หลี่เหมยพ่นยาสลบไปตามห้องต่างๆ แล้วรอเวลาอยู่พักหนึ่งเมื่อมั่นใจแล้วว่าทุกคนหลับสนิทเธอจึงเดินเข้าบ้านใหญ่ไปอย่างง่ายดาย เพราะรู้วิธีสะเดาะกลอนจากชาติที่แล้ว
เมื่อเข้ามาด้านใน เธอก็เก็บของทุกอย่างในบ้านหลังนี้เข้าไปในช่องว่างของระบบ จะมีเพียงก็แต่เตียงเตาที่เธอเอาออกไปไม่ได้ นั่นก็เพราะกลัวว่าทุกคนจะตื่นขึ้นมา
‘เจ้านาย ไม่คิดจะเหลือของให้คนบ้านใหญ่เลยเหรอ’
‘เหลือไว้ทำไม คนพวกนี้สันดานเสียอยากได้อยากมีของคนอื่น ไม่รู้ว่าของที่อยู่ในบ้านหลังนี้จะเป็นของใครบ้าง เอาไปให้หมดแหละดีแล้ว จะได้แลกเปลี่ยนเอาสินค้าอย่างอื่นออกมา หรือไม่ก็แลกเปลี่ยนเป็นเหรียญไว้ซื้อของอย่างอื่น ตอนนี้ฉันอยากย้ายบ้านมาก จริงสิ ระบบมีใบอนุญาตซื้อขายบ้านหรือเปล่า ถ้ามีฉันอยากจะซื้อสักหลัง’
‘มีสิคะเจ้านาย แต่รอเวลาอีกสักนิดก็ยังดี ตอนนี้คงยังไม่เหมาะสักเท่าไรที่จะย้ายบ้าน เชื่อฉันเถอะนะคะ’
หลี่เหมยคิดตาม ใจเธอก็เห็นด้วยเพราะตอนนี้กำลังเล่นงานบ้านใหญ่อยู่ ถ้าหากซื้อบ้านแล้วย้ายไปในเวลาเดียวกันก็คงจะเป็นที่ผิดสังเกตของคนในหมู่บ้าน จึงได้ตอบกลับมาว่า
‘ตกลง ฉันจะอยู่ในหมู่บ้านนี้อีกสักพัก แล้วค่อยไปหาซื้อบ้านในเมืองก็แล้วกัน'
หลังจากสนทนากับระบบเรียบร้อยแล้ว หลี่เหมยก็รีบกวาดของในบ้านหลังนี้ไปจนหมด ไม่เหลือแม้กระทั่งจานกินข้าว
‘เจ้านายอย่าเพิ่งออกไปค่ะ ที่ต้นไม้ใหญ่หลังบ้านมีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่ ฉันว่าเจ้านายควรเก็บเอาไว้ เมื่อตอนประเทศเปิดแล้วเอาไปขายก็คงจะได้ราคาดีกว่าแลกเปลี่ยนกับในระบบ'
เมื่อเห็นว่าเจ้านายจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ระบบก็รีบพูดขึ้นมาทันที เพราะรู้ดีว่าบ้านหลี่มีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่ แต่เพราะไม่อยากให้ใครรู้และกลัวถูกรัฐกวาดล้าง หญิงชราจึงได้ซ่อนไว้ทว่าเมื่อตายไปก็ไม่ได้บอกลูกหลาน
พอได้ยินอย่างนั้นหญิงสาวก็รีบเดินไปที่หลังบ้าน ก่อนจะขุดดินที่ใต้ต้นไม้ใหญ่อย่างที่ลี่ลี่บอก แล้วก็พบกับทรัพย์สินลังใหญ่
‘แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีค่า แต่ในอนาคตย่อมมีค่ามากแน่นอน ฉันขอเก็บไว้ในช่องว่างของระบบก่อนนะ ส่วนข้าวของที่ได้จากบ้านหลังนี้ฉันขอขายให้ระบบไปเลย แต่จะแลกกับอะไรนั้นเดี๋ยวฉันจะบอกอีกครั้ง' เธอรีบตัดสินใจและบอกกับระบบทันที
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็รีบปกคลุมร่างกาย และเดินกลับบ้านโดยซ่อนตัวในความมืด และมีการปกป้องของระบบอย่างลี่ลี่ด้วยเช่นกัน
เช้าวันต่อมา…
