บทที่ 1 ความเย็นชา
ความเงียบสงบของยามเช้าปกคลุมไปทั่วจวน แสงแดดยามอรุณลอดผ่านม่านบางเบา ส่องกระทบลงบนเตียงกว้าง แต่กลับให้ความรู้สึกเวิ้งว้างอย่างน่าประหลาด
หยางมี่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พลิกกายอย่างเชื่องช้า ความอบอุ่นที่เคยอยู่ข้างกายเมื่อค่ำคืน กลับจางหายไปแล้ว เมื่อมือของนางเอื้อมไปสัมผัสที่นอนข้าง ๆ ก็พบเพียงไอเย็น
นางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยันกายลุกขึ้นนั่ง สายตากวาดมองไปรอบห้อง ทุกอย่างยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย ความเย็นอีกด้านของเตียงยืนยันว่าเขาไปนานแล้ว
หัวใจของนางกระตุกวูบ ไม่ใช่เพราะความสงสัย แต่เป็นเพราะนางรู้ดีว่าเขาเลือกที่จะไม่นอนเคียงข้างนางจนรุ่งสาง เขาอาจจะออกไปทันทีที่นางหลับ
เมื่อคืนก่อนทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม สายตา ท่าที คำพูด ทุกอย่างดูปกติจนไม่น่าเชื่อว่าจะนำมาสู่เช้าที่อ้างว้างเช่นนี้
หยางมี่กำผ้าห่มแน่น ความเย็นจากที่นอนด้านข้างแทรกซึมเข้าสู่หัวใจของนางอย่างช้า ๆ ราวกับคำตอบที่ไม่ต้องการคำพูดใด ๆ
นางพยายามหาคำแก้ต่างให้เขากับสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดหลายวันที่ผ่านมา
นางพยายามบอกตัวเองว่าอาจมีเรื่องเร่งด่วน แต่เมื่อสอบถามบ่าวรับใช้ในจวน คำตอบที่ได้รับกลับทำให้นางได้แต่ถอนหายใจ
“คุณชายอยู่ที่เรือนอักษรตั้งแต่เช้า และสั่งให้ข้ามาแจ้งฮูหยินว่าให้ฮูหยินทานอาหารเช้าเลยมิต้องรอ คุณชายจะรับประทานอาหารเช้าที่นั่นเลย”
หยางมี่ทำได้เพียงพยักหน้ารับ เพราะนางทานอาหารเช้าเช่นนี้คนเดียวมาร่วมอาทิตย์แล้ว อย่าว่าแต่ช่วงเช้าเลย แม้แต่ช่วงเย็นเขาก็กลับมาไม่ทันอาหารเย็นหรือบางวันก็นอนที่ค่ายทหาร หากกลับมาจากค่ายทหารก็อาบน้ำขึ้นเตียงนอน และหายไปจากเตียงในยามเช้า
นางรู้อยู่แล้วว่าเขาให้ความสำคัญกับหน้าที่ ยิ่งตั้งแต่ท่านแม่ทัพขอลาราชกิจเพราะฮูหยินตั้งครรภ์และแพ้ท้องหนัก กุนซือของแม่ทัพอย่างจางกุนเหยาสามีของนางจึงกลายเป็นคนที่รับหน้าที่ดูแลในส่วนของแม่ทัพอี้หยางเฉิงทั้งหมด
แต่ไม่เคยคิดว่าเขาจะเลือกนอนค้างที่นั่นโดยไม่บอกกล่าว
เมื่อมาถึงหน้าประตูเรือนอักษร หยางมี่หยุดยืนสูดลมหายใจลึกก่อนจะผลักประตูเข้าไป
ในห้องมีเพียงแสงจากตะเกียงริบหรี่ จางกุนเหยานั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือ กองฎีกาวางเรียงรายอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองแม้แต่น้อย ราวกับว่านางไม่มีตัวตน
“ท่านพี่…” หยางมี่เอ่ยเสียงเบา แต่เขาไม่ได้ตอบ
นางก้าวเข้าไปใกล้มากขึ้น สายตาสำรวจไปรอบห้อง ที่มุมหนึ่งมีผ้าห่มที่ถูกพับเก็บลวก ๆ พร้อมหมอนใบหนึ่ง ทุกอย่างบ่งบอกว่าเขาตั้งใจนอนที่นี่จริง ๆ ไม่ใช่แค่เผลอหลับไปหรือมาตอนรุ่งสาง
