Se connecter“มะ หมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ ฮูหยินที่ว่า” เสิ่นหรงลี่ถามออกไปด้วยความตกใจ ที่เขาและนางตกลงกันไว้คือนางจะอยู่ในสถานะบ่าว
“ออกไปก่อน ข้าขอคุยกับนางครู่หนึ่ง” ตงเฟยเทียนกล่าวกับคนของตนที่ถอยออกไปหลายก้าวโดยมิได้ตั้งคำถามใดกับคำพูดของตงเฟยเทียน
“คนเหล่านี้คนของพี่เฟยเทียนทั้งหมดเลยหรือเจ้าคะ”
“อืม คนของข้าทั้งหมดและต่อไปย่อมเป็นคนของเจ้าด้วย”
“ตกลงกันว่าให้ข้าเป็นบ่าวไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
“บ่าวบ้านใดเรียกเจ้านายว่าพี่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ”
“ทั้งเจ้ายังมาต่างภพ ไม่นานย่อมต้องบอกผู้คนว่าเจ้าเป็นมนุษย์ หากเป็นมนุษย์แล้วยังเป็นบ่าว ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการถูกกลั่นแกล้ง หากกลั่นแกล้งกันหนักข้อขึ้น เรื่องเลือดของเจ้าจะปกปิดไว้ได้อย่างไร”
“พี่เฟยเทียนไม่จำเป็นต้องปกป้องข้าเลย แค่รับมาอยู่ด้วยกันก็นับว่าเป็นบุญคุณแล้ว”
“หากนับว่าเป็นบุญคุณเช่นนั้นยิ่งต้องเป็นฮูหยินของข้า อย่างน้อยในอายุขัยของเจ้า จะได้ไม่มีผู้ใดยัดเยียดสตรีเข้ามาให้ข้าอีก”
“ใช้ข้ากันสตรีหรือ” เสิ่นหรงลี่ขมวดคิ้วเข้าหากัน
“ช่วยได้หรือไม่เล่า เจ้าก็คงรู้ที่ข้าต้องหนีตาย เพราะมีคนปองร้าย หากตำแหน่งฮูหยินยังว่างเว้น ศัตรูอาจใช้ช่องทางนี้ส่งคนมาทำลายข้า”
“จริงด้วยเจ้าค่ะ ข้าเคยอ่านตำราสงครามบางเล่มถึงกับบันทึกไว้ว่าการใช้สตรีเพื่อหลอกล่อศัตรูนั้นได้ผลนัก” เสิ่นหรงลี่พยักหน้าเห็นด้วย แม้ตัวนางจะยังไม่รู้ว่าชะตาของตนต้องมาทำสิ่งใด แต่การดูแลชายผู้นี้ให้รอดพ้นจากภัยอันตรายทั้งหลายอาจเป็นหนึ่งในสิ่งที่ต้องทำ
“ข้าจะปกป้องท่านเอง”
“ข้าเป็นยาแก้พิษได้ด้วย ใครก็จะวางยาพี่เฟยเทียนไม่ได้อีกแล้ว”
หรงลี่พูดรัวไม่ได้เว้นช่องไฟให้ตงเฟยเทียนตอบโต้ แววตาดูสดใสดังว่าเจอเรื่องสนุกก็ไม่ปาน เฟยเทียนถึงกับต้องส่ายหัวและไม่แน่ใจว่านางจะปกป้องเขา หรือเขาต้องปกป้องนางกันแน่
“เช่นนั้นก็ตกลงกันตามนี้เจ้าจะอยู่ในฐานะฮูหยินของข้า ใช้เหตุผลที่ว่าเจ้าเป็นผู้ช่วยชีวิตเพื่อยกย่องฐานะ เช่นนี้แล้วแม้จะถูกคัดค้านอยู่บ้างแต่ก็คงทำได้ไม่เต็มปาก”