“กรี๊ดดด!” เสียงกรีดร้องของคนบ้านใหญ่ดังขึ้น ทำให้บ้านใกล้เรือนเคียงต้องตื่นขึ้นมาดูด้วยความสนใจ
“ของในห้องเราหายไปไหนหมด ต้องมีขโมยขึ้นบ้านแน่เลยพี่”
ซือถัวรีบพูดขึ้นมาอย่างลนลาน ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมของที่อยู่ในห้องถึงหายไปหมด
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงทุบประตูอย่างแรง พร้อมกับมีเสียงของลูกสาวลูกชายร้องเรียกอยู่ด้านหน้า
“พ่อกับแม่ตื่นเร็ว ของในบ้านเราหายไปหมดเลย โจรขึ้นบ้านเราแน่ ๆ” หลี่เหว่ยจางบอกด้วยน้ำเสียงที่ตกใจสุดขีด นอกจากข้าวของในห้องจะหายไปหมดแล้ว พอออกมานอกห้องก็เห็นว่าทุกอย่างหายไปเหมือนกัน จึงได้รีบมาบอกพ่อกับแม่ของตนเอง
“แกพูดจริงเหรอเจ้ารอง ของในบ้านเราหายไปหมดเลยหรือ”
คนเป็นพ่อตื่นตกใจไม่น้อย ตอนแรกได้ยินภรรยาบอกก็ยังไม่ค่อยเชื่อเพราะยังไม่ทันลืมตาขึ้นมามองรอบห้อง แต่เมื่อได้ยินลูกชายบอกก็ถึงกับล้มทั้งยืนไปเลยทีเดียว
“ก็จริงน่ะสิพ่อ ไม่เพียงแต่ห้องของเจ้ารองนะ ห้องผมของก็หายไปหมด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ต่อให้โจรมาปล้นจริง ๆ ทำไมเราถึงไม่รู้สึกตัวเลยล่ะ ในเมื่อเครื่องเรือนในบ้านล้วนมีน้ำหนักทั้งนั้น พ่อว่ามันแปลกไหมล่ะ”
แม้หลี่มั่วซานจะแปลกใจ แต่ก็พูดออกมาอย่างมีเหตุผล ต่อให้โจรปล้นบ้านจริง ๆ เขาก็ไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีเสียงดังเลย
“ก่อนจะพูดคุยกันต่อ เรารีบไปแจ้งหัวหน้าหมู่บ้านกันดีไหมคะ จะได้ให้ตรวจสอบดูว่าใครกันที่กล้าเข้ามาขโมยของพวกเราไปแบบนี้”
เหอหว่านถิง ลูกสะใภ้คนโตรีบบอก แทนที่จะมาถกเถียงกันควรจะไปบอกหัวหน้าหมู่บ้านไม่ดีกว่าหรือ นี่คือความคิดของเธอ
“เจ้าใหญ่ แกรีบไปแจ้งข่าวเรื่องนี้ให้กับหัวหน้าหมู่บ้านรู้ ส่วนเจ้ารองไปตรวจดูในบ้านว่าทรัพย์สินหายไปไหม ฉันอยากรู้เหลือเกินว่าโจรที่ไหนกันที่กล้ามามีเรื่องกับบ้านฉัน”
หลี่โม่รีบสั่งการลูกชายทั้งสองคน เขากำหมัดแน่นด้วยความโกรธ ไม่คิดว่าจะโดนคนเล่นงานขนาดนี้
“พี่ เงินบ้านเราไม่เหลือแล้ว พวกมันเอาไปหมดเลย ฉันซ่อนไว้ในตู้เสื้อผ้า ตอนนี้ตู้เสื้อผ้าก็ไม่อยู่แล้ว”
ซือถัวล้มทั้งยืนพร้อมกับร้องไห้ฟูมฟายออกมา หากเงินไม่เหลือแล้วต่อไปนี้ชีวิตคนในบ้านจะกินอยู่อย่างไร
“อะไรนะ! เธอพูดจริงเหรอ” คราวนี้หลี่โม่แทบสิ้นสติอีกครั้งไม่คิดว่าบ้านของตนเองจะไม่เหลืออะไรแล้ว
เพราะเสียงกรีดร้องของคนในบ้านใหญ่หลี่เสียงดังมาก ทำให้คนบริเวณใกล้เคียงต้องออกมาดู และจับใจความได้ว่าบ้านใหญ่หลี่ถูกปล้นซึ่งพวกโจรมันเอาของไปหมดเลย โดยไม่เหลืออะไรไว้ให้ จึงได้จับกลุ่มสนทนากันด้วยความแปลกใจ
