สนมรัก คืนนี้ข้าจะไปหาเจ้า
"ฝ่าบาท!!! หม่อมฉันกลัวแล้วเพคะ หม่อมฉันไม่อยากเห็นแล้วเพคะ ฮือ"
"มานี่!!! อย่าคิดจะหนีข้า พี่สาวเจ้ามาหลอกให้ข้าไว้ใจ สุดท้ายนางก็แต่งไปกับชายอื่น เจ้าจะต้องชดใช้แทนพี่สาวของเจ้า!!!"
"ไม่เพคะ ฮือ อย่าเพคะอย่าควักมันมาใส่หน้าหม่อมฉัน!!!"
เฟิ่งฟางเซียนยกมือขึ้นปัดป่ายไปมาเพื่อหลบเลี่ยงการคุกคามจากสวีหลงเยียน ที่ตอนนี้เขากำลังควักแท่งเอ็นร้อนขนาดใหญ่ยักษ์มาที่ใบหน้าสวยของนาง
นางคือคุณหนูรองแห่งจวนตระกูลเฟิ่ง ถูกส่งตัวมาเป็นสนมแทน เฟิ่งชิงฮวา พี่สาวต่างมารดาของนาง เพราะเฟิ่งชิงฮวาได้แอบไปมีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับบุตรชายของพ่อค้าต่างเมืองจนเกิดตั้งครรภ์ ทั้งที่นางได้ถูกคัดเลือกให้เป็นไท่จื่อเฟยพระชายาเอกของไท่จื่อสวีหลงเยียน ด้วยความโกรธแค้นหลังจากที่สวีหลงเยียนขึ้นเป็นฮ่องเต้เขาจึงมีราชโองการให้ส่งบุตรสาวคนรองก็คือนางให้เข้าวังไปเป็นสนมแทน มิเช่นนั้นจะสั่งประหารตระกูลเฟิ่งเก้าชั่วโคตร ทำให้เฟิ่งฟางเซียนต้องมาทนรองรับอารมณ์ที่ดุดันและเกลียดชังจากสวีหลงเยียน
เพราะรักเฟิ่งชิงฮวามาก ในเมื่อนางหักหลังเขา คนในตระกูลเฟิ่งก็ต้องรับผิดชอบ!!!
"อ๊าส์!!! หนอนยักษ์ อ๊าส์ หนอนหัวเห็ด!!! ข้ากลัว!!!"
"มานี่ฟางเซียน สนมรักของข้า ข้าจะชักรูดมันให้เจ้าดูแทนพี่สาวของเจ้า!!!
"ไม่!!! อ๊าส์!!!"
"ฮ่าา"
สวีหลงเยียนส่งเสียงหัวเราะดังก้องสะเทือนไปทั้งตำหนัก เคยมีเสียงเล่าลือว่าหากเขาเข้าไปค้างคืนที่ห้องของสนมนางในคนใด คืนนั้นจะได้ยินเสียงเตียงสั่นสะเทือน และเสียงครวญครางของนางสนมดังออกมาตลอดทั้งคืน
05.00 น.
"วันนี้พอแค่นี้ก่อน นิยายเรื่องใหม่ที่เราเขียนนี่พระเอกโรคจิตไบโพลาร์ครบรสจริง ๆ จะว่าไปก็สงสารนางเอกเหลือเกิน ถ้าเราเป็นนางเอกก็คงจะทนไม่ไหว ไม่สิ? อมสู้ไปเลย!!!"
ซือซือ หญิงสาววัยยี่สิบห้าปี เธอมีอาชีพเป็นนักเขียนนิยายอีโรติกคอมเมดี้ชื่อดัง และนี่ก็คือนิยายเรื่องล่าสุดของเธอที่เพิ่งจะคลอดออกมาใหม่
สนมรัก คืนนี้ข้าจะไปหาเจ้า!!!
ซือซือลุกขึ้นจากเก้าอี้ ความเมื่อยล้าจากการใช้สายตาเพ่งมองและใช้สมองในการเขียนนิยายทำให้เธอรู้สึกเมื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง เธอละสายตาจากโน้ตบุ๊กตรงหน้า ก่อนจะเดินไปที่ตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม
"โอ๊ย!!! ทำไมเจ็บหน้าอกแบบนี้อะ? อื้อ"
ซือซือยกมือขึ้นมาจับที่หน้าอกของตนเองด้วยความทรมาน เธอทิ้งร่างลงไปนอนดิ้นกับพื้นด้วยความทุรนทุราย
วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้านเสียด้วย ให้ตายสิ!!!
ซือซือพยายามตะเกียกตะกายหวังจะไปคว้ายาที่บนหัวเตียงของตนเอง แต่ทว่าแรงเฮือกสุดท้ายก็ไม่สามารถยื้อชีวิตของเธอเอาไว้ได้
เธอเสียชีวิตทันทีด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน
รัชศกหลงเยียนปีที่2
"ฟางเซียน!!! ฟื้นเดี๋ยวนี้ เจ้าอย่ามาเสแสร้งเหมือนเช่นพี่สาวของเจ้า ฟางเซียน!!!"
สวีหลงเยียนยื่นฝ่ามือหนาใหญ่ไปตบเบา ๆ ที่แก้มขาวนวลเนียนของเฟิ่งฟางเซียนที่นอนสลบไม่ได้สติ หลังจากที่นางตกใจกลัวเขาจนสุดขีดเพราะเขาแก้ผ้าวิ่งไล่นาง จนนางตาเหลือกล้มลงไปนอนชักที่พื้นและสลบไป
"ฟางเซียน!!!"
"ว้าย!!! แหก แหกอีก!!!"
ซือซือตกใจสะดุ้งตื่นพร้อมกับลุกขึ้นมานั่ง นางสูดหายใจเข้าอย่างเต็มปอด ก่อนจะค่อย ๆ หันไปมองรอบ ๆ
ที่ไหนกันเนี่ย โรงพยาบาลเหรอ?
ไม่ใช่สิ?
"ฟื้นแล้วหรือสนมรักของข้า?"
