เฟิ่งฟางเซียนสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะถูกหลิวหมัวหมัวปลุก นางมองดูชุดคลุมมังกรสีทองของสวีหลงเยียนที่คลุมร่างของนางเอาไว้ ใบหน้าเรียวสวยค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา จนหลิวหมัวหมัวที่ได้เห็นอดจะหยอกล้อนางไม่ได้
"ฝ่าบาททรงเปลือยกายท่อนบนเดินออกจากตำหนักไป บ่าวจึงรีบเข้ามาดูพระสนม โธ่ หมดแรงเชียวหรือเพคะ"
เฟิ่งฟางเซียนเหลือบไปเห็นคราบเลือดติดอยู่ที่บริเวณชายเสื้อคลุมก็รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง นางนึกถึงตอนที่นางขึ้นขย่มอยู่บนกายของสวีหลงเยียนเมื่อครู่ก็ยิ่งทำให้ใจของนางสั่นระรัว
นี่ข้าหลับนอนกับพระเอกนิยายที่เขียนขึ้นมาหรือ?
"พระสนมรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิดเพคะ อากาศเริ่มเย็นแล้ว"
เฟิ่งฟางเซียนพยักหน้า แต่พอนางกำลังจะลุกก็รู้สึกปวดร้าวที่สะโพกและเรียวขาเป็นอย่างยิ่ง หลิวหมัวหมัวที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่รีบเดินเข้ามาช่วยประคองนางอย่างหน้าชื่นตาบาน
รุ่งเช้าสวีหลงเยียนมาประชุมกับเหล่าขุนนางด้วยขอบตาที่ดำคล้ำ เขาแทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะเวลาที่เขาหลับตาก็จะนึกถึงภาพที่เฟิ่งฟางเซียนขึ้นขย่มสะโพกอยู่บนร่างกายของเขา
บัดซบ!!! นางปลุกปล้ำข้า!!!
"ฝ่าบาท อีกสองวันจะถึงวันคัดเลือกนางกำนัลให้เข้ามารับใช้ในวังหลวงแล้ว พระองค์มีสิ่งใดจะรับสั่งหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"
สวีหลงเยียนกำลังเหม่อลอย เขาแทบจะจับใจความคำพูดที่ราชเลขาเอ่ยกับเขาไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
"ฝ่าบาทคุณสมบัติของนางกำนัลที่พึงมี ฝ่าบาทเห็นเป็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ"
"ขาว เนียน ขึ้นขย่มบนกายข้า"
ราชเลขา "...."
สวีหลงเยียนเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองได้เอ่ยสิ่งใดออกไป เขาหันไปส่งสายตาอำมหิตให้แก่ราชเลขาและเหล่าขุนนางจนพวกเขาหวาดกลัวกันหัวหด
บัดซบ บัดซบ!!! สตรีชั่วช้านั่นทำให้ข้าเป็นเช่นนี้!!!
"ฝ่าบาท"
"คุณสมบัติใดที่สตรีพึงมีเจ้าก็เขียนลงไปสิ จะถามข้าทำไมให้มากความ!!! เดี๋ยวก็ถีบไปติดเสาเสียนี่!!!"
"ขออภัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!!!"
เหล่าขุนนางต่างนึกเวทนาราชเลขาชราที่ต้องทนรองรับอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของสวีหลงเยียน ให้ตายสิฮ่องเต้พระองค์นี้ คนหัวหงอกยังไม่เว้น!!!
เหล่าขุนนางทำได้เพียงสบถด่าทอสวีหลงเยียนในใจ ใครจะกล้าไปต่อต้านเขากันเล่า ฮ่องเต้พระองค์นี้อารมณ์แปรปรวน ต่างจากชินอ๋อง สวีมู่หรง ผู้เป็นน้องชาย ที่สุภาพอ่อนโยนเป็นบุรุษที่รูปงามเพียบพร้อม น่าเสียดายยิ่งนักที่ไม่ได้สืบราชสมบัติต่อจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน
"ฝ่าบาท ยามนี้พระองค์ขึ้นครองราชย์มาได้ระยะหนึ่งแล้ว สมควรแก่เวลาที่จะแต่งตั้งฮองเฮาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ"
เสียงของขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมาในระหว่างที่สวีหลงเยียนกำลังหยิบฎีกาฉบับหนึ่งขึ้นมาอ่าน
ฟึ่บ!!!
