LOGINเมื่อรถม้ามาถึงเสิ่นหรงลี่ก็เกิดอาการงุนงงเล็กน้อย ไม่คิดว่ารถม้าในภพนี้จะเหมือนกับภพที่จากมาไม่มีผิดเพี้ยน นึกสงสัยว่าเหตุใดทุกคนจึงไม่เดินทางดั่งตอนที่ตงเฟยเทียนพาขึ้นหลังกลับไปยังผาน้ำตก
เฟยเทียนที่เห็นแววตาของหรงลี่ก็คาดเดาว่านางอาจกำลังสงสัยในเรื่องการเดินทาง “แม้จะใช้วิชาตัวเบาได้เหนือชั้นกว่ามนุษย์ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องใช้พร่ำเพรื่อ ด้วยเปลืองพลังงานมากกว่า และเหล่ามารอย่างพวกเราก็ขี้เกียจเป็น”
“อ๋าเหตุผลเป็นเช่นนี้”
“แต่ม้าเราไวกว่ามาก หากกลัวข้าอนุญาตให้เกาะได้”
“ทำเช่นนั้นไม่น่าจะดีนะเจ้าคะ แค่ต้องอยู่ในฐานะฮูหยิน ก็ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรแล้วเจ้าเจ้าค่ะ”
“เจ้าก็คิดเสียว่าเป็นงาน มีหน้าที่กีดกันมิให้ผู้ใดยัดเยียดลูกสาวหลานสาวเข้ามาให้ข้ารำคาญใจได้ หากเจ้าทำตามหน้าที่ก็ไม่มีอันใดต้องเกรงใจ”
ข้าไม่ได้เกรงใจเสียหน่อย ทำตัวไม่ถูกกับเกรงใจมันคนละเรื่องกันเจ้าค่ะ
คุณหนูเสิ่นได้แต่พูดความรู้สึกที่แท้จริงอยู่ภายในใจ แต่มิได้รู้เลยว่าใบหน้าของนางนั้น ไม่ว่ามีอารมณ์ความรู้สึกเช่นไร ก็ชัดเจนเสียจนผู้คนอ่านออกไปทั้งหมด ใบหน้างดงามงอง้ำจมูกย่นอย่างดื้อดึง ทั้งยังการตวัดหน้าหันไปด้านข้างนั้นอีก หากนางได้ไปเป็นบ่าวตามที่ตกลงกันไว้ มีหวังได้ล้มเจ็บจนเจียนตายแต่วันแรกเป็นแน่
“เก็บสีหน้าไม่เป็นเช่นนี้ หากเป็นบ่าวคงไม่วายได้ถูกลงโทษเช้าเย็น” เฟยเทียนส่ายหัวอย่างระอาปนเอ็นดู แม้สถานะที่ให้นางไป เป็นสถานะที่ต้องควรรู้จักเก็บสีหน้าและแววตาให้ดี แต่ด้วยตำแหน่งของเขา แม้ผู้คนจะอ่านออกก็ไม่มีสิทธิ์กระทำอันใดต่อนางได้
“ใครว่าข้าเก็บสีหน้าไม่เป็นกัน” เสิ่นหรงลี่หันมาโวยวายด้วยความมีน้ำโห “ข้าแค่ไว้ใจพี่เฟยเทียนก็เท่านั้น” ทอนหลังนี้นางพูดเสียงเบาเสียจนเกือบจะไม่ได้ยิน แต่นั่นก็ไม่พ้นประสาทรับรู้ของตงเฟยเทียน กงต้าต้า และลูกน้องที่เหลืออยู่
คำพูดนี้ทำให้เหล่าองครักษ์ใกล้ชิด คาดเดาถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสองได้ แม้ในคราแรกจะคิดว่าเจ้านายของตนทำเพื่อทดแทนบุญคุณ แต่หากแม่นางในห้องหอกล้ากล่าววาจาเช่นนี้ออกมา ย่อมต้องมั่นใจว่าอีกฝ่ายก็มีใจให้ตนไม่มากก็น้อย ไม่แน่ว่าจอมมารผู้นี้อาจมีความรู้สึกชอบพอต่อสตรีที่เป็นเพียงมนุษย์เข้าแล้วจริงๆ