ซือซือค่อย ๆ หันไปมอง ทำให้เธอได้พบกับชายหนุ่มใบหน้าคมเข้มดุดัน สวมเพียงเสื้อคลุมสีดำ เขารวบผมใส่มงกุฎเหมือนฮ่องเต้ในสมัยก่อน ใบหน้าเย็นชาจ้องมองมาที่เธอด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
ซือซือค่อย ๆ มองต่ำลง ต่ำลง จนพบกับ
หนอนเนื้อหัวเห็ด?
เดี๋ยวนะ!!!
"นายเป็นใครอะ? ไอ้บ้ากาม!!! ทำไมไม่ใส่กางเกง!!!"
สวีหลงเยียนขมวดคิ้วมุ่น เขาจ้องมองนางอย่างไม่ละสายตา
"จำสามีไม่ได้แล้วหรือ ฟางเซียน ข้าสวีหลงเยียน สามีของเจ้า"
สวีหลงเยียน?
ชื่อเหมือนพระเอกบ้ากามที่เพิ่งเขียนไปเมื่อครู่นี้เลย
"เอ่อ คุณพาฉันมาส่งโรงพยาบาลเหรอคะ?"
"พูดจาภาษาประหลาด!!! ข้าหมดความอดทนกับเจ้าแล้ว ดูเสีย!!!"
"ดูอะไรคะ ว้าย!!! คุณหยุดชักเดี๋ยวนี้นะ!!!"
"ข้าจะชักรูดให้เจ้าดู สนมรัก ข้าจะทรมานเจ้าให้ตายทั้งเป็น!!!"
ซือซือชะงักค้างกลางอากาศ นางค่อย ๆ ตั้งสติและนึกคิดบางอย่างออกมา
เขาชื่อสวีหลงเยียน แล้วก็เรียกเราว่าฟางเซียน
ซือซือก้มลงมองสำรวจตนเอง ก็พบว่าตอนนี้นางอยู่ในชุดของสตรีโบราณนางหนึ่ง
อย่าบอกนะว่า เราตายแล้วทะลุมิติมาในนิยายที่เขียนค้างเอาไว้!!!
บ้าเอ๊ย!!! เรื่องอื่นที่พระเอกปกติทำไมไม่ให้ทะลุมาวะ!!!
"สนมรัก!!!"
ซือซือรู้สึกราวกับฝันไป นี่นางมาอยู่ในร่างของเฟิ่งฟางเซียนที่ช็อกตายเพราะถูกฮ่องเต้โรคจิตนี่ชักน้องว่าวให้ดูเหรอเนี่ย? โธ่!!! ชีวิตบัดซบยิ่งนัก
สนมรัก!!! หลอนหูโว้ยย!!!
เอาน่า เราสร้างมันขึ้นมาเองเราต้องรู้จุดอ่อนมันสิ!!!
"สนมรัก เรามาสนุกกันต่อเถิด"
สวีหลงเยียนยกยิ้มมุมปากด้วยสายตาดุดัน ตอนนี้ซือซือคือเฟิ่งฟางเซียนแล้ว นางรู้สึกขนลุกขนชันไม่น้อยที่ต้องมาเจอเหตุการณ์วิตถารเช่นนี้
ตอนเขียนรู้สึกสนุกมาก พอมาเจอกับตัวทำไมมันถึงสยองแบบนี้!!!
สวีหลงเยียนยืนมองนางด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะใช้ฝ่ามือใหญ่กอบกุมแท่งแก่นกายขนาดยักษ์ของตนเอง แล้วชักรูดมันขึ้นลงอย่างเมามัน นี่ก็รอบที่สามแล้ว รอบแรกปล่อยใส่กระโปรงนาง รอบสองปล่อยใส่ผมนาง รอบนี้คือปล่อยใส่หน้านาง!!!
สาแก่ใจนัก พี่สาวเจ้าทำให้ข้าช้ำใจ เจ้าจะต้องชดใช้แค้นนี้แทนนาง!!!
เฟิ่งฟางเซียนนั่งมองคราบน้ำตัณหาของเขาที่ปล่อยใส่กระโปรงและเส้นผมของนางแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียนไม่น้อย
ลามกที่สุด!!!
"ซี้ดดด!!! สนมรักอ้าปากรอข้า โอวว!!!"
เฟิ่งฟางเซียนหันไปมองสวีหลงเยียนด้วยสายตาที่เอือมระอา
อาการหนักกว่าตอนร่างพล็อตไปอีก!!! นางจำได้ว่าไม่ได้วางพล็อตให้เขาโรคจิตขนาดนี้นี่
"สนมรัก โอวว ซี้ดดด ฟางเซียน!!! เอาปากโสมมของเจ้าออกไปจากลำแท่งของข้า!!!"
ออกให้โง่สิ!!! ชักเก่งแบบนี้ต้องดูดให้เข็ด!!!
จะว่าไปพระเอกนิยายของเรานี่ก็หล่อเหมือนกันนะเนี่ย!!!
เฟิ่งฟางเซียนพุ่งเข้าไปหาสวีหลงเยียน พร้อมกับใช้ฝ่ามือเรียวงามจับไปที่แท่งเอ็นมังกรของเขาเอาไว้ แล้วครอบริมฝีปากดูดเข้าไปที่หัวหยักสีชมพูของเขาเอาไว้อย่างพึงพอใจ
ใหญ่กว่าที่จินตนาการเอาไว้เสียอีก!!!
สวีหลงเยียนใบหน้าบิดเกร็งด้วยความเสียวซ่าน เขารู้สึกรังเกียจนาง แต่ในความรังเกียจกลับมีความเสียวซ่านซ่อนเอาไว้
"ซี้ดด!!! อ่าส์!!!"
น้ำรักสีขาวขุ่นไหลล้นทะลักออกมาจากหัวมังกรสีชมพูของเขาจนมันไหลเยิ้มออกมาจากมุมปากของเฟิ่งฟางเซียน นางแลบลิ้นเลียกินมันด้วยความเอร็ดอร่อย สวีหลงเยียนที่เห็นเช่นนั้นก็เกิดบันดาลโทสะจนถึงขีดสุด
"พวกเจ้าเข้ามา!!!"
เขาหันไปสั่งการเหล่านางกำนัลขันทีด้านนอกด้วยน้ำเสียงดุดัน เหล่าข้ารับใช้ต่างรีบก้มหน้าวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีหวาดกลัว
"เฟิ่งผินกระทำการต่ำช้า คิดล่วงเกินข้า ส่งนางไปขังที่ตำหนักเย็น!!! ทำสวนปลูกผักไปเสีย หากไม่มีรับสั่งจากข้าห้ามให้นางออกมาเดินเพ่นพ่านให้รำคาญสายตาข้า!!!"