"ฝ่าบาท!!!"
เขาโยนฎีกาฉบับนั้นใส่หน้าผากของขุนนางผู้โชคร้ายอย่างเต็มแรง ขุนนางชรารีบทรุดลงกับพื้นคุกเข่าด้วยความหวาดกลัว สวีหลงเยียนปรายตามองขุนนางชราอย่างดูแคลน
"ผู้ที่เขียนฎีกาฉบับนี้ขึ้นมาคงเป็นเจ้ากระมัง"
ขุนนางผู้โชคร้ายพยักหน้าหงึกหงักด้วยความขลาดกลัว สวีหลงเยียนส่งเสียงเฮอะในลำคอคราหนึ่ง ขุนนางชั่วช้าพวกนี้ วัน ๆ มีแต่คิดจะยัดเยียดสตรีมาให้เขา!!!
"ราชเลขา!!!"
"พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"
"จับตัวขุนนางชั่วผู้นี้ไปตัดมือทิ้งเสีย อย่าให้มันมาเขียนเรื่องไร้สาระส่งขึ้นมาให้ข้าดูอีก"
ราชเลขาหันขวับไปมองสวีหลงเยียนทันที แต่กลับถูกรังสีอำมหิตที่แผ่กระจายของเขาทำให้เสียวสันหลังวาบ
"มองอะไร หรือเจ้าอยากโดนตัดมืออีกคน?"
"ไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้"
"ดี!!! เลิกประชุม!!!"
สวีหลงเยียนสะบัดชายเสื้อเดินออกมาจากท้องพระโรงด้วยความหงุดหงิดใจ ระหว่างทางเขาเดินผ่านตำหนักเย็น สายตาจึงเหลือบไปเห็นเฟิ่งฟางเซียนกำลังนั่งถอนหญ้าอยู่ที่แปลงผัก นางก้มกายลงไปและใช้มือดึงต้นหญ้าเล็ก ๆ ที่ขึ้นตามร่องแปลงผัก ชุดที่นางสวมใส่เบาสบาย เผยให้เห็นเรือนร่างบางระหง และเนินอกขาวเนียนที่ผลุบ ๆ โผล่ ๆ ตามการเคลื่อนไหวของนาง
"พวกเจ้าไสหัวไปก่อน!!!"
เขาหันไปสะบัดมือไล่เหล่านางกำนัลขันทีให้ไปยืนอยู่ไกล ๆ ก่อนจะก้าวเท้ายาว ๆ เดินไปหาเฟิ่งฟางเซียนที่แปลงผัก หลิวหมัวหมัวที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินออกไปให้ไกลทันที
เฟิ่งฟางเซียนไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าสวีหลงเยียนเดินเข้ามา นางยังคงก้มหน้าก้มตาดึงหญ้าที่แปลงผักต่อไป สวีหลงเยียนเริ่มหมดความอดทนที่จะรอให้นางเงยหน้าขึ้นมามองเขาแล้ว เขาจึงเอ่ยปากขึ้นมา
"สตรีชั่วช้า เจ้าสวมเสื้อผ้าบางเบาเช่นนี้ จะไปยั่วองครักษ์ที่ใดกัน?"
เฟิ่งฟางเซียนชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นสวีหลงเยียนนางก็รู้สึกกระอักกระอ่วนในใจไม่น้อย สวีหลงเยียนเองเมื่อได้จ้องมองนางตรง ๆ เช่นนี้ ก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าอย่างบอกไม่ถูก
"ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ"
เฟิ่งฟางเซียนลุกขึ้นยืนย่อกายทำความเคารพเขาตามธรรมเนียม สวีหลงเยียนพยักหน้าคราหนึ่ง ทว่าสายตายังคงจับจ้องมองนางอย่างล้ำลึก
"เจ้าทำอะไร?"
"เอ่อ ถอนหญ้าเพคะ หม่อมฉันจะปลูกผักไว้กิน"
"ข้าแค่ถามว่าเจ้าทำอะไร ตอบสั้น ๆ !!! จะตอบยาวทำไมข้าขี้เกียจฟัง"
โรคประสาทกำเริบอีกแล้ว!!! ไม่อยากฟังแล้วจะถามทำไม!!!
