ชาวบ้านที่เห็นว่าเรื่องจบแล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับไป เหลือเพียงผู้นำหมู่บ้านที่ยังข้องใจเรื่องของนางจูกับซินหยานที่ยังไม่ยอมกลับเท่านั้น
"เกิดเรื่องอันใดกันแน่ เจ้าถึงยอมตัดขาดเช่นนี้" เพราะครั้งที่แล้วที่แยกเรือนเขาบอกให้ทำเรื่องตัดขาดเสียแต่จางเทียนไม่ยอม "อวี้เออร์ผลักน้องสาวข้าตกน้ำขอรับ" จางเหลี่ยงที่ไม่อาจเก็บความแค้นไว้ได้แล้วก็พูดออกมา "จริงหรือหยานเออร์" ผู้นำหมู่บ้านหันไปมองซินหยานอย่างตกตะลึง หากเป็นเรื่องจริง ยู้อวี้ก็ถือว่ามีความผิดหากซินหยานจะเอาเรื่องน่าก็อาจจะติดคุกหรือไม่ก็ถูกส่งไปใช้แรงงาน "จริงเจ้าค่ะ" ซินหยานเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นให้ผู้ใหญ่บ้านฟัง "เพ้ย เป็นเพียงแม่นางน้อยแต่คิดจะฆ่าคนแล้ว" ผู้นำหมู่บ้านตงสบถออกมา จางเทียนขอให้ผู้นำหมู่บ้านเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพราะเขาไม่อยากทำลายอนาคตของยู้อวี้ หากชาวบ้านล่วงรู้นางคงหาคนมาตบแต่งไม่ได้ "ข้าเข้าใจ หากเจ้าไม่เอาเรื่องข้าก็ไม่ยุ่ง" ผู้นำหมู่บ้านกลับเรือนของเขาไป ก่อนที่ผู้นำหมู่บ้านจะกลับไปจางเทียนเอ่ยเรื่องที่เขาจะขอซื้อที่ดินที่ติดกับเรือนของเขาด้วย วันพรุ่งนี้จะให้ชุยเหมยและบุตรไปคุยที่เรือนผู้นำหมู่บ้านอีกครั้ง กว่าจะจบเรื่องทั้งหมด จางเทียนที่แกล้งบาดเจ็บก็เริ่มจะทนไม่ไหวเสียแล้ว จางเหลี่ยงจึงได้ไปจัดการเรื่องหาหญ้าให้เจ้าต้าเฮยเสียที ซินหยานจึงได้ทวงสัญญาจากเชาชื่อนำเครื่องเรือนออกมาเติมให้ทั้งสามห้อง นางเพียงนำเตียง ที่นอน หมอนผ้าห่มออกมาก่อนเท่านั้น หากซื้อที่ดินแล้วเริ่มปลูกเรือนเมื่อใดนางค่อยจัดเต็มภายหลัง นางชุยเหมยรีบลงมือทำอาหารเพราะกลัวว่าบุตรทั้งสองจะหิวเสียแล้ว เพียงไม่นานทั้งหมดก็นั่งรับประทานมื้อเย็นกันเสียที เมื่อทานอาหารเสร็จซินหยานพาทั้งสามมาดูห้องของตนเอง เมื่อทั้งสามได้ลองนอนที่เตียงต่างก็ชอบใจ นางยังบอกอีกว่าหากมีเรือนหลังใหม่ของใช้ทั้งหมดนางจะนำออกมาเอง จางเทียนเห็นเตียงของบุตรสาวเขาก็เริ่มอยากจะทำออกมาขาย "ข้าแล้วแต่ท่านพ่อเจ้าค่ะ" แบบในหัวของนางมีเยอะแยะหากบิดาจะทำเครื่องเรือนขาย นางจะวาดแบบให้เอง ในคืนนั้นครอบครัวรองจางจึงนอนหลับกันอย่างมีความสุข ต่างจากครอบครัวของท่านลุงใหญ่ที่นอนหลับไม่สนิท นางจูกับยู้อวี้หวาดกลัวว่าซินหยานจะเปิดโปงเรื่องที่นางทำไว้ ส่วนจางเซียนก็อยากได้เงินของน้องชายจนข่มตาหลับไม่ลง วันต่อมา ชุยเหมยก็พาบุตรทั้งสองไปที่เรือนของผู้นำหมู่บ้านเพื่อพูดคุยเรื่องซื้อที่ดิน "ท่านลุงตงอยู่หรือไม่เจ้าคะ" ชุยเหมยร้องเรียกอยู่หน้าเรือน "มาแล้ว มาแล้ว" ท่านป้าตง เมียท่านผู้นำหมู่บ้านเดินมาเปิดประตูเรือนให้สามแม่ลูกเข้ามาด้านใน "ท่านลุงตงอยู่หรือไม่เจ้าคะ" "อยู่ รอพวกเจ้ามิได้ไปที่นาวันนี้" นางตงหายไปหลังบ้านเพื่อนำน้ำออกมาให้สามแม่ลูก "พวกเจ้าดูไว้แล้วหรือยังว่าอยากได้ที่ดินตรงไหน" ท่านลุงตงนำแผนที่ของหมู่บ้านออกมาให้สามแม่ลูกได้ชี้ที่ดินที่ตนจะซื้อ "ข้าอยากได้ที่ ที่ติดกับเรือนยาวไปถึงริมแม่น้ำเจ้าค่ะ" ชุยเหมยบอกขึ้น เพราะทั้งหมดให้ปรึกษากันมาแล้ว "มากถึงเพียงนั้น" ลุงตงตกตะลึง เพราะพื้นที่ทั้งหมดที่ครอบครัวจางอยากได้มีถึงห้าร้อยหมู่ (1หมู่ = 666ตารางเมตร) "เจ้าค่ะ" ซินหยานเอ่ยย้ำ เพราะห้าร้อยหมู่ รวมไปถึงภูเขาลูกที่นางมีแผนที่จากเชาชื่อด้วย "เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าหน้าที่มาวัดให้อีกครั้ง" เพราะราคาที่ดินทำกินกับที่ภูเขาราคาไม่เท่ากัน อีกอย่างต้องถามทางการก่อนว่าภูเขาที่ครอบครัวจางต้องการซื้อได้หรือไม่ "ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ เช่นนั้นใช้รถม้าที่เรือนของข้าเข้าเมืองเถิดเจ้าค่ะ" นางชุยเหมยให้จางเหลี่ยงไปนำรถม้ามาพาท่านลุงตงเข้าเมืองไปติดต่อเจ้าหน้าที่ทางการ ซินหยานจึงกลับเรือนไปพร้อมมารดา ตอนที่ทั้งสามกำลังทานมื้อกลางวัน จางเหลี่ยงก็กลับมาถึงเรือน พร้อมแจ้งเรื่องที่ทางการจะมาวัดที่ดินให้ในวันพรุ่งนี้ ภูเขาลูกที่จะซื้อก็สามารถซื้อได้ ซินหยานยังไม่รู้จะทำอย่างไรกับภูเขาที่นางซื้อ เพียงอยากได้แร่เหล็กที่อยู่ด้านในภูเขาเท่านั้น ต่อจากนี้ก็ยังคงให้ชาวบ้านขึ้นเขาหาของป่าตามปกติ เพียงแต่ไม่ให้เข้าไปถึงป่าชั้นกลางเพราะอาจเกิดอันตรายได้ เช้าวันต่อมาเจ้าหน้าที่ทางการก็มาวัดที่ดินให้ ทั้งหมดมี ห้าร้อยหมู่ตามที่ผู้นำหมู่บ้านได้บอกไว้ ที่ดินทำกินสองร้อยหมู่ ราคาหมู่ละ แปดตำลึงเงิน ที่ภูเขาห้าตำลึงเงิน จางเทียนจ่ายค่าที่ดินไปสามร้อยสิบตำลึงทอง แล้วจึงให้ค่าน้ำชาเจ้าหน้าที่ไปอีกสิบตำลึงเงิน ผู้นำหมู่บ้านที่ช่วยจัดการให้ก็ได้รับไปสิบตำลึงเงินเช่นกัน "ท่านลุงตง ข้ายังให้ชาวบ้านขึ้นเขาหาของป่าได้ตามเดิมขอรับ เพียงแต่ป่าชั้นกลางครั้งก่อนที่บุตรของข้าขึ้นไปพบเสือ จึงอยากจะเตือนชาวบ้านที่ต้องการไปหาของป่าไว้ก่อน" จางเทียนเอ่ยเตือนกับผู้นำหมู่บ้าน ชาวบ้านที่เห็นว่าครอบครัวของตนได้เงินจากการพบสมุนไพรบนภูเขาคงจะมีคนอยากจะขึ้นเขาเพื่อหาเช่นกัน จึงต้องเตือนไว้เสียหน่อย หากเกิดเรื่องร้ายขึ้นจะได้ไม่เกิดการกล่าวโทษในภายหน้า "ขอบใจเจ้ามากอาเทียน" ลุงตงเอ่ยขอบคุณเมื่อรู้ว่าจางเทียนยังให้ชาวบ้านขึ้นเขาไปหาของป่าได้ "มิเป็นไรขอรับ ข้าคิดจะสร้างเรือนใหม่ คงต้องรบกวนท่านลุงตงช่วยหาคนงานด้วยขอรับ" จางเทียนมีความรู้เรื่องงานไม้อยู่แล้วฝูเหิงอาบน้ำขัดตัวอย่างเร่งรีบ เมื่อสำรวจจากร่างกายว่าแทบไม่หลงเหลือกลิ่นสุราแล้วก็เดินออกมาจากห้องน้ำ“หึหึ” เขาหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบาเมื่อเห็นซูหนี่นั่งหน้าเครียดอยู่ที่เตียงนอนฝูเหิงเดินเข้าไปนั่งข้างซูหนี่ก่อนที่จะยกตัวนางขึ้นมานั่งบนตักแล้วกอดนางไว้จากด้านหลัง“เป็นอันใดไปหรือ” ฝูเหิงก้มลงสูดดมกลิ่นหอมจากตัวซูหนี่ที่ซอกคอของนางอย่างโหยหา“ปะ เปล่าเจ้าค่ะ” ซูหนี่เอ่ยตอบเสียงสั่นฝูเหิงคิดว่านางคงกลัวจึงได้จับใบหน้าของซูหนี่ให้หันมาสบตาเขา ก่อนจะจรดหน้าผากของเขาเข้ากับของซูหนี่“หนี่เออร์ อย่าได้กลัว ข้าสัญญาว่าจะทะนุถนอมเจ้าอย่างดี” ฝูเหิงเอ่ยเสียงเบาราวกับกำลังปลอบประโลมนางหัวใจของซูหนี่เต้นระรัว เมื่อเห็นสายตาของฝูเหิงที่จ้องมองมาที่นางอย่างเร่าร้อน นางสั่นสะท้อนเล็กน้อยอย่างตื่นตัว เมื่อลมหายใจร้อนๆ ของฝูเหิงเป่ารดต้นคอของนางซูหนี่แทบอ่อนระทวย เมื่อถูกลิ้นร้อนของฝูเหิงไล้เลียและดูดดึงที่ซอกคอของนาง ความรู้สึกสับสนเกิดขึ้นกับนาง แต่ก็ปล่อยไปตามการสัมผัสของเขาฝูเหิงที่เพียงได้กลิ่นกายของนางความเร่าร้อนก็พุ่งสูงขึ้นภายใน แต่เขาจำต้องควบคุมสติไว้เพื่อไม่ให้นางตื่นกลัวสายตาขอ
ซินหยานยืนมองตำหนักอ๋องที่ประดับไปด้วยผ้าแดงของงานมงคลอย่างยินดี นางไม่เคยคิดว่าในชีวิตของนางจะมีครอบครัวที่อบอุ่นเช่นนี้ และในตอนนี้บุตรสาวเพียงคนเดียวของนางก็กำลังจะออกเรือนแล้วตอนนี้ซูหนี่นางโดนซงมามากับฝูมามาจัดการขัดเนื้อตัวของนางอยู่ แม้ว่าผิวพรรณของนางจะผุดผ่องไปไม่ได้มากกว่านี้แล้วก็ตามซินหยานเดินเข้าไปดูบุตรสาวที่แช่อยู่ในบ่อน้ำวิเศษของนางแล้วก็ได้แต่ถอนหยาใจ ไม่ต่างกับตัวนางในครั้งนั้นที่โดนจับขัดสีฉวีวรรณเช่นนี้ซินหยานนางยังช่วยชีวิตซูหนี่ด้วยการพานางกลับเรือนเพื่อพูดคุยตามประสาแม่ลูกก่อนที่จะออกเรือนในวันพรุ่งนี้“หนี่เออร์ นี่คือสิ่งที่มารดาทุกคนต้องสั่งสอนบุตรสาวก่อนออกเรือน” ซินหยานนางหยิบตำราวสันต์มาเปิดออกให้ซูหนี่ได้ดู"ท่านแม่" ซูหนี่ร้องอยากตกใจ เพราะสิ่งที่มารดาให้นางได้ดูนางเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก“มิใช่เรื่องน่าอาย มาแม่จะดูเป็นเพื่อนเจ้า” ซินหยานตบไปที่หลังมือของซูหนี่เบาๆเมื่อเห็นบุตรสาวทำท่าทางเขินอายยามที่นางเปิดไปแต่ละหน้าและอธิบายไปด้วย ซินหยานนางก็หัวเราะออกมาเบาๆนี่คือเรื่องที่ในภพนี้ยังไม่เปิดกว้าง จึงทำให้สตรีต่างเขินอายไม่กล้าพูดหรือแสดงออกมาก
