ครอบครัวจางเห็นบุตรสาวที่จมน้ำฟื้นขึ้นมาแล้วก็รีบพาตัวนางกลับเรือนเพื่อไปตามท่านหมอในหมู่บ้านมารักษา ในยามนี้นับว่าจางซินหยานพ้นอันตรายแล้ว
ที่จางซินหยานตกลงไปในน้ำไม่มีผู้ใดพบเห็นเหตุการณ์คงต้องรอให้นางฟื้นขึ้นมาจึงจะสอบถามรายละเอียดได้เท่านั้น
สืออีที่อยู่ในร่างของซินหยานนางฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในยามค่ำคืน เมื่อมองไปรอบห้องก็พบว่าห้องที่เธอนอนอยู่มีเพียงเตียงนอนขนาดไม่ได้กว้างไปกว่าตัวเธอสักเท่าใดนัก
ข้างหัวเตียงมีตู้ใบเก่า ๆ ที่น่าจะไว้เก็บเสื้อผ้า ห้องเล็กเพียงนี้ไม่อาจจะนำโต๊ะหรือเก้าอี้เข้ามาวางไว้ด้านในได้ ผนังห้อง เพดานที่ทำจากดินเริ่มมีรอยแตกร้าวให้พบเห็น หลังคาที่เธอเงยหน้าขึ้นมองอยู่ก็ทำมาจากหญ้าแห้ง
ไม่อยากจะคิดว่าหากเกิดพายุฝนหรือหิมะจะมีสภาพเช่นใด หมอนที่ใช้หนุนก็แข็งราวกับหิน เพราะทำมาจากท่อนไม้ เตียงไม้ไผ่ที่มีเพียงผ้าเก่า ๆ ผืนบางปูรองเพื่อเท่านั้น ให้ความรู้สึกปวดเนื้อปวดตัวยิ่งกว่าเดิม
สืออีลุกขึ้นนั่ง เธอยกมือขึ้นกุมศีรษะเพราะความเจ็บปวดที่แล่นเข้าสู่หัวในยามนี้ ทำให้ต้องทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง ความทรงจำของร่างเดิมไหลเป็นภาพชีวิตของจางซินหยาน ใบหน้าของบิดามารดา พี่ชาย และเหตุการณ์ต่าง ๆ รวมถึงเรื่องที่ทำให้เธอตกลงไปในน้ำด้วย
ญาติผู้พี่ จางยู้อวี้ บุตรสาวของลุงใหญ่ พี่ชายของบิดานาง ทั้งคู่ซักผ้าอยู่ที่ริมแม่น้ำ เพราะเป็นเวลาสายแล้ว ชาวบ้านจึงกลับเรือนไปเสียหมดเหลือเพียงทั้งคู่เท่านั้น
"ซักให้ข้าด้วย" จางยู้อวี้โยนเสื้อผ้าของครอบครัวนางมาที่จางซินหยาน
"พี่หญิงท่านซักเองเถิด ของข้าก็มากพอแล้ว" ซินหยานเอ่ยขึ้นโดยไม่ได้หันมองยู้อวี้ที่ตอนนี้นางเริ่มมีโทสะแล้ว
"ข้าบอกให้ซักก็ซักเสีย" ยู้อวี้เท้าเอวตวาดเสียงดัง
เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่แยกเรือนครอบครัวของซินหยานต้องทำงานภายในเรือนทั้งหมด ท่านปู่ท่านย่าเห็นใจครอบครัวบุตรชายคนรองจึงได้ทำการแยกเรือน แต่ท่านลุงใหญ่กับป้าสะใภ้บ่ายเบี่ยงมาตลอดเพราะไม่อยากแบ่งที่ทำกินให้จึงไม่ได้แยกเรือนเสียที
เมื่อท่านปู่ท่านย่าเสียชีวิตลง ท่านลุงใหญ่ก็หาเรื่องไล่ครอบครัวน้องชายตนเองออกจากเรือนใหญ่ ประจวบกับที่จางเทียนเกิดอุบัติเหตุระหว่างไปล่าสัตว์ ลุงใหญ่กับป้าสะใภ้ที่ไม่อยากเสียเงินรักษาจึงให้จางเทียนพาลูกเมียมาอยู่ที่เรือนท้ายหมู่บ้าน