สวีหลงเยียนสะบัดชายเสื้อเดินจากไป ทิ้งให้เฟิ่งฟางเซียนยืนอ้าปากค้างมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ
อะไรกัน? คนอุตส่าห์พุ่งตัวไปช่วยให้เสร็จเร็ว ๆ กลับมาไล่ให้ไปอยู่ตำหนักเย็น ใจร้ายใจดำ!!!
รุ่งเช้าวันต่อมา ราชโองการสั่งกักบริเวณเฟิ่งฟางเซียนให้อยู่ในตำหนักเย็นก็ส่งมาถึง เนื้อความมีดังนี้ เฟิ่งผินกระทำการต่ำช้า หวังทำลายพระวรกายฝ่าบาท มีโทษประหารชีวิต แต่เพราะความเมตตาจากฮ่องเต้ จึงสั่งกักบริเวณนางไม่มีกำหนด จบราชโองการ เฟิ่งฟางเซียนเบ้ปากด้วยความดูแคลน นางยื่นมือไปรับราชโองการฉบับนั้นมาเก็บเอาไว้ หึ!!! ไล่ปากเปล่าก็เข้าใจแล้ว จะประกาศทำไมกัน อยากให้นางขายหน้าหรือไร? "เฟิ่งผิน โทษอมของสูง มีโทษถึงประหารชีวิตนะพ่ะย่ะค่ะ อย่าคิดทำอีก"เฟิ่งฟางเซียนขมวดคิ้วมุ่น จ้องมองขันทีด้วยสายตาที่งุนงง "อมของสูง โทษอะไรข้าไม่เคยได้ยิน""กระหม่อมก็มิทราบ ฝ่าบาททรงฝากกระหม่อมให้มาเตือนพระองค์เพียงเท่านี้พ่ะย่ะค่ะ เชิญเสด็จที่ตำหนักเย็นเถิดพ่ะย่ะค่ะ"เฟิ่งฟางเซียนคร้านที่จะใส่ใจมากนัก นางรีบเก็บข้าวของและไปที่ตำหนักเย็นทันที มีนางกำนัลสูงวัยนามว่าหลิวหลง ที่เรียกกันติดปากว่าหลิวหมัวหมัว นางเป็นนางกำนัลข้างกายของเฟิ่งฟางเซียนที่ถูกส่งมาดูแล และจะคอยติดตามรับใช้เฟิ่งฟางเซียนที่ตำหนักเย็นด้วยเพราะร่างนี้คือจินตนาการที่นางเป็นคนสร้างขึ้นมา จึงไม่มีความหลังฝังใจหรือสิ่งใดที่อยากแก้แค้นในค
เฟิ่งฟางเซียนสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะถูกหลิวหมัวหมัวปลุก นางมองดูชุดคลุมมังกรสีทองของสวีหลงเยียนที่คลุมร่างของนางเอาไว้ ใบหน้าเรียวสวยค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา จนหลิวหมัวหมัวที่ได้เห็นอดจะหยอกล้อนางไม่ได้ "ฝ่าบาททรงเปลือยกายท่อนบนเดินออกจากตำหนักไป บ่าวจึงรีบเข้ามาดูพระสนม โธ่ หมดแรงเชียวหรือเพคะ"เฟิ่งฟางเซียนเหลือบไปเห็นคราบเลือดติดอยู่ที่บริเวณชายเสื้อคลุมก็รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง นางนึกถึงตอนที่นางขึ้นขย่มอยู่บนกายของสวีหลงเยียนเมื่อครู่ก็ยิ่งทำให้ใจของนางสั่นระรัว นี่ข้าหลับนอนกับพระเอกนิยายที่เขียนขึ้นมาหรือ? "พระสนมรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิดเพคะ อากาศเริ่มเย็นแล้ว"เฟิ่งฟางเซียนพยักหน้า แต่พอนางกำลังจะลุกก็รู้สึกปวดร้าวที่สะโพกและเรียวขาเป็นอย่างยิ่ง หลิวหมัวหมัวที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่รีบเดินเข้ามาช่วยประคองนางอย่างหน้าชื่นตาบาน รุ่งเช้าสวีหลงเยียนมาประชุมกับเหล่าขุนนางด้วยขอบตาที่ดำคล้ำ เขาแทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะเวลาที่เขาหลับตาก็จะนึกถึงภาพที่เฟิ่งฟางเซียนขึ้นขย่มสะโพกอยู่บนร่างกายของเขา บัดซบ!!! นางปลุกปล้ำข้า!!!"ฝ่าบาท อีกสองวันจะถึงวันคัดเลือกนา
สวีหลงเยียนใบหน้าเขียวคล้ำจ้องมองเฟิ่งฟางเซียนด้วยสายตาชิงชัง นางถึงกับกล้าทำให้เขาอับอายต่อหน้าบ่าวไพร่ถึงขนาดนี้เชียวหรือเฟิ่งฟางเซียนเริ่มสัมผัสได้ถึงความแข็งชูชันของแท่งเอ็นอุ่นร้อนในใต้ร่มผ้าของเขา นางรีบปล่อยมือออกทันที ในหัวนึกถึงแต่ภาพที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับนางเมื่อคืน ไข่ใหญ่มาก!!!ให้ตายสิ!!! นี่ข้าคิดอะไรเช่นนี้ทุเรศสิ้นดี!!!เฟิ่งฟางเซียนถอยห่างออกมาจากสวีหลงเยียน นางไม่อยากจะพบเจอหน้าเขาด้วยซ้ำ เขาเป็นฮ่องเต้ที่จิตไม่ปกติ น่ากลัวเกินไปแล้ว สวีหลงเยียนยกยิ้มมุมปาก เขาก้าวเท้าเข้าไปหาเฟิ่งฟางเซียน ยิ่งนางถอยหนีเขาก็ยิ่งเดินเข้าไปใกล้นางเรื่อย ๆ"จะเดินตามหม่อมฉันมาทำไมเพคะ?""ที่นี่เป็นวังหลวงของข้า ข้าจะเดินไปไหนก็เรื่องของข้า""ถอยไปเพคะ หม่อมฉันจะกลับไปถางหญ้าต่อ""เจ้ากล้า!!!""หากคิดทุบตีหม่อมฉันอีก หม่อมฉันบีบอีกแน่!!! ครั้งนี้รับรองจะดึงให้ไข่ขาดเลยเพคะ!!!"สวีหลงเยียนกัดฟันกรอด คิดในใจว่าฝากไว้ก่อนเถอะ!!! ก่อนจะเดินกลับตำหนักใหญ่ด้วยความหงุดหงิดใจ ตั้งแต่เมื่อใดกันที่นางคิดกล้าเหิมเกริมกับเขา!!!สวีหลงเยียนกลับมานั่งอ่านฎีกาที่เหล่าขุนนางถวายให้เขาด้วยสีหน้าเคร