“มันก็น่าแปลกนะ พวกโจรมันต้องเอารถมาขนหรือเปล่า แต่ทำไมพวกเราไม่ได้ยินเสียงเลยล่ะ”
ชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“นั่นสิ แต่ก่อนจะพูดถึงเรื่องนั้น ฉันอยากรู้เหลือเกินว่าใครกันนะที่เจ็บแค้นคนบ้านใหญ่หลี่ถึงขั้นขโมยไปทุกอย่าง หรือว่าจะเป็นคนในหมู่บ้านเรากันนะ”
“ก็ไม่แน่หรอก แต่จะว่าไปหมู่บ้านเราก็ไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อน คงต้องให้หัวหน้าหมู่บ้านและเจ้าหน้าที่ทหารประจำหมู่บ้านตรวจสอบดู ถ้าเป็นคนในหมู่บ้านจริง ๆ ก็คงจะตรวจได้ไม่ยากหรอกเพราะคนบ้านใหญ่หลี่น่าจะจำทรัพย์สินของตนเองได้”
เสียงการสนทนาของชาวบ้านบริเวณนี้ดังขึ้นไม่หยุด ต่างก็ถกเถียงกันไปมาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่มีใครคิดที่จะสงสารคนบ้านใหญ่หลี่เลยแม้แต่น้อย มีเพียงความสงสัยเท่านั้นว่าทำไม เมื่อโจรขึ้นบ้านถึงไม่มีใครได้ยินเสียงเลย
แม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะยังเช้ามาก แต่ข่าวเกี่ยวกับบ้านใหญ่ หลี่ก็กระจายไปทั่วหมู่บ้านเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่งเสียอีก เลยทำให้คนบ้านรองหลี่รู้เรื่องนี้แล้วเหมือนกัน
“พ่อ แม่ คิดว่าใครกันที่ไปทำกับบ้านใหญ่อย่างนั้น”
หลี่ซือหยวนถามทันที เมื่อเห็นพ่อกับแม่เดินเข้ามา
“แม่ก็ไม่รู้หรอกลูก แต่คงสร้างความแค้นให้กับคน ๆ นั้นไม่น้อย ไม่อย่างนั้นแล้วเขาจะปล้นจนแทบไม่เหลือทรัพย์สินอะไรให้กับบ้านใหญ่แบบนี้เหรอ” เฉินรุ่ยเมิ่งมีทั้งความสงสัยและแปลกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านใหญ่ แต่ก็ไม่มีความสงสารใด ๆ ให้
“ถ้าไม่คิดว่าพ่อของลูกจะเสียใจ แม่คงหัวเราะแล้วล่ะ นี่คงเป็นเวรกรรมของคนบ้านนั้น”
“แม่ ฉันว่าแม่ไม่ต้องเกรงใจพ่อแล้วล่ะ” หลี่ลู่หรานเดินออกมาจากห้อง ก่อนที่จะแต่งตัวเธอพอจะรู้บ้างแล้ว เลยรู้สึกสาแก่ใจเหมือนกัน หากรู้ว่าใครเป็นคนทำ เธอจะรีบวิ่งไปขอบคุณเลยที่จัดการบ้านใหญ่แทนทุกคน นั่นก็เพราะว่าในหมู่บ้านนี้มีหลายครัวเรือนที่ไม่ค่อยถูกชะตากับคนบ้านนั้น
“ก็จริงอย่างที่แม่ของลูกพูดนั่นเเหละ พ่อก็มีความคิดเดียวกัน โจรที่ขึ้นบ้านใหญ่ก็คงจะแค้นมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่เอาไปทุกอย่างแบบนี้ หวังว่าคนบ้านนั้นจะไม่มาวุ่นวายกับเราอีกนะ”
เขาไม่คิดที่จะตำหนิภรรยาหรือลูกเลยที่พูดถึงพี่ชายตนเอง แต่รู้สึกหนักใจเล็กน้อย เพราะคิดว่าหากคนบ้านนั้นไม่มีอะไรเหลือแล้ว ก็ต้องมาหาเรื่องวุ่นวายที่นี่อีก