“คนในภพมารก็ยึดถือเรื่องบุญคุณเป็นสำคัญหรือเจ้าคะ”
“เป็นเช่นนั้น ชีวิตย่อมต้องแลกด้วยชีวิต เมื่อเจ้ารักษาชีวิตข้าไว้ การที่ข้าตอบแทนด้วยฐานะเช่นนี้ ย่อมมิผิดแปลก แต่หากพามันเป็นบ่าวเฉยๆ อย่างไร้ที่มาที่ไปนั่นย่อมถูกสงสัยมากกว่า” เฟยเทียนอธิบายความคิดของตนเอง แม้จะไม่ใช่เรื่องผิดแปลก แต่ด้วยสถานะที่แท้จริงอย่างเขา การให้เงินทองหรือยกคนของตนให้แต่งงานด้วย ก็เป็นอีกทางออกหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องเสียสละตนเอง แต่เพราะเลือดของนางจึงทำให้อยากดึงไว้ใกล้ตัว
เขาสลัดความคิดของตนที่ สงสัยว่าตนเองอาจหลงใหลได้ปลื้มมนุษย์นางนี้ลงไปในส่วนลึกของจิตใจ และดึงผลประโยชน์ขึ้นมาเป็นเหตุผลที่ใช้บอกตนเอง ส่วนสตรีที่เพิ่งข้ามภพมาหมาดๆ ก็กดข่มความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กับมารตนนี้ และยกเหตุผลที่เขาเป็นภารกิจจากสวรรค์ และตัวนางไร้ที่พึ่งพิงขึ้นมาหลอกตนเองว่าทำไปเพราะความจำเป็น
“เช่นนั้นการแต่งงานครั้งนี้ถือเป็นเพียงการแต่งงานแต่ในนามเท่านั้นใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ข้าย่อมไม่เอาเปรียบเจ้าหากเจ้าไม่ได้เต็มใจ นี่จะเป็นเพียงการแต่งงานแต่ในนามเท่านั้น”
“ทำได้แน่หรือเจ้าคะ” ปากว่าพลางใช้นิ้วเล็กแตะไปยังริมฝีปากที่มักจะขโมยจุมพิตของนางอยู่บ่อยครั้ง
“หากเจ้าไม่ล้อเล่นกันแกล้งกันเช่นนี้ก็คงทำได้ แต่หากเจ้างดงามเกินไปคงไม่อาจโทษข้าแต่ฝ่ายเดียวได้”
คุณหนูเสิ่นผู้ไร้หัวนอนปลายเท้าในภพแห่งนี้ รีบชักมือกลับด้วยหน้าตาตื่น เพราะแม้ว่าคนของตงเฟยเทียน จะอยู่ห่างออกไปจนไม่ได้ยินบทสนทนา หากแต่ยังอยู่ในระยะสายตา หากเขาคิดจะกลั่นแกล้งนางย่อมมีพยานนับสิบคน
“กงต้าต้า” ตงเฟยเทียนเรียกให้คนของตนเข้ามา
“ขอรับ”
“เพราะเจ้าเป็นคนสนิทของข้า ข้าจะยกนางให้เป็นน้องสาวบุญธรรมของเจ้า หากมีอันใดอย่างน้อยก็ยังมีเจ้าเป็นเบื้องหลังให้”
“พี่เฟยเทียนเหตุใดไปเอ่ยปากเช่นนี้เล่าเจ้าคะ ถ้าหากเขาไม่ได้อยากได้ข้าเป็นน้องสาวเล่า” หรงลี่ตีเข้าที่ท่อนแขนของตงเฟยเทียนเบาๆ