"ก็ฝ่าบาททรงถามนี่เพคะ"
"เจ้ายอกย้อนข้าหรือฮะ!!!"
"โอ๊ย หม่อมฉันเจ็บเพคะ!!!"
"ข้าก็จะให้เจ้าเจ็บอย่างไรเล่า สตรีหน้าโง่!!!"
สวีหลงเยียนยื่นฝ่ามือหนาใหญ่ไปบีบที่หัวไหล่ทั้งสองข้างของนางจนเป็นรอยแดง เฟิ่งฟางเซียนลอบสบถด่าทอเขาในใจเป็นพันครั้ง
"เจ้านี่ต่ำช้าเหมือนพี่สาวของเจ้าเสียจริง คิดยั่วยวนข้าไม่พอ ยังคิดจะยั่วยวนชายอื่นอีก!!!"
"หม่อมฉันไม่ได้ยั่วใครนะเพคะ"
"หุบปาก!!! เจ้าอย่าได้คิดเพ้อฝัน เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ข้าจะคิดซะว่าทำทานถวายเทพเซียน ให้ปีศาจเช่นเจ้าได้กินอิ่มสักมื้อ!!!"
เฟิ่งฟางเซียนถอนหายใจออกมาด้วยความเอือมระอา ใครจะอยากได้เขากัน มันผิดพลาดทางเทคนิคนิดหน่อย ใครจะไปรู้ว่าพอเขาลุกขึ้นมานั่งแล้วนางจะล้มลงบนตักเขา จนทำให้ เอ่อ... ไอ้นั่น...เอ่อ...แทงเข้ามา อร๊ายยย!!! น่าอายที่สุด
สวีหลงเยียนขมวดคิ้วมุ่น เขาจ้องมองใบหน้าที่เบื่อโลกของนางด้วยความชิงชัง
"อย่าคิดเพ้อฝัน!!!"
"ปล่อยเถอะเพคะ หม่อมฉันเจ็บ"
"ข้าไม่ปล่อย!!! เจ้าจะทำไม?"
เฟิ่งฟางเซียนหมดความอดทนแล้ว นางยื่นฝ่ามือเรียวเล็กไปบีบขยำพวงไข่มังกรสองใบของเขาอย่างเต็มแรง สวีหลงเยียนใบหน้าบิดเบี้ยวเขียวคล้ำด้วยความเจ็บปวด เขาจ้องนางเขม็ง แต่พบว่าสนมรักกลับมีใบหน้าเรียบเฉย ซ้ำยังเพิ่มแรงบีบที่พวงไข่สองใบของเขาให้หนักขึ้นอีก
"ฟางเซียน!!! โอ๊ยยยย "
"พระองค์บีบไหล่หม่อมฉัน หม่อมฉันก็จะบีบพวงไข่สวรรค์ของพระองค์ แลกกันเพคะ"
"ปล่อยมือโสมมของเจ้าออกจากตรงนั้นของข้าเดี๋ยวนี้!!!"
"พระองค์ก็ปล่อยหม่อมฉันก่อนสิเพคะ"
"ไม่!!!"
"ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันก็ขออภัยที่ต้องบีบให้แรง ๆ อีกเพคะ"
"โอ้ววว!!! ลูก ๆ ของข้าตายหมดแล้ว!!! สตรีชั่วช้า!!!"
หลิวหมัวหมัวและเหล่านางกำนัลขันทีที่ยืนอยู่ไกลต่างรีบก้มหน้าลง พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าฝ่าบาทจะมีรสนิยมแปลกประหลาดเช่นนี้
ชมชอบให้นางสนมจับไข่เล่นตอนกลางวัน!!!
