วันต่อมาแม่เฒ่าหลี่และหลิวหงลูกสะใภ้ของนางมาหาเฉียวลู่ที่กระท่อมน้อยแต่เช้าเพราะเรื่องที่พวกเขาคุยกันเอาไว้เมื่อวานตอนเย็น
“อวี้หลงอวี้ชิงจ๊ะลูกทั้งสองช่วยอะไรแม่บางอย่างได้หรือไม่”
เด็กชายพยักหน้าพร้อมกันอย่างกระตือรือร้นแสดงท่าทางอยากช่วยเฉียวลู่อย่างเต็มที่
“ไปบ้านสกุลฉินที่แม่พาลูกทั้งสองไปเมื่อวานจำได้หรือไม่ เรียกพี่ชายจื่อเฉินมาที่นี่แม่มีเรื่องคุยกับเขาลูกสองคนทำได้ไหม”
เฉียวลู่พูดกับเด็กชายทั้งสองด้วยความอ่อนโยน อวี้หลงกับอวี้ชิงพยักหน้าให้นางอีกครั้งจากนั้นจึงวิ่งหายไปทางหมู่บ้าน เฉียวลู่หันมาสนใจแม่สามีลูกสะใภ้ทั้งสอง
“ท่านยายท่านน้าหลิวท่านทานกุ้งไปเมื่อวานนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างท่านคิดว่ามันอร่อยหรือไม่”
แม่สามีลูกสะใภ้ที่นั่งข้างกันพยักหน้ารัวๆ จะไม่อร่อยได้อย่างไร ตอนแรกพวกเขายังเกรงใจกันและกันที่จะกินอาหารที่เฉียวลู่นำมาส่งหลังจากที่กินคำแรกไปแล้วต่างคนต่างแย่งชิงไม่สนความเป็นผู้อาวุโสและผู้น้อยแล้ว เฉียวลู่พยักหน้าและยิ้มให้ทั้งสองคนอย่างพอใจ
“เช่นนั้นพวกท่านคิดว่ามันจะสามารถนำไปขายได้หรือไม่ เท่าที่ข้าดูเหมือนว่าคนที่นี่ไม่นิยมกินพวกกุ้งเท่าไหร่นะเจ้าคะ มันถึงได้มีเยอะขนาดนั้น”
แม่เฒ่าหลี่พยักหน้า
“เป็นเรื่องจริงเพราะมันตัวไม่ใหญ่และมีเปลือกหนา เมื่อก่อนไม่มีอะไรกินก็มีคนไปจับมาทำอาหารบ้างแต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจที่จะกินมันเท่าใดนัก เคยมีคนในหมู่บ้านบางคนกินเข้าไปแล้วเกิดตุ่มผื่นขึ้นทำให้ทุกคนคิดว่าถ้ากินมากเกินไปจะทำให้เกิดอันตราย”
เฉียวลู่นิ่งคิดเล็กน้อยดูเหมือนว่าจะมีบางคนที่แพ้กุ้งเมื่อกินเข้าไปจึงทำให้เกิดผื่นแดงขึ้น
“ที่เขาเป็นเช่นนั้นเพราะเขามีอาการแพ้กุ้งเจ้าค่ะ”
เฉียวลู่อธิบายให้แม่เฒ่าหลี่กับหลิวหงเข้าใจ แต่ทั้งสองยังคงทำหน้าสงสัยเหมือนกับจะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เฉียวลู่บอก นางจะยกตัวอย่างอะไรให้พวกเขาเข้าใจดีนะ อีกทั้งยุคโบราณยังมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ล้าหลังนางจะอธิบายยังไงให้เข้าใจได้ง่าย
“ที่นี่มีเด็กที่ทานนมวัวแล้วมีอาการถ่ายท้องหรือไม่เจ้าคะ”
แม่เฒ่าหลี่นิ่งคิดตามคำถามของเฉียวลู่
