่เฟิงกลับมาถึงบ้านเกิดเพื่อพักผ่อนในช่วงเทศกาลตรุษจีนพอดี และเขาก็ใช้เวลาไม่นานนักในการรับรู้ถึงกระแสลมที่เปลี่ยนทิศทางไปนี้ เขาได้ยินเสียงซุบซิบนินทาจากเพื่อนบ้าน ได้เห็นสายตาแปลก ๆ ที่ผู้คนมองมายังร้านของเยว่ซิน และในที่สุดเขาก็ได้ยินเนื้อหาทั้งหมดของข่าวลืออันแสนสกปรกนี้จากปากของญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เอ่ยถามขึ้นมาอย่างลองเชิง
โครม!
ถ้วยชาในมือของเขาถูกวางกระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรงจนน้ำชากระฉอก
ความโกรธได้แผ่พุ่งออกมาจากตัวเขาจนคนรอบข้างรู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บ เขารู้ทันทีว่านี่คือฝีมือของใคร เขาไม่เคยเชื่อคำพูดเหล่านั้นแม้แต่ปลายก้อย แต่การที่พวกมันกล้าลากชื่อของเขาและทำร้ายชื่อเสียงของผู้หญิงที่เขาหมายปอง คือสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้เด็ดขาด!
บ่ายวันนั้น ลู่เฟิงสวมเครื่องแบบทหารเต็มยศที่เสริมให้รัศมีความน่าเกรงขามของเขาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี เขามุ่งตรงไปยังโรงน้ำชาที่เป็นศูนย์รวมของเหล่าแม่บ้านและผู้มีอันจะกินในเมือง ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของข่าวลือส่วนใหญ่นั่นเอง
ทันทีที่ร่างสูงสง่าในเครื่องแบบสีเขียวมะกอกก้าวเข้าไปในโรงน้ำชา เสียงพูดคุยที่เคยจอแจก็พลันเงียบกริบลงราวกับป่าช้า ทุกสายตาหันมามองเขาเป็นตาเดียว
เขาไม่สนใจใครทั้งสิ้น สายตาคมกริบของเขากวาดมองไปทั่ว ก่อนจะไปหยุดลงที่โต๊ะของคุณนายเฉิน ภรรยาข้าราชการระดับสูงซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่ปากไวและเป็นกระบอกเสียงชั้นดีให้กับซูเหม่ยลี่
ลู่เฟิงเดินตรงเข้าไปที่โต๊ะนั้น...
“คุณนายเฉิน” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่กลับเย็นเยียบไปถึงกระดูก “ผมได้ยินมาว่าคุณนายสนใจเรื่องส่วนตัวของผม และคุณหนูหลินเยว่ซินเป็นพิเศษ”
คุณนายเฉินหน้าซีดเผือด “ฉะ ฉันเปล่านะคะคุณชายลู่...”
ลู่เฟิงวางมือลงบนโต๊ะเบา ๆ แต่น้ำหนักที่กดลงไปนั้นกลับทำให้โต๊ะไม้เนื้อดีถึงกับลั่นเอี๊ยด “ผมขอพูดให้ชัดเจนตรงนี้เลยแล้วกัน คุณหนูหลินเยว่ซินเป็นสตรีที่มีเกียรติและมีคุณธรรมสูงส่ง ผมให้ความเคารพและนับถือเธอเป็นอย่างยิ่ง เรื่องราวที่คุณนายและคนอื่น ๆ กำลังพูดถึงกันอยู่นั้นคือคำโกหกที่น่ารังเกียจ”
เขาโน้มตัวลงเล็กน้อย ดวงตาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่หวาดหวั่นของคุณนายเฉิน
“ในกองทัพของเรามีกฎหมายเอาผิดผู้ที่หมิ่นประมาทประชาชนผู้บริสุทธิ์ และครอบครัวของผมก็ไม่เคยพอใจกับการถูกดึงชื่อเข้าไปพัวพันกับเรื่องไร้สาระแบบนี้”
เขากำลังอ้างถึงอำนาจของกฎหมายและตระกูลลู่ในเวลาเดียวกัน!