“เหตุใดท่านจึงไม่นอนที่เรือน” นางถามออกไปในที่สุด
ครั้งนี้เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาเข้มลึกสบกับนางเพียงครู่เดียว ก่อนจะละไปทางอื่น “ข้ายังมีงานต้องทำ”
เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น แต่หยางมี่รู้ดีว่าไม่ใช่ความจริงทั้งหมด
“หรืองานที่ว่าคือการหลีกเลี่ยงการพบหน้าข้า” นางถามอย่างตรงไปตรงมาในที่สุด
จางกุนเหยาเงียบ ไม่ปฏิเสธและไม่ตอบรับ นั่นกลับยิ่งตอกย้ำความจริงที่อยู่ในใจของหยางมี่
“ข้ามีงานด่วนต้องจัดการ หากมาเพื่อถามแค่นี้ เอาไว้คุยยามอื่นได้หรือไม่”
เขาก้มหน้ามองกระดาษตรงหน้า โดยไม่สนใจภรรยาที่ยืนอยู่ด้านข้างเลยสักนิด เมื่อคำเอ่ยปากไล่กลาย ๆ ออกมาจากปากผู้เป็นสามี ต่อให้นางจะสมองช้ามิทันคน อย่างที่เขาเคยปรามาสนางตั้งแต่วัยเยาว์ แต่นางก็ไม่ได้โง่จนทำให้เขาต้องเอ่ยปากไล่ออกมาตรง ๆ อีกครั้ง หยางมี่จึงวางถาดน้ำชาลงและเดินออกไปอย่างเงียบ ๆ
ความรู้สึกที่ถูกสามีเย็นชาใส่ และแม่สามีไม่ชอบหน้าเพราะไม่มีบุตร ประดังเข้ามาพร้อม ๆ กัน แม่สามีไม่ชอบนาง เอ่ยว่าดูแคลนนางเพียงใด ขอเพียงเขารักและปกป้องนาง หยางมี่ก็คิดว่าตนจะสามารถทนอยู่ที่จวนสกุลจางได้ไม่ยาก
หยางมี่เคยเชื่อว่าการแต่งงานคือจุดเริ่มต้นของชีวิตคู่ที่มั่นคง นางฝันถึงครอบครัวที่อบอุ่น สามีที่รักใคร่ และวันคืนที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
แต่ความจริงช่างแตกต่างจากสิ่งที่นางวาดฝันไว้มากนัก
สามีของนาง บุรุษที่ครั้งหนึ่งเคยอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรัก บัดนี้กลับเย็นชา ดวงตาที่เคยมองนางด้วยความอ่อนโยน บัดนี้เหลือเพียงความเฉยเมย คำพูดที่เคยปลอบโยนกลับสั้นกระชับ ราวกับว่าการพูดคุยกับนางเป็นเพียงเรื่องจำเป็นที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
และยิ่งไปกว่านั้น การที่นางยังไม่มีบุตรทำให้สถานะของนางในจวนนี้ยิ่งเลือนราง
แม่สามีมองนางราวกับเป็นตัวไร้ค่า ทุกครั้งที่สบตากัน มีแต่แววตำหนิและความผิดหวัง
เดิมทีจางหลันไม่ต้องการให้หยางมี่เป็นลูกสะใภ้ตั้งแต่แรก แต่เพราะบุตรชายคนเดียวมาคุกเข่าอ้อนวอนนางจึงยอมถอยให้โดยมีเงื่อนไข และเมื่อเวลาผ่านไปครรภ์ของหยางมี่ยังคงว่างเปล่า ความไม่พอใจของนางก็ยิ่งทวีขึ้น
“เจ้าทำอะไรบ้างทั้งวัน”
คำพูดแดกดันดังขึ้นในเรือนนอนของสะใภ้ การมาเยือนของแม่สามีทำเอาหยางมี่มวนท้องทุกครั้ง นางนั่งตัวตรง มือกำกระโปรงแน่น
“แต่งเข้าจวนมาเป็นปีแล้ว แต่ยังไม่มีข่าวดี เจ้ายังกล้าบอกว่าเจ้าทำหน้าที่ภรรยาดีแล้วอย่างนั้นหรือ”
หยางมี่ก้มหน้ารับฟังคำตำหนิจากอีกฝ่าย น้ำเสียงที่ตำหนิราวกับคมมีดกรีดลงกลางใจ นางพยายามแล้ว พยายามทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ กินยาบำรุง ทำพิธีบูชา ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่โชคชะตากลับไม่เข้าข้างนางเลย
