บทที่ 2 อิจฉา
หยางมี่ส่งยิ้มบางให้กับเจียงซีเว่ย หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าถูกสามีประคองไว้อย่างทะนุถนอม แม้ว่าหน้าท้องของนางจะยื่นออกมาเพียงเล็กน้อย แต่บุรุษข้างกายกลับดูแลนางราวกับเป็นสิ่งล้ำค่า
“ไม่เห็นจำเป็นต้องเดินออกมารับเลย” หยางมี่เอ่ยขึ้นพลางก้าวเข้าไปใกล้คนทั้งสอง
เว่ยเว่ยหัวเราะเบา ๆ “ข้าอยากออกมาพบเจ้าเอง อีกอย่าง ข้าไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดเดินออกมาทักทายสหายไม่ได้เสียหน่อย” นางเอ่ยติดตลก แต่สามีของนางกลับมองด้วยสายตาเป็นห่วง
“เจ้าต้องระวังตัวให้มากกว่านี้ เว่ยเอ๋อร์” ชายหนุ่มข้างกายกล่าวเตือนเสียงอ่อน ก่อนจะค่อย ๆ พานางเดินเข้าไปในเรือนด้วยกัน
หยางมี่มองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่บีบรัดเล็กน้อย นางเคยคิดว่าวันหนึ่งสามีของนางจะประคองนางเช่นนี้ ปกป้องและดูแลนางด้วยความรักมั่นคง แต่นั่นเป็นเพียงภาพฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง
“เจ้าเดินทางมาเหนื่อย ๆ เข้ามานั่งพักก่อนเถิด” เว่ยเว่ยเอ่ยพลางเชื้อเชิญ
หยางมี่พยักหน้า ก่อนจะก้าวเข้าไปด้านใน
บรรยากาศในเรือนของเจียงซีเว่ยอบอุ่น นางมองไปรอบ ๆ พลางอดเปรียบเทียบกับเรือนของตนเองไม่ได้ เรือนของนางช่างเงียบเหงา ไร้ซึ่งเสียงหัวเราะของสามีภรรยาเหมือนที่นี่
“สบายดีหรือไม่ อาการแพ้ท้องทุเลาลงไหม” หยางมี่กล่าวเสียงนุ่ม หลังจากนั่งลงและจิบชาอุ่น ๆ ที่สาวใช้ยกมา ช่วยคลายความหนาวได้ดี แม้จะเป็นฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็เป็นท้ายฤดูแล้ว วันนี้นางไม่ได้ใช้รถม้าแต่เดินเท้ามาเพราะอยากมีเวลาคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
เจียงซีเว่ยพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ค่อยเท่าไร ข้าสบายดีออกจะอึดอัดเสียมากกว่า มีคนเดินประกบข้าแทบจะตลอดเวลา แล้วเจ้าล่ะเป็นเช่นไร หากมีเรื่องใดที่ต้องการให้ข้าช่วย บอกข้าได้เสมอ”
หยางมี่มองสหายสนิทของตน นางรู้ดีว่าเจียงซีเว่ยปรารถนาดีต่อนางเพียงใด แต่บางเรื่องก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ๆ
“ข้าเพียงมาทักทายเจ้าเท่านั้น ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น” นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม เว่ยเว่ยยิ้มตอบแต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย ตั้งแต่หยางมี่แต่งงานกับจางกุนเหยา นางก็สบายใจที่ไม่ได้ทำให้นางเอกของนิยายต้นฉบับไม่มีความสุข ในช่วงแรก ๆ แววตาหยางมี่มีแต่ความสุข แต่ในวันนี้กลับเศร้าหมองอย่างน่าประหลาด
“ข้าทำไก่ตุ๋นที่เจ้าบ่นว่าอยากกินมาฝาก”
หยางมี่กล่าวพร้อมกับส่งผ้าห่อหม้อตุ๋นให้เจียงซีเว่ย นางพยายามยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเช่นทุกครั้ง แม้ว่าหัวใจของนางจะรู้สึกหนักอึ้งก็ตาม