ส่วนคนต้นเรื่องกลับวุ่นวายอยู่กับการทำอาหารมื้อเช้า ไม่สนใจเลยว่า ใครจะคิดอย่างไร เพราะภารกิจของเธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขอแค่ต่อจากนี้บ้านใหญ่อย่ามาวุ่นวายกับครอบครัวของเธอก็พอ
ทันทีที่ทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอจึงออกมาตามพี่ชายและน้องสาวให้ไปช่วยกันยกออกมา เพื่อจะได้กินมื้อเช้ากันพร้อมหน้าพร้อมตา เพราะเดี๋ยวหลี่ลู่หรานต้องรีบไปโรงเรียน
โดยที่เธอก็ไม่ลืมห่อข้าวให้ไปกินด้วยกลับมาทางด้านบ้านใหญ่ ทันทีที่ลูกชายคนโตวิ่งมาถึงบ้านหัวหน้าหมู่บ้าน ก็รีบบอกเรื่องราวทั้งหมด ทำให้หัวหน้าหมู่บ้านต้องรีบไปหยิบกระดาษและปากกา เพื่อไปจดรายละเอียดว่ามีสิ่งใดหายไปบ้าง
จากนั้นก็รีบวิ่งไปที่บ้านใหญ่หลี่ โดยมีกรรมการหมู่บ้าน รวมถึงชาวบ้านที่รู้ข่าวตามไปด้วย และเมื่อมาถึงก็ต้องตกใจยิ่งกว่า เพราะทั้งบ้านไม่เหลืออะไรเลย นอกจากเตียงที่ทุกคนใช้นอนกันเมื่อคืนเท่านั้น
“พวกเธอไม่มีใครได้ยินเสียงกันจริงเหรอ การขนย้ายเครื่องเรือนในบ้านจำนวนมาก มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ”
หัวหน้าหมู่บ้านถามออกมาอย่างตกใจ ตอนที่ได้ยินก็ไม่คิดว่าบ้านหลี่จะโดนแบบนี้
“ไม่มีใครได้ยินเสียงเลยผู้ใหญ่บ้าน พวกเราก็แค่หลับกันปกติเท่านั้น แต่ตื่นเช้าขึ้นมาทั้งบ้านก็ไม่เหลืออะไรเลย” หลี่โม่รีบบอก เขามองว่าเรื่องนี้น่าตกใจไม่น้อย การที่โจรจะขึ้นบ้านใครสักคน และขนเครื่องเรือนไปทั้งหมดได้ มันก็น่าจะมีเสียงดังพอสมควร
“เรื่องนี้มันแปลกเกินไป แต่อย่างไรฉันก็จะลองสอบสวนในหมู่บ้านดู หากมีคนขโมยของบ้านนายไปจริง ๆ ถ้าเป็นคนในหมู่บ้านย่อมต้องทิ้งหลักฐานไว้ แต่ถ้าเป็นคนนอกหมู่บ้าน ฉันจะลองคุยกับเจ้าหน้าที่ดู” หัวหน้าหมู่บ้านไม่คิดหรอกว่าจะเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันที่ทำแบบนี้กับบ้านใหญ่หลี่
จากนั้นก็เดินตรวจดูภายในบ้านอีกครั้ง พร้อมกับจดรายละเอียดว่ามีอะไรหายไปบ้าง ซึ่งเรื่องนี้เขาคงจะต้องพูดกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ รวมไปถึงสำนักงานตำรวจในเมือง และลองสอบถามดูว่ามีบ้านไหนที่ถูกปล้นแบบนี้บ้าง
หลังจากทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็รีบเดินออกมาโดยพูดคุยกับกรรมการหมู่บ้านที่มาด้วยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
ส่วนหลี่เหมยก็ไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น เธอยังคงใช้ชีวิตตามปกติของตัวเอง และยังคงหาของรวมถึงสินค้าจากโรงขยะมาแลกเปลี่ยนในระบบ