และได้ทำหนังสือแยกเรือน โดยที่ทั้งสองครอบครัวไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีก ที่ดินของครอบครัวลุงใหญ่ก็ไม่แบ่งให้ เพียงยกเรือนท้ายหมู่บ้านที่เป็นของท่านย่าให้มาเท่านั้น ส่วนที่ดินก็อ้างเพียงมีน้อยนิดแบ่งให้ไม่ได้
จางเทียน บิดาของซินหยานไม่มีปากเสียงอยู่แล้วก็ยอมเชื่อพี่ใหญ่ของตน เพราะเขายังสามารถขึ้นเขาเพื่อล่าสัตว์หรือเก็บของป่าไปขายได้ อีกอย่างความรู้เรื่องงานไม้ตนก็ยังสามารถเอาตัวรอดได้ ความเป็นอยู่ของครอบครัวรองจึงย่ำแย่ตั้งแต่ที่สิ้นท่านปู่ท่านย่า
เงินที่หามาได้จากการเป็นช่างทำไม้และล่าสัตว์ก็ถูกลุงใหญ่ยึดไปเสียหมด นางชุยเหมย มารดาของซินหยานจำต้องขึ้นเขาเพื่อหาของป่าไปขายแทน โดยมีบุตรทั้งสองคอยช่วยเหลือ
วันที่เกิดเรื่องกับซินหยาน ชุยเหมยกับจางเหลี่ยงเข้าเมืองเพื่อนำของป่าไปขาย มีเพียงจางเทียนที่ยังไม่หายดีอยู่ที่เรือน ซินหยานไปซักผ้าที่ริมแม่น้ำ เมื่อเกิดเรื่องกว่าจะมีผู้ไปพบเห็นซินหยานก็จบชีวิตลงจนสืออีมาเข้าร่างของนางแทน
"ข้าช่วยท่านไม่ได้ ท่านพ่อรอข้าอยู่ที่เรือน ข้าต้องรีบกลับ" ซินหยานยังคงเร่งมือซักผ้า
นางไม่ได้ระวังตัวยู้อวี้ที่โมโหก็ขาดสติ เขาทุบตีซินหยาน ซินหยานลุกขึ้นเพื่อหลบการทุบตีของยู้อวี้ทำให้นางลื่นตกลงไปในแม่น้ำ ยู้อวี้เห็นเช่นนั้นแทนที่จะเข้าช่วยเหลือ
นางตกใจเพราะกลัวจะมีคนมาพบเห็นเข้าจึงได้รีบร้อนกลับเรือน ชาวบ้านที่กำลังจะกลับเรือนไปทานมื้อเที่ยงผ่านมาพบร่างของซินหยานอยู่ในน้ำจึงได้ลงไปช่วย
สืออีลืมตาขึ้นเมื่อความเจ็บปวดหายไปแล้ว ความแค้นของซินหยานในครั้งนี้นางจะจัดการให้เอง 'ยู้อวี้เจ้าเตรียมรับผลในสิ่งที่เจ้าทำไว้ได้เลย' สืออีให้สัญญากับซินหยานในใจ
พอฟ้าสว่าง นางชุยเหมยก็เดินเข้ามาดูบุตรสาวในห้อง ก็พบว่าซินหยานตื่นแล้ว
"หยานเออร์ เจ้ายังมิหายดี นอนพักอีกหน่อยเถิดลูก" ชุยเหมยเดินเข้ามาลูบหัวของซินหยานอย่างอ่อนโยน
แต่สืออีที่อนู่ในร่างของซินหยานกับเบี่ยงศีรษะหลบ เพราะนางไม่เคยได้รับการแสดงความรักเช่นนี้มาก่อนนับตั้งแต่สูญเสียบิดามารดาเมื่อภพที่แล้ว
"เป็นอันใดหรือลูก" ชุยเหมยดึงมือกลับอย่างประหลาดใจ
"เปล่าเจ้าค่ะ ข้าขอพักผ่อนก่อนเจ้าค่ะ" สืออีไม่รู้จะตอบเช่นไร นางจึงล้มตัวลงนอนหันหลังไปอีกทางแทน
ชุยเหมยก็คิดเพียงว่าบุตรสาวยังมีอาการเสียขวัญจากเรื่องที่เกิดขึ้นจึงได้ออกไปจัดการเรื่องอาหารในครัวแทน
สืออีเมื่อได้ยินเสียงของนางชุยเหมยออกไปแล้ว นางก็ลุกขึ้นนั่งกอดเข่าเพื่อนึกถึงนิยายที่นางเคยได้อ่าน เนื้อเรื่องเป็นเช่นนี้เพียงแต่นางเอกไม่ได้ทะลุมิติมา