อี้หยางเฉิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันไปสั่งสาวใช้ทันที
“รีบตั้งสำรับ ฮูหยินจะได้ทานข้าวมื้อนี้อย่างอิ่มหนำ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดเย้าเล็กน้อย เว่ยเอ๋อร์ของเขาแพ้ท้องหนักมาก แม้จะไม่อาเจียนอาหารที่ทานเข้าไป แต่ก็ทานได้น้อย วันนี้นางคงเจริญอาหาร
ไม่นาน อาหารถูกจัดขึ้นบนโต๊ะอย่างเรียบร้อย หยางมี่นั่งลงร่วมโต๊ะกับทั้งสอง นางจ้องมองเจียงซีเว่ยที่กำลังตั้งครรภ์อย่างสุขสม ขณะที่สามีของนางดูแลภรรยาของตนด้วยความรัก
แม่ทัพหนุ่มไม่แม้แต่จะปล่อยให้ถ้วยของภรรยาตัวเองว่างเปล่า เมื่อเห็นว่าน้ำแกงพร่องลง เขาก็ตักไก่ตุ๋นเติมให้ไม่ขาดสาย
หยางมี่เผลอจ้องมองภาพนั้นด้วยสายตาหม่นหมอง ก่อนจะรู้ตัวและรีบก้มหน้าจัดการกับอาหารตรงหน้าของตนเอง ทว่าความรู้สึกอ้างว้างกลับตีตื้นขึ้นมาในอก
ครั้งหนึ่ง นางก็เคยหวังว่าจะได้รับการดูแลเช่นนี้ แต่ความหวังนั้นกลับกลายเป็นเพียงภาพเลือนรางที่ไม่มีวันเป็นจริง ไม่ปิดบังว่านางอิจฉาเจียงซีเว่ยเหลือเกินที่หลังแต่งงานแล้วก็ตั้งครรภ์ สามีดูแลเอาอกเอาใจเป็นอย่างดีต่างจากนาง
แม้ว่าหยางมี่จะพยายามซ่อนความรู้สึก เจียงซีเว่ยก็ยังคงรับรู้ได้ ทว่าหญิงสาวไม่พูดอะไร เพียงแค่ส่งยิ้มอ่อนโยนให้ ราวกับอยากให้มื้อนี้ผ่านไปอย่างสงบ
อี้หยางเฉิงเองก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับความเงียบของหยางมี่ เขาตั้งใจรอจนภรรยาของเขาทานอาหารอิ่มเสียก่อน ค่อยปล่อยให้หญิงสาวทั้งสองคุยกันตามลำพัง เพราะหากเขายังอยู่หยางมี่คงมิเปิดปากระบายสิ่งที่อยู่ในใจ
เขารู้ดีว่าหยางมี่ต้องการพูดอะไรบางอย่าง และเขาเองก็เข้าใจความรู้สึกของนางดี แต่สำหรับเขาแล้ว ในเวลานี้ คนที่สำคัญที่สุดคือเว่ยเอ๋อร์ของเขา
เมื่อแน่ใจว่าภรรยาอิ่มแล้วจึงกล่าวเสียงเรียบ
“ข้าจะออกไปตรวจตรารอบ ๆ จวน เจ้าสองคนคุยกันเถอะ”
เมื่อบุรุษออกไปแล้ว ความเงียบก็เข้าปกคลุมระหว่างสองสตรี หยางมี่ไล้นิ้วไปตามขอบถ้วยชาอย่างใจลอย เว่ยเว่ยมองเพื่อนสนิทของตนแล้วจึงเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“มี่เอ๋อร์… เจ้าสบายดีจริง ๆ หรือไม่”
หยางมี่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบาง “ข้าสบายดี”
แต่เจียงซีเว่ยรู้ดีว่ามันไม่ใช่ความจริง นางถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมือของหยางมี่ไว้
บทที่ 3 เพื่อนที่หวังดี“เจ้าไม่ต้องฝืนหรอก ถ้ามีเรื่องอัดอั้นอยู่ในใจ ก็บอกข้าเถอะ”หยางมี่มองมือที่อบอุ่นของเพื่อนสนิท ก่อนที่ความรู้สึกทั้งหมดจะทะลักออกมาพร้อมกับเสียงกระซิบแผ่วเบา“ข้าเหนื่อยเหลือเกิน เว่ยเว่ย” น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นบนหลังมือของหยางมี่ นางรีบยกมือขึ้นเช็ดออกอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าใครจะเห็นความอ่อนแอของตนเจียงซีเว่ยไม่พูดอะไร เพียงแค่กุมมือนางไว้แน่นขึ้น