ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยในตัวราชครูยิ่งนัก จึงเอื้อนเอ่ยอย่างไม่ปิดบัง “ใช่แล้ว”“หากเป็นผู้อื่นก็คงไม่เป็นไร ทว่าหมอหญิงเจียงผู้นั้นฝีมือสูงล้ำ หากนางรักษาอาการเสียสติของไท่ซ่างหวงจนหายดีได้ เช่นนั้น...ไท่ซ่างหวงก็คงไว้ชีวิตต่อไปมิได้อีก”“ฝ่าบาทวางพระทัยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ราชครูกล่าวอย่างราบเรียบ “ข้าพระองค์ได้ใส่ตัวยาพิเศษลงในยาที่ไท่ซ่างหวงเสวยทุกวันแล้ว ยานั้นจะทำให้อาการทรุดหนักขึ้นเรื่อย ๆ แม้หยุดเสวย ก็ไม่มีทางหายดีได้อีก”ฮ่องเต้จึงถอนพระทัยอย่างโล่งอก ก่อนเอ่ยอีกว่า “ถึงกระนั้นก็ตาม ภายในตำหนักของไท่ซ่างหวงยังไม่มีคนของเราแฝงตัวอยู่เลย เราจึงยังรู้สึกไม่สบายใจนัก”“ฝ่าบาท ข้าพระองค์มีวิธีหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”“วิธีใด?”“ในวังมีนางกำนัลอยู่มากมาย ฝ่าบาทอาจคัดเลือกผู้ที่มีพระพักตร์คล้ายกับฮองเฮาไท่ชิงมาไว้ข้างกายไท่ซ่างหวง อาจถูกพระองค์เก็บไว้ก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ”“วิธีนี้ฟังดูเข้าที” ฮ่องเต้ทรงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางพู่กันในมือ “...ไม่ เปลี่ยนใจแล้ว”“เจ้าจิ่นระยะนี้เริ่มตีตัวออกห่าง บางถ้อยคำที่เขาเอ่ยยังส่อแววเคลือบแคลง คล้ายจะเริ่มสงสัยในเรา”พระหัตถ์ของฮ่องเต้เคาะโต๊ะด้
“พ่ะย่ะค่ะ” ราชครูมีสีหน้าเปี่ยมยินดี ค้อมกายคารวะแล้วกล่าวว่า “กระหม่อมขอทูลลากลับก่อน ไม่รบกวนการพักผ่อนขององค์ชายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เขาหันกายจะจากไป ขณะนั้นเองสายตาเหลือบไปยังขอบหน้าต่างอย่างไม่ตั้งใจ แต่ชางอี้ยืนขวางอยู่พอดี จึงต้องหันกลับด้วยสีหน้าที่แฝงความผิดหวังเมื่อครู่ทันทีที่เขาเข้ามา ก็สังเกตเห็นของบางอย่างในมือกู้จิ่น สีเขียวสด รูปทรงสี่เหลี่ยม ดูคล้ายหยกผืนหนึ่งไม่... ไม่น่าเป็นหยกประทับราชโองการได้หรอกหยกประทับมีค่าเหลือคณา องค์ชายกู้จิ่นจะเอามาวางลอย ๆ บนขอบหน้าต่างได้อย่างไร?อีกอย่าง หยกประทับเป็นสัญลักษณ์แห่งองค์จักรพรรดิ เท่านั้นจึงจะครอบครองได้ ส่วนกู้จิ่นเป็นเพียงอ๋องคนหนึ่ง หาใช่ฮ่องเต้ไม่ ย่อมไม่มีทางมีของเช่นนั้นอยู่ในมือหากจะกล่าวว่าเขาแอบขโมยมาจากฮ่องเต้ นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ ฮ่องเต้ทรงหวงของสิ่งนั้นราวกับชีวิต หากหายไปแม้เพียงครู่เดียว ป่านนี้คงสั่งพลิกแผ่นดินตามหาไปแล้วคงเป็นเพียงตาทำให้ลวงตา ราชครูส่ายหัวเบา ๆ แล้วเร่งฝีเท้าจากไปกู้จิ่นวางถ้วยชาลง แล้วหยิบพู่กันขึ้นเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษชางอี้เอ่ยเสียงเบา “องค์ชาย หากราชครูล่วงรู้เข้า จะทรง
