กริ๊ง!!!!
เสียงนาฬิกาปลุกที่กรีดร้องดังขึ้น ปลุกให้โจวซิ่วหลันตื่นจากฝันร้ายที่แสนจะน่าหวาดหวั่นนั้น หัวใจของเธอยังคงเต้นกระหน่ำราวกับจะหลุดออกมาจากอกกับภาพอันน่ากลัวและสยดสยอง ขนอ่อนบนกายลุกชันทั่วร่าง รับรู้ถึงความเจ็บปวดยามเมื่อคมมีดกรีดลึกลงมาบนผิวกาย เธอรู้สึกทั้งหวาดกลัวและรู้สึกผิดกับชายหนุ่มในฝัน ซิ่วหลันสะบัดศีรษะที่หนักอึ้งอย่างแรง ขับไล่ความหวาดกลัวที่แล่นจับขั้วหัวใจของเธอ ยกสองมือที่สั่นเทาลูบใบหน้าที่ชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ ลำคอของเธอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ริมฝีปากซีดเผือดสั่นระริกจนต้องขบเม้มเข้าหากันแน่น ความฝันในครั้งนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน หญิงสาวพยายามรวบรวมสติ พร่ำบอกกับตนเองว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝัน แววตาที่ยังคงสั่นไหวเหลือบมองนาฬิกาที่บ่งบอกเวลาห้าโมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาที่เธอจะต้องลุกขึ้นเตรียมตัวเพื่อที่จะออกไปทำงานเช่นดังทุกวัน แม้จิตใจจะยังไม่สงบ แต่ซิ่วหลันก็บังคับตัวเองให้ลุกขึ้น ทำทุกอย่างเช่นดังปกติแม้จะรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก วันนี้เธอจะไปทำงานเป็นวันสุดท้าย ก่อนที่จะได้หยุดพักแบบยาวๆ หลังจากที่ต้องทำงานอย่างหนักติดต่อกันอยู่หลายเดือน หลายเดือนมานี้เธอทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างหนัก เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ติดโรคระบาด ในแต่ละวันแทบจะหมดสิ้นเรี่ยวแรง กลับมาแทนที่จะได้พักผ่อน เธอกลับเอาแต่ฝันถึงเรื่องราวเดิมๆ ซ้ำๆ และความฝันนั้นคล้ายจะเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ เธอต้องเผชิญกับความฝันนั้นทุกครั้งที่หลับตา แม้ตอนนี้เรื่องของโรคระบาดจะคลี่คลายลงแล้ว แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเธอในตอนนี้ทำให้หญิงสาวรู้สึกอ่อนล้าเป็นอย่างมาก จนต้องยื่นเรื่องขอลาพักเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม เธอรู้ตัวเองดีว่าตอนนี้เธอกำลังตกอยู่ในสภาวะตึงเครียด ตลอดวันซิ่วหลันเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตนเอง แต่จิตใจของเธอกลับวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องราวในความฝัน จนอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเธอสามารถ ระลึกชาติได้ และนั่นเป็นสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด แล้วอีกหนึ่งวันที่แสนหนักอึ้งของโจวซิ่วหลันก็ผ่านพ้นไป หญิงสาวทิ้งกายลงนอนแผ่หลาบนเตียงหลังจากที่กลับมาถึงบ้าน ในที่สุดเธอก็ได้หยุดพักเสียที