ขันทีเฒ่ารีบวางอาหารลงบนโต๊ะด้วยมือที่สั่นเทา เขาไม่กล้ามองภาพตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย ชายชรารีบปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนาด้วยกลัวว่าจะถูกฮ่องเต้ผู้ซึ่งอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ สั่งทำโทษเขา เขาไม่อยากต้องตกตายอย่างน่าอนาถเช่นนี้ เฟิ่งฟางเซียนใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความเขินอาย ให้ตายสิ!!! นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน นางก้มลงไปมองสวีหลงเยียน ก่อนจะสะดุ้งตกใจไม่น้อย เมื่อพบว่าเขาเองก็กำลังมองนางอยู่เช่นกัน ริมฝีปากหนาใหญ่กัดหัวไก่เอาไว้แน่น สายตาเย็นชาจ้องมองมาที่นางด้วยความอำมหิต เฟิ่งฟางเซียนรีบถอยหลังหนีสวีหลงเยียน แต่เขากลับใช้ท่อนแขนแกร่งกอดรัดเอวบางเล็กของนางเอาไว้อย่างถือวิสาสะ"พระองค์จะทำสิ่งใดเพคะ หม่อมฉันหายใจไม่ออกเพคะ!!! โอ๊ะ!!!"เขากดร่างของนางให้นั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะถอดเสื้อผ้าอาภรณ์ของตนเองออกจนหมด เฟิ่งฟางเซียนจ้องมองแผงอกล่ำสันของเขาด้วยแววตาเป็นประกาย ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สวีหลงเยียนนั้นมีเสน่ห์ที่ดึงดูดใจต่อนางเป็นอย่างยิ่ง เฟิ่งฟางเซียนพยายามเบือนหน้าหนีไม่อยากมองลำแท่งมังกรขนาดใหญ่ของเขา ใจนางเต้นถี่ระรัวจนแทบจะกระเด็นออกมาที่นอกอก สวีหลงเยียนยกยิ้มมุมปาก สตรีต่ำช้าผู้นี้คิดยั่วยว
เข้าสู่ช่วงฤดูร้อน สวีหลงเยียนจึงคิดแปรพระราชฐานออกไปพักผ่อนที่พระราชวังฤดูร้อนนอกเมืองหลวง เขาตั้งใจจะเดินทางด้วยเรือลำใหญ่ที่เพิ่งสร้างเสร็จ ล่องเรือไปตามแม่น้ำ ชมทิวทัศน์ต้นไม้รายทาง และยังได้ให้เหล่าราษฎรได้รอเข้าเฝ้าเชยชมพระบารมีอีกด้วย พระราชวังฤดูร้อนอยู่ห่างจากเมืองหลวงหลายร้อยลี้ซึ่งอยู่ติดกับทะเลสาบ มีต้นไม้รายล้อมให้ความร่มรื่นเป็นอย่างยิ่ง เขาชื่นชอบธรรมชาติเป็นที่สุด มันช่วยทำให้เขาคลายความตึงเครียดจากการที่ต้องทนนั่งอ่านฎีกาจากขุนนางพวกนั้นที่คอยกวนใจเขา หลินกุ้ยเฟยเมื่อได้ยินว่าสวีหลงเยียนกำลังจะออกไปพักผ่อนที่นอกเมือง ก็รู้สึกดีใจไม่น้อย นางตระเตรียมสิ่งของและเสื้อผ้าที่งดงามเอาไว้หลายชุด นางสนมในวังหลวงมีไม่มากเท่าใดนัก เหล่านางสนมชั้นต่ำฝ่าบาทย่อมไม่มีทางให้ตามเสด็จไปด้วยเป็นแน่ คงจะมีเพียงนางเท่านั้นที่ได้ติดตามไปด้วย ยิ่งคิดหลินกุ้ยเฟยก็ยกยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจ แต่เมื่อนึกถึงเฟิ่งฟางเซียนนางก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น ได้ยินมาว่าฝ่าบาทเสด็จไปค้างแรมที่ตำหนักเย็นของนางสามคืนติดแล้ว หึ!!! นังจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นั่นคงยั่วยวนฝ่าบาทจนทนไม่ไหวเป็นแน่ ยิ่งคิดนางก็ยิ่งร้อนใจไม