“ไม่มีความคิดเช่นนั้นหรอกขอรับ การเป็นพี่ชายของว่าที่ฮูหยิน นับเป็นเกียรติและทำให้สถานะของข้ามั่นคงขึ้น ต่อให้ขัดใจนายท่านก็คงไม่ถูกไล่ออกง่ายดายนัก” กงต้าต้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาตามปกติ แต่เนื้อหาที่พูดกลับส่อแววล้อเล่นอย่างขัดแย้ง
“ต้าต้าหาใช่เพียงคนของข้าเท่านั้น แต่ยังเป็นเพื่อนเรียนกันมาแต่เด็ก เขาจึงเป็นเช่นนี้อย่าถือสาเลย” ตงเฟยเทียนอธิบายให้หรงลี่ที่ดูมีแววตาสงสัยได้รับฟัง
“อ๋อเป็นเช่นนี้ เล่นเอาตกใจไปเสียหมด หากท่านแน่ใจว่าการมีข้าเป็นน้องสาวนับเป็นประโยชน์ ข้าก็ยินดีเจ้าค่ะ” เสิ่นหรงลี่ยิ้มให้อย่างสดใส
“เหตุใดไม่เคยยิ้มให้ข้าเช่นนี้บ้าง” เฟยเทียนปรายตามองอย่างขุ่นเคือง
“ไม่เคยที่ไหนกัน พี่เฟยเทียนจำไม่ได้น่ะสิ” นางทำหน้ายู่ใส่ผู้ที่กล่าวหา “แต่หากยกข้าให้เป็นน้องสาวบุญธรรมของพี่ต้าต้า แปลว่าก่อนแต่งงานข้าจะต้องไปอยู่บ้านของพี่ต้าต้าก่อนหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่อนุญาตได้หรือไม่” เฟยเทียนกล่าวถามไปทางกงต้าต้า
สิ้นเสียงคำถาม เสิ่นหรงลี่รู้สึกเจ็บแปล๊บที่ปลายนิ้ว เมื่อยกขึ้นมาดูกงต้าต้า ก็ประกบนิ้วที่มีเลือดออกของตัวเขาลงมาที่นิ้วของหรงลี่เช่นกัน
“เมื่อประสานเลือดแล้วย่อมนับว่าเจ้าเป็นคนของสกุลกง ไว้รอทำพิธีคำนับเข้าตระกูลก็จะนับว่าเป็นอันเสร็จสิ้น” กงต้าต้ากล่าวด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เพราะเมื่อใช้มีดกรีดนิ้วก็เห็นว่าสีเลือดของสตรีที่เจ้านายเพิ่งยกให้เป็นน้องสาวนั้นมีสีน้ำเงิน เมื่อเหลือบสายตากลับไปมองยังผู้เป็นเจ้าชีวิตก็พบสีหน้าจริงจังคล้ายบอกเป็นนัยว่าให้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
“และในฐานะพี่ชายเห็นทีว่าคำขอของนายท่านนั้นคงเป็นไปไม่ได้”
“เช่นนั้นข้าขอฝากนางด้วย”
“แล้วทีนี้พวกเราต้องทำอย่างไรต่อหรือเจ้าคะ”
“ข้าขอคุยกับคนของข้าครู่หนึ่ง เจ้านั่งพักรอก่อน หากออกเดินทางเร็วเกินไป อาจเป็นอันตรายกับเจ้าได้” เมื่อเฟยเทียนจัดแจงที่นั่งรอให้หรงลี่เสร็จ ก็หันไปส่งสัญญาณเรียกลูกน้องของตนให้แยกตัวออกไปคุย
.
.
.