แต่กว่าจะผ่านวันนี้มาได้ก็หนักหนาไม่น้อย ตอนนี้หัวของเธอกำลังปวดตุบตุบ จนต้องฝืนกายลุกขึ้น เร่งทำความสะอาดร่างกาย แล้วหาอาหารง่ายๆ และยาแก้ปวดกิน จากนั้นจึงทิ้งกายลงนอนอีกครั้ง ถึงแม้ว่าไม่อยากที่จะหลับตา แต่เธอก็ไม่อาจฝืนร่างกายเอาไว้ได้ ในที่สุดก็หลับไปอย่างเหนื่อยล้า โจวซิ่วหลันรู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกครั้งเมื่อสัมผัสได้ถึงอากาศที่หนาวเย็น แต่เธอกลับไม่ยอมลืมตา เพราะรู้สึกหวงแหนช่วงเวลานี้ เธอรับรู้ได้ว่าตัวเองได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ จนอดที่จะรู้สึกยินดีไม่ได้ที่ค่ำคืนนี้เธอไม่ได้ฝันเช่นนั้นอีก นานมากแล้วที่ไม่ได้นอนเต็มอิ่มเช่นนี้ หรือจะเป็นเพราะสร้อยข้อมือปี่เซียะที่เธอสวมอยู่ คิดได้เช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะลูบไล้สร้อยปี่เซียะบนข้อมือ สร้อยข้อมือเส้นนี้คุณยายวัยเก้าสิบ คนไข้ที่คุ้นเคยกันดีได้มอบให้เธอเมื่อวานนี้เป็นของขวัญวันจากลา เพราะท่านจะเดินทางไปอยู่กับลูกหลานอีกเมืองหนึ่ง และเป็นของตอบแทนที่เธอดูแลท่านเป็นอย่างดีมาตลอด สร้อยเส้นนี้เป็นปี่เซียะที่ล้อมรอบด้วยเม็ดลูกปัดเม็ดเล็กๆ สีเขียวเหมือนกับหยก ให้ความรู้สึกสงบ เย็นสบายเมื่อสวมใส่ คุณยายบอกว่าเป็นวัตถุมงคลที่ท่านพกติดตัวช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้าย เรียกทรัพย์สินเงินทองให้ไหลมาเทมา และกักเก็บทรัพย์ อยากให้เธอสวมติดตัวเอาไว้ ไม่คิดเลยว่ามันจะช่วยให้เธอไม่ฝันร้ายอีกด้วย สายลมเย็นที่พัดวูบเข้ามาทำให้โจวซิ่วหลันสะดุ้ง อากาศคืนนี้ก็ช่างหนาวเย็นนัก เธอคงจะลืมปิดหน้าต่างอีกเป็นแน่จึงได้รู้สึกถึงลมเย็นที่พัดผ่านเข้ามากระทบผิวกาย และเมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่ารอบตัวมีเพียงความมืดมิดจนมองไม่เห็นสิ่งใด "ไฟดับหรือนี่" มือเล็กคลำไปรอบตัวเพื่อหาโทรศัพท์มือถือที่จำได้ว่าวางเอาไว้ข้างกายก่อนที่จะหลับไปเพื่อดูว่าตอนนี้เวลาเท่าไรแล้ว แต่กลับพบว่าที่ที่เธอนอนอยู่ทั้งแข็งและเย็น ฟูกนอนหนานุ่มหอมกรุ่นกลายเป็นเบาะบางๆ เหม็นกลิ่นอับ คิ้วเรียวพลันขมวดมุ่น เธอตื่นเต็มตาในทันที ร่างบอบบางผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความหวาดหวั่นที่กัดกินใจ และตอนนี้ก็รู้สึกชาไปทั้งร่าง เมื่อสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง บรรยากาศรอบกายที่ไม่คุ้นเคยและกลิ่นที่สัมผัสได้บอกเธอว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนของเธอ หรือว่าเธอกำลังฝันอีกแล้ว แต่ความรู้สึกกลับบอกเธอว่านี่ไม่ใช่ความฝัน และเธอก็มั่นใจเช่นเดียวกันว่าในขณะนี้เธอไม่ได้กำลังฝันอยู่เป็นแน่ โจวซิ่วหลันพยายามปรับสายตามองฝ่าความมืด หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นอย่างโง่งมคิดไปต่างๆ นานา แต่ก็ไม่อาจที่จะทำสิ่งใดได้ เธอคงต้องรอให้ถึงเช้าวันใหม่ เพียงไม่นานความมืดมิดที่โรยตัวอยู่รอบกายก็เริ่มที่จะจางหาย บ่งบอกว่าเวลานี้อยู่ในช่วงย่ำรุ่ง เมื่อมองเห็นทุกอย่าง แม้มันจะเลือนราง แต่ก็ทำให้หัวใจของโจวซิ่วหลันเต้นแรงขึ้นอย่างยากที่จะระงับ หญิงสาวนั่งมองรอบกายด้วยความหวาดหวั่นและหวาดกลัว เธอไม่กล้าที่จะหายใจแรงเลยด้วยซ้ำ ได้แต่ภาวนาขออย่าให้เป็นเช่นดังที่เธอคิด จนกระทั่งแสงแรกของเช้าวันใหม่สาดส่องเข้ามา ร่างกายของหญิงสาวแข็งทื่อในทันทีเมื่อพบว่า ภายในห้องแห่งนี้ดูคุ้นตาเป็นอย่างมากและเธอจำได้ว่าเธอเคยเห็นมันในความฝัน นั่นย่อมแสดงว่าเธอได้ย้อนกลับมาอยู่ในยุคอดีตและเป็นโจวซิ่วหลันที่แสนจะร้ายกาจคนนั้น โจวซิ่วหลันที่เป็นตัวเธอในอดีต แม้จะรู้สึกตกใจ แต่เรื่องเหนือธรรมชาติได้เกิดขึ้นกับเธอแล้ว แน่นอนว่าเธอไม่ยอมที่จะเดินตามเส้นทางเดิมเช่นดังในอดีตชาติอีกเด็ดขาด การที่เธอย้อนกลับมาเช่นนี้สวรรค์ย่อมต้องการให้เธอเปลี่ยนแปลงอดีตที่ผิดพลาดของตัวเอง เธอในอดีตนั้นช่างเลวร้ายเหลือเกิน แต่จะดีกว่านี้หรือไม่หากให้เธอย้อนกลับมาในตอนที่ยังไม่ได้แต่งงานกับเฉินห่าวซวน เพราะเธอจำได้ว่าห้องนอนห้องนี้คือห้องของเฉินห่าวซวนในบ้านตระกูลเฉิน เมื่อได้มาอยู่ยังสถานที่แห่งนี้ ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างก็แจ่มชัดขึ้น ความทรงจำมากมายวิ่งวนอยู่ในหัว หรือว่าสวรรค์ต้องการให้เธอชดใช้ให้คนผู้นั้นและคนบ้านเฉินจึงได้ให้เธอย้อนกลับมาในตอนที่แต่งให้กับเขาแล้ว เมื่อคิดได้เช่นนั้นโจวซิ่วหลันจึงสูดลมหายใจเข้าลึก เพื่อเรียกความมั่นใจ ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นอน เปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับทุกอย่าง ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอย้อนกลับมาในช่วงเวลาไหนกัน ได้แต่หวังว่าคงไม่ย้อนกลับมาในตอนที่เรื่องราวย่ำแย่จนเกินไป ไม่เช่นนั้นเธอคงต้องใช้แรงใจแรงกายมากมายในการแก้ไขสิ่งผิดพลาดทุกอย่างที่ตัวเองก่อเอาไว้ โครม เพียงแค่ก้าวขาออกมาจากห้อง ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะมองสำรวจสิ่งต่างๆ เลยด้วยซ้ำ ก็เกิดเสียงดังโครมครามขึ้นที่ด้านหลังบ้านที่เป็นส่วนของห้องครัว นั่นจึงทำให้ซิ่วหลันรีบสาวเท้ามุ่งตรงไปยังที่มาของเสียง ภาพตรงหน้าทำให้เธอร้องออกมาอย่างตกใจ "คุณแม่" ร่างผอมบางของแม่เฉินเปียกปอนไปทั้งร่าง อีกฝ่ายล้มลงจนทำให้น้ำที่ขนมาเติมใส่ตุ่มเจิ่งนองเต็มพื้นห้องครัว และท่ากึ่งนอนกึ่งนั่งที่ผิดรูปของอีกฝ่ายก็ทำให้รู้ได้ว่าแม่สามีได้รับบาดเจ็บจากการล้มในครั้งนี้ ดีจริงย้อนกลับมาไม่ทันไร แม่สามีก็ได้รับบาดเจ็บทันทีทันใดเลย เธอช่างเป็นตัวหายนะของบ้านเฉินอย่างแท้จริง แม่เฉินเมื่อเห็นลูกสะใภ้ของตัวเองเดินเข้ามาก็ตกใจ คิดว่าตนคงทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจอีกเป็นแน่ จึงพยายามที่จะลุกขึ้น เมื่อครู่นี้เพราะเกิดหน้ามืดและรู้สึกอ่อนแรงจึงทำให้นางล้มลง "ซิ่วหลัน แม่จะเช็ดทำความสะอาดเดี๋ยวนี้" "อย่าพึ่งขยับค่ะ" ซิ่วหลันรีบร้องบอกแม่สามีในทันที เห็นท่าทางลนลานของอีกฝ่ายเมื่อเห็นเธอก็รู้ว่าตนคงจะแผลงฤทธิ์เอาไว้เยอะแล้ว จากสถานการณ์ตอนนี้เธอคงจะย้อนกลับมาในตอนที่แม่สามีหกล้มได้รับบาดเจ็บจนทำให้ภายหลังอีกฝ่ายกลายเป็นคนพิการ ซิ่วหลันรีบสาวเท้าเข้าไปหาแม่สามีด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะค่อย ๆ ประคองอีกฝ่ายให้นอนลงเช่นเดิมเพราะไม่รู้ว่าแม่เฉินได้รับบาดเจ็บตรงส่วนไหนบ้าง หากขยับซี้ซั้วแม่สามีคงได้กลายเป็นคนพิการเช่นเดิมแน่ ซึ่งซิ่วหลันไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นอีกเด็ดขาด หลังจากที่ได้ตรวจดูแล้ว ดูเหมือนสะโพกและขาด้านขวาของอีกฝ่ายจะกระแทกลงอย่างรุนแรงจึงทำให้เกิดรอยฟกช้ำเป็นวงกว้าง แต่ถือว่าโชคดีที่ไม่มีกระดูกส่วนใดหัก เพียงแค่มีกระดูกเคลื่อนจนผิดรูปเท่านั้น แต่เพราะในอดีตไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและถูกต้องจึงทำให้แม่เฉินกลายเป็นคนพิการ เมื่อหญิงสาวประเมินอาการข้างต้นของแม่สามีแล้ว จึงมองหาสิ่งที่พอจะใช้ได้ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เพราะการเคลื่อนย้ายอย่างถูกวิธีจะช่วยลดความพิการและอันตรายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ กว่าที่เธอจะพาแม่สามีเข้ามาในห้องได้ก็ทุลักทุเลอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว "คุณแม่นอนนิ่งๆ นะคะ ห้ามขยับตัวเด็ดขาด หนูจะไปตามหมอมาเดี๋ยวนี้" เพราะการพยายามเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุด อยู่ในท่าพักและผ่อนคลายคือการปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ดีที่สุด เมื่อกำชับแม่สามีดีแล้วซิ่วหลันก็รีบวิ่งออกไปตามหมอที่สถานพยาบาลหมู่บ้านตามความทรงจำที่เริ่มจะชัดเจนขึ้น แม่เฉินได้แต่มองตามแผ่นหลังบอบบางของลูกสะใภ้ที่วิ่งออกไป ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่าย เหตุใดจึงได้ดูเปลี่ยนไป เป็นเหมือนวันแรกที่พึ่งแต่งเข้ามาและลูกชายของนางยังคงอยู่ที่บ้าน นางรู้สึกประหลาดใจตั้งแต่ที่ลูกสะใภ้ผู้นี้ไม่เกรี้ยวกราดใส่นางเช่นที่ผ่านมา ทั้งยังเข้ามาช่วยประคองนาง ทำทุกอย่างด้วยความห่วงใยไร้การเสแสร้ง กิริยาวาจาก็นุ่มนวลอ่อนหวาน