“ข้าเคยได้ยินว่าหลานชายคนเล็กของหัวหน้าหมู่บ้านต้องทานนมวัวเพราะแม่ของเขามีน้ำนมไม่พอหลังจากที่ทานเด็กคนนั้นก็อ้วกออกมาและมีอาการถ่ายท้อง ตอนนั้นคนในหมู่บ้านยังคิดว่าในนมวัวมีพิษทำให้เด็กคนนั้นป่วย แต่หลานชายบ้านพี่ชายของข้าก็ดื่มนมวัวแต่เขากลับไม่มีอาการอะไรยิ่งดื่มนับวันยิ่งอ้วนท้วนสมบูรณ์หมอชางบอกว่าหลานของหัวหน้าหมู่บ้านแพ้นมวัวแต่เขาสามารถดื่มนมแพะได้นะ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะนั่นเรียกว่าเป็นอาการแพ้ชนิดหนึ่ง คนที่ทานกุ้งไม่ได้ก็จะมีอาการแพ้เช่นกันเจ้าค่ะความรุนแรงขึ้นอยู่ที่อาการแพ้ของแต่ละคนว่ามากน้อยแค่ไหน บางคนแพ้นิดหน่อยอาจมีแค่อาการคันและมีผื่นขึ้นเล็กน้อย หยุดกินไปสักพักก็หายไปเอง บางคนมีอาการแพ้รุนแรงอาจถึงขั้นหายใจไม่ออกและเสียชีวิต”
หลังจากที่เฉียวลู่อธิบายสตรีทั้งสองก็มีแสดงอาการเครียดออกมาท่าทางคิดไม่ตกกับการที่ต้องขายอาหารพวกนี้ หากเกิดมีคนที่กินเข้าไปแล้วมีอาการแพ้แล้วตายขึ้นมาพวกเขามิต้องติดคุกหัวโตหรือ
“อาลู่เจ้าคิดว่ากุ้งนี่จะขายได้จริงหรือถ้าเกิดมีคนที่แพ้แล้วกินเข้าไปจะทำอย่างไร”
เฉียวลู่ยิ้มหวานให้แม่เฒ่าหลี่ นางเข้าใจความหมายที่หญิงชราพยายามจะสื่อ
“ท่านยายไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นไปหรอกเจ้าค่ะ ข้ามีทางแก้ไขเรื่องนี้”
เฉียวลู่พูดอย่างมั่นใจ ทำให้แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงวางใจไปเปลาะหนึ่งแต่ก็ยังรู้สึกกลัวเรื่องอาการแพ้ของคนที่กินเข้าไปอยู่ดี ผ่านไปสักพักหัวเล็กๆ สามหัวก็ค่อยๆ โผล่เข้ามาในกระท่อมเฉียวลู่ได้ยินเสียงเดินของพวกเขาทั้งสามตั้งแต่ไกลๆ แล้วนับวันความสามารถในการรับรู้ของนางยิ่งเฉียบคม ทำเอาเฉียวลู่นึกแปลกใจแต่ก็เพียงแปลกใจเท่านั้นเพราะนี่ถือเป็นเรื่องดีสำหรับนาง
“เด็กๆ มาแล้วหรือจ๊ะ”
เฉียวลู่โอบกอดเด็กชายทั้งสองของนางจากนั้นจึงหันไปยิ้มให้ฉินจื่อเฉินอย่างใจดี ฉินจื่อเฉินคารวะสตรีทั้งสามอย่างมีมารยาทจากนั้นจึงยื่นหม้อดินเผาคืนให้เฉียวลู่
“ท่านแม่ฝากมาขอบคุณพี่เฉียวลู่ด้วยขอรับ”
แม่เฒ่าหลี่มองคนทั้งสองด้วยความสงสัย
“เมื่อวานข้าแวะเอาข้าวต้มกุ้งไปให้บ้านฉินเจ้าค่ะ”
เฉียวลู่อธิบายให้แม่เฒ่าหลี่หายสงสัย จากนั้นนางจึงหันมาหาฉินจื่อเฉินอีกครั้ง
“ข้าเรียกเจ้าว่าจื่อเฉินได้หรือไม่”
ฉินจื่อเฉินพยักหน้าให้นาง
“ดี เช่นนั้นจื่อเกระตือรือร้นน้อย เจ้าอยากจะทำงานหาเงินรักษาอาการป่วยของท่านแม่ของเจ้าหรือไม่”