เฟิ่งฟางเซียนให้กำเนิดพระโอรสอีกองค์ในเวลาต่อมา สวีหลงเยียนรู้สึกปลื้มใจไม่น้อย เขาวางแผนเอาไว้ว่าจะมีอีกสักห้าคนในเร็ววันนี้ สถานการณ์บ้านเมืองเริ่มกลับมาปกติสุขมากยิ่งขึ้น ราษฎรอยู่กันอย่างร่มเย็น ไร้สงคราม ไร้กบฏ ทุกคนต่างอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เว่ยอ๋องเดินทางมาเยี่ยมสวีหลงเยียนที่เมืองหลวงเสียนหยาง พร้อมกับนำสาวงามมากมายมามอบเป็นเครื่องบรรณาการให้แก่เขา สวีหลงเยียนปรายตามองเว่ยอ๋องด้วยความหงุดหงิด เห็นเขาเป็นคนบ้ากามเช่นนั้นหรือ!!!"ฝ่าบาทนี่เป็นสาวงามที่ขึ้นชื่อจากแคว้นเว่ย มิทราบว่าฝ่าบาททรงถูกใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"ถูกใจกับผีน่ะสิ!!! นี่หาเรื่องให้เขาทะเลาะกับเมียใช่หรือไม่?"ส่งนางไปเป็นนางกำนัลของฮองเฮา ไม่ต้องมาเสนอหน้าอยู่ใกล้ข้า ข้ารำคาญ""ฝ่าบาทนี่เป็นสาวงามขึ้นชื่อเชียวนะพ่ะย่ะค่ะ""เจ้าอยากขึ้นชื่อว่าตายเพราะโดนข้าถีบยอดหน้าหรือไม่เล่า!!!"เว่ยอ๋องรีบหุบปากทันที แต่ไหนแต่ไรมาฮ่องเต้พระองค์นี้เคยพูดจาไว้หน้าใครเสียที่ไหนกัน แม้แต่คนหัวหงอกเช่นเขายังโดนถอนจนแทบจะกลายเป็นหัวล้านอยู่แล้ว "เว่ยอ๋อง ข้าได้ยินมาว่าท่านเชี่ยวชาญด้านการแต่งบทกลอนบทกวีบอกรัก ใช่หรือไม่?""โอววว ฝ
เมื่อสวีหลงเยียนขึ้นไปยืนมองดูสถานการณ์บนกำแพงเมือง เขาก็พบว่ายามนี้หวางต้าเฟิ่งและฉู่อ๋องกำลังมุ่งหน้ามาทางประตูเมืองเสียนหยางดั่งเช่นที่สวีมู่หรงเอ่ยไว้ไม่มีผิด เหล่าทหารนักรบเรือนห้าแสนนายต่างถือดาบมุ่งตรงมาทางพวกเขา หวางต้าเฟิ่งยกยิ้มเจ้าเล่ห์จ้องมองสวีหลงเยียนราวกับผู้ชนะ สายตาหยาดเยิ้มของเขาหันมาจ้องมองเฟิ่งฟางเซียนด้วยความหลงใหล อีกไม่นานเสียหรอก ทั้งแผ่นดิน บัลลังก์ และสตรีโฉมงามจะต้องตกเป็นของข้าทั้งหมด ยามนี้ป้ายสั่งการทหารอยู่ในมือของเขาแล้ว สวีหลงเยียนย่อมต้องตกตายในเงื้อมมือของเขาในไม่ช้านี้เป็นแน่"สวีหลงเยียน วันนี้เป็นวันตายของเจ้าแล้ว ข้าสัญญาว่าจะให้เจ้าค่อย ๆ ตายอย่างช้า ๆ ได้มองดูความยิ่งใหญ่ของข้าก่อนตาย ฮ่า ๆๆๆ ช่างสาแก่ใจข้ายิ่งนัก ดูเอาเถิด!!! แม้แต่พี่สาวของเจ้ายังหักหลังเจ้าเลย ช่างน่าสมเพชสิ้นดี"สวีหลงเยียนส่งเสียงเฮอะในลำคอ เขาจ้องมองสวีเหมยหลิงที่นั่งอยู่บนม้าตัวเดียวกับหวางต้าเฟิ่งด้วยสายตาที่สั่นไหว สวีเหมยหลิงส่งยิ้มให้เขา แต่มันช่างเป็นรอยยิ้มที่โศกเศร้าที่สุดตั้งแต่เขาได้พบเจอมาหากเขานำป้ายสั่งการทหารออกมา เขาย่อมเป็นผู้ชนะในสงครามครั้งนี้ แต่ทว่าพ
