กว่าจะคิดพล็อตนิยายเรื่องใหม่ได้ก็ปาไปเที่ยงคืนกว่า ทำให้นักเขียนสาวตื่นเกือบเที่ยงวัน เมื่อลากตัวเองออกจากเตียงนอนได้แล้วพร้อมกับทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาหาของกินในครัวให้อิ่มท้อง เพื่อเตรียมตัวเริ่มเขียนนิยายหลังจากวางพล็อตเรื่องเสร็จ เมื่อทุกอย่างพร้อมเสร็จแล้วนักเขียนสาววัยเลขสามก็เริ่มเขียนนิยายทันที โดยแต่งตามจินตนาการและประสบการณ์ทั้งหมดที่มีและตามแนวโครงเรื่องที่วางไว้
ด้านชายหนุ่มตรงข้ามห้องหลังจากเลิกงานก็แวะหาซื้อของกินเพื่อกลับไปกินที่ห้อง โดยไม่ลืมที่จะซื้อไปฝากหญิงสาวที่อยู่ห้องตรงข้ามด้วย เพราะชายหนุ่มคิดว่าจะเดินหน้าจีบหญิงสาวห้องตรงข้ามให้ติดและทำทุกอย่างให้หญิงสาวยอมตกลงคบกับตัวเองให้ได้ และชายหนุ่มยังได้คติมาใหม่คือ ตื้อเข้าไว้หน้าด้านเข้าไว้หน้ามึนเข้าไว้ น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อนแล้วนับประสาอะไรกับใจคน จะไม่หวั่นไหวบ้างให้มันรู้ไป
ก๊อก ๆ ๆ ๆ
เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นทำให้นักเขียนสาวต้องเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโน๊ตบุ๊ค พลางคิดว่าใครมาเคาะประตูรบกวนเวลาเขียนนิยายของเธอเนี่ย เมื่อเสียงเคาะประตูดังอีกครั้งทำให้เธอต้องลุกขึ้นไปดู แต่เมื่อเปิดประตูออกมาก็เจอกับไอ้คนห้องตรงข้ามที่ยืนยิ้มอยู่หน้าห้อง
“มาเคาะประตูรบกวนเวลาส่วนตัวของฉันเนี่ย มีธุระอะไรไม่ทราบ” ถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ติดจะรำคาญ
“อ่ะ ผมซื้อมาฝาก” ชายหนุ่มยื่นของกินที่ซื้อมาฝากให้หญิงสาวตรงหน้า
“ใครสั่ง” ถามออกไปด้วยน้ำเสียงเดิม
“ก็รู้ครับว่าไม่ได้สั่ง แต่อยากซื้อมาฝากคุณป้าแก้มน่ะครับ เห็นว่าเป็นเพื่อนบ้านกัน” บอกพร้อมกลับกลั้นยิ้มเมื่อเห็นสายตาเอาเรื่องที่หญิงสาวมองมาเมื่อได้ยินเขาเรียกตัวเองว่าคุณป้า
“ใครป้านาย แล้วนายรู้ได้ไงว่าฉันชื่อแก้ม” ถามออกไปด้วยความสงสัยว่าไอ้บ้านี่มันรู้ได้ไงว่าเธอชื่อแก้มและแก่กว่าตัวเอง
“ก็คุณไงครับป้าแก้ม และที่ผมรู้ว่าคุณชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ ไม่เห็นจะยากผมก็ไปสืบมาไงว่าคุณชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ ผมเลยรู้ว่าคุณแก่กว่าผมหลายปี ผมก็เลยเรียกคุณว่าป้าไงครับ”
“ไอ้เด็กบ้า ใครเป็นป้านาย ฉันไม่ใช่พี่สาวแม่นายนะ แล้วนายมีสิทธิอะไรไปสืบเรื่องส่วนตัวของฉัน” เมื่อได้ยินดังนั้นชายหนุ่มแทบกลั้นยิ้มไว้ไม่ไหว เมื่อเห็นท่าทางโกรธหน้าดำหน้าแดงของหญิงสาว แล้วคิดในใจว่า คนอะไรเวลาโกรธเวลาโมโหน่ารักเป็นบ้า
“ก็ผมบอกแล้วไง ว่าเราเป็นเพื่อนบ้านกัน ทำความรู้จักกันไว้ก็ไม่เห็นจะเสียหาย ในเมื่อคุณไม่ยอมแนะนำตัวเอง ผมก็เลยต้องไปหาข้อมูลเพื่อนบ้านของผมด้วยตัวเองไงครับ” ตอบหญิงสาวด้วยใบหน้าที่ตัวเองคิดว่าใสซื่อมากที่สุดในชีวิต