การเดินทางกลับของตงเฟยเทียนเป็นไปอย่างเงียบเชียบ รถม้าเพียงตู้เดียว มุ่งหน้าไปยังจวนสกุลกง เขาตัดสินใจยังไม่มุ่งหน้ากลับไปรายงานตัวที่วังหลวงดินแดนมาร แต่เลือกที่จะไปฝากฝังหรงลี่ไว้กับครอบครัวบุญธรรมนี้ก่อน
“พวกเราต้องไปที่บ้านสกุลตง เพื่อแจ้งข่าวว่าพี่เฟยเทียนปลอดภัยดีหรือไม่เจ้าคะ” หรงลี่เอ่ยถามออกมาเมื่อปรับสภาพกับความเร็วของรถม้าได้แล้ว แต่ก็ยังคงเกาะแขนของเฟยเทียนไว้แน่นไม่ปล่อยเช่นเดิม
“ยังก่อน เราจะมุ่งหน้าไปยังสกุลกง เรื่องการกลับจวนของข้า ควรรอเรียกคนให้กลับมารวมกันก่อน ตอนนี้ยังไม่ปลอดภัย” แม้ตงเฟยเทียนยังไม่รู้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น เป็นฝีมือของพี่น้องตนหรือคนจากสกุลใหญ่ที่ต้องการเขย่าขั้วอำนาจให้เปลี่ยนแปลง แต่การเข้าวังหลวงหรือประกาศการกลับมาในยามที่คนของเขายังคงกระจัดกระจาย ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก
“บ้านสกุลกงอีกประมาณกี่เค่อหรือเจ้าคะ” นางเลี่ยงไม่ละลาบละล้วงเกี่ยวกับเรื่องที่เขาเจอมา เพราะต่อให้ออกความเห็นอันใดไป นางก็ยังคาดเดาไม่ได้อยู่ดีว่าผู้ใดคือผู้กระทำ
“อีกเค่อเดียวเท่านั้นไม่ไกลหรอก”
“ว๊าย” เสียงร้องดังขึ้นเพราะเสิ่นหรงลี่เซไปด้านหน้าในยามที่รถม้าสะดุดบางอย่าง นางถูกคว้าตัวมาให้อยู่บนตักของตงเฟยเทียนในทันที
“เพราะม้าเร็วหากสะดุดจะทรงตัวยากหน่อย” เฟยเทียนเอ่ยออกไปอย่างอ่อนโยน และดึงเข้ามากอดเมื่อเห็นหน้าตาตื่นกลัวของเสิ่นหรงลี่ “ไม่มีอันใดต้องกลัว หากยังมีข้าอยู่ สัญญาว่าจะไม่ทำให้เจ้าเจ็บเจ้าปวดทั้งทางกายทางใจ”
“คำพูดเช่นนี้…”
ไม่ใช่ว่าเอาไว้พูดยามเข้าห้องหอหรือ
เสิ่นหรงลี่หน้าแดงเห่อร้อนเมื่อคิดได้ว่าคำพูดเหล่านี้คล้ายจะเป็นคำพูดที่เจ้าบ่าวใช้สัญญากับเจ้าสาวของตนเอง ยิ่งคำกล่าวนี้เกิดขึ้นในระหว่างที่นางนั่งอยู่บนตัก ทั้งยังมีแขนแกร่งทั้งสองโอบรัดอยู่รอบตัวยิ่งสร้างความสับสน โชคยังดีที่เพราะถูกกอดไว้ หรงลี่จึงมั่นใจว่าเขามิได้เห็นสีหน้าขัดเขินของตัวนาง
“ข้ามิได้พูดพล่อย พี่เฟยเทียนผู้นี้ของเจ้า เมื่อรับมาแล้ว แม้จะเป็นเพียงฮูหยินในนาม ก็จะยึดถือความปลอดภัยของเจ้าเป็นสูงสุด” เฟยเทียนกล่าวซ้ำตอกย้ำความหนักแน่น สูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่เมื่อเข้าใกล้หรงลี่ทีไรก็ได้กลิ่นทุกคราไปจนเต็มปอด