ซินหยานนางยังให้ซูหนี่นำน้ำวิเศษใส่ไหจำนวนมากทิ้งไว้ที่จวนท่านแม่ทัพ ก่อนจะบอกกับจ้าวฟางหรงให้ไว้ใช้ในการเกษตรเช่นไร เพื่อให้ทหารและชาวบ้านเมืองเป่ยโจวที่หาผักสดกินได้ยาก ได้มีผักกินตลอดทั้งปีจ้าวฟางหรงก็กล่าวขอบคุณหยางอ๋องและซูหนี่ที่เมตตาต่อทหารและชาวเมืองมากเช่นนี้ เขารีบไปจัดการเรื่องทั้งหมดให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และทิ้งคนที่ไว้ใจได้ให้จัดการเรื่องการเพพาะปลูกต่อเพราะเขาต้องเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกับหยางอ๋องและซินหยาน เพื่อจัดการเรื่องของมงคลของฝูเหิงกับซูหนี่ขบวนเดินทางของหยางอ๋องที่กลับเมืองหลวงก็มีผู้ติดตามกลับไปด้วยมากกว่าเดิม ทำให้พวกเขาไม่อาจเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในมิติได้ตลอดเวลาเช่นเดิมเพียงแต่จะเข้าไปก็ต่อเมื่อแยกย้ายกันกลับห้องพักผ่อนแล้ว เพราะขบวนเดินทางมีคนมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้กว่าจะเดินทางมาถึงเมืองหลวงก็ล่วงเข้าเดือนที่สามของการเดินทางแล้วจ้าวฟางหรงก็ส่งคนมาให้จัดการจวนตระกูลจ้าวในเมืองหลวงไว้ก่อนแล้วฮ่องเต้ ฮองเฮาเมื่อรู้ว่าบุตรชายกับหลานทั้งสี่กลับมาถึงเมืองหลวงก็เรียกตัวเข้าวังทันทีทุกพระองค์ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแคว้นหานต่างก็ลอบตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะมีคนทะลุ
เชาชื่อนำยาลบความทรงจำมาส่งให้หยางอ๋อง เขาได้ทำกการปรุงยาขึ้นมาใหม่เพื่อใช้กับหานอี้สุ่ยโดยเฉพาะเชาชื่อต้องการให้หานอี้สุ่ยลืมเรื่องที่เขารู้เรื่องระเบิดและก่อนที่จะรู้จักกับซูหนี่ ความทรงจำของหานอี้สุ่ยจึงหยุดอยู่ในวันที่เขาลอบเข้าแคว้นเซี่ยเพื่อสืบเรื่องในแคว้นเท่านั้นก่อนที่จะพาตัวหานอี้สุ่ยออกจากมิติ ฝูเหิงทำลายเอ็นข้อมือข้างขวาของเขาทิ้งเสีย หากสวรรค์ยังเขาข้างหานอี้สุ่ยก็คงส่งหมอเทวดามารักษาเขา แต่หากไม่เขาก็ต้องกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิตซูหนี่พาซีฮันและฝูเหิงออกมาจากมิติ เพื่อให้เขาพาหานอี้สุ่ยไปโยนทิ้งไว้ข้างวังหลวงเมื่อเสร็จสิ้นเรื่องทั้งหมด ทุกคนก็เห็นตรงกันเรื่องที่ต้องเดินทางกลับแคว้นเซี่ย ชีวิตของหานอี้สุ่ยและฟ่านหลี่อิงหลังจากนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องข้องเกี่ยวอีกแล้วในตอนที่ออกจากแคว้นหาน ซูหนี่นางต้องเดินทางอยู่ภายในรถม้ากับฝูเหิงเช่นตอนขามา แต่ในครั้งนี้มีหยางอ๋องที่ปลอมตัวออกมาอยู่ด้วย เพราะเขาไม่ยินยอมที่จะให้บุตรีอยู่เพียงลำพังกับฝูเหิงฝูเหิงที่คิดว่ามีโอกาสใกล้ชิดกับซูหนี่ในรถม้าก็มีสีหน้าสลดอย่างเห็นได้ชัด สืออียังทำหน้าที่บังคับรถม้าเช่นเดิม ทุกคนที