“นำรายชื่อคนที่ถูกสังหารทั้งหมดมาให้ข้าตรวจสอบ หากมีรายชื่อตกหล่นเราอาจยังพอมีโอกาส” จอมมารเฟยเทียนสั่งการออกไป
“เราแบ่งคนไปจับตาดูองค์ชายทั้งสองรวมไปถึงสกุลใหญ่ทั้งสี่แล้ว ยามนี้ยังไม่พบความผิดปกติ แต่หากเรายังนิ่ง พวกมันอาจคิดว่าปลอดภัยและเผยความลับออกมาพ่ะย่ะค่ะ” กงต้าต้ารายงาน
“ไม่ว่าใครก็น่าสงสัยทั้งหมด จุดเชื่อมต่อระหว่างพบจุดอื่น มักถูกรายงานว่ามีคนไปดักรอ”
“ไม่ใช่คนของท่านพ่อที่ให้ไปตามหรือ”
“มีหลายกลุ่มพ่ะย่ะค่ะ นี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้เราไม่อาจสรุปได้ว่ากลุ่มต่างๆ ที่ส่งคนออกตามท่านจอมมารนั้นเป็นผู้ลงมือ”
“คงต้องการยืนยันความตายของข้าสินะ แม้ครั้งนี้ไม่อาจเอาชีวิตข้าได้ แต่ชื่อเสียงและความน่าเกรงขามของข้า พวกมันทำลายได้สำเร็จเสียแล้ว จอมมารที่ต้องหนีตายผู้ใดจะเกรงกลัวกัน” ตงเฟยเทียนส่ายหัวและยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกสมเพชตนเอง
“แบ่งคนออกไปจัดหารถม้า อีกส่วนให้ล่วงหน้าไปก่อน ข้าต้องการให้เส้นทางราบเรียบและปลอดภัยที่สุด ส่วนกงต้าต้าให้เจ้าอยู่กับข้าและนางที่นี่ ไปได้” เมื่อออกคำสั่งเสร็จสิ้นองครักษ์ทั้งสิบก็แยกย้ายกันออกไปปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
เมื่ออยู่กันสองคนแล้วกงต้าต้าเป็นผู้เอ่ยปากขึ้นมาก่อน “เลือดของนางเป็นเหตุผลใช่หรือไม่”
“ดูแลนางให้ดี ไม่ว่าเกิดอันใดขึ้นกับข้า ห้ามให้นางตกไปอยู่ในมือของคนชั่ว มิเช่นนั้นชีวิตนี้คงถูกกักขังเพื่อเอาเลือดไปจนกว่าจะตาย”
“มนุษย์ผู้มีเลือดวิเศษ หากสิ้นอายุขัยของนางตำราเลือด คงต้องมีการสังขยานาใหม่อย่างสิ้นเชิง” กงต้าต้าจับจ้องไปยังเสิ่นหรงลี่ที่โบกมือมาให้เขาและตงเฟยเทียนอย่างไม่รู้ร้อน
“เรื่องนี้คงให้ใครรู้ไม่ได้ ข้าอนุญาตให้บอกได้เพียงท่านพ่อของเจ้า หากหัวหน้าตระกูลรับนางเป็นบุตรบุญธรรม คนอื่นแม้จะรังเกียจก็มิอาจพูดสิ่งใดได้” ตงเฟยเทียนสั่งทิ้งท้าย ก่อนเดินกลับไปหาหรงลี่ที่นั่งเล่นอยู่ผู้เดียว
.
.
“ข้าพึ่งนึกออกอีกเรื่องหนึ่ง แม้จะเป็นการแต่งงานแต่ในนาม แต่ผู้คนภายนอกต้องเชื่อถือ เพราะฉะนั้นเจ้าต้องเล่นละครให้แนบเนียนด้วย”
“ได้เจ้าค่ะ”
“ก็ทำเสียสิ” ตงเฟยเทียนที่เห็นนางรับปากไปเฉยๆ แต่ไม่ทำอันใดก็เอ่ยทักท้วง
“ยังไม่แต่งนิเจ้าคะ ยังไม่ถึงเวลาเล่นละครเสียหน่อย” นางเอียงหน้าอย่างใสซื่อ