ฉินจื่อเฉินดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที เพราะเขายังเด็กมากจึงไม่มีใครจ้างเขาทำงาน ไม่คิดว่าพี่เฉียวลู่จะมอบโอกาสนี้ให้กับเขา ฉินจื่อเฉินพยักหน้ารัวๆ ทำเอาเฉียวลู่ต้องรีบจับเขาเอาไว้เพราะกลัวว่าคอของเด็กชายจะเคล็ดไปวะก่อน
“ข้าทำขอรับ ไม่ว่างานจะหนักแค่ไหนข้าก็ทำทั้งนั้นขอให้พี่เฉียวลู่บอกมาได้เลย”
นางยิ้มให้กับท่าทางกระตือรือร้นของเด็กชายอย่างใจดี
“ดี ข้าชอบเด็กขยัน ไม่ใช่แค่เจ้านะหากมีเด็กในหมู่บ้านคนไหนอยากจะทำงานกับข้าให้พวกเขามาหาข้าที่นี่ได้เลยแล้วข้าจะอธิบายว่าจะจ่ายให้พวกเขาเท่าไหร่”
จากนั้นเฉียวลู่นำถังไม้เพื่อเอาไว้ใส่กุ้งแล้วพาคนทั้งหมดเดินตรงไปที่สระบัวทันที ชาวบ้านที่ไม่มีอะไรทำนั่งเกาะกลุ่มคุยกันอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ในลายกลางหมู่บ้านมองพวกเขาอย่างสงสัย
“ไปไหนกันหรือพี่หลี่”
หญิงชาวบ้านอายุราวสี่สิบปลายๆ ตะโกนถามแม่เฒ่าหลี่
“ไปสระบัวจับกุ้ง”
ชาวบ้านมองคณะของเฉียวลู่อย่างตกใจจนตาโต
“พวกท่านจะจับมันไปทำอะไรหรือ เจ้ากุ้งนั่นกินไม่ได้นะเดี๋ยวก็ป่วยเหมือนเอ้อโกวจื่อหรอก”
หญิงวัยกลางคนตะโกนบอกแม่เฒ่าหลี่ด้วยความเป็นห่วงแต่แม่เฒ่าหลี่ไม่สนใจยังคงพาพวกเด็กๆ เดินตรงไปที่สระบัว
“พวกเขาไม่มีอะไรกินจนบ้ากันไปแล้วแน่ๆ”
หญิงวัยกลางคนคนเดิมพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ
“วันก่อนข้าเห็นเฉียวลู่กับลูกๆ จับกุ้งที่สระบัวด้วยนะหรือว่าพวกนางกินแล้วไม่เป็นอะไร”
สตรีวัยกลางคนที่อยู่ในกลุ่มพูดขึ้น
“เช่นนั้นเจ้าจะบอกว่ากุ้งนั่นกินได้หรือ”
ทุกคนเอาแต่ส่ายหน้าไม่รู้ว่ากุ้งกินได้จริงๆ หรือกินไม่ได้กันแน่ เฉียวลู่ไม่สนใจว่าชาวบ้านจะคิดยังไงกับเรื่องที่นางมาจับกุ้ง แต่ตอนนี้นางและเด็กๆ ต่างสนุกสนานในการจับกุ้งในสระบัว น้ำลดลงมากกว่าเมื่อวานทำให้วันนี้จับกุ้งได้ง่ายกว่าเดิม
อวี้หลงอวี้ชิงและฉินจื่อเฉินตัวเปรอะไปด้วยโคลน เด็กๆ หัวเราะอย่างมีความสุขทุกครั้งที่จับกุ้งได้ แม้แต่ฉินจื่อเฉินที่ท่าทางสุขุมก็ยังหัวเราะออกมาด้วยความสนุก เมื่อถังไม้สามใบที่เฉียวลู่นำมาด้วยเต็มแล้ว นางจึงให้ทุกคนหยุดมือ
“เอาล่ะสำหรับวันนี้พอแค่นี้เถอะพวกเรากลับบ้านกันข้าจะทำอาหารที่อร่อยที่สุดให้ทุกคนได้ทาน เจ้าก็ไปด้วยกันนะจื่อเฉินน้อย”