สวีหลงเยียนมององค์ชายน้อยที่นอนหลับตาพริ้มด้วยสายตารักใคร่ ช่างน่าสงสารยิ่งนัก เจ้าเกิดมาในช่วงที่สงครามก่อตัวขึ้นและแผ่นดินกำลังจะลุกเป็นไฟ เฟิ่งฟางเซียนในยามนี้นางแข็งแรงขึ้นมากแล้ว แต่ยังคงต้องพักรักษาร่างกายเพิ่มอีกสักหน่อยยามนี้เยี่ยนอ๋องและฉู่อ๋องสามารถยึดครองชายแดนทางทิศเหนือของเขาเอาไว้ได้แล้ว สวีมู่หรงจำต้องรีบนำทหารที่เหลือรอดหนีตายกลับมายังเสียนหยาง รวมถึงนำราษฎรที่เหลือรอดชีวิตมุ่งหน้ากลับมากับเขาด้วย เยี่ยนอ๋องและฉู่อ๋องกระทำการโหดเหี้ยมไร้ความเป็นมนุษย์ พวกมันปล้นฆ่าชาวบ้านอย่างเลือดเย็น ใครที่คิดต่อต้านพวกมันจะลงมือเข่นฆ่าราวกับผักปลา สวีหลงเยียนนั่งมองสวีมู่หรงที่บาดเจ็บกลับมาด้วยสายเย็นเยียบ เห็นทีสงครามในครั้งนี้เขาคงจะต้องออกไปต่อสู้ด้วยตนเองเสียแล้ว เป้าหมายของพวกมันก็คือตัวเขา หากเขาตายไปเสีย หวางต้าเฟิ่งต้องตั้งตนเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ บ้านเมืองจะต้องลุกเป็นไฟ ราษฎรคงต้องอกสั่นขวัญผวาเป็นแน่ "เจ้าไปพักรักษาตัวก่อนเถิด ข้าจะออกไปต้านทัพของเยี่ยนอ๋องด้วยตัวข้าเอง""เสด็จพี่ กองทัพของพวกมันแข็งแกร่งไม่น้อยนะพ่ะย่ะค่ะ""ข้ารู้ แต่ข้าไม่มีทางขี้ขลาดหวาดกลัวให้พวกมันม
ใกล้เข้าสู่ช่วงฤดูหนาวแล้ว ยามนี้เฟิ่งฟางเซียนก็ท้องใหญ่ขึ้นไม่น้อย นางใกล้จะคลอดอีกไม่นานนี้แล้ว สวีหลงเยียนจึงแต่งตั้งนางขึ้นเป็นกุ้ยเฟย เดิมทีเขาคิดจะแต่งตั้งนางให้เป็นฮองเฮา แต่ด้วยเพราะสถานการณ์บ้านเมืองในตอนนี้ทำให้เขาต้องเลื่อนเรื่องนี้ออกไปเสียก่อน สวีมู่หรงส่งข่าวมาแจ้งแก่เขาว่าฉู่อ๋องสมคบกับเยี่ยนอ๋องเพื่อก่อกบฏ และที่ร้ายแรงไปกว่านั้นก็คือ พี่หญิงได้มอบป้ายสั่งการทหารให้แก่หวางต้าเฟิ่ง เขาพอจะคาดเดาสถานการณ์ในตอนนี้ได้ทันทีว่าอีกไม่นานสงครามระหว่างแคว้นต้องก่อเกิดขึ้นมาเป็นแน่ แม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่หญิงทำลงไป แต่เขาก็ไม่คิดจะโกรธเกลียดนางเลยแม้แต่น้อย นางคงมีเหตุผลของนาง แต่ทว่าเหตุผลนั้นก็คือการที่นางคิดร่วมมือกับหวางต้าเฟิ่งเพื่อกำจัดเขาซึ่งเป็นน้องชายร่วมสายเลือดเดียวกันกับนางความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องร่วมสายเลือดนั้น ท้ายที่สุดก็จบลงด้วยการแย่งชิงแผ่นดินและอำนาจของกันและกัน "ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!!!"ขันทีชราเร่งรุดวิ่งเข้ามาหาเขาด้วยท่าทีตระหนกปนความเหนื่อยหอบ สวีหลงเยียนจ้องมองเขาเล็กน้อยด้วยความสงสัย "มีเรื่องใดกัน?""เฟิ่งกุ้ยเฟยจะมีประสูติกาลแล้วพ่ะย่ะค่ะ