ฝูเหิงอาบน้ำขัดตัวอย่างเร่งรีบ เมื่อสำรวจจากร่างกายว่าแทบไม่หลงเหลือกลิ่นสุราแล้วก็เดินออกมาจากห้องน้ำ“หึหึ” เขาหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบาเมื่อเห็นซูหนี่นั่งหน้าเครียดอยู่ที่เตียงนอนฝูเหิงเดินเข้าไปนั่งข้างซูหนี่ก่อนที่จะยกตัวนางขึ้นมานั่งบนตักแล้วกอดนางไว้จากด้านหลัง“เป็นอันใดไปหรือ” ฝูเหิงก้มลงสูดดมกลิ่นหอมจากตัวซูหนี่ที่ซอกคอของนางอย่างโหยหา“ปะ เปล่าเจ้าค่ะ” ซูหนี่เอ่ยตอบเสียงสั่นฝูเหิงคิดว่านางคงกลัวจึงได้จับใบหน้าของซูหนี่ให้หันมาสบตาเขา ก่อนจะจรดหน้าผากของเขาเข้ากับของซูหนี่“หนี่เออร์ อย่าได้กลัว ข้าสัญญาว่าจะทะนุถนอมเจ้าอย่างดี” ฝูเหิงเอ่ยเสียงเบาราวกับกำลังปลอบประโลมนางหัวใจของซูหนี่เต้นระรัว เมื่อเห็นสายตาของฝูเหิงที่จ้องมองมาที่นางอย่างเร่าร้อน นางสั่นสะท้อนเล็กน้อยอย่างตื่นตัว เมื่อลมหายใจร้อนๆ ของฝูเหิงเป่ารดต้นคอของนางซูหนี่แทบอ่อนระทวย เมื่อถูกลิ้นร้อนของฝูเหิงไล้เลียและดูดดึงที่ซอกคอของนาง ความรู้สึกสับสนเกิดขึ้นกับนาง แต่ก็ปล่อยไปตามการสัมผัสของเขาฝูเหิงที่เพียงได้กลิ่นกายของนางความเร่าร้อนก็พุ่งสูงขึ้นภายใน แต่เขาจำต้องควบคุมสติไว้เพื่อไม่ให้นางตื่นกลัวสายตาขอ
ซินหยานยืนมองตำหนักอ๋องที่ประดับไปด้วยผ้าแดงของงานมงคลอย่างยินดี นางไม่เคยคิดว่าในชีวิตของนางจะมีครอบครัวที่อบอุ่นเช่นนี้ และในตอนนี้บุตรสาวเพียงคนเดียวของนางก็กำลังจะออกเรือนแล้วตอนนี้ซูหนี่นางโดนซงมามากับฝูมามาจัดการขัดเนื้อตัวของนางอยู่ แม้ว่าผิวพรรณของนางจะผุดผ่องไปไม่ได้มากกว่านี้แล้วก็ตามซินหยานเดินเข้าไปดูบุตรสาวที่แช่อยู่ในบ่อน้ำวิเศษของนางแล้วก็ได้แต่ถอนหยาใจ ไม่ต่างกับตัวนางในครั้งนั้นที่โดนจับขัดสีฉวีวรรณเช่นนี้ซินหยานนางยังช่วยชีวิตซูหนี่ด้วยการพานางกลับเรือนเพื่อพูดคุยตามประสาแม่ลูกก่อนที่จะออกเรือนในวันพรุ่งนี้“หนี่เออร์ นี่คือสิ่งที่มารดาทุกคนต้องสั่งสอนบุตรสาวก่อนออกเรือน” ซินหยานนางหยิบตำราวสันต์มาเปิดออกให้ซูหนี่ได้ดู"ท่านแม่" ซูหนี่ร้องอยากตกใจ เพราะสิ่งที่มารดาให้นางได้ดูนางเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก“มิใช่เรื่องน่าอาย มาแม่จะดูเป็นเพื่อนเจ้า” ซินหยานตบไปที่หลังมือของซูหนี่เบาๆเมื่อเห็นบุตรสาวทำท่าทางเขินอายยามที่นางเปิดไปแต่ละหน้าและอธิบายไปด้วย ซินหยานนางก็หัวเราะออกมาเบาๆนี่คือเรื่องที่ในภพนี้ยังไม่เปิดกว้าง จึงทำให้สตรีต่างเขินอายไม่กล้าพูดหรือแสดงออกมาก