เฉียวลู่หันมาบอกฉินจื่อเฉินเป็นคนสุดท้ายเพราะนางคิดว่าเด็กขี้เกรงใจคนนี้จะต้องปลีกตัวออกไปก่อนแน่ถ้านางไม่ห้ามเอาไว้ ฉินจื่อเฉินพยักหน้ารับเฉียวลู่
“ขอรับ”
หลังจากที่คณะของเฉียวลู่นำกุ้งกลับมาที่กระท่อมน้อยของนางแล้วทุกคนก็กลับเรือนของตนเพื่อชำระร่างกายให้สะอาดแล้วกลับมาที่กระท่อมเนินเขาอีกครั้ง เมื่อมาถึงก็พบเฉียวลู่ที่กำลังย่างกุ้งอยู่ กลิ่นหอมของกุ้งที่ตลบอบอวลทำเอาพวกเขาท้องร้องด้วยความหิวโหยขึ้นมาพร้อมกัน อวี้หลงและอวี้ชิงที่ยังเล็กนั้นไม่สามารถเก็บอาการอยากกินเอาไว้ได้น้ำลายของพวกเขาไหลลงมาที่มุมปาก ทำเอาเฉียวลู่หัวเราะจนตัวงอ เด็กทั้งสองอับอายจนต้องไปแอบด้านหลังของฉินจื่อเฉิน
เมื่อมีคนมาช่วยจึงทำให้การทำอาหารเร็วขึ้นแม่เฒ่าหลี่และหลิวหงมาช่วยเฉียวลู่ย่างกุ้ง ส่วนนางก็ไปทำน้ำจิ้มซีฟู๊ด เฉียวลู่สั่งผงหม่าล่าเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเพราะนางอยากให้พวกเขาได้ลิ้มลองรสชาติอาหารก่อนที่พวกเขาจะนำไปขาย
เฉียวลู่ยังไม่ลืมทำข้าวต้มในส่วนของท่านแม่ของฉินจื่อเฉิน เด็กคนนี้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางจะให้ค่าแรงเขาเท่าไหร่ แต่วันนี้เขาก็ทำเต็มที่โดยไม่บ่นสักคำ ทำเอาเฉียวลู่นึกสงสารและคิดว่านางใช้แรงงานเด็กหนักไปหรือไม่นะ
เมื่ออาหารทุกอย่างเสร็จแล้วเฉียวลู่ให้ฉินจื่อเฉินนำข้าวต้มกุ้งไปส่งท่านแม่ของเขาและให้เขาเรียกจางหย่งที่ทำงานไม้อยู่ที่เรือนสกุลจางมาทานข้าวที่กระท่อมของเฉียวลู่ด้วย
ฉีหมิงเยี่ยนกลับมาพร้อมชัยชนะหลังจากนั้นหนึ่งเดือน คนตระกูลเสิ่นและผู้ที่เข้าร่วมก่อการกบฏต่างก็ถูกตัดหัวแขวนประจานเอาไว้ทุกหัวเมืองที่ถูกยึดคืนกลับมาได้ แต่ชัยชนะครั้งนี้กลับไม่ได้มีการเฉลิมฉลองเพราะฉีอ๋องต้องสูญเสียพระชายาอันเป็นที่รักไปอย่างกะทันหัน เขาขังตัวเองเอาไว้ในห้องที่มีโลงใส่ศพของนาง อาจารย์ของเฉียวลู่เองก็ไม่คิดว่าตนเองจะต้องสูญเสียลูกศิษย์ของตนไปถึงสองคนพร้อมกัน เขาได้ใช้น้ำแข็งพันปีมรดกตกทอดของเจ้าสำนักเซียนแพทย์แช่ร่างของเฉียวลู่เอาไว้รอสามีของนางกลับมา“อาลู่เจ้าลืมตาขึ้นมาเถิด เจ้าอย่าได้ล้อข้าเล่นเช่นนี้เลย สามีของเจ้าตกใจรู้หรือไม่”ฉีหมิงเยี่ยนร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจ ปากก็พร่ำเพ้อหานางไม่หยุด