ตอนพิเศษ 2 5 ปีผ่านไปตอนนี้สถานการณ์ครอบครัวของหลี่เหมยก็เข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น และตอนนี้ลูกฝาแฝดของเธออย่างหยางกวนโม่กับหยางเสี่ยวเหมยก็อายุครบห้าขวบในวันนี้ ดังนั้นวันนี้ที่บ้านตระกูลหยางจึงครึกครื้นมากเป็นพิเศษ เพราะสมาชิกทั้งสองครอบครัวลงไปจัดเตรียมสถานที่ตั้งแต่เช้ามืด แขกที่มาก็จะเป็นทั้งญาติพี่น้อง และคู่ค้าที่มีสัมพันธ์อันดีแต่ในห้องนอนของหยางอี้ข่ายนั้นมีแสงส่องผ่านผ้าม่านสีฟ้าอ่อนเข้ามาเล็กน้อย และในห้องนั้นก็กำลังร้อนระอุกับบทรักยามเช้าที่สามีกำลังมอบให้ภรรยา“อา....เสียวมากครับอาเหมย ไม่ว่ากี่ปีผ่านไปน้องก็ทำให้มีความสุขทุกครั้ง” หยางอี้ข่ายถึงกับแหงนหน้าครางออกมาอย่างสุขสม“ฮึก...ฉันก็เสียวและมีความสุขค่ะ แต่พี่ต้องทำเวลาหน่อยนะ ตอนนี้ทุกคนตื่นแล้ว ซี้ดดด!” หลี่เหมยที่ตอนนี้อยู่ในท่าคุกเข่าหันก้นให้สามีอัดกระแทกแก่นกายเข้าในร่องเสียว เธอครางด้วยความเสียวซ่าน เมื่อตอนนี้สะโพกหนากระแทกใส่เธอไม่ยั้งตับ ๆ ตับ ๆ ตับ ๆ“โอ้ววว พี่ก็พยายามอยู่ แต่พี่อยากมีความสุขกับอาเหมยนาน ๆ พี่รักอาเหมยที่สุด จุ๊บ!”ชายหนุ่มที่แหงนหน้าครางได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งจับเอ
ตอนพิเศษ 1 ตั้งแต่ที่รู้ว่าหลี่เหมยตั้งท้อง นี่ก็ผ่านมาหลายเดือนจนเกือบจะคลอดอยู่แล้ว ทว่าทุกคนกลับดูแลเธอไม่ต่างจากตอนท้องสองเดือน จนหญิงสาวต้องบ่นออกมาว่าเธอแค่ท้องไม่ได้ป่วยสักหน่อย แล้วคุณหมอก็บอกแล้วว่าท้องนี้ของเธอแข็งแรงดีแม้ว่าจะท้องแฝดก็ตาม “อาเหมยเป็นอย่างไรบ้าง พี่ไม่อยากไปทำงานเลย”หยางอี้ข่ายรีบบอก พร้อมกับมีสีหน้าออดอ้อนภรรยา จนโม่ซือเจินต้องเบะปากใส่ลูกชายที่เสแสร้งจนเกินหน้าเกินตา“ฉันก็เหมือนเดิม วันนี้พี่มีประชุมสำคัญของสมาคมการค้า พี่อย่ามางอแงเหมือนเด็กเลยนะ งานนี้สำคัญนะคะ”หญิงสาวอยากจะขำกับท่าทางของเขา แต่ก็ไม่อยากหักหน้าสามีต่อหน้าคนรับใช้หยางอี้ข่ายถอนหายใจ หากวันนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญเขาคงไม่ไปหรอก เพราะภรรยากำลังอยู่ในช่วงใกล้คลอด“ครับ ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะ เสร็จงานแล้วจะรีบกลับ”“พ่อถามหน่อยเถอะ คุณชายแห่งตระกูลหยางผู้เหี้ยมโหดไปไหนแล้ว ทำไมพ่อเห็นแค่แมวน้อยเท่านั้นล่ะ” นายท่านหยางอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อลูกชาย“โธ่ พ่อครับ ผมก็แค่คนที่รักลูกรักภรรยา งานก็ส่วนงานสิครับ หากมีคนมารังแก ผมก็พร้อมที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม”ชายหนุ่มไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร
บทที่ 26 หยางอี้ข่ายเดินเข้ามาหาหลี่เหมยที่นั่งอยู่บนเตียง เขายิ้มให้อย่างอ่อนหวาน พร้อมกับนั่งลงข้าง ๆ เจ้าสาว“ขอโทษนะครับที่พี่เข้ามาช้า พอดีมีแขกดึงไว้น่ะ” เขาพูดขึ้นและหอมแก้มเธอเบา ๆ“ฉันก็นึกว่าพี่จะปล่อยให้ฉันนอนหนาวอยู่คนเดียวในคืนเข้าหอซะอีก” หญิงสาวพูดอย่างหยอกล้อ และเริ่มมือไม้ซุกซนถอดเสื้อตัวนอกของเขาออก “ไปอาบน้ำก่อนดีไหมคะ”“พี่จะปล่อยให้คืนแต่งงานของเราไร้ความหมายได้อย่างไร ส่วนเรื่องอาบน้ำ เอาไว้อาบทีหลังได้ไหมครับ ตอนนี้ยังไม่มีเหงื่อเลยสักนิด เดี๋ยวเรามาเข้าหอกันดีกว่า” ชายหนุ่มตอบกลับพร้อมกับเริ่มถอดเสื้อผ้าให้เธอทีละชิ้นเหมือนกำลังแกะกล่องของขวัญ“พูดแล้วก็ทำให้พี่คิดถึงคืนนั้น ที่เรามีอะไรกันครั้งแรก พี่อยากมีความรู้สึกแบบนั้นอีกจังเลย พี่ชอบมากที่ปากน้อย ๆ นี้สัมผัสกับแก่นกายของพี่ ไม่เคยมีใครทำแบบนั้นกับพี่มาก่อน พี่ขอแบบนั้นอีกได้ไหมครับ”หยางอี้ข่ายพูดอย่างอ่อนหวาน เขาจูบลงที่ริมฝีปากบางในตอนที่พูดถึงปากของเธอ“งั้นถ้าฉันทำให้พี่ พี่ก็ต้องทำให้ฉันด้วยนะคะ เหมือนวันนั้น” หญิงสาวตอบกลับอย่างเขินอาย เมื่อคิดถึงคืนแรกของทั้งสองคน“ได้สิ เรามามีความสุขด้วยกันนะ”
บทที่ 25 หัวหน้าหมู่บ้านที่ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยรีบห้ามซือถัวทันที“เธออย่าเห็นแก่ได้ไปหน่อยเลยซือถัว ก่อนหน้านี้บ้านใหญ่เคยให้อะไรกับบ้านรองบ้างล่ะ ตอนที่แยกบ้านและตัดขาดกัน บ้านรองแทบไม่มีอะไรติดตัวมาเลย แม้ว่าตอนนี้ครอบครัวของหลี่กวงจะย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง แต่บ้านหลังนี้ก็ยังเป็นของเขาอยู่ และเขาจะให้ของในบ้านกับใคร หรือไม่ให้ใคร มันก็เป็นสิทธิ์ของหลี่กวง เธอไม่มีสิทธิ์มายุ่ง”“นี่มันเรื่องในครอบครัวของตระกูลหลี่ หัวหน้าหมู่บ้านนั่นแหละที่ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดแบบนี้ ฉันพูดกับน้องชายของสามี ไม่ได้พูดกับหัวหน้าหมู่บ้านสักหน่อย” เธอหันกลับมาตวาดใส่หัวหน้าหมู่บ้านอย่างโมโห และรู้สึกไม่พอใจที่หัวหน้าหมู่บ้านเข้ามายุ่งในเรื่องนี้แต่ในขณะนั้นเอง ลูกชายคนโตของซือถัวก็เดินเข้ามาด้วยความโมโห พร้อมกับพูดกับแม่อย่างฉุนเฉียวว่า“ผมบอกแม่แล้วใช่ไหมว่าให้เลิกยุ่ง และวุ่นวายกับบ้านอารองเสียที ในเมื่อแม่ไม่เชื่อฟังผม และยังเห็นแก่ตัวอยู่แบบนี้ เห็นทีผมต้องแยกบ้านเสียแล้วล่ะ”พอเห็นว่าลูกชายพูดด้วยอาการโกรธจัด ท่าทีของซือถัว ก็สงบลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเบา ๆ กับเขา“แม่ก็แค่อยากได้เครื่องเรือน และข้าวขอ