ซินหยานนางยังให้ซูหนี่นำน้ำวิเศษใส่ไหจำนวนมากทิ้งไว้ที่จวนท่านแม่ทัพ ก่อนจะบอกกับจ้าวฟางหรงให้ไว้ใช้ในการเกษตรเช่นไร เพื่อให้ทหารและชาวบ้านเมืองเป่ยโจวที่หาผักสดกินได้ยาก ได้มีผักกินตลอดทั้งปีจ้าวฟางหรงก็กล่าวขอบคุณหยางอ๋องและซูหนี่ที่เมตตาต่อทหารและชาวเมืองมากเช่นนี้ เขารีบไปจัดการเรื่องทั้งหมดให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และทิ้งคนที่ไว้ใจได้ให้จัดการเรื่องการเพพาะปลูกต่อเพราะเขาต้องเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกับหยางอ๋องและซินหยาน เพื่อจัดการเรื่องของมงคลของฝูเหิงกับซูหนี่ขบวนเดินทางของหยางอ๋องที่กลับเมืองหลวงก็มีผู้ติดตามกลับไปด้วยมากกว่าเดิม ทำให้พวกเขาไม่อาจเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในมิติได้ตลอดเวลาเช่นเดิมเพียงแต่จะเข้าไปก็ต่อเมื่อแยกย้ายกันกลับห้องพักผ่อนแล้ว เพราะขบวนเดินทางมีคนมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้กว่าจะเดินทางมาถึงเมืองหลวงก็ล่วงเข้าเดือนที่สามของการเดินทางแล้วจ้าวฟางหรงก็ส่งคนมาให้จัดการจวนตระกูลจ้าวในเมืองหลวงไว้ก่อนแล้วฮ่องเต้ ฮองเฮาเมื่อรู้ว่าบุตรชายกับหลานทั้งสี่กลับมาถึงเมืองหลวงก็เรียกตัวเข้าวังทันทีทุกพระองค์ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแคว้นหานต่างก็ลอบตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะมีคนทะลุ
เชาชื่อนำยาลบความทรงจำมาส่งให้หยางอ๋อง เขาได้ทำกการปรุงยาขึ้นมาใหม่เพื่อใช้กับหานอี้สุ่ยโดยเฉพาะเชาชื่อต้องการให้หานอี้สุ่ยลืมเรื่องที่เขารู้เรื่องระเบิดและก่อนที่จะรู้จักกับซูหนี่ ความทรงจำของหานอี้สุ่ยจึงหยุดอยู่ในวันที่เขาลอบเข้าแคว้นเซี่ยเพื่อสืบเรื่องในแคว้นเท่านั้นก่อนที่จะพาตัวหานอี้สุ่ยออกจากมิติ ฝูเหิงทำลายเอ็นข้อมือข้างขวาของเขาทิ้งเสีย หากสวรรค์ยังเขาข้างหานอี้สุ่ยก็คงส่งหมอเทวดามารักษาเขา แต่หากไม่เขาก็ต้องกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิตซูหนี่พาซีฮันและฝูเหิงออกมาจากมิติ เพื่อให้เขาพาหานอี้สุ่ยไปโยนทิ้งไว้ข้างวังหลวงเมื่อเสร็จสิ้นเรื่องทั้งหมด ทุกคนก็เห็นตรงกันเรื่องที่ต้องเดินทางกลับแคว้นเซี่ย ชีวิตของหานอี้สุ่ยและฟ่านหลี่อิงหลังจากนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องข้องเกี่ยวอีกแล้วในตอนที่ออกจากแคว้นหาน ซูหนี่นางต้องเดินทางอยู่ภายในรถม้ากับฝูเหิงเช่นตอนขามา แต่ในครั้งนี้มีหยางอ๋องที่ปลอมตัวออกมาอยู่ด้วย เพราะเขาไม่ยินยอมที่จะให้บุตรีอยู่เพียงลำพังกับฝูเหิงฝูเหิงที่คิดว่ามีโอกาสใกล้ชิดกับซูหนี่ในรถม้าก็มีสีหน้าสลดอย่างเห็นได้ชัด สืออียังทำหน้าที่บังคับรถม้าเช่นเดิม ทุกคนที