รอให้นางได้ระบายความรู้สึกที่เก็บไว้ออกมา “ข้าคิดว่าหากข้าทำดีมากพอ หากข้าอดทนพอ เขาจะมองเห็นข้า… จะรักข้า… แต่สุดท้ายแล้ว ข้าก็ยังเป็นแค่เงาในชีวิตของเขา เป็นเพียงภรรยาที่ถูกทอดทิ้ง”เสียงของหยางมี่สั่นเครือ นางเงยหน้าขึ้นสบตาเจียงซีเว่ย แววตาของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด“ข้าเหนื่อยกับการพยายาม… เหนื่อยกับการต้องทนรับสายตาเย็นชาของเขาทุกวัน เหนื่อยที่ต้องพยายามทำให้แม่สามียอมรับ ทั้งที่ข้าไม่เคยดีพอในสายตาของนาง ข้าอยากปล่อยมือเสียที ข้าไม่อยากทนอีกต่อไปแล้ว…”สิ้นคำพูดนั้น เจียงซีเว่ยก็ลุกขึ้นมาโอบกอดนางไว้ หยางมี่ที่พยายามเข้มแข็งมาตลอด ในที่สุดก็ปล่อยโฮออกมา นางปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างไม่ต้องเก็บกลั้นอีกต่อไป
บทที่ 4 ความจริงอีกหนึ่งอย่าง “อย่าเอ่ยคำนี้ออกมาให้นางได้ยินเชียว”เท้าทั้งสี่ข้างพร้อมใจกันหยุด สามีให้สาวใช้มาบอก หากคุยธุระกันเรียบร้อยให้ตามไปที่เรือนอักษร เพราะจางกุนเหยามา คงจะมารับภรรยากลับ และเสียงที่การสนทนาด้านในคงจะเป็นสามีของนางและสหายสนิท“เจ้ารู้ดีกว่าใคร ข้าพยายามผูกสัมพันธ์ให้เจ้ากับหยางมี่แต่ไม่สำเร็จ เพราะเจ้าตกหลุมรักเจียงซีเว่ยเสียก่อน หากหยางมี่ได้แต่งกับเจ้าคงไม่เป็นเช่นนี้” ดวงตาเจียงซีเว่ยเบิกกว้างรีบหันขวับไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่เคียงข้าง มือของหยางมี่เย็นเฉียบราวกับเลือดในกายหยุดไหล นางมองไปยังประตูเรือนอักษรด้วยแววตาสั่นไหว หัวใจเต้นกระหน่ำ ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบรัดมันแน่นจางกุนเหยา เขาสูดลมหายใจลึก น้ำเสียงเศร้าเอ่ยออกมาอย่างไม่ปิดบังอีกต่อไป“ข้าไม่น่าแต่งกับนางเลย” คำพูดของเขา… จางกุนเหยา สามีของนาง นางยืนนิ่ง ไม่อาจก้าวเดินไปข้างหน้าหรือถอยหลังได้อีก ดวงตาพร่าเลือน ราวกับภาพทุกอย่างตรงหน้ากำลังสั่นไหว ทุกความทรงจำเก่าก่อนไหลบ่า จางกุนเหยาพยายามผลักนางให้อี้หยางเฉิงครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งปล่อยให้นางอยู่ตามลำพังกับอี้หยางเฉิง โชคดีที่อี้หยาง
บทนำ “ข้าจะแต่งอนุ”เสียงเรียบขรึมเอ่ยขึ้น ท่ามกลางความเงียบในรถม้า หยางมี่ที่นั่งนิ่งมาตลอดเงยหน้าขึ้นทันทีแม้พอจะคาดเดาว่ากำลังจะเกิดสิ่งใดขึ้นในวันข้างหน้า แต่มิคาดคิดว่าจะเร็วเพียงนี้ ดวงตาคู่สวยจ้องมองสามีของนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม แต่เขากลับไม่หลบเลี่ยง นิ่งสงบราวกับคนที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว“ท่านพี่…พูดว่าอะไรนะ” เสียงของนางเบาหวิว กว่าจะหาเสียงของตนเจอก็ตั้งสติอยู่นาน ผิดกับเสียงหัวใจ กลับเต้นรัวราวกับถูกบีบจนแทบหยุดหายใจ“ข้าพูดชัดแล้ว มี่เอ๋อร์” เขาย้ำคำ น้ำเสียงไร้ความลังเลใด ๆหัวใจของนางราวกับถูกมีดคมกรีดผ่าน เจ็บแปลบจนยากจะทน นางรู้ดีว่าวันหนึ่งเขาอาจจะพูดคำนี้ แต่เมื่อมันมาถึงจริง