“ได้” กู้จิ่นเอื้อมพระหัตถ์ขวาจับพนักเก้าอี้ นิ้วชี้เคาะเบา ๆ พลางสั่ง “ชางอี้ ถอยไป”ชางอี้ยืนหลบไปด้านข้าง ราชครูจึงสาวเท้าเข้าไปหนึ่งก้าว จ้องมองสตรีตรงหน้าเขม็งดวงเนตรของราชครูส่องประกายเขียวคล้ำ แฝงไว้ด้วยความเยียบเย็น ทำให้หญิงสาวรู้สึกกระวนกระวาย เผลอถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างตึงเครียด“ถอดผ้าคลุมหน้าออก” ราชครูออกคำสั่งเสียงเรียบหญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ถอดผ้าขาวที่ปิดบังใบหน้า เผยให้เห็นครึ่งล่างของใบหน้าที่ซ่อนอยู่ราชครูยกมือแตะหลังใบหูของนาง เบา ๆ เพื่อตรวจสอบว่านางสวมหน้ากากหนังมนุษย์หรือไม่ แต่สัมผัสที่ได้คือผิวเนียนอุ่นตามธรรมชาติ มิใช่หน้ากากปลอมจากนั้น เขาจึงเพ่งมองไปยังปานแดงกลางหน้าผากของนาง แล้วใช้นิ้วแตะลงไปพร้อมกับออกแรงถู ปานนั้นหาได้หลุดลอกหรือเลือนรางไม่ริมฝีปากของเขาสั่นระริก เอ่ยเสียงพร่า “เราได้พบกันเสียที...”กู้จิ่นยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาคาดไว้ไม่ผิด ราชครูใช้ปานแดงกลางหน้าผากเป็นจุดยืนยันตัวตน ยามจุดปานปลอมลงไป ราชครูก็หาได้ล่วงรู้ไม่ว่านางเป็นตัวปลอม“ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดถึงสิ่งใด” สตรีผู้นั้นกล่าวพลางส่ายศีรษะ ตามที่ชางอี้กำชั
“แน่นอน” ราชครูกล่าวอย่างไม่รู้จักถ่อมตน “กระหม่อมสามารถดูฤกษ์ยามและอ่านฟ้าดินได้ ฝ่าบาทเมื่อได้เห็นกระหม่อมครั้งแรก ก็ทรงทราบทันทีว่ากระหม่อมจะเป็นกำลังสำคัญให้ทรงทำการใหญ่สำเร็จ”“การใหญ่หรือ?” กู้จิ่นยกถ้วยชาขึ้นจิบ “คือหมายมาดกำจัดเรานั้นกระมัง?”“องค์ชาย กระหม่อมรับปากไว้เพียงจะบอกว่าใครคือแมงป่องพิษ หาได้ตกลงเรื่องอื่นไม่พ่ะย่ะค่ะ” ราชครูเอื้อมมือหยิบถ้วยชาขึ้นดื่มอึกใหญ่ “แต่หากจะเอ่ยตามตรง ท่านก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในแผนการของฝ่าบาทเท่านั้น”“หึ…หมากอันไร้ค่าสินะ” ดวงตาของกู้จิ่นวาบวับด้วยแววสังหาร “ราชครู เจ้ากล้าพูดกับเราถึงเพียงนี้ มิกลัวหรือว่าเราจะประหารเจ้า ณ ที่นี่?”“องค์ชายจะทรงกล้ากระนั้นหรือ?” ราชครูย้อนถามกลับด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “กระหม่อมทำงานให้ฮ่องเต้ หากถูกฆ่า ฮ่องเต้ย่อมไม่ปล่อยพระองค์ไว้แน่”“ไม่ว่าท่านจะมีความสามารถเพียงใด ก็เป็นแค่องค์ชาย หาใช่เจ้าครองแผ่นดินไม่ แล้วจะไปต่อกรกับฮ่องเต้ได้อย่างไรกันเล่า?”กู้จิ่นเคาะขอบถ้วยเบา ๆ “มิน่าเล่า เจ้าถึงยอมทำข้อตกลงกับเราอย่างไร้ความหวาดหวั่น...เพราะเจ้ามีผู้หนุนหลังนั่นเอง”“หากองค์ชายไม่มีเรื่องอื่น กระหม่อ