“นี่คือคำเตือนครั้งแรก และจะเป็นครั้งสุดท้าย” เขากล่าวปิดท้าย “หากผมยังได้ยินคำโกหกเหล่านี้อีก ผลที่ตามมาจะร้ายแรงเกินกว่าที่คุณนายจะจินตนาการได้”
ว่าแล้วเขาก็ยืดตัวตรงแล้วหมุนตัวเดินจากไป ทิ้งให้คุณนายเฉินและทุกคนในโรงน้ำชาตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว...
แต่เขายังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เป้าหมายที่แท้จริงของเขาก็คือ ‘เธอ’ คนนั้นต่างหาก
ลู่เฟิงมุ่งตรงไปยังร้านใบไหวดีไซน์ทันที เขาก้าวเข้าไปในร้านท่ามกลางสายตาที่ตกตะลึงของครอบครัวหลินและลูกค้าที่อยู่ในร้าน เขาไม่พูดพล่ามทำเพลง แต่เดินตรงเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าหลินเยว่ซินที่กำลังยืนงุนงงอยู่
“เยว่ซิน” เขาเรียกชื่อเธออย่างหนักแน่น เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกชื่อเธออย่างสนิทสนมเช่นนี้ต่อหน้าสาธารณชน
“ฉันรู้ว่ามีคนกำลังพูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับเธอ และฉันก็มาที่นี่เพื่อจะบอกให้เธอรู้...”
เขาสบตาเธอนิ่ง ดวงตาของเขาในตอนนี้ไม่ได้เย็นชาเหมือนเมื่อครู่อีกต่อไปแล้ว แต่มันกลับลุ่มลึกและจริงจังราวกับมหาสมุทรที่สงบนิ่ง
“ฉันไม่เคยสนใจคำพูดของคนอื่น ฉันไม่เคยสนใจอดีตที่ผ่านมา ฉันมองเห็นเพียงแค่ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันในตอนนี้เท่านั้น”
จากนั้นเขาก็กล่าวประโยคที่ทำให้หัวใจของเยว่ซินแทบจะหยุดเต้น...
“และไม่ว่าใครจะพูดอะไร ฉันจะเชื่อมั่นในตัวเธอ และจะปกป้องเธอเสมอ นี่คือคำมั่นสัญญาของฉัน”
คำมั่นสัญญา...
คำพูดของเขาเป็นดั่งสมอเรือเหล็กที่ทอดลงมากลางพายุ มันทั้งหนักแน่น มั่นคง และเปี่ยมไปด้วยพลังที่สามารถทำให้โลกทั้งใบของเธอหยุดหมุนได้
ทั้งร้านเงียบกริบ ทุกคนต่างตกตะลึงกับการประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนและองอาจของเขา ครอบครัวหลินถึงกับน้ำตาซึมด้วยความตื้นตันใจ
หัวใจของเยว่ซินเองก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง กำแพงที่เธอสร้างขึ้นมารอบตัวมาตลอด บัดนี้ได้ถูกกระแทกอย่างจังจนเกิดรอยร้าวขนาดใหญ่ ความอบอุ่นและความปลอดภัยที่เธอโหยหามาตลอดสองชาติภพ บัดนี้มันได้ถูกหยิบยื่นมาให้ตรงหน้าแล้ว...
เธออยากจะตอบรับ อยากจะพยักหน้า อยากจะโผเข้าไปหาอ้อมแขนที่แข็งแกร่งนั้นใจจะขาด แต่แล้วความกลัวที่ฝังรากลึกก็ฉุดรั้งเธอไว้
‘ปกป้องฉันงั้นเหรอ? เขาไม่เข้าใจอันตรายที่ใหญ่หลวงที่สุดสำหรับเขาก็คือฉันเอง!’
ความคิดนั้นแล่นผ่านเข้ามาในหัวของเธอ
‘ครอบครัวที่ทรงอำนาจของเขาในปักกิ่งนั้น พวกเขาจะคิดยังไง? หลานสะใภ้ที่เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่เคยตัดขาดกับครอบครัวผู้ให้กำเนิดอันเป็นหัวข้อของข่าวลือฉาวโฉ่ไม่หยุดหย่อน ฉันจะเป็นมลทินที่จะทำลายอนาคตที่สดใสของเขา ฉันจะเป็นจุดด่างพร้อยที่จะทำลายชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลเขา!’