หรือว่าหล่อนคิดจะทำสิ่งใดอีก แม่เฉินได้แต่นิ่งเงียบคิดใคร่ครวญอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าจะรับมือกับลูกสะใภ้ผู้นี้อย่างไรดี นางไม่ใช่แม่สามีใจร้ายเช่นบ้านอื่น จึงได้ถูกลูกสะใภ้กดขี่และไร้ความยำเกรง คิดว่าตัวเองช่างอ่อนแอนัก เมื่อครั้งแต่งให้สามีนางก็ถูกแม่สามีกดขี่ข่มเหง ครอบครัวสามีเอาเปรียบ จนผู้เป็นสามีต้องพาครอบครัวย้ายมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ เมื่อตัวเองกลายมาเป็นแม่สามีจึงไม่เคยคิดที่จะทำเช่นนั้นกับลูกสะใภ้ แต่กลับกลายเป็นว่าลูกสะใภ้ไม่เห็นหัวของนาง แม่เฉินทำได้เพียงหลับตาลง นางคงจะคิดมากเกินไป อีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะต้องการทำสิ่งใดขอเพียงไม่เป็นการทำร้ายลูกๆ ของนาง เพียงเท่านี้ก็ดีมากแล้วเผลอแป๊บๆ ตอนนี้อายุครรภ์ของโจวซิ่วหลันก็ย่างเข้าเดือนที่เจ็ดแล้ว หน้าท้องของเธอยื่นออกมาราวกับลูกแตงโมลูกใหญ่และยังคงเป็นแม่เฉิน แม่สามีผู้แสนดีที่เป็นคนคอยดูแลเธออย่างใกล้ชิด ในตอนที่สามีของเธอออกไปทำงานหญิงสาวไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปทำงานอีกตั้งแต่ที่ตั้งครรภ์ แต่สามีก็หาคนที่ไว้ใจได้เข้ามาดูแลทุกอย่างให้เธอ ในทุกวันหยุดเขาก็จะเป็นคนพาเธอเข้าไปตรวจความเรียบร้อยด้วยตัวเอง"เสี่ยวหลันกินรังนกตุ๋นก่อนเร็วเข้า กำลังอุ่นได้ที่เลย"โจวซิ่วหลันวางมือจากการถักถุงเท้าคู่เล็กๆ สำหรับลูกที่กำลังจะเกิด เงยหน้าขึ้นมองแม่สามีที่ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความเมตตา ความรัก และความห่วงใย กำลังเดินถือถ้วยรังนกตุ๋นมาวางลงบนโต๊ะตรงหน้าเธออีกฝ่ายมักจะหายาสมุนไพรบำรุงครรภ์และอาหารบำรุงดีๆ มาให้เธอเสมอ"ขอบคุณค่ะคุณแม่"โจวซิ่วหลันเอ่ยบอกด้วยความซาบซึ้งใจ ก่อนจะตักรังนกตุ๋นเข้าปากอย่างว่าง่าย"ลูกกำลังตั้งครรภ์ ต้องกินของดีๆ บำรุงร่างกายให้เยอะๆ นะรู้ไหม"แม่เฉินเอ่ยบอกอย่างเช่นทุกครั้ง พลางยกฝ่ามืออุ่นขึ้นลู
หลังจากที่โจวซิ่วหลันบอกเรื่องการตั้งครรภ์ของเธอกับทุกคน เธอก็ได้รับการดูแลอย่างดีจากทุกคนในบ้าน ประคบประหงมราวกับไข่ในหิน ซึ่งเธอไม่ได้รู้สึกไม่ดีหรือรำคาญเลย แต่กลับรู้สึกดีมากๆ ที่ทุกคนคอยดูแลและอยู่เคียงข้างเฉิยซินยี่ถูกส่งตัวมาคอยดูแลเธออย่างใกล้ชิดอีกครั้งในเวลากลางคืน พูดง่ายๆ ก็คือ เด็กหญิงถูกแม่สามีส่งตัวมาคอยจับตาดูผู้เป็นพี่ชาย "อาซวนลูกอย่าแม้แต่จะคิดที่จะรังแกเสี่ยวหลันเชียว"แม่เฉินขึงตาดุเอ่ยกับบุตรชาย เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้จักยับยั้งช่างใจเผลอรังแกภรรยาที่ยังท้องอ่อนๆลูกชายของนางไว้ใจได้เสียที่ไหน พออยู่ใกล้ภรรยาทีไร ไอ้ท่าทางสุขุมนุ่มลึก