“หรือว่าร่างกายของเจ้ามีปัญหากันแน่”
คำพูดนั้นทำให้นางชาไปทั้งร่าง มือที่กำอยู่สั่นเล็กน้อย นางรู้ว่าความเงียบของนางไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น แต่นางไม่มีคำใดจะโต้ตอบ
“แล้วข้าวของนี่อะไร” จางหลันมองห่อผ้ามากมายบนโต๊ะจึงอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“ไก่ตุ๋นมะนาวดองเจ้าค่ะ เว่ยเว่ย…ฮูหยินท่านแม่ทัพแพ้ท้องหนักมาก คราก่อนที่ไปเยี่ยม นางบ่นว่าอยากกิน ข้าเลยทำเพื่อนำไปเยี่ยม”
หยางมี่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย คำที่ออกจากปากลูกสะใภ้ดึงความสนใจของจางหลันได้ไม่น้อย นางมัวแต่โกรธที่หยางมี่ไม่มีหลานให้ตนสักที จนลืมไปว่าหยางมี่สนิทสนมกับฮูหยินแม่ทัพเจ้านายของบุตรชายของนางอย่างมาก นอกจากบุตรชายของนางจะเป็นสหายแม่ทัพแล้ว ลูกสะใภ้ของนางยังเป็นสหายสนิทของฮูหยินแม่ทัพ หน้าที่การงานย่อมมั่นคงมากกว่าเดิม
“ดี ๆ รีบไปจะได้ทันมื้อกลางวัน อย่าลืมพูดให้ฮูหยินท่านแม่ทัพฟังด้วยว่า กุนเหยาทำหน้าที่แทนระหว่างที่ท่านแม่ทัพลาเฝ้านางที่จวนอย่างหนักด้วยล่ะ อะไรที่เอ่ยชมได้ก็เอ่ย เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
หยางมี่แทบจะรีบอุ้มห่อผ้าและหายตัวไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะมีคำเหน็บแนมอย่างอื่นออกมาจากปากแม่สามี
“เฮ้อ มันก็น่าแปลกจริง ๆ ผืนดินได้รับการหว่านปุ๋ยก่อนแท้ ๆ แต่กลับไม่มีผลผลิตใดให้ชื่นชม ต่างจากผืนดินแปลงข้าง ๆ กลับออกดอกผลในทันทีจนผู้คนอิจฉา”
เสียงของจางหลันยังแว่วตามหลังมา เหตุใดหยางมี่จะไม่เข้าใจความหมายแฝงของคำเหล่านั้น นางแต่งกับจางกุนเหยาก่อนที่ท่านแม่ทัพอี้หยางเฉิงจะแต่งกับเจียงซีเว่ย แต่จวนท่านแม่ทัพกลับมีข่าวดีก่อน
บทที่ 2 อิจฉา หยางมี่ส่งยิ้มบางให้กับเจียงซีเว่ย หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าถูกสามีประคองไว้อย่างทะนุถนอม แม้ว่าหน้าท้องของนางจะยื่นออกมาเพียงเล็กน้อย แต่บุรุษข้างกายกลับดูแลนางราวกับเป็นสิ่งล้ำค่า“ไม่เห็นจำเป็นต้องเดินออกมารับเลย” หยางมี่เอ่ยขึ้นพลางก้าวเข้าไปใกล้คนทั้งสองเว่ยเว่ยหัวเราะเบา ๆ “ข้าอยากออกมาพบเจ้าเอง อีกอย่าง ข้าไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดเดินออกมาทักทายสหายไม่ได้เสียหน่อย” นางเอ่ยติดตลก แต่สามีของนางกลับมองด้วยสายตาเป็นห่วง“เจ้าต้องระวังตัวให้มากกว่านี้ เว่ยเอ๋อร์” ชายหนุ่มข้างกายกล่าวเตือนเสียงอ่อน ก่อนจะค่อย ๆ พานางเดินเข้าไปในเรือนด้วยกันหยางมี่มองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่บีบรัดเล็กน้อย นางเคยคิดว่าวันหนึ่งสามีของนางจะประคองนางเช่นนี้ ปกป้องและดูแลนางด้วยความรักมั่นคง แต่นั่นเป็นเพียงภาพฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง“เจ้าเดินทางมาเหนื่อย ๆ เข้ามานั่งพักก่อนเถิด” เว่ยเว่ยเอ่ยพลางเชื้อเชิญหยางมี่พยักหน้า ก่อนจะก้าวเข้าไปด้านในบรรยากาศในเรือนของเจียงซีเว่ยอบอุ่น นางมองไปรอบ ๆ พลางอดเปรียบเทียบกับเรือนของตนเองไม่ได้ เรือนของนางช่างเงียบเหงา ไร้ซึ่งเสียงหัวเราะของสามีภรรยาเหมือนที่นี