เรือยังคงล่องไปตามแม่น้ำสายใหญ่ไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบไม่ร้อน สวีหลงเยียนเบื่อกับการเล่นว่าวบนท้องฟ้าเสียแล้ว ยามค่ำดวงอาทิตย์เริ่มหม่นแสงลง บรรยากาศช่วงพลบค่ำช่างให้ความรู้สึกที่สบายใจไม่น้อย เขาหันไปมองเฟิ่งฟางเซียนที่ยืนเกาะขอบเรือมองดูทิวทัศน์รอบด้านด้วยสายตาซุกซน มุมปากของสวีหลงเยียนยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ หากข้าถีบนางตกเรือนางจะโกรธข้าหรือไม่?ไม่ถีบดีกว่า นางจะต้องคอยปรนเปรอข้าให้สาแก่ใจ!!!"ทูลฝ่าบาท นางกำนัลต่างจัดเตรียมสำรับมือค่ำไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ""ดี อีกเดี๋ยวข้าจักไป""พ่ะย่ะค่ะ"ขันทีชราพยักหน้าด้วยความนอบน้อม ก่อนจะเร่งเดินกลับไปตระเตรียมสั่งการเหล่านางกำนัลมิให้ขาดตกบกพร่อง สวีหลงเยียนเดินเข้าไปใกล้เฟิ่งฟางเซียน นางหันมามองเขาด้วยสายตาที่ล้ำลึก น่าถีบตกเรือเสียจริงสวีหลงเยียน!!! "มองข้าด้วยเหตุใด?""อ้อ ไม่มีอะไรเพคะ""หึ!!! หลงใหลข้าเสียแล้วสิ ฝันไปเถอะจงหลงรักข้างเดียวไปเถิด"เฟิ่งฟางเซียนลอยหน้ากลอกตาและเบ้ปากใส่สวีหลงเยียนอย่างนึกเวทนา หลงตนเองเป็นที่สุด ใครรักเขากัน!!!"ตามข้าเข้าไปข้างใน ได้เวลาอาหารค่ำแล้ว""เพคะ"เฟิ่งฟางเซียนเดินตามสวีหลงเยียนเข้าไปยังโถงเรือด้
หลินกุ้ยเฟยกำมือแน่น เมื่อได้ยินว่าสวีหลงเยียนกำลังรับสำรับมื้อค่ำกับเฟิ่งฟางเซียน โดยที่ไม่ยอมเอ่ยปากเรียกหานางให้ไปคอยปรนนิบัติรับใช้เลยด้วยซ้ำ เหตุใดเขาจึงใจร้ายกับนางได้ถึงขนาดนี้ นางไม่งดงามถูกตาต้องใจเขาบ้างเลยหรือ "พระสนมเพคะ เสวยเสียหน่อยเถิดเพคะ"หลินกุ้ยเฟยปรายตามองอาหารมากมายที่เรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ บัดนี้มันเย็นชืดไปหมดแล้ว นางเองก็ไม่มีความอยากอาหารแม้แต่น้อย ในใจของนางร้อนรนอยากจะด่าทอทุบตีเฟิ่งฟางเซียนที่มาแย่งความโปรดปรานจากนางไป เกือบสองวันเต็มที่เรือล่องลอยอยู่กลางแม่น้ำ ในที่สุดก็ถึงเขตพระราชวังฤดูร้อนเสียที เฟิ่งฟางเซียนบิดกายไปมาด้วยความเมื่อยล้า บนเรือไม่สะดวกสบายเท่าใดนัก มันโคลงเคลงโยกไปมาจนนางรู้สึกเวียนหัวไปหมด เมื่อลงจากเรือ สวีหลงเยียนก็เดินนำทุกคนเข้าไปในพระราชวังฤดูร้อน มันช่างงดงามตระการตา รายล้อมไปด้วยป่าไผ่น้อยใหญ่เขียวชอุ่ม สลับกับต้นส้มเรียงรายให้ความสดชื่น "ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจัดเตรียมที่พักให้พระสนมกุ้ยเฟยและพระสนมซูเฟยแล้ว..""หลินกุ้ยเฟยให้นางไปอยู่ตำหนักปีกขวา ส่วนตำหนักปีกซ้ายให้ปิดเอาไว้ก่อน""ฝ่าบาท แต่ว่า...""ซูเฟยจะอยู่ร่วมตำหนักเด
สวีมู่หรงไม่อยากรบกวนการพักผ่อนของสวีหลงเยียน เขาเองก็รู้สึกเมื่อยล้าไม่น้อย จึงให้ขันทีเฒ่าพาไปยังตำหนักที่จัดเตรียมเอาไว้ เขาจัดการอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ แล้วจึงทิ้งตัวนั่งลง เขาเอนศีรษะพิงกับขอบหน้าต่างสายตาจ้องมองไปยังทะเลสาบที่มืดมิดในยามค่ำคืน คงเพราะอยู่แต่ฝั่งชายแดนที่แห้งแล้งและทุรกันดาร ทำให้ชายหนุ่มมีสีผิวที่คล้ำอย่างเห็นได้ชัด แต่ใบหน้าที่งดงามราวกับเซียนสวรรค์ก็ยังคงโดดเด่น ดวงตาคมดุจเหยี่ยว คิ้วที่คมเข้มขมวดมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย เขาทอดถอนใจอย่างนึกไม่ตก ยังไม่ทันได้สารภาพรักต่อเจ้า เจ้าก็เข้าวังมาเป็นสนมของเสด็จพี่เสียแล้ว เฟิ่งฟางเซียนรักแรกของข้า รุ่งเช้าที่อากาศแจ่มใส สวีหลงเยียนลืมตาตื่นขึ้นมา เขารู้สึกสดชื่นไม่น้อยที่ได้นอนหลับเอาแรงอย่างเต็มที่ สายตาของเขามองไปยังเฟิ่งฟางเซียนที่นอนหันศีรษะไปทางปลายเตียง ส่วนเท้าของนางพาดอยู่บนลำตัวของเขา มันแทบจะแนบกับใบหน้าของเขาอยู่แล้ว ช่างบังอาจนัก!!!"ฟางเซียน โอ๊ย!!!"พลั่ก!!!เฟิ่งฟางเซียนสะดุ้งตกใจไม่น้อย นางจึงยันฝ่าเท้าสวยใส่ใบหน้าของสวีหลงเยียนที่นอนพิงหัวเตียงอยู่เต็ม ๆ จนศีรษะของเขากระแทกกับขอบเตียง เมื่อได้ยินเ