นางกำนัลห้องเครื่องถูกนำตัวเข้ามาในตำหนักใหญ่อย่างลับ ๆ นางนั่งตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ไม่คาดคิดว่าฝ่าบาทจะล่วงรู้ว่านางเป็นคนใส่ยาพิษลงไปได้รวดเร็วเช่นนี้ "ฝะ ฝ่าบาท!!!""ใครบงการเจ้าให้วางยาพิษพระสนมของข้า?"นางกำนัลยังคงนั่งก้มหน้าเงียบไม่ยอมปริปาก นางไม่อาจเอ่ยปากบอกแก่ฝ่าบาทได้ว่าเป็นฝีมือของหลินกุ้ยเฟย หากนางถูกฆ่าปิดปากนางจะทำเช่นไรกันเล่า แล้วนางเอ่ยวาจาปากเปล่าโดยที่ไร้หลักฐานเช่นนี้ มิเท่ากับโยนตนเองลงไปบนกองไฟหรอกหรือ!!!แต่การที่ถูกฝ่าบาทจับได้เช่นนี้ก็เหมือนกับการนั่งรอความตายไปแล้วกึ่งหนึ่งอยู่ดี สวีหลงเยียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาพยายามข่มอารมณ์มิให้ความโกรธครอบงำจนเสียแผน คราแรกเขาคิดว่าเป็นฝีมือของเยี่ยนอ๋อง แต่จะว่าไปแล้วเยี่ยนอ๋องคงมิกล้าทำการอุกอาจเช่นนี้ยามอยู่ในอาณาเขตการปกครองของเขาแน่นอน หวางต้าเฟิ่งเป็นพวกหมาลอบกัดจากที่ลับ ยามอยู่ในพื้นที่ของเขามันไม่กล้าเสนอหน้าลงมือเป็นแน่ สวีหลงเยียนยื่นมือขึ้นไปเชยคางของนางกำนัลน้อยผู้นั้นให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา สวีหลงเยียนพิจารณาใบหน้าของนางด้วยแววตาที่ล้ำลึก ใบหน้างดงามได้รูป ดวงตาคู่สวยที่ดูเย้ายวนจิตใจ นางช่างเป
สวีเหมยหลิงปรายตามองหวางต้าเฟิ่งด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ สิ่งใดที่เขาคิดมีหรือที่นางจะไม่รู้ แม้แต่สตรีมีครรภ์เขาก็ยังหมายตา เหตุใดเขาจึงชั่วช้าได้ถึงเพียงนี้ งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ แต่ทว่าสายตาของสวีหลงเยียนกลับหันไปพบเข้ากับหวางต้าเฟิ่งที่มองมายังเฟิ่งฟางเซียนด้วยแววตาเป็นประกายแววตาของสวีหลงเยียนเย็นเยียบขึ้นมาทันใด เขาหันไปมองเฟิ่งฟางเซียนแต่กลับพบว่านางกำลังสนใจเพียงอาหารตรงหน้าไม่ได้รับรู้ด้วยซ้ำว่าถูกหวางต้าเฟิ่งแอบจ้องมองอยู่ ไม่ใช่แอบมองสิ! เรียกว่ามองแบบโจ่งแจ้งเลยต่างหากเล่า บังอาจนัก!!! กล้ามามองสนมของข้าต่อหน้าต่อตาข้าเชียวหรือ!!!หวางต้าเฟิ่งราวกับจะรับรู้ได้ว่าถูกสวีหลงเยียนจ้องมองมาอย่างคาดโทษ เขาจึงเบี่ยงเบนความสนใจจากเฟิ่งฟางเซียนและหันไปส่งยิ้มให้สวีหลงเยียนแทน สวีหลงเยียนส่งเสียงเฮอะในลำคออย่างดูแคลน ยิ้มเช่นนี้อยากโดนถีบหรือไร?หลังจากที่งานเลี้ยงจบสิ้นลง สวีหลงเยียนก็สั่งให้ทุกคนแยกย้าย หลินกุ้ยเฟยยกยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก ก่อนจะแยกตัวกลับไปยังตำหนักของตนเอง สวีหลงเยียนยื่นมือไปจับแขนของเฟิ่งฟางเซียนเอาไว้ ทำให้นางต้องหันกลับมามองเขาด้วยแววตาสงสัย