บทที่ 3 เพื่อนที่หวังดี“เจ้าไม่ต้องฝืนหรอก ถ้ามีเรื่องอัดอั้นอยู่ในใจ ก็บอกข้าเถอะ”หยางมี่มองมือที่อบอุ่นของเพื่อนสนิท ก่อนที่ความรู้สึกทั้งหมดจะทะลักออกมาพร้อมกับเสียงกระซิบแผ่วเบา“ข้าเหนื่อยเหลือเกิน เว่ยเว่ย” น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นบนหลังมือของหยางมี่ นางรีบยกมือขึ้นเช็ดออกอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าใครจะเห็นความอ่อนแอของตนเจียงซีเว่ยไม่พูดอะไร เพียงแค่กุมมือนางไว้แน่นขึ้น รอให้นางได้ระบายความรู้สึกที่เก็บไว้ออกมา “ข้าคิดว่าหากข้าทำดีมากพอ หากข้าอดทนพอ เขาจะมองเห็นข้า… จะรักข้า… แต่สุดท้ายแล้ว ข้าก็ยังเป็นแค่เงาในชีวิตของเขา เป็นเพียงภรรยาที่ถูกทอดทิ้ง”เสียงของหยางมี่สั่นเครือ นางเงยหน้าขึ้นสบตาเจียงซีเว่ย แววตาของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด“ข้าเหนื่อยกับการพยายาม… เหนื่อยกับการต้องทนรับสายตาเย็นชาของเขาทุกวัน เหนื่อยที่ต้องพยายามทำให้แม่สามียอมรับ ทั้งที่ข้าไม่เคยดีพอในสายตาของนาง ข้าอยากปล่อยมือเสียที ข้าไม่อยากทนอีกต่อไปแล้ว…”สิ้นคำพูดนั้น เจียงซีเว่ยก็ลุกขึ้นมาโอบกอดนางไว้ หยางมี่ที่พยายามเข้มแข็งมาตลอด ในที่สุดก็ปล่อยโฮออกมา นางปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างไม่ต้องเก็บกลั้นอีกต่อไป
บทที่ 4 ความจริงอีกหนึ่งอย่าง “อย่าเอ่ยคำนี้ออกมาให้นางได้ยินเชียว”เท้าทั้งสี่ข้างพร้อมใจกันหยุด สามีให้สาวใช้มาบอก หากคุยธุระกันเรียบร้อยให้ตามไปที่เรือนอักษร เพราะจางกุนเหยามา คงจะมารับภรรยากลับ และเสียงที่การสนทนาด้านในคงจะเป็นสามีของนางและสหายสนิท“เจ้ารู้ดีกว่าใคร ข้าพยายามผูกสัมพันธ์ให้เจ้ากับหยางมี่แต่ไม่สำเร็จ เพราะเจ้าตกหลุมรักเจียงซีเว่ยเสียก่อน หากหยางมี่ได้แต่งกับเจ้าคงไม่เป็นเช่นนี้” ดวงตาเจียงซีเว่ยเบิกกว้างรีบหันขวับไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่เคียงข้าง มือของหยางมี่เย็นเฉียบราวกับเลือดในกายหยุดไหล นางมองไปยังประตูเรือนอักษรด้วยแววตาสั่นไหว หัวใจเต้นกระหน่ำ ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบรัดมันแน่นจางกุนเหยา เขาสูดลมหายใจลึก น้ำเสียงเศร้าเอ่ยออกมาอย่างไม่ปิดบังอีกต่อไป“ข้าไม่น่าแต่งกับนางเลย” คำพูดของเขา… จางกุนเหยา สามีของนาง นางยืนนิ่ง ไม่อาจก้าวเดินไปข้างหน้าหรือถอยหลังได้อีก ดวงตาพร่าเลือน ราวกับภาพทุกอย่างตรงหน้ากำลังสั่นไหว ทุกความทรงจำเก่าก่อนไหลบ่า จางกุนเหยาพยายามผลักนางให้อี้หยางเฉิงครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งปล่อยให้นางอยู่ตามลำพังกับอี้หยางเฉิง โชคดีที่อี้หยาง