ความรักที่เธอเริ่มจะมีให้เขาคือสิ่งที่ทำให้เธอต้องลังเล เพราะเธอไม่อยากจะทำร้ายเขา
ทุกคนกำลังรอคอยคำตอบจากเธอ ลู่เฟิงเองก็กำลังจ้องมองมาที่เธอด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
เยว่ซินสบตาเขา ในดวงตาของเธอเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ซัดกระหน่ำ มีทั้งความซาบซึ้ง ความโหยหา และความกลัวที่จับขั้วหัวใจ
เธอพยายามจะเอ่ยปากพูด แต่คำว่าตกลงมันช่างหนักอึ้งเกินกว่าจะเปล่งออกมาได้ ส่วนคำว่าปฏิเสธหัวใจของเธอก็ไม่ยินยอม
“ฉัน-” เธอเค้นเสียงออกมาได้อย่างยากลำบาก “ขอบคุณค่ะ”
นั่นคือทั้งหมดที่เธอสามารถพูดได้ในตอนนี้...
เธอรีบเบือนหน้าหนี ทำเป็นหันไปจัดผ้าบนชั้นวางของเพื่อซ่อนมือที่กำลังสั่นเทาเล็กน้อยของตัวเอง
ชั่วขณะนั้น บรรยากาศที่เคยตึงเครียดก็พลันคลายลง แต่กลับถูกแทนที่ด้วยความเงียบที่น่ากระอักกระอ่วนใจยิ่งกว่า
ลู่เฟิงมองแผ่นหลังที่ดูบอบบางแต่กลับแสร้งทำเป็นเข้มแข็งของเธอแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ เขาไม่โกรธ แต่กลับยิ่งรู้สึกสงสารและอยากจะปกป้องเธอมากขึ้นไปอีก เขาเห็นความกลัวในดวงตาของเธอ ไม่ใช่การปฏิเสธ
เขารู้ดีว่าการจะทลายป้อมปราการนี้คงต้องใช้เวลาและความอดทนอีกมาก
กาลเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของปี 1989 โลกได้หมุนไปข้างหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง...ณ กรุงปักกิ่ง หลินเยว่ซิน หลินต้าเฉียง และหลินซิวอิงได้กลายเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ บริษัทหลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ปได้เปิดสำนักงานใหญ่และสาขาแฟล็กชิปที่เมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย และได้กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับชาติที่ทรงอิทธิพลทว่าณ อำเภอหลิวอันที่ห่างไกล ช่วงนี้ได้มีข่าวลือระลอกใหม่เกิดขึ้นในวงน้ำชาของเหล่าแม่บ้าน ข่าวลือที่เกี่ยวกับบุคคลที่แทบจะถูกลบหายไปจากความทรงจำของผู้คนแล้ว“นี่เธอได้ยินเรื่องนั้นหรือยัง?” หญิงคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนบ้าน “เห็นว่านังหนูซูเหม่ยลี่อะไรนั่นกำลังจะกลับมาแล้วนะ”“หา?! กลับมาอะไรกัน?” อีกคนถามด้วยความไม่ใส่ใจ“ก็ฉันได้ยินมาว่าเธอไปเจอผู้อุปถัมภ์คนใหม่ เป็นถึงเถ้าแก่จากต่างเมืองที่ร่ำรวยมากเลยล่ะ เห็นว่าเธอกำลังจะกลับมาทวงทุกอย่างคืน เธอบอกกับคนไปทั่วว่าความจริงทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดโปง ที่แท้หลินเยว่ซินนั่นแหละคืออสรพิษตัวจริง!”ในอดีต ข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้คงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดไปแล้ว แต่ในวันนี้ปฏิกิริยาของผู้คนกลับแตกต
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ท่านนายพลลู่และภรรยาเดินทางกลับไปแล้ว บ้านของตระกูลหลินก็ยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขและความตื่นเต้นไม่จางหาย ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขท่ามกลางความชื่นมื่นนั้น หลินเยว่ซินกลับรู้สึกว่าหัวใจของตนเองยังคงมีม่านหมอกบาง ๆ ปกคลุมอยู่ เธอยอมรับการสู่ขอ แต่ทว่าเธอยังไม่เคยได้ให้คำตอบแก่เขาจากหัวใจของเธออย่างแท้จริงเลยบ่ายวันนั้น ขณะที่เธอกำลังนั่งออกแบบเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ในห้องทำงาน ลู่เฟิงในชุดลำลองสบาย ๆ ก็เดินเข้ามาหาอย่างเงียบ ๆ“เยว่ซิน” เขาเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ไปเดินเล่นกับฉันหน่อยได้ไหม?”