ไม่รู้ว่าอันตรธานหายไปไหนหมด"ผมรู้ครับแม่"เฉินห่าวซวนเอ่ยบอกมารดาเสียงอ่อย ใบหน้าเหงาหงอยเซื่องซึม การได้เป็นพ่อคนก็ดีใจอยู่หรอก แต่การห้ามไม่ให้เขาใกล้ชิดภรรยามันก็เป็นเรื่องที่เจ็บปวดใจมากเหมือนกันโจวซิ่วหลันอดที่จะหัวเราะท่าทางราวกับกล้ำกลืนฝืนทนของสามีที่มองเธอตาปรอยไม่ได้ พอเธอตั้งครรภ์สามีของเธอก็ถูกกันออกจากเธออีกครั้ง และครั้งนี้ก็ไม่มีข้ออ้างใดๆ
วันเวลาในช่วงนี้ของโจวซิ่วหลันนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียวก็ผ่านไปหนึ่งปีแล้วกับการเริ่มธุรกิจการผลิตผลิตภัณฑ์ทางด้านความงามของเธอ และนับว่าธุรกิจของเธอดำเนินไปได้ด้วยดี ตอนนี้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางและเป็นระบบระเบียบมากขึ้นตอนนี้เธอส่งสินค้าให้กับร้านของเจ๊หงส์และอีกหลายร้านค้าที่ติดต่อเข้ามา รวมไปถึงห้างสรรพสินค้าที่มีสินค้าของเธอจัดจำหน่าย ยอดสั่งซื้ออีกนับหมื่นๆ ชิ้นหลั่งไหลเข้ามาและผลิตส่งกันอย่างไม่หวาดไม่ไหว จากที่มีพนักงานหญิงเพียงสองคนตอนนี้เธอมีพนักงานอยู่ในความดูแลนับยี่สิบชีวิต และยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น เพราะยอดการสั่งซื้อยังเพิ่มมากขึ้นจนน่าตกใจ เพื่อให้สามารถผลิตสินค้าได้ในจำนวนที่มากขึ้นและเพียงพอต่อความต้องการของตลาดอาคารที่ใช้ผลิตสินค้าจากอาคารสามชั้นสองคูหา ตอนนี้ก็ขยับขยายจนกลายเป็นโรงงานขนาดเล็ก มีเครื่องจักรเข้ามาช่วยในการผลิตธุรกิจของเธอนับได้ว่าเติบโตอย่างรวดเร็วส่วนหน้าที่การงานของเฉินห่าวซวนก็ดูจะลงตัว สามีของเธอเองก็ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของเขาอะไรๆ ก็ดูเหมือนจะดีไปหมดและมีแนวโน้มว
ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของคนในอ้อมแขนที่หลับสนิทไปแล้ว ทำให้คนที่ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบาเฉินห่าวซวนกดปลายจมูกโด่งลงบนกลุ่มผมนุ่มหอมละมุนของภรรยาอย่างรู้สึกเหนื่อยอ่อน หวังให้กลิ่นหอมๆ นี้ขับกล่อมให้เขาหลับลงเสียที แต่เขาทำเช่นนี้มาเกือบชั่วโมงแล้วกลับไม่สามารถที่จะข่มตาให้หลับลงได้ และมันกลับยิ่งทำให้เขารู้สึกทรมานมากขึ้นชายหนุ่มกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ รู้สึกราวกับว่ามีอาหารอันโอชะที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายวางอยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่อาจที่จะกลืนกินได้ เขารู้สึกอึดอัดไปทั้งตัวจนแทบจะหายใจไม่ออก ภรรยาแสนสวยนอนหลับอยู่ในอ้อมแขนแท้ๆ แต่กลับไม่อาจทำอะไรได้ดั่งใจนี่มันเป็นการฆ่าเขาทางอ้อมชัดๆ ส่วนเจ้าลูกชายของเขาก็เอะอะแข็ง จูบก็แข็ง กอดก็แข็ง ขอแค่ได้อยู่ใกล้ แค่ได้กลิ่นภรรยาก็แข็งแล้วเฉินห่าวซวนพึ่งจะรู้ตัวว่าเขาทั้งหื่นและมีความต้องการที่มากมายก็ตอนนี้ แต่ความรู้สึกเหล่านั้นกลับเกิดขึ้นกับภรรยาเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น เขาไม่เคยคิดที่จะอยากแตะต้องหรืออยากจะใกล้ชิดกับผู้หญิงคนไหนเลยจริงๆเขาคงถูกภรรยาร่ายมนตร