ร่างบางที่เหมือนนอนหลับอยู่ภายในโลกไม้ที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีตไม่ขยับไหวติงแม้เพียงนิดเขาทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไรกัน เขาอุตส่าห์เปลี่ยนแปลงอนาคตทุกอย่างแล้ว คนตระกูลเสิ่นที่เป็นสาเหตุการตายของนางเขาก็สังหารจนสิ้น แต่แล้วเหตุใดนางถึงยังจากเขาไปอีกเล่า สวรรค์ท่านช่างใจร้ายกับข้านัก ท่านคิดที่จะทำลายหัวใจของข้าอีกกี่ครั้งกันท่านถึงจะพอใจเสียงร้องโหยหวนดั่งสัตว์ป่าที่กำลังบาดเจ็บ
ไม่นานหลังจากนั้น ทหารจากค่ายวิหคทมิฬพบสองพี่น้องที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งโดยบังเอิญ พวกเขาตามรอยของกั๋วจื่อชางเข้าไปในป่า แต่ต้องคลาดกันเพราะมีน้ำป่าไหลทะลักบนภูเขา จึงต้องย้อนกลับมาที่หมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างจากร่องรอยสุดท้ายที่หาเจอ เพราะเหตุนั้นจึงได้พบนายน้อยของตำหนักชินอ๋องทั้งสองคนเกือบครึ่งเดือนที่พวกเขาถูกจับตัวไป เพราะไม่ค่อยได้ทานอาหารสองพี่น้องจึงดูซูบผอมไปเล็กน้อย เฉียวลู่ที่ได้ข่าวจากคนของค่ายวิหคทมิฬนางเร่งเดินทางมาที่หมู่บ้านโดยเร็ว“ลูกแม่!!”นางกอดร่างเล็กทั้งสองเอาไว้ในอ้อมแขน พลางลูบหลังพวกเขาอย่างปลอบโยน อวี้หลงและอวี้ชิงที่เคยฝึกอยู่ในค่ายวิหคทมิฬอย่างหนักไม่เคยแม่แต่จะหลั่งน้ำตาสักหยด แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของมารดา เสียงร้องไห้เล็กๆ สองเสียงก็ดังประสานขึ้นก้องกังวานทั่วหมู่บ้านเหล่าทหารจากค่ายวิหคทมิฬที่รู้จักเด็กชายทั้งสองมองพวกเขาด้วยความแปลกใจ นึกว่าบุตรชายของมัจจุราชฉีจะกลายเป็นเหล็กกล้าเหมือนดั่งบิดาเสียอีก ไม่นึกว่าจะยังมีมุมน่ารักดั่งเด็กน้อยเมื่อยามที่อยู่กับมารดาเฉียวลู่ที่ถูกพรากบุตรชายจากอกไปหลายวัน นางเองก็ขวัญเสียไม่แพ้กัน สองแม่ลูกก
“อยู่ให้ห่างจากน้องชายของข้านะ”อวี้หลงวิ่งเข้าไปคิดที่จะทำร้ายนาง แต่หญิงใบ้กลับหลบได้อย่างง่ายดาย เขาวิ่งมาขวางนางอีกครั้งแต่ถูกหญิงใบ้จับโยนจนร่างเล็กลอยละลิ่วไปไกล นางใช้มือคลำไปที่ใบหน้าและลำคอของอวี้ชิงเบาๆ จากนั้นจึงหยิบยาออกมาจากแขนเสื้อแล้วยัดเข้าไปในปากของเขา นางบีบจมูกของอวี้ชิงเพื่อให้เขากลืนยาลูกกลอนลงไป อวี้หลงคิดว่านางวางพิษน้องชายตนเอง เขากรีดร้องออกมาทั้งน้ำตาด้วยความเจ็บปวด“อ๊ากกกก!!!