เฟิ่งฟางเซียนให้กำเนิดพระโอรสอีกองค์ในเวลาต่อมา สวีหลงเยียนรู้สึกปลื้มใจไม่น้อย เขาวางแผนเอาไว้ว่าจะมีอีกสักห้าคนในเร็ววันนี้ สถานการณ์บ้านเมืองเริ่มกลับมาปกติสุขมากยิ่งขึ้น ราษฎรอยู่กันอย่างร่มเย็น ไร้สงคราม ไร้กบฏ ทุกคนต่างอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เว่ยอ๋องเดินทางมาเยี่ยมสวีหลงเยียนที่เมืองหลวงเสียนหยาง พร้อมกับนำสาวงามมากมายมามอบเป็นเครื่องบรรณาการให้แก่เขา สวีหลงเยียนปรายตามองเว่ยอ๋องด้วยความหงุดหงิด เห็นเขาเป็นคนบ้ากามเช่นนั้นหรือ!!!"ฝ่าบาทนี่เป็นสาวงามที่ขึ้นชื่อจากแคว้นเว่ย มิทราบว่าฝ่าบาททรงถูกใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"ถูกใจกับผีน่ะสิ!!! นี่หาเรื่องให้เขาทะเลาะกับเมียใช่หรือไม่?"ส่งนางไปเป็นนางกำนัลของฮองเฮา ไม่ต้องมาเสนอหน้าอยู่ใกล้ข้า ข้ารำคาญ""ฝ่าบาทนี่เป็นสาวงามขึ้นชื่อเชียวนะพ่ะย่ะค่ะ""เจ้าอยากขึ้นชื่อว่าตายเพราะโดนข้าถีบยอดหน้าหรือไม่เล่า!!!"เว่ยอ๋องรีบหุบปากทันที แต่ไหนแต่ไรมาฮ่องเต้พระองค์นี้เคยพูดจาไว้หน้าใครเสียที่ไหนกัน แม้แต่คนหัวหงอกเช่นเขายังโดนถอนจนแทบจะกลายเป็นหัวล้านอยู่แล้ว "เว่ยอ๋อง ข้าได้ยินมาว่าท่านเชี่ยวชาญด้านการแต่งบทกลอนบทกวีบอกรัก ใช่หรือไม่?""โอววว ฝ
เมื่อสวีหลงเยียนขึ้นไปยืนมองดูสถานการณ์บนกำแพงเมือง เขาก็พบว่ายามนี้หวางต้าเฟิ่งและฉู่อ๋องกำลังมุ่งหน้ามาทางประตูเมืองเสียนหยางดั่งเช่นที่สวีมู่หรงเอ่ยไว้ไม่มีผิด เหล่าทหารนักรบเรือนห้าแสนนายต่างถือดาบมุ่งตรงมาทางพวกเขา หวางต้าเฟิ่งยกยิ้มเจ้าเล่ห์จ้องมองสวีหลงเยียนราวกับผู้ชนะ สายตาหยาดเยิ้มของเขาหันมาจ้องมองเฟิ่งฟางเซียนด้วยความหลงใหล อีกไม่นานเสียหรอก ทั้งแผ่นดิน บัลลังก์ และสตรีโฉมงามจะต้องตกเป็นของข้าทั้งหมด ยามนี้ป้ายสั่งการทหารอยู่ในมือของเขาแล้ว สวีหลงเยียนย่อมต้องตกตายในเงื้อมมือของเขาในไม่ช้านี้เป็นแน่"สวีหลงเยียน วันนี้เป็นวันตายของเจ้าแล้ว ข้าสัญญาว่าจะให้เจ้าค่อย ๆ ตายอย่างช้า ๆ ได้มองดูความยิ่งใหญ่ของข้าก่อนตาย ฮ่า ๆๆๆ ช่างสาแก่ใจข้ายิ่งนัก ดูเอาเถิด!!! แม้แต่พี่สาวของเจ้ายังหักหลังเจ้าเลย ช่างน่าสมเพชสิ้นดี"สวีหลงเยียนส่งเสียงเฮอะในลำคอ เขาจ้องมองสวีเหมยหลิงที่นั่งอยู่บนม้าตัวเดียวกับหวางต้าเฟิ่งด้วยสายตาที่สั่นไหว สวีเหมยหลิงส่งยิ้มให้เขา แต่มันช่างเป็นรอยยิ้มที่โศกเศร้าที่สุดตั้งแต่เขาได้พบเจอมาหากเขานำป้ายสั่งการทหารออกมา เขาย่อมเป็นผู้ชนะในสงครามครั้งนี้ แต่ทว่าพ
สวีหลงเยียนมององค์ชายน้อยที่นอนหลับตาพริ้มด้วยสายตารักใคร่ ช่างน่าสงสารยิ่งนัก เจ้าเกิดมาในช่วงที่สงครามก่อตัวขึ้นและแผ่นดินกำลังจะลุกเป็นไฟ เฟิ่งฟางเซียนในยามนี้นางแข็งแรงขึ้นมากแล้ว แต่ยังคงต้องพักรักษาร่างกายเพิ่มอีกสักหน่อยยามนี้เยี่ยนอ๋องและฉู่อ๋องสามารถยึดครองชายแดนทางทิศเหนือของเขาเอาไว้ได้แล้ว สวีมู่หรงจำต้องรีบนำทหารที่เหลือรอดหนีตายกลับมายังเสียนหยาง รวมถึงนำราษฎรที่เหลือรอดชีวิตมุ่งหน้ากลับมากับเขาด้วย เยี่ยนอ๋องและฉู่อ๋องกระทำการโหดเหี้ยมไร้ความเป็นมนุษย์ พวกมันปล้นฆ่าชาวบ้านอย่างเลือดเย็น ใครที่คิดต่อต้านพวกมันจะลงมือเข่นฆ่าราวกับผักปลา สวีหลงเยียนนั่งมองสวีมู่หรงที่บาดเจ็บกลับมาด้วยสายเย็นเยียบ เห็นทีสงครามในครั้งนี้เขาคงจะต้องออกไปต่อสู้ด้วยตนเองเสียแล้ว เป้าหมายของพวกมันก็คือตัวเขา หากเขาตายไปเสีย หวางต้าเฟิ่งต้องตั้งตนเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ บ้านเมืองจะต้องลุกเป็นไฟ ราษฎรคงต้องอกสั่นขวัญผวาเป็นแน่ "เจ้าไปพักรักษาตัวก่อนเถิด ข้าจะออกไปต้านทัพของเยี่ยนอ๋องด้วยตัวข้าเอง""เสด็จพี่ กองทัพของพวกมันแข็งแกร่งไม่น้อยนะพ่ะย่ะค่ะ""ข้ารู้ แต่ข้าไม่มีทางขี้ขลาดหวาดกลัวให้พวกมันม