บทที่ 24 นายท่านหยางเห็นว่าครอบครัวของลูกสะใภ้ยังมีความเกรงใจตัวเอง และยังเรียกนายท่านอยู่จึงได้เอ่ยปากบอกออกมา“ไม่ต้องเรียกฉันว่านายท่านหรอก เราคนกันเองทั้งนั้นต่อจากนี้เรียกฉันว่าพี่หยางตงเถอะ”“เธอก็เหมือนกัน ไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณนาย ต่อไปก็เรียกว่าพี่ซือเจิน เราสองครอบครัวตอนนี้เกี่ยวดองกันแล้ว”โม่ซือเจินพูดขึ้นมาบ้าง“ครับ / ค่ะ” ทั้งสองตอบรับอย่างยินดีเหมือนกัน ไม่คิดว่าคนยิ่งใหญ่อย่างนายท่านหยางจะไม่ถือตัวกับชาวบ้านแบบตนเอง“ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ฉันจะพาเธอไปในเมืองเพื่อไปเลือกดูเสื้อผ้าและของใช้ในงานแต่งงาน เธออยากจะจัดงานที่ไหนเหรอ”โม่ซือเจินถามความคิดเห็น“ฉันอยากจะย้ายบ้านก่อนน่ะค่ะ ตอนนี้พ่อสามีให้บ้านมาแล้ว เลยตั้งใจว่าจะไปดูในวันพรุ่งนี้ เพื่อจะได้เตรียมงานที่จะเกิดขึ้นในเดือนหน้า”หลี่เหมยตอบเอง เธอต้องการทำอย่างที่พูดก่อน ส่วนเรื่องจะเชิญใครไปงานแต่งงานนั้นค่อยว่ากัน หรือไม่ก็ค่อยเลี้ยงคนในหมู่บ้านที่มีความสัมพันธ์อันดีกับพวกเธอ“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ อาเหมยก็ค่อยไปดูบ้านกับทุกคนก็แล้วกันว่าชอบหรือเปล่า หากไม่ชอบพ่อจะได้เปลี่ยนหลังใหม่ให้ แล้วจะได้ย้ายทะเบียนบ้านทุกคนเ
บทที่ 23 ครึ่งเดือนต่อมา...แม้ว่าจะผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว แต่ตอนนี้ในหมู่บ้านก็ยังพูดคุยเรื่องของถังชุนเป้ยอยู่ เนื่องจากการกระทำของเธอมันโหดร้ายจนเกินไป แต่ก็ไม่มีใครไปโกรธหรือเกลียดคนบ้านถัง นั่นเพราะว่าทุกคนแยกแยะออก และรู้ว่าคนบ้านถังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้และที่ทุกคนแปลกใจก็เพราะว่าเมื่อสัปดาห์ก่อน ตัวของหร่วนเจินฮ่าวโดนคำสั่งย้ายอย่างกะทันหัน และเห็นว่าเงินเดือนที่ได้จากกองพลน้อยถูกสั่งหักไว้เพื่อชำระหนี้ให้กับหลี่กวงตามสัญญาที่เคยทำไว้ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นหัวข้อสนทนาของชาวบ้านไม่ต่างกันวันนี้หลี่เหมยตั้งใจจะเข้าเมือง เพราะอยากไปดูที่โรงขยะว่ามีสิ่งของน่าสนใจหรือไม่ อีกอย่างเธอได้ยินสามีพูดว่า พ่อกับแม่สามีใกล้จะกลับมาแล้ว เธอจึงอยากจะหาของเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าในระบบออกมาซึ่งในระบบพอมีเครื่องประดับบางอย่างที่ไม่ผิดกฎหมายในยุคนี้ ส่วนพ่อสามีก็คงจะให้เป็นนาฬิกาข้อมือ ที่หาไม่ได้จากในยุคนี้เหมือนกัน‘เจ้านาย ภาพวาดนั้นมีค่ามาก เจ้านายซื้อเก็บไว้ก่อนเถอะในอนาคต ซื้อขายเป็นร้อยล้านหยวนกันเลยนะ’ลี่ลี่รีบส่งเสียงบอกเมื่อเห็นภาพวาดโบราณที่แทบจะประเมินค่าไม่ได้ แต่ในยุคนี้นั้