ๆ นางก็ไม่อาจเตรียมใจรับได้ หลังจากเขากลับมาจากสนามรบ จางกุนเหยาก็รีบจัดงานแต่งอย่างที่สัญญากับนางเอาไว้ ความรักความอบอุ่นที่เขามีให้เพิ่งจะผ่านไปได้เพียงหนึ่งปีเท่านั้น สามีของนางที่เคยมองนางด้วยสายตาเปี่ยมรัก ตั้งแต่เมื่อไรกันที่มันจืดจางลง ท่านหมดรักข้าตั้งแต่เมื่อไร“เหตุใดท่านเลือกทำเช่นนี้” หยางมี่ถามออกไปทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แก่ใจ ความรักที่นางทุ่มเทให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ช่างด
บทที่ 1 ความเย็นชา ความเงียบสงบของยามเช้าปกคลุมไปทั่วจวน แสงแดดยามอรุณลอดผ่านม่านบางเบา ส่องกระทบลงบนเตียงกว้าง แต่กลับให้ความรู้สึกเวิ้งว้างอย่างน่าประหลาดหยางมี่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พลิกกายอย่างเชื่องช้า ความอบอุ่นที่เคยอยู่ข้างกายเมื่อค่ำคืน กลับจางหายไปแล้ว เมื่อมือของนางเอื้อมไปสัมผัสที่นอนข้าง ๆ ก็พบเพียงไอเย็นนางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยันกายลุกขึ้นนั่ง สายตากวาดมองไปรอบห้อง ทุกอย่างยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย ความเย็นอีกด้านของเตียงยืนยันว่าเขาไปนานแล้วหัวใจของนางกระตุกวูบ ไม่ใช่เพราะความสงสัย แต่เป็นเพราะนางรู้ดีว่าเขาเลือกที่จะไม่นอนเคียงข้างนางจนรุ่งสาง เขาอาจจะออกไปทันทีที่นางหลับเมื่อคืนก่อนทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม สายตา ท่าที คำพูด ทุกอย่างดูปกติจนไม่น่าเชื่อว่าจะนำมาสู่เช้าที่อ้างว้างเช่นนี้หยางมี่กำผ้าห่มแน่น ความเย็นจากที่นอนด้านข้างแทรกซึมเข้าสู่หัวใจของนางอย่างช้า ๆ ราวกับคำตอบที่ไม่ต้องการคำพูดใด ๆนางพยายามหาคำแก้ต่างให้เขากับสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดหลายวันที่ผ่านมานางพยายามบอกตัวเองว่าอาจมีเรื่องเร่งด่วน แต่เมื่อสอบถามบ่าวรับใช้ในจวน คำตอบที่ได้รับกลับทำให้นางได้แต่ถอนห
บทที่ 4 ความจริงอีกหนึ่งอย่าง “อย่าเอ่ยคำนี้ออกมาให้นางได้ยินเชียว”เท้าทั้งสี่ข้างพร้อมใจกันหยุด สามีให้สาวใช้มาบอก หากคุยธุระกันเรียบร้อยให้ตามไปที่เรือนอักษร เพราะจางกุนเหยามา คงจะมารับภรรยากลับ และเสียงที่การสนทนาด้านในคงจะเป็นสามีของนางและสหายสนิท“เจ้ารู้ดีกว่าใคร ข้าพยายามผูกสัมพันธ์ให้เจ้ากับหยางมี่แต่ไม่สำเร็จ เพราะเจ้าตกหลุมรักเจียงซีเว่ยเสียก่อน หากหยางมี่ได้แต่งกับเจ้าคงไม่เป็นเช่นนี้” ดวงตาเจียงซีเว่ยเบิกกว้างรีบหันขวับไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่เคียงข้าง มือของหยางมี่เย็นเฉียบราวกับเลือดในกายหยุดไหล นางมองไปยังประตูเรือนอักษรด้วยแววตาสั่นไหว หัวใจเต้นกระหน่ำ ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบรัดมันแน่นจางกุนเหยา เขาสูดลมหายใจลึก น้ำเสียงเศร้าเอ่ยออกมาอย่างไม่ปิดบังอีกต่อไป“ข้าไม่น่าแต่งกับนางเลย” คำพูดของเขา… จางกุนเหยา สามีของนาง นางยืนนิ่ง ไม่อาจก้าวเดินไปข้างหน้าหรือถอยหลังได้อีก ดวงตาพร่าเลือน ราวกับภาพทุกอย่างตรงหน้ากำลังสั่นไหว ทุกความทรงจำเก่าก่อนไหลบ่า จางกุนเหยาพยายามผลักนางให้อี้หยางเฉิงครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งปล่อยให้นางอยู่ตามลำพังกับอี้หยางเฉิง โชคดีที่อี้หยาง