ใกล้เข้าสู่ช่วงฤดูหนาวแล้ว ยามนี้เฟิ่งฟางเซียนก็ท้องใหญ่ขึ้นไม่น้อย นางใกล้จะคลอดอีกไม่นานนี้แล้ว สวีหลงเยียนจึงแต่งตั้งนางขึ้นเป็นกุ้ยเฟย เดิมทีเขาคิดจะแต่งตั้งนางให้เป็นฮองเฮา แต่ด้วยเพราะสถานการณ์บ้านเมืองในตอนนี้ทำให้เขาต้องเลื่อนเรื่องนี้ออกไปเสียก่อน สวีมู่หรงส่งข่าวมาแจ้งแก่เขาว่าฉู่อ๋องสมคบกับเยี่ยนอ๋องเพื่อก่อกบฏ และที่ร้ายแรงไปกว่านั้นก็คือ พี่หญิงได้มอบป้ายสั่งการทหารให้แก่หวางต้าเฟิ่ง เขาพอจะคาดเดาสถานการณ์ในตอนนี้ได้ทันทีว่าอีกไม่นานสงครามระหว่างแคว้นต้องก่อเกิดขึ้นมาเป็นแน่ แม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่หญิงทำลงไป แต่เขาก็ไม่คิดจะโกรธเกลียดนางเลยแม้แต่น้อย นางคงมีเหตุผลของนาง แต่ทว่าเหตุผลนั้นก็คือการที่นางคิดร่วมมือกับหวางต้าเฟิ่งเพื่อกำจัดเขาซึ่งเป็นน้องชายร่วมสายเลือดเดียวกันกับนางความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องร่วมสายเลือดนั้น ท้ายที่สุดก็จบลงด้วยการแย่งชิงแผ่นดินและอำนาจของกันและกัน "ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!!!"ขันทีชราเร่งรุดวิ่งเข้ามาหาเขาด้วยท่าทีตระหนกปนความเหนื่อยหอบ สวีหลงเยียนจ้องมองเขาเล็กน้อยด้วยความสงสัย "มีเรื่องใดกัน?""เฟิ่งกุ้ยเฟยจะมีประสูติกาลแล้วพ่ะย่ะค่ะ
นางกำนัลห้องเครื่องถูกนำตัวเข้ามาในตำหนักใหญ่อย่างลับ ๆ นางนั่งตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ไม่คาดคิดว่าฝ่าบาทจะล่วงรู้ว่านางเป็นคนใส่ยาพิษลงไปได้รวดเร็วเช่นนี้ "ฝะ ฝ่าบาท!!!""ใครบงการเจ้าให้วางยาพิษพระสนมของข้า?"นางกำนัลยังคงนั่งก้มหน้าเงียบไม่ยอมปริปาก นางไม่อาจเอ่ยปากบอกแก่ฝ่าบาทได้ว่าเป็นฝีมือของหลินกุ้ยเฟย หากนางถูกฆ่าปิดปากนางจะทำเช่นไรกันเล่า แล้วนางเอ่ยวาจาปากเปล่าโดยที่ไร้หลักฐานเช่นนี้ มิเท่ากับโยนตนเองลงไปบนกองไฟหรอกหรือ!!!แต่การที่ถูกฝ่าบาทจับได้เช่นนี้ก็เหมือนกับการนั่งรอความตายไปแล้วกึ่งหนึ่งอยู่ดี สวีหลงเยียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาพยายามข่มอารมณ์มิให้ความโกรธครอบงำจนเสียแผน คราแรกเขาคิดว่าเป็นฝีมือของเยี่ยนอ๋อง แต่จะว่าไปแล้วเยี่ยนอ๋องคงมิกล้าทำการอุกอาจเช่นนี้ยามอยู่ในอาณาเขตการปกครองของเขาแน่นอน หวางต้าเฟิ่งเป็นพวกหมาลอบกัดจากที่ลับ ยามอยู่ในพื้นที่ของเขามันไม่กล้าเสนอหน้าลงมือเป็นแน่ สวีหลงเยียนยื่นมือขึ้นไปเชยคางของนางกำนัลน้อยผู้นั้นให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา สวีหลงเยียนพิจารณาใบหน้าของนางด้วยแววตาที่ล้ำลึก ใบหน้างดงามได้รูป ดวงตาคู่สวยที่ดูเย้ายวนจิตใจ นางช่างเป
สวีเหมยหลิงปรายตามองหวางต้าเฟิ่งด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ สิ่งใดที่เขาคิดมีหรือที่นางจะไม่รู้ แม้แต่สตรีมีครรภ์เขาก็ยังหมายตา เหตุใดเขาจึงชั่วช้าได้ถึงเพียงนี้ งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ แต่ทว่าสายตาของสวีหลงเยียนกลับหันไปพบเข้ากับหวางต้าเฟิ่งที่มองมายังเฟิ่งฟางเซียนด้วยแววตาเป็นประกายแววตาของสวีหลงเยียนเย็นเยียบขึ้นมาทันใด เขาหันไปมองเฟิ่งฟางเซียนแต่กลับพบว่านางกำลังสนใจเพียงอาหารตรงหน้าไม่ได้รับรู้ด้วยซ้ำว่าถูกหวางต้าเฟิ่งแอบจ้องมองอยู่ ไม่ใช่แอบมองสิ! เรียกว่ามองแบบโจ่งแจ้งเลยต่างหากเล่า บังอาจนัก!!! กล้ามามองสนมของข้าต่อหน้าต่อตาข้าเชียวหรือ!!!หวางต้าเฟิ่งราวกับจะรับรู้ได้ว่าถูกสวีหลงเยียนจ้องมองมาอย่างคาดโทษ เขาจึงเบี่ยงเบนความสนใจจากเฟิ่งฟางเซียนและหันไปส่งยิ้มให้สวีหลงเยียนแทน สวีหลงเยียนส่งเสียงเฮอะในลำคออย่างดูแคลน ยิ้มเช่นนี้อยากโดนถีบหรือไร?หลังจากที่งานเลี้ยงจบสิ้นลง สวีหลงเยียนก็สั่งให้ทุกคนแยกย้าย หลินกุ้ยเฟยยกยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก ก่อนจะแยกตัวกลับไปยังตำหนักของตนเอง สวีหลงเยียนยื่นมือไปจับแขนของเฟิ่งฟางเซียนเอาไว้ ทำให้นางต้องหันกลับมามองเขาด้วยแววตาสงสัย