ตลอดหนึ่งชั่วยามถัดมา ราชครูเล่าทุกสิ่งที่เขาเคยกระทำเพื่อฮ่องเต้ออกมาอย่างหมดเปลือกล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยไร้แก่นสาร ไม่อาจนำไปใช้ประโยชน์ใดได้ กู้จิ่นแม้จะรู้สึกเบื่อหน่ายแต่ก็จำต้องฟังจนจบ สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปเพียงว่า...ราชครูผู้นี้ฉลาดเป็นกรดการพยากรณ์ฤกษ์ยาม สังเกตดวงดาว ตลอดจนวิชากู่และการใช้พิษ ล้วนเป็นศาสตร์อันยากเย็น ต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการฝึกฝน แม้ผู้มีพรสวรรค์ก็ใช่ว่าจะเรียนรู้ได้ง่ายแต่ราชครูผู้นี้อายุเพียงยี่สิบกว่า กลับเชี่ยวชาญทั้งสี่แขนงอย่างถึงแก่น คิดดูแล้ว สมองคงเฉียบแหลมเกินคนคนฉลาดล้ำเช่นนี้ มีภูมิหลังอันใดกันแน่?กู้จิ่นเงยพระเนตรขึ้น สายตาคมกริบดั่งคมมีด พุ่งตรงไปยังราชครู “เจ้ามาจากที่ใด?”“แคว้นเฟิ่งซี” ราชครูตอบเรียบ ๆ“หึ...เจ้าก็หาใช่คนของต้าเหยียนไม่” แววพระเนตรของกู้จิ่นเปล่งประกายเยียบเย็นอีกครั้ง เรื่องราวนี้...อีกแล้วที่เกี่ยวข้องกับแคว้นเฟิ่งซีต้าเหยียนกับเฟิ่งซีเป็นพันธมิตร มีการติดต่อค้าขายไปมาเป็นปกติ ชาวบ้านของทั้งสองแคว้นก็อยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว จึงมิใช่เรื่องแปลกนัก หากจะพบชาวเฟิ่งซีในต้าเหยียนทว่าองครักษ์ลับของราชวงศ์เฟิ่งซี หร
เพื่อให้ตนรอดชีวิตออกจากที่นี่ ราชครูจึงจำต้องข่มความขุ่นเคืองไว้ภายใน สะบัดชายแขนเสื้อแรง ๆ หนึ่งครั้ง แล้วจูง “แม่ตัวปลอม” ของตนเดินจากไปชางอี้ปิดประตูแล้วเดินกลับมาหากู้จิ่น พลางกล่าวว่า “องค์ชาย กระหม่อมรู้สึกว่า ท่าทีของราชครูต่อ ‘แม่ปลอม’ ดูแปลกประหลาดนักพ่ะย่ะค่ะ”กู้จิ่นเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “แปลกอย่างไร?”“ตอนราชครูได้ยินว่านางความจำเสื่อม สีหน้ากลับดูยินดีนัก” เขาเกาศีรษะด้วยความงุนงง “หากเป็นกระหม่อม เจอแม่ที่หายไปนานแต่ดันความจำเสื่อม คงเศร้าใจยิ่ง”กู้จิ่นใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางแตะเบา ๆ ที่ขมับของตน “สมองของราชครูต่างจากคนทั่วไป เจ้าอย่าเอาตนเองไปเปรียบเทียบกับเขาเลย”“แต่เรื่องราชครูตามหาแม่ก็ดูจะมีเงื่อนงำอยู่ดี” กู้จิ่นกระแอมเล็กน้อย “ให้ส่งคนไปเฝ้าติดตามราชครูต่อเงียบ ๆ และอย่าหยุดตามหาสตรีในภาพวาด”“องค์ชาย...ตอนนี้เราก็มีตัวแทนแล้ว เหตุใดจึงต้องตามหาต่ออีกเล่า?” ชางอี้ถามอย่างสงสัย“คนที่มีตัวตนจริง ย่อมไม่อาจไร้ร่องรอยใด ๆ ได้ สตรีในภาพนั้น...ต้องมีความลับบางอย่าง” กู้จิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง“หากนางเป็นแม่ของราชครูจริง การหาตัวนางเจอ อาจเป็นกุญแจไขไปสู่ควา
หัวใจของเจียงซุ่ยฮวนพลันหายวาบ “เป็นอะไรหรือ?”“ดูเหมือนจะเป็นไข้หวัดใหญ่พ่ะย่ะค่ะ” ชางอี้ตอบด้วยสีหน้าร้อนรน “ตอนนี้องค์ชายดูท่าทางจะทรมานไม่น้อย ขอพระชายารีบไปดูเถิด”นางคว้าผ้าคลุมบนราวมาอย่างรวดเร็ว “ไปกันเถอะ!”ชางอี้นำทางเจียงซุ่ยฮวนไปยังจวนองค์ชายเป่ยโม่ ทันทีที่ถึง นางก็ตรงดิ่งไปยังห้องนอนทันที แต่ชางอี้รีบรั้งไว้ “พระชายา องค์ชายอยู่ที่ห้องหนังสือพ่ะย่ะค่ะ”“ป่วยแทนที่จะพัก กลับไปนั่งในห้องหนังสือทำอะไรกัน?” นางขมวดคิ้วบ่นเบา ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเส้นทางไปยังห้องหนังสือเมื่อนางมาถึงหน้าประตู ก็เคาะเบา ๆเสียงแหบพร่าต่ำของกู้จิ่นดังลอดออกมา “เข้ามาเถิด”เจียงซุ่ยฮวนผลักประตูเข้าไป แล้วพลันเห็นกู้จิ่นโยนจดหมายฉบับหนึ่งลงในกระถางไฟที่อยู่เบื้องล่าง“แค่ก แค่ก...” นางไอเบา ๆ สองครั้งกู้จิ่นเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ “อาฮวน?”“เหตุใดเจ้าถึงมา?”“ชางอี้มาหาข้า บอกว่าท่านป่วย” เจียงซุ่ยฮวนเหลียวมองรอบด้าน พบว่าชางอี้ที่เคยอยู่ด้านหลังหายไปแล้วกู้จิ่นว่า “ช่วงนี้เขาช่างเก่งนัก ถึงกล้าแอบเชิญเจ้ามาได้”ใบหน้าของเขาซีดเผือด ริมฝีปากแห้งแตก ยามกล่าววาจาก็ข่มเสียงไอไว้ไม่อยู่เจ
“ตายจริง! ใบหน้าของท่านแดงถึงเพียงนี้เชียวหรือ?” เจียงซุ่ยฮวนสะดุ้งตกใจ รีบเอาหลังมือแตะหน้าผากของกู้จิ่น พบว่าร้อนผ่าวนักนางใช้สองมือประคองศีรษะของเขา แล้วเอาคางและแก้มแนบไปที่หน้าผากเขาอีกครั้ง “ตายแล้ว...ยิ่งร้อนกว่าเดิมอีก”“เกิดอันใดขึ้นกันแน่?” เจียงซุ่ยฮวนปล่อยมือ พลางพึมพำอย่างสงสัย “ก็เพียงแค่จับชีพจร ทำไมจู่ ๆ ไข้ถึงได้ขึ้นสูงนัก?”คำพูดยังไม่ทันจบ กู้จิ่นก็เอื้อมมือมาจับมือนางไว้แน่น แล้วแนบมือลงกับแก้มของตน “มือของเจ้า...ช่างเย็นนัก”“ก็เพราะหน้าของท่านร้อนเกินไปต่างหากเล่า” นางคลึงแก้มเขาเบา ๆ แล้วชักมือกลับ “นอนลงก่อน ข้าจะไปหาแผ่นแปะลดไข้มาให้”“แผ่นแปะลดไข้คืออะไร?” กู้จิ่นเอียงศีรษะถามเจียงซุ่ยฮวนกระพริบตาปริบ ๆ ...ทำไมนางรู้สึกว่า กู้จิ่นพอป่วยแล้วถึงดูน่ารักขึ้นมาได้?ปกติคำว่า "น่ารัก" กับกู้จิ่นนี่...ไม่มีทางมารวมกันได้เลยหรือเพราะนางเป็นห่วงเกินไป จึงเกิดภาพลวงตา?“ก็สิ่งที่ช่วยลดอุณหภูมิบนหน้าผากน่ะสิ” เจียงซุ่ยฮวนพยายามหักห้ามใจไม่ให้เผลอหยิกแก้มเขา แล้วล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อ หยิบแผ่นแปะลดไข้ออกมานางลอกแผ่นออกหนึ่งชิ้น แปะลงตรงหน้าผากเขา แล้วถามว่
ควันสีเทาลอยฟุ้งขึ้นมา ลูกประคำที่เฉียนจิงอี๋ปาออกไปยังคงสภาพสมบูรณ์ แต่กลับฝังลึกอยู่กลางหลุมใหญ่บนพื้นแค่ลูกประคำธรรมดา กลับสามารถก่อความเสียหายได้ถึงเพียงนี้ ต้องมีพลังภายในลึกล้ำถึงเพียงใดกันแน่สีหน้าของเจียงซุ่ยฮวนพลันเคร่งขรึม ขณะเดียวกัน เหล่าองครักษ์ลับที่ล้อมรถม้าอยู่ก็ล้วนตั้งท่าเตรียมพร้อมด้วยท่าทีตึงเครียดแต่ก่อนพวกเขาเคยได้ยินชื่อของเฉียนจิงอี๋มาบ้าง รู้เพียงว่าเขาเป็นทายาทของหอพนันซิ่งหลง เป็นผู้มีอุปนิสัยเงียบขรึม หาได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยนักกระทั่งได้พบกับตัวจริงในวันนี้ จึงรู้ว่าบุรุษผู้นี้...มิใช่คนธรรมดาแน่นอน“แม่นางผู้นี้ ข้าไร้เจตนาจะสร้างความลำบากแก่ท่าน เพียงแต่ในฐานะทายาทของหอพนันซิ่งหลง ข้าย่อมไม่อาจเพิกเฉยมองลูกค้าถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา...ท่านว่าใช่หรือไม่?” เฉียนจิงอี๋ยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นดูสุภาพอ่อนโยน หากแต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันจาง ๆ อย่างยากจะหยั่งถึงองครักษ์ลับทั้งหกยังคงเฝ้ารอบรถม้า หนึ่งในนั้นค่อย ๆ ถอยหลังออกไป แล้วอาศัยจังหวะชุลมุนลับหายไปในพริบตาเฉียนจิงอี๋เห็นดังนั้น จึงหัวเราะพลางถามว่า “หืม? ถึงกับต้องไปตามกำลังเสริมเชียวหรือ? หรื
ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นล้วนทราบดีว่า "เซียนพนัน" ผู้นั้นจงใจกลั่นแกล้งเจียงซุ่ยฮวนเป็นแน่ ทั้งที่ลูกเต๋ายังวางนิ่งอยู่ในถ้วย จะมีผู้ใดคาดเดาได้ถูกต้องเล่า?ขณะนั้นเอง เหล่าองครักษ์ลับทั้งหกก็เริ่มขยับเข้าใกล้ฉู่เฉินตัวปลอมอย่างช้า ๆ พวกเขาล้วนถอดชุดดำออกเสียแล้ว แลดูแทบไม่แตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปเจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบว่า “ตกลง”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง แม้เจียงซุ่ยฮวนจะชนะมาหลายตา แต่หาได้มีผู้ใดเชื่อว่านางจะเดาแต้มลูกเต๋าได้ถูกต้องทุกเม็ด ครั้นแล้วจึงพร้อมใจกันวางเดิมพันทั้งหมดลงข้างเซียนพนันฉู่เฉินตัวปลอมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนวางถุงผ้าบนโต๊ะ แล้วเดิมพันข้างเซียนพนันเช่นกันหญิงสาวบนโต๊ะค่อย ๆ เขย่าถ้วยลูกเต๋า เจียงซุ่ยฮวนหลับตาลง ตั้งใจฟังเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากในถ้วยโดยมิปล่อยให้จิตวอกแวกในยามนั้น เสียงรอบข้างพลันเลือนหาย สิ่งเดียวที่ดังสะท้อนอยู่ในโสตประสาทคือเสียง “กรุ๊งกริ๊ง กั๊กกั๊ก” ของลูกเต๋าอันแว่วไหวจนเมื่อลูกเต๋าสิ้นเสียงนิ่งลง เจียงซุ่ยฮวนจึงลืมตาขึ้นมาเซียนพนันแค่นหัวเราะเย็น เอื้อนเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ทายสิ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะทายได้หรือไม่!”เจีย
ผู้คนรอบโต๊ะเมื่อเห็นว่าเซียนพนันลงเงินมากถึงเพียงนี้ ต่างคิดว่าเขาคงเริ่มจริงจังแล้ว จึงพากันวางเดิมพันตามครั้นทุกคนลงเงินเสร็จ เจียงซุ่ยฮวนกลับค่อย ๆ หยิบตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงออกมาวางบนโต๊ะอย่างไม่รีบร้อน“……”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง โดยเฉพาะเซียนพนัน สีหน้าเขาราวกับกลืนของเสียเข้าไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “นี่เจ้าล้อข้าเล่นหรือ?”หญิงบนโต๊ะเองก็หน้าเจื่อนเล็กน้อย “คุณหนูเจ้าขา ที่นี่วางขั้นต่ำต้องหนึ่งพันตำลึงเจ้าค่ะ”“อ้อ ขอโทษด้วย” เจียงซุ่ยฮวนยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหยิบอีกใบมาวางซ้อน “เช่นนี้ใช้ได้หรือยัง?”