หรงลี่ที่ได้ยินคำสัญญานั้นก็ไม่กล้าขยับตัวขืนออกจากอ้อมกอด เพราะรู้สึกได้ถึงใบหน้าของตนที่เห่อร้อนออกมาอย่างต่อเนื่อง จึงต้องจำใจขัดเขินอยู่ในท่าทางนี้ และดูท่าทีแล้วตงเฟยเทียนก็มิได้คิดที่จะปล่อยนางออกจากอ้อมกอด ทั้งสองตกอยู่ในตำแหน่งที่ล่อแหลมจนกระทั่งมีเสียงเคาะรถม้าดังขึ้น
“ถึงแล้วขอรับ” เป็นเสียงของกงต้าต้าที่เอ่ยออกมา
เสิ่นหรงลี่รีบผละตัวออกจากตงเฟยเทียนอย่างรวดเร็ว ความตกใจทำให้สีหน้าที่แดงเรื่อมาตลอดทาง ผันเปลี่ยนเป็นซีดเซียว เมื่อเฟยเทียนก้าวลงจากรถม้าไปแล้ว เขาก็ยื่นมือขึ้นมารอรับหรงลี่ให้ตามลงมา แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเมื่อยื่นมือออกไปโลกทั้งใบของหรงลี่ก็ดับมืดลง
.
.
.
“หรงลี่ ลี่เออร์” เฟยเทียนที่คว้าตัวของนางไว้ได้ทันท่วงที เอ่ยเรียกออกมาด้วยความห่วงใย ซึ่งสร้างความตกใจให้กับคนทั้งหลายที่อยู่ในบริเวณนี้
คนของบ้านสกุลกงลอบมองหน้ากันด้วยสีหน้าที่ไม่เข้าใจนัก ด้วยไม่เคยเห็นมุมเช่นนี้ของท่านจอมมารมาก่อน แม้กระทั่งอดีตชายาก็ไม่เคยได้รับการเรียกขานที่แสดงถึงความสนิทสนมแบบคนรักเช่นนี้
กงต้าต้าผู้มีความรู้ทางการแพทย์พื้นฐาน นำเจ้านายของตนให้พานางมาในเรือน และเริ่มการตรวจทันที เมื่อจับชีพจรแล้วต้าต้า ก็เผยยิ้มออกมาเพราะปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่
“นางเพียงแค่หิวโหยจนเป็นลมไปก็เท่านั้น”
“จริงสิข้าก็ลืมนึกไป นางไม่ค่อยได้กินอะไรดีๆ นักในยามที่ต้องดูแลข้า” แววตารู้สึกผิดและหนักใจผุดขึ้นมาให้กงต้าต้าเห็นครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับเป็นแววตาเรียบเฉยอย่างปกติ
“หรูอี้ เจ้าไปนำน้ำแกงมาป้อนนางหน่อย” กงต้าต้าหันไปไหว้วานน้องสาวตนเองที่เร่งรับคำเป็นอย่างดี
“ไม่ต้องลำบาก ข้าจะป้อนเอง” ตงเฟยเทียนเอ่ยออกมาอย่างชัดเจน
“องค์ชายท่านควรไปคุยกับบิดาของข้าก่อน” กงต้าต้ากล่าวเตือน
“จริงสินะ” เมื่อคิดได้เช่นนั้นตงเฟยเทียนก็ยืดตัวขึ้นเต็มความสูงเดินตามกงต้าต้าที่เชิญบิดาของตนไปยังห้องทำงาน แต่สายตากลับหันมามองเสิ่นหรงลี่ไปจนลับสายตา