บทนำ “ข้าจะแต่งอนุ”เสียงเรียบขรึมเอ่ยขึ้น ท่ามกลางความเงียบในรถม้า หยางมี่ที่นั่งนิ่งมาตลอดเงยหน้าขึ้นทันทีแม้พอจะคาดเดาว่ากำลังจะเกิดสิ่งใดขึ้นในวันข้างหน้า แต่มิคาดคิดว่าจะเร็วเพียงนี้ ดวงตาคู่สวยจ้องมองสามีของนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม แต่เขากลับไม่หลบเลี่ยง นิ่งสงบราวกับคนที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว“ท่านพี่…พูดว่าอะไรนะ” เสียงของนางเบาหวิว กว่าจะหาเสียงของตนเจอก็ตั้งสติอยู่นาน ผิดกับเสียงหัวใจ กลับเต้นรัวราวกับถูกบีบจนแทบหยุดหายใจ“ข้าพูดชัดแล้ว มี่เอ๋อร์” เขาย้ำคำ น้ำเสียงไร้ความลังเลใด ๆหัวใจของนางราวกับถูกมีดคมกรีดผ่าน เจ็บแปลบจนยากจะทน นางรู้ดีว่าวันหนึ่งเขาอาจจะพูดคำนี้ แต่เมื่อมันมาถึงจริง ๆ นางก็ไม่อาจเตรียมใจรับได้ หลังจากเขากลับมาจากสนามรบ จางกุนเหยาก็รีบจัดงานแต่งอย่างที่สัญญากับนางเอาไว้ ความรักความอบอุ่นที่เขามีให้เพิ่งจะผ่านไปได้เพียงหนึ่งปีเท่านั้น สามีของนางที่เคยมองนางด้วยสายตาเปี่ยมรัก ตั้งแต่เมื่อไรกันที่มันจืดจางลง ท่านหมดรักข้าตั้งแต่เมื่อไร“เหตุใดท่านเลือกทำเช่นนี้” หยางมี่ถามออกไปทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แก่ใจ ความรักที่นางทุ่มเทให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ช่างด
บทที่ 4 ความจริงอีกหนึ่งอย่าง “อย่าเอ่ยคำนี้ออกมาให้นางได้ยินเชียว”เท้าทั้งสี่ข้างพร้อมใจกันหยุด สามีให้สาวใช้มาบอก หากคุยธุระกันเรียบร้อยให้ตามไปที่เรือนอักษร เพราะจางกุนเหยามา คงจะมารับภรรยากลับ และเสียงที่การสนทนาด้านในคงจะเป็นสามีของนางและสหายสนิท“เจ้ารู้ดีกว่าใคร ข้าพยายามผูกสัมพันธ์ให้เจ้ากับหยางมี่แต่ไม่สำเร็จ เพราะเจ้าตกหลุมรักเจียงซีเว่ยเสียก่อน หากหยางมี่ได้แต่งกับเจ้าคงไม่เป็นเช่นนี้” ดวงตาเจียงซีเว่ยเบิกกว้างรีบหันขวับไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่เคียงข้าง มือของหยางมี่เย็นเฉียบราวกับเลือดในกายหยุดไหล นางมองไปยังประตูเรือนอักษรด้วยแววตาสั่นไหว หัวใจเต้นกระหน่ำ ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบรัดมันแน่นจางกุนเหยา เขาสูดลมหายใจลึก น้ำเสียงเศร้าเอ่ยออกมาอย่างไม่ปิดบังอีกต่อไป“ข้าไม่น่าแต่งกับนางเลย” คำพูดของเขา… จางกุนเหยา สามีของนาง นางยืนนิ่ง ไม่อาจก้าวเดินไปข้างหน้าหรือถอยหลังได้อีก ดวงตาพร่าเลือน ราวกับภาพทุกอย่างตรงหน้ากำลังสั่นไหว ทุกความทรงจำเก่าก่อนไหลบ่า จางกุนเหยาพยายามผลักนางให้อี้หยางเฉิงครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งปล่อยให้นางอยู่ตามลำพังกับอี้หยางเฉิง โชคดีที่อี้หยาง