อ๋องทั้งสี่แคว้นเดินทางมาถึงแล้ว สวีหลงเยียนเองก็ให้การต้อนรับและจัดที่พักให้พวกเขาอย่างดี สวีเหมยหลิง ที่ไม่ได้พบกับสวีหลงเยียนและสวีมู่หรงมานาน ก็รู้สึกดีใจที่ได้พบเจอน้องทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง "หลงเยียน มู่หรง พี่คิดถึงเจ้าทั้งสองยิ่งนัก""พี่หญิง มาคราวนี้ดียิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ ซูเฟยกำลังตั้งครรภ์อยู่""ซูเฟย?""เฟิ่งฟางเซียนพ่ะย่ะค่ะ"สวีเหมยหลิงมีสีหน้าครุ่นคิดไม่น้อย ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ นางหันไปมองสวีหลงเยียนด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ทันที "ข้าได้ยินว่าเจ้าเกลียดนางยิ่งนัก เหตุใดนางจึงตั้งครรภ์ได้เล่า หรือว่าเจ้าปลุกปล้ำนาง!!! หลงเยียนข้าจะตีเจ้า!!! ข้าเคยสอนเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าห้ามรังแกสตรี น้องชั่ว!!!"สวีเหมยหลิงง้างฝ่ามือขึ้นมาเตรียมจะฟาดลงไปบนศีรษะของสวีหลงเยียนทันที จนเขาต้องยกมือขึ้นมาบังเอาไว้"ไม่ใช่นะพี่หญิง!!! นางต่างหากที่ปลุกปล้ำข้า!!! เอ่อ...""หา!!!"สวีเหมยหลิงและสวีมู่หรงต่างหันมามองหน้ากันก่อนจะหัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจ สวีมู่หรงรู้สึกขบขันไม่น้อย แต่หากเสด็จพี่มีความสุขเขาก็ดีใจด้วย"เป็นฮ่องเต้ประสาอะไรกันถูกสนมขืนใจ น่าอับอายเสียจริง""โธ่!!! พี่หญิงหยุดล้อข้าเสียที เ
ฤดูร้อนจะจบสิ้นลงแล้ว ตอนนี้กำลังย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง อากาศจึงค่อนข้างเย็นสบายไม่น้อย สวีหลงเยียนกับเฟิ่งฟางเซียนกำลังนั่งดื่มชาร้อนอยู่บนเรือลำใหญ่ที่กำลังแล่นกลับสู่เมืองหลวงที่เสียนหยาง หลินกุ้ยเฟยตั้งตารอคอยให้สวีหลงเยียนมาถึงโดยเร็ว แต่ทว่าเมื่อเขากลับมาถึงก็ไม่ใส่ใจไยดีต่อนางเลยแม้แต่น้อย แววตาที่มองนางมีแต่ความรังเกียจและไร้เยื่อใย นางเองก็รู้สึกถอดใจไม่น้อย นึกเกลียดชังเฟิ่งฟางเซียนที่มาแย่งความโปรดปรานของสวีหลงเยียนไปจากนาง เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ เหล่าอ๋องจากทั้งสี่แคว้นจะเดินทางเข้ามาที่เมืองเสียนหยาง เพื่อส่งของบรรณาการและเฉลิมฉลองการก่อตั้งเมืองหลวงเสียนหยางเนื่องในโอกาสครบรอบยี่สิบปีที่บิดาของสวีหลงเยียนสามารถเป็นใหญ่เหนือแคว้นทั้งสี่ได้ ในวังหลวงตอนนี้ต่างกำลังวุ่นวายด้วยต้องจัดเตรียมการต้อนรับเหล่าอ๋องทั้งสี่แคว้น สวีหลงเยียนสั่งให้เหล่านางกำนัลจัดเตรียมตำหนักไว้ต้อนรับ สวีเหมยหลิง พี่สาวของเขาที่กำลังเดินทางมาพร้อมกับเยี่ยนอ๋องหวางต้าเฟิ่งในครั้งนี้ด้วย ระยะนี้เฟิ่งฟางเซียนรู้สึกคลื่นไส้จนเกินจะทน แค่นางได้กลิ่นอาหารก็รู้สึกทนไม่ได้เสียแล้ว ลำบากเหล่านางกำน
"จัดการเลยสิ ข้ายอมให้เจ้าเล่นกับมันได้ตามใจชอบ"เฟิ่งฟางเซียนถอนหายใจออกมาด้วยความจนใจ นี่เขาคิดไปไกลถึงเพียงนี้เชียวหรือ ให้ตายสิ!นางยื่นมือเรียวสาวไปคว้าจับลำแท่งเอ็นอุ่นร้อนของสวีหลงเยียนยัดกลับเข้าไปที่ใต้ร่มผ้าของเขาเช่นเดิม สวีหลงเยียนขมวดคิ้วมุ่น ดวงตาคมจ้องมองนางด้วยความไม่พอใจ "เก็บไปทำไมกัน? ข้าให้เจ้าเล่นกับมัน!!!""บนรถม้าไม่สะดวกเพคะ""เรื่องมาก!!!""ฝ่าบาท""ไม่ต้องมาพูดกับข้า ไสหัวไปไกล ๆ เลย!!!"สวีหลงเยียนหันหน้ามองไปทางอื่นโดยที่ไม่สนใจนางอีก เฟิ่งฟางเซียนพยายามชวนเขาคุยแต่เขากลับเมินเฉยราวกับนางเป็นเพียงอากาศธาตุ นี่เขาโมโหนางหรือ?ช่างสิ!!! ใครจะไปง้อกันปัญญาอ่อนเอาแต่ใจตัวเอง!!!ตลอดทางที่รถม้าเคลื่อนไปจนถึงพระราชวังฤดูร้อน สวีหลงเยียนนิ่งเงียบมาตลอดทาง ส่วนเฟิ่งฟางเซียนเองก็คร้านจะใส่ใจ เมื่อเดินทางมาถึงนางก็ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์และรับสำรับมื้อเย็นเตรียมที่จะพักผ่อนสวีหลงเยียนที่นั่งอยู่บนเตียงภายในตำหนักใหญ่ เขาชะเง้อคอยืดยาวสายตามองตรงไปที่ประตูด้วยใจที่ห่อเหี่ยว นี่นางจะไม่ตามมาปรนนิบัติเขาเสียหน่อยหรือ?รอแล้วรอเล่าจนแทบทนไม่ไหว ในที่สุดสวีหลงเยียนก็