ข้าจะสู้ตายกับเจ้า”เด็กชายที่สูงเพียงอกของนางพยายามต่อสู้กับหญิงใบ้สุดกำลัง ดวงตาเฉยเมยมองเด็กน้อยที่กำลังวิ่งเข้าหานาง เขาแกว่งหมัดไปที่หลายทีแต่นางก็ไม่ได้สู้กลับ นางทำเพียงพลิกเท้าหลบไปมาเหมือนกำลังเย้าแหย่สัตว์ตัวเล็กๆเด็กตัวเล็กที่พยายามต่อสู้กับผู้ใหญ่ผ่านไปนานสุดท้ายก็ยังไร้ผล อวี้หลงหอบหายใจแรงเพราะเรี่ยวแรงของเขาหมดไปจากการที่เขาแบกน้องชายเดินเป็นเวลานาน“พะ...พี่ชาย”เสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมจิตใจของเขา อวี้หลงเลิกสนใจหญิงใบ้รีบวิ่งไปดูน้องชายของตนทันที“ชิงเอ๋อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”อวี้หลงแตะไปที่หน้าผากของเขา ตัวที่ร้อนดังไฟตอนนี้ได้เย็นลงเล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำ
อวี้หลงและอวี้ชิงฟื้นขึ้นมาหลังจากที่ถูกลักพาตัวโดยชายชุดดำหลายสิบคน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาถูกจับตัวมา ท่านแม่และท่านพ่อจะต้องเป็นห่วงพวกเขามากแน่ๆตลอดทางที่รถม้าวิ่งพวกเขาถูกจับกรอกยาบางอย่างทำให้ไร้เรี่ยวแรงและหลับไป ทหารที่ทำหน้าที่คุ้มกันรถม้ากลับขึ้นมาดูพวกเขาเป็นระยะ สองพี่น้องฝาแฝดแสร้งหลับเพื่อไม่ให้ถูกกรอกยาอีกอวี้หลงใช้เท้าสะกิดน้องชายเบาๆ อวี้ชิงหรี่ตามองพี่ชายเล็กน้อย ทั้งสองพยักหน้าให้กันเป็นการสื่อสารที่เหมือนจะมีแค่พวกเขาที่เข้าใจ“เป็นอย่างไรบ้างพวกเขาตื่นขึ้นมาบ้างหรือไม่”เสียงหวานที่คุ้นหูทำให้นึกถึงสตรีผู้หนึ่งที่ท่านแม่แนะนำว่านางคือสหาย นางกล้าหักหลังท่านแม่แล้วจับตัวพวกเขามาหรือ ช่างน่าตายนัก“หลายวันมานี้พวกเขาฟื้นขึ้นมาไม่กี่ครั้งขอรับ ตอนนี้ยังคงหลับอยู่เพราะข้ากรอกยาสลายพลังไปแล้ว”ซูหลีพยักหน้า จากนั้นจึงเดินกลับขึ้นรถม้าคันที่อยู่ด้านหน้าพร้อมกับกั๋วจื่อชาง ไม่มีใครเอะใจเรื่องนี้เลยว่าพวกเขาจะแสร้งหลับเพราะคิดว่าเป็นเพียงเด็กหกขวบที่ไร้เล่ห์เหลี่ยมเท่านั้น หลังจากที่ดื่มยาสลายพลังไปสองสามครั้งดูเหมือนฤทธิ์ยาจะค่อยๆ ไร้ผลและไม่สามารถทำอันใด