ส่วนกงต้าต้าที่เห็นว่าเจ้านายผู้เป็นสหายสนิทของตนกำลังจะนั่งลงชิดติดกับน้องสาวคนใหม่ของเขา ก็เกิดอาการหมั่นไส้ เขานั่งแทรกลงไปขวางกั้นระหว่างทั้งสอง จนได้รับสายตาคาดโทษจากจอมมารเฟยเทียนไปหนึ่งดอก
บทที่ 20 ตบหัวแล้วลูบหลัง“ยืนเจ้าค่ะ” อี้ฉุนกระซิบกับเสิ่นหรงลี่เมื่อมีเสียงกระดิ่งสั่นครบเก้าครั้ง ทำให้คุณหนูผู้นี้มิต้องขายหน้าที่ยืนช้ากว่าผู้ใด เมื่อรออยู่ครู่หนึ่ง ก็เห็นบุคคลน่าเกรงขามถึงสามพระองค์กำลังก้าวผ่านประตูเข้ามา“องค์มา-” ว่าฉุยที่กำลังจะขานการมาถึงของเจ้าเหนือหัวแคว้นมาร ถูกหยุดไว้ด้วยฝ่ามือของตงหานเฟยเสียก่อน“ไม่ต้องขาน เป็นคนกันเองทั้งสิ้น”องค์มารผู้เป็นฮ่องเต้ของแคว้นเดินมาพร้อมกับฮองเฮา และสนมเอกผู้ที่หรงลี่คาดเดาว่าเป็นมารดาขององค์ชายองค์หญิงทั้งหลาย เสิ่นหรงลี่เห็นเช่นนั้นจริงสังเกตสีหน้าขององค์ชายรอง พยายามจับสังเกตว่าผู้ใดคือมารดาของเขา แต่มองไปแล้วก็พบแต่สายตาว่างเปล่าคล้ายว่าสตรีทั้งสองไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดเลย
บทที่ 19 ครอบครัวใหญ่องค์ชายรองที่รู้ว่าต้องอยู่รอร่วมโต๊ะกับทุกคนก่อนก็พาเสิ่นหรงลี่เดินชมสวนในบริเวณที่มิได้หวงห้ามไปพลางก่อน“ต้นไม้ในแดนมารมีสีเข้มหมดเลยหรือเพคะ”“อืม สีเข้มเช่นนี้แหละ หากสีซีดลงก็บ่งบอกถึงปัญหาที่เกิดภายในได้”“ชมสวนเสร็จแล้ว ต้องทำอันใดอีกหรือไม่เพคะ” เสิ่นหรงลี่ถามออกมา เพราะเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า และหิวขึ้นมาแล้ว ขนมกับน้ำชาที่คุยกันไว้กับองค์หญิงอิงเจาก็ยังมิได้ใส่เข้าปากรองท้องเมื่อนึกถึงขนมหรงลี่ก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน เพราะนางแน่ใจว่ายามที่กำลังมีปัญหากับองค์หญิงจูจู ในมือขององค์หญิงอิงเจาไม่มีสิ่งใดที่ถือกลับมาด้วย
บทที่ 18 ปะทะ“หน้าตาเช่นนี้ ชั้นต่ำ อันใดกัน” เสิ่นหรงลี่เอียงคอยังสงสัย พยายามมองหาองค์หญิงอิงเจาว่าไปอยู่ที่ใด“มองหาให้พี่ชายข้ามาช่วยเจ้าหรือ” องค์หญิงจูจูตวาดลั่นศาลาด้วยเสียงสูงที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดท่านใดนั้นก็มีชายแปลกหน้าปรากฏตัวเพิ่มอีกสองคน คนหนึ่งมีสีหน้าเรียบขรึม อีกคนหนึ่งมีท่าทางคล้ายชายเสเพลพร้อมกับสีหน้ายกยิ้ม“จูจูโวยวายอันใดกัน” ชายที่ดูนิ่งและสุขุมกว่าเอ่ยขึ้น“สตรีผู้นี้ สมบัติจากบ้านพี่สามใช่หรือไม่ เหตุใดพานางเหยียบเข้ามาถึงในวัง ข้าไม่รู้จักไม่เคยเห็นหน้าเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่คนในสังคมเรา” จูจูมิได้ตอบคำถามออกไป แต่กลับหันไปยังทิศทางที่ชายอีกคนด้านข้าง