บทที่ 22 ถึงเวลามีบ่าวของตนเสิ่นหรงลี่กะพริบตาปริบๆ ไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกอย่างไรกับเรื่องตรงหน้า สตรีทั้งสี่นางมองมาอย่างไม่ใคร่พอใจนัก เรื่องนี้ทำให้หรงลี่สับสนอยู่มากทีเดียว ด้วยมิเคยพบคนทั้งสี่มาก่อน นางจึงได้แต่หันมองซ้ายทีขวาทีพยายามเสี่ยงไม่สบตากับคนเหล่านั้น“ใครส่งพวกเจ้ามา” องค์ชายรองเอ่ยถามออกไป“ฮองเฮาและเสียนเฟยส่งพวกหม่อมฉันมาติดตามรับใช้ใกล้ชิด เพื่ออบรมสั่งสอนธรรมเนียมทั้งหมดที่สะใภ้ราชวงศ์ควรต้องเรียนรู้เพคะ การเรียนรู้แค่ยามไปที่วังมารคงไม่เพียงพอจะขัดเกลาได้” ตัวแทนของนางกำนัลกล่าว“ข้าสามารถหาคนมาดูแลนางเองได้ ผู้อื่นมิต้องลำบาก”“หม่อมฉันรับคำสั่งจากฮองเฮามาแล้วย่อมต้องทำให้ลุล่วงเพคะ” นางกำ
บทที่ 21 ไม่อยากตบตีกับเมียหลวงหลังจบมื้ออาหารกับครอบครัวที่ต่างคนต่างกัดกันดังว่าเป็นการแข่งขันชิงรางวัล เสิ่นหรงลี่ก็เดินตามองค์ชายรองผู้นี้ออกมาโดยมิได้กล่าววาจาใดหากเพราะมิใช่คิดว่าเขาคือภารกิจไถ่บาปของตน นางคงจากไปและหาทางรอดเอาดาบหน้าเสียแล้ว เพราะแม้ว่าช่วงหลังของมื้ออาหารนางจะมิใช่เป้าหมายหลักของการฟาดฟันวาจา แต่คนบนโต๊ะอาหารนั้นก็ยังหาโอกาสกระทบกระทั่งเรื่องที่นางเป็นเพียงว่าที่ชายารองต่างจากสะใภ้อีกสองที่เป็นถึงชายาเอกแต่ทว่าเมื่อถึงรถม้าความอดทนของคุณหนูเสิ่นก็หมดลง นางต้องกล่าวความในใจออกมา “เหตุใดองค์ชายจึงไม่บอกกับหม่อมฉันก่อน การให้หม่อมฉันไปรู้จากปากผู้อื่นเช่นนี้อีกแล้ว นับเป็นเป็นการหักหน้ากันเกินไป หากหม่อมฉันได้เตรียมใจก่อนย่อมหาวิธีรั
บทที่ 20 ตบหัวแล้วลูบหลัง“ยืนเจ้าค่ะ” อี้ฉุนกระซิบกับเสิ่นหรงลี่เมื่อมีเสียงกระดิ่งสั่นครบเก้าครั้ง ทำให้คุณหนูผู้นี้มิต้องขายหน้าที่ยืนช้ากว่าผู้ใด เมื่อรออยู่ครู่หนึ่ง ก็เห็นบุคคลน่าเกรงขามถึงสามพระองค์กำลังก้าวผ่านประตูเข้ามา“องค์มา-” ว่าฉุยที่กำลังจะขานการมาถึงของเจ้าเหนือหัวแคว้นมาร ถูกหยุดไว้ด้วยฝ่ามือของตงหานเฟยเสียก่อน“ไม่ต้องขาน เป็นคนกันเองทั้งสิ้น”องค์มารผู้เป็นฮ่องเต้ของแคว้นเดินมาพร้อมกับฮองเฮา และสนมเอกผู้ที่หรงลี่คาดเดาว่าเป็นมารดาขององค์ชายองค์หญิงทั้งหลาย เสิ่นหรงลี่เห็นเช่นนั้นจริงสังเกตสีหน้าขององค์ชายรอง พยายามจับสังเกตว่าผู้ใดคือมารดาของเขา แต่มองไปแล้วก็พบแต่สายตาว่างเปล่าคล้ายว่าสตรีทั้งสองไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดเลย
บทที่ 19 ครอบครัวใหญ่องค์ชายรองที่รู้ว่าต้องอยู่รอร่วมโต๊ะกับทุกคนก่อนก็พาเสิ่นหรงลี่เดินชมสวนในบริเวณที่มิได้หวงห้ามไปพลางก่อน“ต้นไม้ในแดนมารมีสีเข้มหมดเลยหรือเพคะ”“อืม สีเข้มเช่นนี้แหละ หากสีซีดลงก็บ่งบอกถึงปัญหาที่เกิดภายในได้”“ชมสวนเสร็จแล้ว ต้องทำอันใดอีกหรือไม่เพคะ” เสิ่นหรงลี่ถามออกมา เพราะเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า และหิวขึ้นมาแล้ว ขนมกับน้ำชาที่คุยกันไว้กับองค์หญิงอิงเจาก็ยังมิได้ใส่เข้าปากรองท้องเมื่อนึกถึงขนมหรงลี่ก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน เพราะนางแน่ใจว่ายามที่กำลังมีปัญหากับองค์หญิงจูจู ในมือขององค์หญิงอิงเจาไม่มีสิ่งใดที่ถือกลับมาด้วย
บทที่ 18 ปะทะ“หน้าตาเช่นนี้ ชั้นต่ำ อันใดกัน” เสิ่นหรงลี่เอียงคอยังสงสัย พยายามมองหาองค์หญิงอิงเจาว่าไปอยู่ที่ใด“มองหาให้พี่ชายข้ามาช่วยเจ้าหรือ” องค์หญิงจูจูตวาดลั่นศาลาด้วยเสียงสูงที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดท่านใดนั้นก็มีชายแปลกหน้าปรากฏตัวเพิ่มอีกสองคน คนหนึ่งมีสีหน้าเรียบขรึม อีกคนหนึ่งมีท่าทางคล้ายชายเสเพลพร้อมกับสีหน้ายกยิ้ม“จูจูโวยวายอันใดกัน” ชายที่ดูนิ่งและสุขุมกว่าเอ่ยขึ้น“สตรีผู้นี้ สมบัติจากบ้านพี่สามใช่หรือไม่ เหตุใดพานางเหยียบเข้ามาถึงในวัง ข้าไม่รู้จักไม่เคยเห็นหน้าเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่คนในสังคมเรา” จูจูมิได้ตอบคำถามออกไป แต่กลับหันไปยังทิศทางที่ชายอีกคนด้านข้าง
บทที่ 17 เข้าวังในที่สุดวันมะรืนที่เฟยเทียนบอกไว้ก็มาถึง เมื่อเขาบอกว่าจะมาพบวันมะรืน เขาก็หายไปหนึ่งวันหนึ่งคืนอย่างที่ว่าจริง คราแรกเสิ่นหรงลี่แอบรู้สึกน้อยอกน้อยใจ แต่เมื่อคิดได้ว่าเขาเป็นถึงองค์ชาย ทั้งยังหายตัวไปหลายสัปดาห์ เรื่องราวที่ต้องจัดการคงมีมาก ไหนจะยังเหตุการณ์ครั้งล่าสุดที่เจอกัน แม้นางจะมิอาจตอบโต้อันใดได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีสติรับรู้คำพูดปลอบใจอย่างอ่อนหวานพรั่งพรูออกมา จนนางคิดว่าตนเองกำลังอยู่ในอ้อมกอดของหนุ่มนักรักมิใช่นักรบ หากแต่เมื่อหรูอี้และอี้ฉุนเข้ามา เขาก็หยุดคำพูดเหล่านั้นลงไปในทันที และนั่นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่นางหลับตาลง เพราะหากต้องลืมตามองหรูอี้ ตัวนางคงจะหลุดอาการขัดขืนออกมาจนถูกจับได้ยามนี้มีบ่าวหญิงหลายคนกำลังช่วยนางแต่งตัว เพราะวันนี