บทที่ 3 เพื่อนที่หวังดี“เจ้าไม่ต้องฝืนหรอก ถ้ามีเรื่องอัดอั้นอยู่ในใจ ก็บอกข้าเถอะ”หยางมี่มองมือที่อบอุ่นของเพื่อนสนิท ก่อนที่ความรู้สึกทั้งหมดจะทะลักออกมาพร้อมกับเสียงกระซิบแผ่วเบา“ข้าเหนื่อยเหลือเกิน เว่ยเว่ย” น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นบนหลังมือของหยางมี่ นางรีบยกมือขึ้นเช็ดออกอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าใครจะเห็นความอ่อนแอของตนเจียงซีเว่ยไม่พูดอะไร เพียงแค่กุมมือนางไว้แน่นขึ้น รอให้นางได้ระบายความรู้สึกที่เก็บไว้ออกมา “ข้าคิดว่าหากข้าทำดีมากพอ หากข้าอดทนพอ เขาจะมองเห็นข้า… จะรักข้า… แต่สุดท้ายแล้ว ข้าก็ยังเป็นแค่เงาในชีวิตของเขา เป็นเพียงภรรยาที่ถูกทอดทิ้ง”เสียงของหยางมี่สั่นเครือ นางเงยหน้าขึ้นสบตาเจียงซีเว่ย แววตาของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด“ข้าเหนื่อยกับการพยายาม… เหนื่อยกับการต้องทนรับสายตาเย็นชาของเขาทุกวัน เหนื่อยที่ต้องพยายามทำให้แม่สามียอมรับ ทั้งที่ข้าไม่เคยดีพอในสายตาของนาง ข้าอยากปล่อยมือเสียที ข้าไม่อยากทนอีกต่อไปแล้ว…”สิ้นคำพูดนั้น เจียงซีเว่ยก็ลุกขึ้นมาโอบกอดนางไว้ หยางมี่ที่พยายามเข้มแข็งมาตลอด ในที่สุดก็ปล่อยโฮออกมา นางปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างไม่ต้องเก็บกลั้นอีกต่อไป
บทที่ 2 อิจฉา หยางมี่ส่งยิ้มบางให้กับเจียงซีเว่ย หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าถูกสามีประคองไว้อย่างทะนุถนอม แม้ว่าหน้าท้องของนางจะยื่นออกมาเพียงเล็กน้อย แต่บุรุษข้างกายกลับดูแลนางราวกับเป็นสิ่งล้ำค่า“ไม่เห็นจำเป็นต้องเดินออกมารับเลย” หยางมี่เอ่ยขึ้นพลางก้าวเข้าไปใกล้คนทั้งสองเว่ยเว่ยหัวเราะเบา ๆ “ข้าอยากออกมาพบเจ้าเอง อีกอย่าง ข้าไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดเดินออกมาทักทายสหายไม่ได้เสียหน่อย” นางเอ่ยติดตลก แต่สามีของนางกลับมองด้วยสายตาเป็นห่วง“เจ้าต้องระวังตัวให้มากกว่านี้ เว่ยเอ๋อร์” ชายหนุ่มข้างกายกล่าวเตือนเสียงอ่อน ก่อนจะค่อย ๆ พานางเดินเข้าไปในเรือนด้วยกันหยางมี่มองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่บีบรัดเล็กน้อย นางเคยคิดว่าวันหนึ่งสามีของนางจะประคองนางเช่นนี้ ปกป้องและดูแลนางด้วยความรักมั่นคง แต่นั่นเป็นเพียงภาพฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง“เจ้าเดินทางมาเหนื่อย ๆ เข้ามานั่งพักก่อนเถิด” เว่ยเว่ยเอ่ยพลางเชื้อเชิญหยางมี่พยักหน้า ก่อนจะก้าวเข้าไปด้านในบรรยากาศในเรือนของเจียงซีเว่ยอบอุ่น นางมองไปรอบ ๆ พลางอดเปรียบเทียบกับเรือนของตนเองไม่ได้ เรือนของนางช่างเงียบเหงา ไร้ซึ่งเสียงหัวเราะของสามีภรรยาเหมือนที่นี