เซียนพนันนั้นยืมเงินจากบ่อนมากถึงหมื่นตำลึง เพียงหวังเอาชนะเงินสองแสนของนาง กลับกลายเป็นนางวางแค่พันเดียว จนเขาอยากจะพลิกโต๊ะเสียให้ได้ทว่าผู้ใดจะสนใจความคิดของเขา? เจียงซุ่ยฮวนหาได้ใส่ใจ เพราะสิ่งที่นางต้องการคือเรียกความสนใจ หาใช่เดิมพันเพื่อชัยชนะอย่างเดียวและผลก็ไม่ผิดคาด นางชนะอีกคราหลายตาต่อมา บางครั้งนางวางเดิมพันทีละสองแสน บางครั้งก็เพียงแค่พันเดียว แต่ทุกครั้งนางล้วนชนะหมดส่วนเซียนพนันกลับเหมือนตกอยู่ในวังวนของความอาฆาต ยิ่งนางเลือกอย่างไร เขาก็เลือกตรงข้าม จนแพ
เมื่อเจียงซุ่ยฮวนกล่าวจบ เสียงหัวเราะเยาะก็ดังขึ้นรอบโต๊ะ“ฮ่า ๆ ๆ! ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่านางต้องเพี้ยนแน่ พวกเราลง ‘สูง’ กันหมด แต่นางกลับเลือก ‘ต่ำ’ เสียนี่!”ผู้หนึ่งชี้ไปยังชายที่ลงเงินเป็นคนแรก แล้วหันมาถามเจียงซุ่ยฮวนว่า “แม่นาง รู้หรือไม่ว่าท่านผู้นี้เป็นใคร?”เจียงซุ่ยฮวนเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยเรียบ ๆ ว่า “แล้วเขาเป็นใครกันล่ะ”“เขาน่ะหรือ คือ ‘เซียนพนัน’ ประจำที่นี่เชียวนะ! ท่านผู้นี้แม่นยำยิ่ง ทายสิบหน ชนะไปถึงเจ็ด!”อีกคนที่มิได้ลงพนัน กล่าวเสริมว่า “ใช่แล้ว เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในบ่อนนี้ ยังต้องตามเขาเลือกเลยแม่นาง ข้าเกรงว่าท่านควรไตร่ตรองให้ดี สองแสนตำลึงมิใช่น้อย ๆ”ชายที่ถูกเรียกว่าเซียนพนันจับจ้องตั๋วเงินเบื้องหน้าเจียงซุ่ยฮวนด้วยแววตาลุกวาว ราวกับเงินนั้นได้ตกในกำมือของตนเรียบร้อยแล้วครั้นได้ยินเสียงเตือนของคนอื่น ก็แค่นเสียงฮึดฮัด “เจ้าเองยังไม่ได้เดิมพัน อย่าสอด!”จากนั้นจึงหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ต่อเจียงซุ่ยฮวน “แม่นาง อย่าได้เชื่อคำพวกนั้น ข้าเองก็ใช่ว่าจะทายถูกเสมอ”“ท่านหากตามพวกเราเลือก ‘สูง’ ชนะขึ้นมาก็ได้เงินไม่มากเท่าไร แต่หากท่านเลือก ‘ต่ำ’ แล้วชนะ อย่าง
ชายตาตี่โน้มตัวลงมาด้วยความคาดหวัง “ว่ากระไร?”เจียงซุ่ยฮวนชกเข้าที่เบ้าตาซ้ายของเขาทันที ใช้เพียงห้าส่วนของพลังแต่ก็ตาเขียวช้ำเป็นวง ร้องลั่นพลางย่อตัวกุมตาชายหน้าแดงตะโกนด่า “นางหญิงชั่ว เจ้าคงอยากตายแล้วกระมัง!”เจียงซุ่ยฮวนกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมาด้วยแววตาเด็ดขาด “ฟังให้ดี ข้ามาเพื่อตามหาคน ไม่นานก็จะไป”“หากพวกเจ้ายังคิดจะขัดขวางอีก อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า”ชายผู้นั้นถึงกับสะดุ้งจากแรงอำนาจของนาง แต่ยังคงหัวเราะเยาะ “เจ้าก็แค่หญิงอ่อนแอ จะทำอะไรพวกข้าได้?”“บ่อนนี้คือบ่อนใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง แค่ข้าตะโกนคำเดียว บรรดายอดฝีมือทั้งหลายจะกรูออกมาทันที!”เจียงซุ่ยฮวนคลี่ยิ้มจาง ๆ “บ่อนใหญ่ที่สุดงั้นหรือ? เช่นนั้นคงได้กำไรมหาศาลต่อวันสินะ?”“แน่นอน!”