แม้จะเป็นคำเชิญที่เรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้ง นี่คือการนัดหมายครั้งแรกของพวกเขาในฐานะคู่หมั้นอย่างเป็นทางการเยว่ซินพยักหน้ารับเบา ๆ เธอรู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองเสียทีทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกจากตัวเมือง ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่สวยงามหรือโรแมนติกใด ๆ แต่กลับเดินไปตามเส้นทางดินสายเก่าที่ทอดตัวมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านหงซิง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดส
ฤดูสารทของปี 1988 ได้นำพาสายลมเย็นสบายและใบไม้สีทองโปรยปรายมาสู่เมืองหลิวอัน ครอบครัวหลินกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เปี่ยมสุขและวุ่นวายที่สุด พวกเขากำลังเตรียมการใหญ่สำหรับการย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองหลวงของต้าเฉียง ซิวอิง และเยว่ซินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง จดหมายฉบับหนึ่งจากลู่เฟิงก็ได้ถูกส่งมาถึง ซึ่งเนื้อหาข้างในนั้นก็ค่อนข้างที่จะสั้นกระชับ แต่ทว่ากลับทำให้หัวใจของเยว่ซินเต้นไม่เป็นส่ำ เขาเขียนว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์หน้า และครั้งนี้เขาจะไม่ได้มาคนเดียวสัญชาตญาณของเยว่ซินร้องบอกว่าการมาเยือนในครั้งนี้จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และดูเหมือนว่าทุกคนในบ้านก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกัน แม่หลินถึงกับลงมือทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่และสั่งให้พ่อหลินไปซื้อใบชาต้าหงเผาชั้นดีที่สุดมาเตรียมไว้ต้อนรับแขกเช้าวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส รถยนต์เก๋งหงฉีสีดำมันวาวสองคันแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูบ้านทรงลานสี่ทิศของตระกูลหลินอย่างเงียบเชียบแต่แฝงไว้ด้วยบารมีอันน่าเกรงขาม การปรากฏตัวของรถยนต์ระดับผู้นำประเทศเช่นนี้ทำให้เพื่อนบ้านที่สัญจรผ่านไปมาถึงกับต้องหยุดยืนมองด้วยความตก
ฟ้าหลังฝนสำหรับครอบครัวหลินแล้ว ท้องฟ้าของพวกเขาในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะสดใสไร้เมฆหมอกบดบัง แต่มันยังประดับประดาไปด้วยดวงดาวแห่งเกียรติยศที่ส่องประกายเจิดจรัสอีกด้วยเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนของปี 1988 หนึ่งปีกว่านับตั้งแต่การล่มสลายของตระกูลซู ช่วงเวลาที่ปราศจากมารผจญนี้เองที่ทำให้ธุรกิจใบไหวดีไซน์ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดราวกับมังกรทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์บัดนี้ หลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ป ไม่ได้เป็นเพียงร้านค้าในอำเภอเล็ก ๆ อีกแล้ว แต่ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโรงงานตัดเย็บเป็นของตัวเอง มีสาขากระจายอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ทั่วทั้งมณฑล และกำลังจะเริ่มขยายตลาดไปยังเมืองหลวงอย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ แบรนด์ใบไหวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่นที่ทันสมัย คุณภาพดี และเป็นความภาคภูมิใจของสินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างแท้จริงครอบครัวหลินเองก็ได้ย้ายออกจากบ้านหลังเดิมมาอาศัยอยู่ในบ้านทรงลานสี่ทิศ หลังใหญ่ที่เยว่ซินทุ่มเงินซื้อมันมาแล้วตกแต่งใหม่ทั้งหมด ที่นี่กว้างขวางและงดงามราวกับจวนของขุนนางในสมัยก่อน กลางลานบ้านมีสวนหย่อมที่จัดแต่งอย่างสวยงาม มีสระปลาคาร์ปเล็ก ๆ และต้นไหวที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ปร