บทที่ 3 เพื่อนที่หวังดี“เจ้าไม่ต้องฝืนหรอก ถ้ามีเรื่องอัดอั้นอยู่ในใจ ก็บอกข้าเถอะ”หยางมี่มองมือที่อบอุ่นของเพื่อนสนิท ก่อนที่ความรู้สึกทั้งหมดจะทะลักออกมาพร้อมกับเสียงกระซิบแผ่วเบา“ข้าเหนื่อยเหลือเกิน เว่ยเว่ย” น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นบนหลังมือของหยางมี่ นางรีบยกมือขึ้นเช็ดออกอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าใครจะเห็นความอ่อนแอของตนเจียงซีเว่ยไม่พูดอะไร เพียงแค่กุมมือนางไว้แน่นขึ้น รอให้นางได้ระบายความรู้สึกที่เก็บไว้ออกมา “ข้าคิดว่าหากข้าทำดีมากพอ หากข้าอดทนพอ เขาจะมองเห็นข้า… จะรักข้า… แต่สุดท้ายแล้ว ข้าก็ยังเป็นแค่เงาในชีวิตของเขา เป็นเพียงภรรยาที่ถูกทอดทิ้ง”เสียงของหยางมี่สั่นเครือ นางเงยหน้าขึ้นสบตาเจียงซีเว่ย แววตาของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด“ข้าเหนื่อยกับการพยายาม… เหนื่อยกับการต้องทนรับสายตาเย็นชาของเขาทุกวัน เหนื่อยที่ต้องพยายามทำให้แม่สามียอมรับ ทั้งที่ข้าไม่เคยดีพอในสายตาของนาง ข้าอยากปล่อยมือเสียที ข้าไม่อยากทนอีกต่อไปแล้ว…”สิ้นคำพูดนั้น เจียงซีเว่ยก็ลุกขึ้นมาโอบกอดนางไว้ หยางมี่ที่พยายามเข้มแข็งมาตลอด ในที่สุดก็ปล่อยโฮออกมา นางปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างไม่ต้องเก็บกลั้นอีกต่อไป
บทที่ 2 อิจฉา หยางมี่ส่งยิ้มบางให้กับเจียงซีเว่ย หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าถูกสามีประคองไว้อย่างทะนุถนอม แม้ว่าหน้าท้องของนางจะยื่นออกมาเพียงเล็กน้อย แต่บุรุษข้างกายกลับดูแลนางราวกับเป็นสิ่งล้ำค่า“ไม่เห็นจำเป็นต้องเดินออกมารับเลย” หยางมี่เอ่ยขึ้นพลางก้าวเข้าไปใกล้คนทั้งสองเว่ยเว่ยหัวเราะเบา ๆ “ข้าอยากออกมาพบเจ้าเอง อีกอย่าง ข้าไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดเดินออกมาทักทายสหายไม่ได้เสียหน่อย” นางเอ่ยติดตลก แต่สามีของนางกลับมองด้วยสายตาเป็นห่วง“เจ้าต้องระวังตัวให้มากกว่านี้ เว่ยเอ๋อร์” ชายหนุ่มข้างกายกล่าวเตือนเสียงอ่อน ก่อนจะค่อย ๆ พานางเดินเข้าไปในเรือนด้วยกันหยางมี่มองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่บีบรัดเล็กน้อย นางเคยคิดว่าวันหนึ่งสามีของนางจะประคองนางเช่นนี้ ปกป้องและดูแลนางด้วยความรักมั่นคง แต่นั่นเป็นเพียงภาพฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง“เจ้าเดินทางมาเหนื่อย ๆ เข้ามานั่งพักก่อนเถิด” เว่ยเว่ยเอ่ยพลางเชื้อเชิญหยางมี่พยักหน้า ก่อนจะก้าวเข้าไปด้านในบรรยากาศในเรือนของเจียงซีเว่ยอบอุ่น นางมองไปรอบ ๆ พลางอดเปรียบเทียบกับเรือนของตนเองไม่ได้ เรือนของนางช่างเงียบเหงา ไร้ซึ่งเสียงหัวเราะของสามีภรรยาเหมือนที่นี