หลังงานเลี้ยงที่วังหลวง เหล่าราชทูตที่มาร่วมงานต่างทยอยเดินทางกลับแคว้นของตน องค์หญิงเซียวหมิ่นเองก็เช่นเดียวกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปเล็กน้อยคือ นางกลับไปที่แคว้นเซียวในครั้งนี้มีเว่ย หลี่หมิงตามนางกลับไปด้วย ส่วนทางด้านเว่ยอ๋องก็ต้องกลับไปเตรียม ของหมั้นและสินสอดเพื่อแต่งสะใภ้เข้าจวน“ข้าขอให้พวกท่านเดินทางปลอดภัย หากมีโอกาสข้าจะไปร่วมงานแต่งของท่านทั้งสอง”“ข้าไปก่อนนะพี่อาลู่ท่านอย่าลืมแวะมาหาข้าเล่า”เฉียวลู่ออกมาส่งขบวนราชทูตจากแคว้นเซียวและแคว้นเว่ยที่นอกเมือง องค์หญิงเซียวหมิ่นยังมีท่าทางอาลัยอาวรณ์ต่อนาง และไม่อยากกลับแคว้นเซียว“รีบออกเดินทางเถอะสายมากแล้ว”ทหารอารักขาให้สัญญาณ ขบวนรถม้าจากแคว้นเซียวจึงเริ่มเคลื่อนตัว“ข้าขอขอบคุณเว่ยอ๋องที่ช่วยเหลือและดูแลข้ามาถึงหนึ่งปี ในอนาคตหากท่านมีเรื่องเดือดร้อนใด ทั้งข้าและสำนักเซียนแพทย์จะเข้าช่วยเหลือท่านอย่างเต็มกำลัง”นางหันมาขอบคุณเว่ยอ๋องที่กำลังออกเดินทางเช่นเดียวกัน“ไม่เป็นไรมิได้ ที่ข้าช่วยพระชายาก็ถือว่าเราทั้งสองแคว้นมีวาสนาต่อกัน ในอนาคตหากข้ามีเรื่องเดือดร้อนข้าจะมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าแน่นอน”เว่ยอ๋องเอ่ยลาจากนั
นางกำนัลที่พาเฉียวลู่มาที่ห้องรับรองครั้งแรกย่องกลับมาดูสถานการณ์ เมื่อได้ยินเสียงน่าบัดสีดังขึ้นข้างในนางจึงรีบกลับไปที่งานเลี้ยงทันที ผ่านไปไม่นานนางกำนัลกลับมาพร้อมราชทูตและขุนนางมากมาย รวมทั้งชินอ๋องผู้ที่จะมาเป็นพยานสำคัญในเรื่องนี้เสียงครางกระเส่าของบุรุษยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่เสียงของสตรีนั้นร้องครางออกมาอย่างเจ็บปวดช่างฟังแล้วให้ความรู้สึกขัดกันยิ่งนัก“นี่มันเรื่องอันใดกัน ในงานเลี้ยงวันพระราชสมภพของฝ่าบาท ใครช่างใจกล้าทำเรื่องบัดสีเช่นนี้”ผู้ที่เอ่ยขึ้นคือราชครูเสิ่นบิดาของเสิ่นชิงหยุน ทุกคนที่ตามมาดูเรื่องสนุกต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย“ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นคือ....”นางกำนัลมองไปที่ฉีหมิงเยี่ยนก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความหวานกลัว“ผู้ใดกันเหตุใดถึงไม่ยอมพูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หากกระทำผิดย่อมต้องได้รับโทษเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือขุนนาง”ราชครูเสิ่นจ้องไปที่นางกำนัลอย่างไม่วางตา เพื่อกดดันให้นางเอ่ยชื่อผู้ที่กำลังแสดงฉากร่วมรักอยู่ภายในห้องออกมา“พระชายาชินอ๋องเจ้าค่ะ บ่าวทำหน้าที่นำทางพระชายาชินอ๋องให้มารอที่ห้องนี้ แต่ไม่คิดว่านางจะ...”ทุกคนต่างหันกลับมามองฉี