เมื่อรถยนต์คันหรูแล่นเข้าจอดในบริเวณบ้าน เฉินห่าวซวนก็แทบจะกระโดดลงจากรถทันทีโดยไม่รอให้คนร่วมทางอย่างน้องๆ ทั้งสองคนลงมาก่อน ความคิดถึงที่ทับถมอยู่ในหัวใจของเขามาตลอดทั้งวันได้ระเบิดออกมาจนกลายเป็นแรงผลักดันให้เขาต้องรีบกลับบ้าน กลับไปหาภรรยาสุดที่รักให้เร็วที่สุดเขาคิดถึงภรรยาใจจะขาดอยู่แล้ว"กลับมาแล้วครับ"เฉินห่าวซวนเอ่ยทักทายมารดาที่เดินออกกำลังโดยการดูแลแปลงดอกไม้อยู่หน้าบ้าน ก่อนจะก้าวเท้าฉับๆ เข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว จนผู้เป็นแม่มองตามแทบไม่ทันแม่เฉินบ่นตามหลังลูกชายอุบอิบกับความเร่งรีบของอีกฝ่าย ละสายตาจากลูกชายคนโตก็หันไปมองลูกๆ อีกสองคนของนางที่กำลังมองตามพี่ชายด้วยใบหน้าเหลือเชื่อเช่นกัน นางได้แต่หัวเราะออกมา ก่อนจะหันมาดูแลดอกไม้ของนางต่อ ปล่อยให้หนุ่มๆ สาวๆ ได้ใช้เวลาด้วยกันสองพี่น้องที่เดินตามกันลงมาจากรถ ต่างก็หันมามองหน้ากันกับท่าทีของพี่ชายตัวเองที่กลายเป็นชายหนุ่มผู้คลั่งรัก ไม่สนใจน้องนุ่งไปเสียแล้วเฉินสือฮันกระตุกรอยยิ้มร้าย มองตามแผ่นหลังกว้างของพี่ชายที่เดินหายเข้าไปในบ้านดูท่าพี่ชายของเ
เฉินห่าวซวนกดปลายจมูกหอมแก้มนวลของภรรยาที่ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว ริมฝีปากหยักยกยิ้มขึ้นด้วยความเอ็นดู หลังจากที่เขากลืนกินภรรยาอีกครั้งจนอิ่มหนำสำราญ เขาก็ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้อีก ได้แต่นอนมองใบหน้างามของภรรยาอยู่อย่างนั้นจะโทษเขาได้อย่างไรในเมื่อภรรยาของเขาน่ารักน่าปรารถนาถึงขนาดนี้ เป็นใครก็ไม่อาจที่จะอดใจได้ไหว และก่อนที่เขาจะกลายเป็นคนสารเลว ใจดำอำมหิต เพราะลงมือลักหลับภรรยา ชายหนุ่มจึงตัดใจลุกจากที่นอนเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้ภรรยาได้พักผ่อน วันนี้เห็นทีเขาคงต้องเป็นคนเข้าครัวด้วยตัวเอง เพราะแม่ครัวคนเก่งถูกเขาเคี่ยวกรำจนสลบไสลไปแล้วเสียงดังโครมคราม ควันไฟที่ลอยโขมง และกลิ่นเหม็นไหม้ฉุนกึกที่ตลบอบอวลอยู่ในห้องครัว ทำให้เฉินสือฮันที่ตื่นขึ้นมาดูแลแปลงผักเหมือนเช่นทุกวัน รีบสับฝีเท้าเข้าไปในครัว เพราะกลัวว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับพี่สะใภ้แต่คนที่ยืนอยู่หน้าเตาไฟกลับไม่ใช่คนที่เขาคิด"ทำอะไรครับพี่ใหญ่"เฉินสือฮันเอ่ยถามพี่ชายของตัวเองในทันทีด้วยความไม่แน่ใจ แม้ดูจากสภาพภายในครัวและสภาพน่าอนาถของพี่ชายแล้วก็พอจะเดาได้