หานอี้สุ่ยทรุดตัวนั่งลงอย่างสิ้นแรง เขาแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน จะมีเรื่องอันใดที่ทำให้นางหลงลืมไปได้เช่นนี้ ตอนที่พบนางก็ไม่เห็นว่านางจะบาดเจ็บที่ใดฟ่านหลี่อิงถูกหานอี้สุ่ยส่งตัวไปคุมขังไว้ในคุกใต้ดิน เขายังไม่เชื่อนางเสียทั้งหมด ในเมื่อเขาทำตามที่รับปากนางไว้แล้ว แต่นางกลับไม่ยอมบอกวิธีทำระเบิด เช่นนั้นเขาก็จะทรมมานจนกว่านางจะพูดฟ่านหลี่อิงไม่รู้ว่าเหตุใดตนถึงถูกกระทำเช่นนี้ นางถูกนางกำนัลลากตัวไปไว้ในคุกใต้ดิน พร้อมทั้งหวดแส้ลงที่ร่างกายของนาง“หม่อมฉันไม่รู้จริงๆ เพคะ” เสียงที่เอ่ยออกมาของนางแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเปิ่นกงอดทนกับเจ้ามากเพียงใด หากยังไม่ยอมพูดอีก เปิ่นกงจะตัดลิ้นของเจ้าเสีย” หานอี้สุ่ยดึงผมของฟ่านหลี่อิงขึ้น เพื่อให้เงยหน้ามาสบตากับเขาฟ่านหลี่อิงร่ำไห้อย่างหวาดกลัว นางได้แต่ร้องบอกว่านนางไม่รู้ นางจำสิ่งใดไม่ได้ แต่เหมือนจะเป็นการเพิ่มโทสะให้หานอี้สุ่ยมากขึ้น เขาลงแส้ไปที่ร่างกายของนางนับครั้งไม่ถ้วนฟ่านหลี่อิงหมดสติลง เพราะทนรับความเจ็บปวดไม่ไหวหานอี้สุ่ยเดินออกจากคุกใต้ดินไปอย่างไม่สบอารมณ์ เขาแทบไม่เคยคิดไว้เลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้
ไม่ต่างจากหานอี้สุ่ย เขาก็คิดเช่นนั้น เพราะเหลือเวลาอีกเพียงสามวันจะถึงวันงานแต่งจึงต้องส่งนางกลับไปที่จวนตระกูลฟ่านเพื่อเตรียมตัวเสียก่อน เขาจึงไม่ได้สอบถามรายละเอียดที่เกิดขึ้นถึงถามไปนางก็ตอบได้เพียงจำไม่ได้เท่านั้น ทหารและนางกำนัลในตำหนักต่างก็ตอบไม่ได้ว่าผู้ใดเป็นคนพาตัวฟ่านหลี่อิงออกไปจากตำหนักเพราะตอนที่ถูกทำร้าย พวกเขาต่างไม่เห็นใบหน้าของผู้ร้ายฟ่านหลี่อิงที่อยู่ภายในเรือนตระกูลฟ่าน นางจำไม่ได้ว่านางเข้าไปอยู่ในวังหลวงได้อย่างไร และเหตุใดนางถึงได้มีวาสนาถึงขั้นได้แต่งเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทนายท่านฟ่านกับฮูหยินฟ่านก็ไม่ได้รับรู้ถึงความผิดปกติของบุตรสาว เพราะพวกเขาได้แต่ต้อนรับแขกที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีและเตรียมงานมงคลจนหัวหมุนสองวันต่อมา ฟ่านหลี่อิงก็ถูกปลุกมาให้เตรียมตัว เพื่อเข้าพิธีแต่งงาน งานจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกที่มาร่วมส่งเจ้าสาวมากมายจนแน่นเต็มเรือนพวกเขาล้วนอิจฉาตระกูลฟ่านที่เป็นเพียงคหบดีเท่านั้น แต่บุตรีกลับมีวาสนาได้เป็นถึงพระชายาขององค์รัชทายาท และต่อไปนางก็จะได้นั่งตำแหน่งฮองเฮาในอนาคต เช่นนี้แล้วผู้ใดจะไม่มาร่วมยินดีได้เล่าฟ่านหลี่อิงเดินเข้าไปก