“หากได้มากเพียงนั้น ภาษีที่ต้องส่งคงไม่น้อยพอ ๆ กันกระมัง? บังเอิญว่าข้ารู้จักกับเสนาบดีกรมคลังอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรไปถามเขาดีหรือไม่ว่าบ่อนนี้จ่ายภาษีครบหรือเปล่า?”สีหน้าชายผู้นั้นซีดลงทันที ใครจะคิดว่าแม่นางผู้นี้รู้จักกับเสนาบดีกรมคลัง!แม้เขาจะเป็นแค่ผู้เฝ้าประตู แต่ก็รู้ดีว่าบ่อนของตนรับมือการตรวจสอบไม่ได้แน่ หากทางราช
คิดดูแล้ว ท่าทางท่านอาจารย์คงถูกสับเปลี่ยนตัวตั้งแต่อยู่ในวังหลวงเป็นแน่แท้เช่นนั้นแล้ว...อาจารย์ตัวจริงเล่า? ยามนี้จะอยู่ ณ แห่งหนใด?ไม่นานนัก องครักษ์เงาที่ออกตามจับก็กลับมาสองคน เจียงซุ่ยฮวนส่งเสี่ยวถังหยวนให้แม่นม แล้วหันมาถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ว่าอย่างไร พวกเจ้าจับเขาได้หรือไม่?”องครักษ์ทั้งสองก้มหน้าด้วยความละอาย “เขามีวิชาตัวเบาที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก พวกกระหม่อมตามไปได้ไม่นานก็คลาดจากเงาของเขาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เจียงซุ่ยฮวนหาได้แปลกใจนัก หากคนผู้นี้สามารถปลอมตัวเป็นฉู่เฉินได้ ย่อมต้องเอาชนะฉู่เฉินได้ นั่นหมายความว่า ฝีมือย่อมเหนือกว่าอาจารย์ของนางเสียอีกคิดถึงตรงนี้ นางเริ่มรู้สึกหงุดหงิด บนโลกนี้ช่างมีผู้รู้วิชาแปลงโฉมมากเกินไปหรือไม่ เหตุใดจึงมีแต่คนอยากปลอมตัวเป็นผู้อื่น!แม้ตนจะระวังระไวอยู่แล้ว แต่ก็มิวายถูกหลอกอยู่ร่ำไปอาจารย์ของนางเฉลียวฉลาดนัก ใครเลยจะคิดว่าเขากลับตกเป็นเหยื่อเช่นกัน!เจียงซุ่ยฮวนแอบตัดสินไว้ในใจ นางจำต้องหาวิธีให้รู้ให้แน่ว่า คนข้างกายยังเป็นตัวจริงอยู่หรือไม่“พระชายา จะให้พวกกระหม่อมส่งคนออกตามหาเพิ่มเติมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” องครักษ์คนหนึ่งเอ่ย
กู้จิ่นหาได้ตอบคำของเซียวกงกงไม่ เพียงเดินผ่านเขาไป พร้อมทอดเสียงเย็นชา “เจ้ารออยู่ข้างนอก”เซียวกงกงไม่กล้าพูดอันใดอีก จึงก้มหน้ารับคำ “พ่ะย่ะค่ะ”เขาโค้งหลังลงต่ำ และแอบชำเลืองมองแผ่นหลังขององค์ชายพลางคิดในใจ...ในทุกครั้งที่เมื่อองค์ชายเป่ยโม่เข้าเฝ้าไท่ซ่างหวงได้ไม่ทันไร ก็มักถูกขับไล่ออกมา ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกันกระมังภายในตำหนัก ไท่ซ่างหวงยืนหันหลังให้กู้จิ่น กล่าวขึ้นอย่างสงบ “ดูท่าเจ้าอาฮวนคงบอกเจ้าแล้วสินะ”“อืม” กู้จิ่นตอบเสียงขรึม “นางบอกว่าเหตุที่พระองค์แสร้งเป็นบ้า...ก็เพื่อปกป้องข้า”ไท่ซ่างหวงทอดถอนใจแผ่วเบา “แท้จริงแล้วยังมีอีกเหตุหนึ่ง...เพียงแต่ข้าพูดไม่ออกต่อหน้านาง”“เหตุใดกัน?” ดวงตาของกู้จิ่นราวผืนน้ำต้องลม ราวคลื่นใต้ทะเลมืด ลึกล้ำจนยากหยั่ง“เพราะว่า...” เสียงของไท่ซ่างหวงเต็มไปด้วยความสำนึกและโทษตน “ข้า...ไร้หน้าจะมองเจ้าอีก”“ราชบัลลังก์นี้ แต่เดิมควรตกเป็นของเจ้า นี่คือสิ่งที่ข้ากับฮองเฮา มารดาของเจ้า ได้ตกลงกันไว้แล้ว”“แต่เมื่อนางจากไปอย่างกะทันหัน ข้าก็ทนรับมิได้ ในใจเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น เลยเผลอโทษเจ้า แล้วยังส่งบัลลังก์ให้พี่ของเจ้าอีก”“ใครเลย