บทที่ 17 เข้าวังในที่สุดวันมะรืนที่เฟยเทียนบอกไว้ก็มาถึง เมื่อเขาบอกว่าจะมาพบวันมะรืน เขาก็หายไปหนึ่งวันหนึ่งคืนอย่างที่ว่าจริง คราแรกเสิ่นหรงลี่แอบรู้สึกน้อยอกน้อยใจ แต่เมื่อคิดได้ว่าเขาเป็นถึงองค์ชาย ทั้งยังหายตัวไปหลายสัปดาห์ เรื่องราวที่ต้องจัดการคงมีมาก ไหนจะยังเหตุการณ์ครั้งล่าสุดที่เจอกัน แม้นางจะมิอาจตอบโต้อันใดได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีสติรับรู้คำพูดปลอบใจอย่างอ่อนหวานพรั่งพรูออกมา จนนางคิดว่าตนเองกำลังอยู่ในอ้อมกอดของหนุ่มนักรักมิใช่นักรบ หากแต่เมื่อหรูอี้และอี้ฉุนเข้ามา เขาก็หยุดคำพูดเหล่านั้นลงไปในทันที และนั่นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่นางหลับตาลง เพราะหากต้องลืมตามองหรูอี้ ตัวนางคงจะหลุดอาการขัดขืนออกมาจนถูกจับได้ยามนี้มีบ่าวหญิงหลายคนกำลังช่วยนางแต่งตัว เพราะวันนี
บทที่ 16 รุนแรงขึ้นเสิ่นหรงลี่ที่หงุดหงิดเพราะตนเองกำลังจะข่มใจนอนหลับใหลในที่อันไม่คุ้นเคยเช่นนี้ได้ แต่กลับถูกปลูกด้วยกระดาษเล็กๆ ที่ปั้นมาเป็นก้อนแผ่นหนึ่ง โชคดีที่นางมิได้สั่งให้บ่าวผู้นั้นดับตะเกียงไปก่อน จึงสามารถลุกไปอ่านข้อความได้‘วันมะรืนจะมารับ พี่เฟยเทียน’เมื่อเห็นว่าข้อความนี้มาจากตงเฟยเทียน หรงลี่เลยเดินไปที่กรอบหน้าต่าง แล้วกล่าวตอบไปเบาๆ “ ไม่เห็นต้องมาปลุกเช่นนี้”“เพราะพรุ่งนี้คงไม่อาจมาหาได้ จึงมาบอกเจ้าไว้ก่อน อย่าได้คิดว่าข้าจะทอดทิ้งไป เข้าใจหรือไม่”“หมดธุระแล้วก็กลับก่อนดีหรือไม่เพคะ หากอยู่นานเกรงว่าจะไม่เหมาะสม”
บทที่ 15 คืนแรกในที่แปลกเสิ่นหรงลี่ที่เห็นพี่สาวและมารดาบุญธรรม กำลังสนุกสนานกับการออกความเห็น ว่าผ้าม่านฉากกั้นและผ้าปูชุดใดจึงจะเหมาะสมกับสมาชิกใหม่ผู้นี้ ก็ยิ้มแย้มออกมาเล็กน้อย“จวนนี้มีพี่หรูอี้เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวหรือไม่ เหตุใดท่านทั้งสองจึงดูตื่นเต้นนัก”“หลักแหลม! ใช่แล้วจวนนี้มีข้าเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว มีเจ้าเพิ่มมาจึงเพิ่มเป็นสองคน ห้องพี่ชายและน้องชายจะตกแต่งมากเกินไปคงไม่เหมาะสม จะให้ตกแต่งห้องตัวเองใหม่ทุกปี ก็ไม่เหมาะสมเช่นกัน แต่หากมีสมาชิกที่เป็นสตรีเพิ่ม คงได้เล่นสนุกบ่อยขึ้น” กงหรูอี้พยักหน้ารับ ทั้งยังเฉลยความออกมาเสียสิ้นว่าเป็นสตรีที่รักความสนุกและความสวยงามผู้หนึ่ง“เช่นนั้นเราควรหาเวลาแบ่งปันเคล็ดลับความงาม ท่านแบ่งปันเคล็ดลับของพวกมารส่วนข้าจะแบ่งปันเคล็