บทที่ 1 ความเย็นชา ความเงียบสงบของยามเช้าปกคลุมไปทั่วจวน แสงแดดยามอรุณลอดผ่านม่านบางเบา ส่องกระทบลงบนเตียงกว้าง แต่กลับให้ความรู้สึกเวิ้งว้างอย่างน่าประหลาดหยางมี่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พลิกกายอย่างเชื่องช้า ความอบอุ่นที่เคยอยู่ข้างกายเมื่อค่ำคืน กลับจางหายไปแล้ว เมื่อมือของนางเอื้อมไปสัมผัสที่นอนข้าง ๆ ก็พบเพียงไอเย็นนางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยันกายลุกขึ้นนั่ง สายตากวาดมองไปรอบห้อง ทุกอย่างยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย ความเย็นอีกด้านของเตียงยืนยันว่าเขาไปนานแล้วหัวใจของนางกระตุกวูบ ไม่ใช่เพราะความสงสัย แต่เป็นเพราะนางรู้ดีว่าเขาเลือกที่จะไม่นอนเคียงข้างนางจนรุ่งสาง เขาอาจจะออกไปทันทีที่นางหลับเมื่อคืนก่อนทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม สายตา ท่าที คำพูด ทุกอย่างดูปกติจนไม่น่าเชื่อว่าจะนำมาสู่เช้าที่อ้างว้างเช่นนี้หยางมี่กำผ้าห่มแน่น ความเย็นจากที่นอนด้านข้างแทรกซึมเข้าสู่หัวใจของนางอย่างช้า ๆ ราวกับคำตอบที่ไม่ต้องการคำพูดใด ๆนางพยายามหาคำแก้ต่างให้เขากับสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดหลายวันที่ผ่านมานางพยายามบอกตัวเองว่าอาจมีเรื่องเร่งด่วน แต่เมื่อสอบถามบ่าวรับใช้ในจวน คำตอบที่ได้รับกลับทำให้นางได้แต่ถอนห
บทนำ “ข้าจะแต่งอนุ”เสียงเรียบขรึมเอ่ยขึ้น ท่ามกลางความเงียบในรถม้า หยางมี่ที่นั่งนิ่งมาตลอดเงยหน้าขึ้นทันทีแม้พอจะคาดเดาว่ากำลังจะเกิดสิ่งใดขึ้นในวันข้างหน้า แต่มิคาดคิดว่าจะเร็วเพียงนี้ ดวงตาคู่สวยจ้องมองสามีของนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม แต่เขากลับไม่หลบเลี่ยง นิ่งสงบราวกับคนที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว“ท่านพี่…พูดว่าอะไรนะ” เสียงของนางเบาหวิว กว่าจะหาเสียงของตนเจอก็ตั้งสติอยู่นาน ผิดกับเสียงหัวใจ กลับเต้นรัวราวกับถูกบีบจนแทบหยุดหายใจ“ข้าพูดชัดแล้ว มี่เอ๋อร์” เขาย้ำคำ น้ำเสียงไร้ความลังเลใด ๆหัวใจของนางราวกับถูกมีดคมกรีดผ่าน เจ็บแปลบจนยากจะทน นางรู้ดีว่าวันหนึ่งเขาอาจจะพูดคำนี้ แต่เมื่อมันมาถึงจริง ๆ นางก็ไม่อาจเตรียมใจรับได้ หลังจากเขากลับมาจากสนามรบ จางกุนเหยาก็รีบจัดงานแต่งอย่างที่สัญญากับนางเอาไว้ ความรักความอบอุ่นที่เขามีให้เพิ่งจะผ่านไปได้เพียงหนึ่งปีเท่านั้น สามีของนางที่เคยมองนางด้วยสายตาเปี่ยมรัก ตั้งแต่เมื่อไรกันที่มันจืดจางลง ท่านหมดรักข้าตั้งแต่เมื่อไร“เหตุใดท่านเลือกทำเช่นนี้” หยางมี่ถามออกไปทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แก่ใจ ความรักที่นางทุ่มเทให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ช่างด