กู้จิ่นยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “อาฮวน เราอยากเข้าเฝ้าไท่ซ่างหวงสักครา”เจียงซุ่ยฮวนย่อมรู้ว่าเขาต้องการไปพบไท่ซ่างหวง จึงตอบว่า “เชิญเถิด หม่อมฉันก็จะกลับไปหาท่านอาจารย์พอดี ท่านพูดคุยกับไท่ซ่างหวงให้ดีเถิด”ทั้งสองกล่าวลาต่อกันที่หน้าจวนองค์ชายเป่ยโม่ กู้จิ่นขึ้นรถมุ่งหน้าเข้าวัง ส่วนเจียงซุ่ยฮวนก็กลับจวนของตนครั้นถึงจวนแล้ว เจียงซุ่ยฮวนตรงไปยังห้องพักของฉู่เฉิน หน้าห้องมีองครักษ์เงาสองคนยืนเฝ้าอยู่ ครั้นเห็นนางมาก็กล่าวพร้อมกันว่า “คารวะพระชายา”เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปยังห้อง “เขายังอยู่ข้างในหรือไม่?”“กราบทูลพระชายา อยู่พ่ะย่ะค่ะ”นางผลักประตูเข้าไป สิ่งที่เห็นคือหีบหลายใบเรียงอยู่บนพื้น แต่ละหีบล้วนเต็มไปด้วยทองคำและอัญมณีฉู่เฉินนั่งยอง ๆ อยู่ข้างหีบ กำลังถือถุงผ้าใบหนึ่ง แล้วหยิบทรัพย์สมบัติจากในหีบใส่ลงไปอย่างคล่องแคล่วหีบพวกนี้คงเป็นของที่เสวียหลิงนำมามอบให้นั่นเอง แต่ฉู่เฉินกำลังทำอันใดอยู่?เจียงซุ่ยฮวนขมวดคิ้ว ถามขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ กำลังทำอะไรน่ะ?”ฉู่เฉินไม่แม้แต่จะเงยหน้า “ก็เก็บของน่ะสิ”“ของอยู่ในหีบดี ๆ แล้ว ท่านจะเอาไปใส่ถุงผ้าทำไมกัน?”“ของที่เขาให
“ใต้หล้าย่อมไม่มีผนังใดกันสายลมได้พ้น ต่อให้เราปกปิดดีเพียงใด ก็ยากจะรอดพ้นสายตาผู้คน หากมิใช่จะจับตัวแมงป่องพิษได้เสียก่อน” เสวียหลิงกำหมัดแน่น “ตราบใดที่เขากล้าแตะต้องเราอีกสักครั้ง ไม่ว่าอย่างไร เราจะจับเขาให้ได้!”กู้จิ่นมองสบตาที่แน่วแน่นั้น มิได้กล่าวสนับสนุนหรือขัดขวาง เพียงตอบว่า “เราเข้าใจแล้ว...เจ้ากลับเถิด”เสวียหลิงกับว่านเมิ่งเยียนจึงหันหลังเดินจากไป ก่อนออกประตูยังไม่ลืมสั่งบ่าวให้นำหีบของขวัญทั้งหลายไปส่งยังจวนของเจียงซุ่ยฮวนเจียงซุ่ยฮวนมองแผ่นหลังของทั้งคู่แล้วอดไม่ได้ที่จะถาม “เหตุใดท่านจึงไม่ห้ามเขาไว้?”กู้จิ่นกล่าวเสียงเคร่ง “เพราะเขาพูดถูก”“ฝ่าบาทย่อมรู้เรื่องการฟื้นของเขาในวันใดวันหนึ่งอยู่ดี เขาหลบไม่พ้น ดีกว่าเตรียมการเสียแต่เนิ่น ๆ” พระเนตรของกู้จิ่นลึกล้ำเยียบเย็น “ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยของเขา เราได้แพร่ข่าวไปแล้วว่า ขณะอยู่บนเขานั้น เขามิได้ยินหรือเห็นสิ่งใด”“เช่นนี้ หากฮ่องเต้รู้ว่าเขาฟื้น ก็ไม่กล้าเสี่ยงจะฆ่าเขา กลับอาจจะชักชวนเขาใช้งานด้วยซ้ำ”เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกชื่นชมวิสัยทัศน์ของกู้จิ่นนัก หากฮ่องเต้รับเสวียหลิงไว้ใช้งาน ก็ย่อมเป็นประโยชน์