หากคิดจะจับ ก็ต้องแสร้งปล่อยไปก่อนนี่คือกลยุทธ์ที่หลินเยว่ซินและลู่เฟิงได้วางไว้ร่วมกัน...สองวันหลังจากที่ซูเหม่ยลี่ได้จ่ายเงินก้อนสุดท้ายของเธอไป บทความชิ้นเอกอันแสนสกปรกของเฒ่าเหมาก็ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ใต้ดินฉบับหนึ่ง มันถูกนำไปแจกจ่ายตามร้านน้ำชาและแผงลอยต่าง ๆ ทั่วทั้งเมือง เรื่องราวที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอย่างสุดฝีมือได้สร้างความสับสนให้กับผู้คนอีกครั้ง ความสงสัยระลอกใหม่เริ่มซัดสาดเข้าใส่ชื่อเสียงของหลินเยว่ซินอีกคราทางฝั่งร้านใบไหวดีไซน์ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ยอดขายตกลงเล็กน้อย และมีเสียงซุบซิบนินทาจากลูกค้ามากขึ้น หลินเยว่ซินดูเหมือนจะตกอยู่ในภาวะตั้งรับ เธอเก็บตัวเงียบ ไม่ได้ออกมาโต้ตอบใด ๆ ท่าทีที่ดูเหมือนยอมจำนนนี้เองที่ทำให้ซูเหม่ยลี่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความสะใจ แต่แล้ว ในขณะที่ข่าวลือกำลังคุกรุ่นถึงขีดสุด ร้านใบไหวดีไซน์ก็ได้เคลื่อนไหวในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดบัตรเชิญที่ถูกออกแบบอย่างสวยหรูได้ถูกส่งไปยังสำนักข่าวทุกแขนง ทั้งสื่อท้องถิ่นและสื่อสิ่งพิมพ์ระดับมณฑล เนื้อหาในบัตรเชิญระบุว่าทางร้านจะจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ
ลมหนาวในช่วงปลายปี พัดพาเอากลิ่นอายของเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึงให้ลอยอบอวลไปทั่วทั้งเมือง บนถนนหนทางประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงสดใส ผู้คนต่างมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสจับจ่ายซื้อของเพื่อเตรียมเฉลิมฉลองวันปีใหม่ แต่สำหรับตระกูลซูแล้วฤดูหนาวในปีนี้มันช่างหนาวเหน็บและโหดร้ายเสียเหลือเกินธุรกิจที่เคยยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ล่มสลายลงโดยสมบูรณ์แล้ว...การที่ข่าวในหนังสือพิมพ์ถูกระงับไปอย่างรวดเร็วผิดปกติ เป็นดั่งสิ่งสุดท้ายที่ทำให้คู่ค้าและธนาคารต่างหมดสิ้นความเชื่อมั่นในตระกูลซู พวกเขารู้ดีว่าตระกูลซูไม่เพียงแต่กำลังจะล้มละลาย แต่ยังไปเหยียบตาปลาของผู้มีอำนาจระดับสูงเข้าให้อีกด้วย ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาอีกตอนนี้พวกเขาอยู่ในสภาวะสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างแท้จริง คฤหาสน์หลังงามกำลังจะถูกยึดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทรัพย์สินเงินทองที่เคยมีก็ร่อยหรอลงไปจนแทบไม่เหลือ พวกเขาไม่มีทางไปอีกแล้วค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบงันอันน่าสมเพชภายในคฤหาสน์ที่เคยโอ่อ่า ซูเจิ้งกั๋วที่บัดนี้ดูแก่ชราลงไปนับสิบปีได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ“เรายังเหลือหนทางสุดท้าย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งแ