หานอี้สุ่ยทรุดตัวนั่งลงอย่างสิ้นแรง เขาแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน จะมีเรื่องอันใดที่ทำให้นางหลงลืมไปได้เช่นนี้ ตอนที่พบนางก็ไม่เห็นว่านางจะบาดเจ็บที่ใดฟ่านหลี่อิงถูกหานอี้สุ่ยส่งตัวไปคุมขังไว้ในคุกใต้ดิน เขายังไม่เชื่อนางเสียทั้งหมด ในเมื่อเขาทำตามที่รับปากนางไว้แล้ว แต่นางกลับไม่ยอมบอกวิธีทำระเบิด เช่นนั้นเขาก็จะทรมมานจนกว่านางจะพูดฟ่านหลี่อิงไม่รู้ว่าเหตุใดตนถึงถูกกระทำเช่นนี้ นางถูกนางกำนัลลากตัวไปไว้ในคุกใต้ดิน พร้อมทั้งหวดแส้ลงที่ร่างกายของนาง“หม่อมฉันไม่รู้จริงๆ เพคะ” เสียงที่เอ่ยออกมาของนางแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเปิ่นกงอดทนกับเจ้ามากเพียงใด หากยังไม่ยอมพูดอีก เปิ่นกงจะตัดลิ้นของเจ้าเสีย” หานอี้สุ่ยดึงผมของฟ่านหลี่อิงขึ้น เพื่อให้เงยหน้ามาสบตากับเขาฟ่านหลี่อิงร่ำไห้อย่างหวาดกลัว นางได้แต่ร้องบอกว่านนางไม่รู้ นางจำสิ่งใดไม่ได้ แต่เหมือนจะเป็นการเพิ่มโทสะให้หานอี้สุ่ยมากขึ้น เขาลงแส้ไปที่ร่างกายของนางนับครั้งไม่ถ้วนฟ่านหลี่อิงหมดสติลง เพราะทนรับความเจ็บปวดไม่ไหวหานอี้สุ่ยเดินออกจากคุกใต้ดินไปอย่างไม่สบอารมณ์ เขาแทบไม่เคยคิดไว้เลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้
ไม่ต่างจากหานอี้สุ่ย เขาก็คิดเช่นนั้น เพราะเหลือเวลาอีกเพียงสามวันจะถึงวันงานแต่งจึงต้องส่งนางกลับไปที่จวนตระกูลฟ่านเพื่อเตรียมตัวเสียก่อน เขาจึงไม่ได้สอบถามรายละเอียดที่เกิดขึ้นถึงถามไปนางก็ตอบได้เพียงจำไม่ได้เท่านั้น ทหารและนางกำนัลในตำหนักต่างก็ตอบไม่ได้ว่าผู้ใดเป็นคนพาตัวฟ่านหลี่อิงออกไปจากตำหนักเพราะตอนที่ถูกทำร้าย พวกเขาต่างไม่เห็นใบหน้าของผู้ร้ายฟ่านหลี่อิงที่อยู่ภายในเรือนตระกูลฟ่าน นางจำไม่ได้ว่านางเข้าไปอยู่ในวังหลวงได้อย่างไร และเหตุใดนางถึงได้มีวาสนาถึงขั้นได้แต่งเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทนายท่านฟ่านกับฮูหยินฟ่านก็ไม่ได้รับรู้ถึงความผิดปกติของบุตรสาว เพราะพวกเขาได้แต่ต้อนรับแขกที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีและเตรียมงานมงคลจนหัวหมุนสองวันต่อมา ฟ่านหลี่อิงก็ถูกปลุกมาให้เตรียมตัว เพื่อเข้าพิธีแต่งงาน งานจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกที่มาร่วมส่งเจ้าสาวมากมายจนแน่นเต็มเรือนพวกเขาล้วนอิจฉาตระกูลฟ่านที่เป็นเพียงคหบดีเท่านั้น แต่บุตรีกลับมีวาสนาได้เป็นถึงพระชายาขององค์รัชทายาท และต่อไปนางก็จะได้นั่งตำแหน่งฮองเฮาในอนาคต เช่นนี้แล้วผู้ใดจะไม่มาร่วมยินดีได้เล่าฟ่านหลี่อิงเดินเข้าไปก