บทที่ 1 ความเย็นชา ความเงียบสงบของยามเช้าปกคลุมไปทั่วจวน แสงแดดยามอรุณลอดผ่านม่านบางเบา ส่องกระทบลงบนเตียงกว้าง แต่กลับให้ความรู้สึกเวิ้งว้างอย่างน่าประหลาดหยางมี่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พลิกกายอย่างเชื่องช้า ความอบอุ่นที่เคยอยู่ข้างกายเมื่อค่ำคืน กลับจางหายไปแล้ว เมื่อมือของนางเอื้อมไปสัมผัสที่นอนข้าง ๆ ก็พบเพียงไอเย็นนางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยันกายลุกขึ้นนั่ง สายตากวาดมองไปรอบห้อง ทุกอย่างยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย ความเย็นอีกด้านของเตียงยืนยันว่าเขาไปนานแล้วหัวใจของนางกระตุกวูบ ไม่ใช่เพราะความสงสัย แต่เป็นเพราะนางรู้ดีว่าเขาเลือกที่จะไม่นอนเคียงข้างนางจนรุ่งสาง เขาอาจจะออกไปทันทีที่นางหลับเมื่อคืนก่อนทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม สายตา ท่าที คำพูด ทุกอย่างดูปกติจนไม่น่าเชื่อว่าจะนำมาสู่เช้าที่อ้างว้างเช่นนี้หยางมี่กำผ้าห่มแน่น ความเย็นจากที่นอนด้านข้างแทรกซึมเข้าสู่หัวใจของนางอย่างช้า ๆ ราวกับคำตอบที่ไม่ต้องการคำพูดใด ๆนางพยายามหาคำแก้ต่างให้เขากับสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดหลายวันที่ผ่านมานางพยายามบอกตัวเองว่าอาจมีเรื่องเร่งด่วน แต่เมื่อสอบถามบ่าวรับใช้ในจวน คำตอบที่ได้รับกลับทำให้นางได้แต่ถอนห
บทนำ “ข้าจะแต่งอนุ”เสียงเรียบขรึมเอ่ยขึ้น ท่ามกลางความเงียบในรถม้า หยางมี่ที่นั่งนิ่งมาตลอดเงยหน้าขึ้นทันทีแม้พอจะคาดเดาว่ากำลังจะเกิดสิ่งใดขึ้นในวันข้างหน้า แต่มิคาดคิดว่าจะเร็วเพียงนี้ ดวงตาคู่สวยจ้องมองสามีของนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม แต่เขากลับไม่หลบเลี่ยง นิ่งสงบราวกับคนที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว“ท่านพี่…พูดว่าอะไรนะ” เสียงของนางเบาหวิว กว่าจะหาเสียงของตนเจอก็ตั้งสติอยู่นาน ผิดกับเสียงหัวใจ กลับเต้นรัวราวกับถูกบีบจนแทบหยุดหายใจ“ข้าพูดชัดแล้ว มี่เอ๋อร์” เขาย้ำคำ น้ำเสียงไร้ความลังเลใด ๆหัวใจของนางราวกับถูกมีดคมกรีดผ่าน เจ็บแปลบจนยากจะทน นางรู้ดีว่าวันหนึ่งเขาอาจจะพูดคำนี้ แต่เมื่อมันมาถึงจริง ๆ นางก็ไม่อาจเตรียมใจรับได้ หลังจากเขากลับมาจากสนามรบ จางกุนเหยาก็รีบจัดงานแต่งอย่างที่สัญญากับนางเอาไว้ ความรักความอบอุ่นที่เขามีให้เพิ่งจะผ่านไปได้เพียงหนึ่งปีเท่านั้น สามีของนางที่เคยมองนางด้วยสายตาเปี่ยมรัก ตั้งแต่เมื่อไรกันที่มันจืดจางลง ท่านหมดรักข้าตั้งแต่เมื่อไร“เหตุใดท่านเลือกทำเช่นนี้” หยางมี่ถามออกไปทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แก่ใจ ความรักที่นางทุ่มเทให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ช่างด