“แต่ฉันไม่ได้อยากรู้จักนาย และที่สำคัญอย่ามาเรียกฉันว่าป้าอีก” บอกชายหนุ่มอย่างไม่สบอารมณ์ที่บังอาจมาเรียกเธอว่าป้า เธอยังไม่แก่ถึงขนาดนั้นสะหน่อย
“แล้วถ้าไม่ให้ผมเรียกป้า แล้วจะให้ผมเรียกว่าอะไรล่ะครับ” ถามออกไปแบบหน้าซื่อ ๆ ซึ่งในความรู้สึกของหญิงสาวมันคือความกวนประสาทดีๆ นี่เอง
“อยากเรียกอะไรก็เรียก แต่อย่ามาเรียกฉันว่าป้า” บอกอย่างโมโหที่ไอ้เด็กบ้านี่เรียกตัวเองว่าป้า เธอยังไม่แก่ขนาดนั้นสะหน่อย ไอ้เด็กนี่อายุ 28 ปี เธอ 32 ปี ห่างกันแค่ 4 ปี มีสิทธิอะไรมาเรียกเธอว่าป้า
“โอเคครับ งั้นต่อไปนี้ผมจะเรียกคุณว่า ที่รัก แทนแล้วกันนะครับ” บอกหญิงสาวพร้อมรอยยิ้มเท่ห์ๆ ที่มุมปาก
เมื่อได้ยินประโยคที่ไอ้เด็กบ้านี่พูดจบก็ทำให้หญิงสาวอ้าปากค้างตกตลึงนึกอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ เมื่อเห็นหญิงสาวยังตกตลึงอยู่กับประโยคของตัวเองอยู่นั้น ก็อาศัยจังหวะนั้นรีบจับมือหญิงสาวให้มารับของที่ตนเองซื้อมาให้ พร้อมกับส่งรอยยิ้มมุมปากไปให้ แล้วหันหลังเดินไปเปิดประตูเข้าห้องตัวเองไป หลังจากได้ยินเสียงปิดประตูห้องจึงทำให้หญิงสาวได้สติ แล้วก้มมองของในมือสลับกับประตูห้องตรงข้าม พร้อมนับหนึ่งถึงสิบในใจ พลางคิดว่าไอ้เด็กบ้านี่กล้าดียังไงมาล้อเล่นกับเธอ พร้อมกับเอ่ยออกมาหนึ่งประโยคที่พยายามกั้นอารมณ์ไว้สุดฤทธิ์
“ไอ้เด็กบ้า ใครเป็นที่รักนาย ไอ้เด็กโรคจิต ไอ้เด็กกวนประสาท” แล้วปิดประตูเสียงดังโครมด้วยความโมโหความกวนประสาทของชายหนุ่ม
วันรุ่งขึ้นหลังจากกวนประสาทหญิงสาวเสร็จชายหนุ่มก็เริ่มวางแผนเดินหน้าจีบหญิงสาวทันที โดยเริ่มจากซื้อโจ๊กกับนมจืดไปแขวนไว้หน้าห้อง พร้อมกระดาษโน๊ตแผ่นน้อยๆ แปะติดไว้
"กินให้อร่อยนะครับ ที่รัก" พร้อมรูปหัวใจสีแดงบนกระดาษโน๊ตแผ่นเล็กนั่น
"ไอ้เด็กบ้านี่ ว่างนักหรือไง แล้วใครเป็นที่รักนายกันลามปามใหญ่แล้ว" ปากบ่นแต่มือก็ถือถุงโจ๊กกับนมเข้าห้อง แล้วคิดว่าดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องออกไปซื้อไรกินตอนเช้า จะได้มีเวลาเขียนนิยายยาวๆ
พอตกเย็นได้เวลาเลิกงานกลับบ้าน ชายหนุ่มก็แวะหาซื้อของกินไปฝากหญิงสาวห้องตรงข้ามเหมือนเดิม
ก๊อก ๆ ๆ ๆ
"มีอะไรอีกไม่ทราบ" ถามโดยที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นใคร เพราะนอกจากไอ้เด็กบ้านี่ก็ไม่มีใครมาเคาะห้องเธอแน่
"ผมซื้อมาฝาก" บอกพร้อมยื่นถุงของกินไปตรงหน้าหญิงสาว แต่แทนที่หญิงสาวจะรับกลับยืนเฉยๆ กอดอกมองหน้าชายหนุ่มตรงหน้า แล้วถามคำถามที่ตนเองอยากรู้ออกไป
"ถามจริงๆ นายต้องการอะไรจากฉันกันแน่ ถึงมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตของฉัน รู้ไหมมันน่ารำคาญ" ถามออกไปพร้อมมองหน้าชายหนุ่มอย่างรอคำตอบ
"ในเมื่อคุณถามผม ผมก็จะตอบตรงๆ ผมชอบคุณ ผมอยากได้คุณมาเป็นแฟนผม และที่ทำอยู่ทุกวันนี้คือ ผมกำลังจีบคุณอยู่" เมื่อได้ยินคำตอบจากปากชายหนุ่ม ทำให้คนถามอึ้งไปพักใหญ่กว่าจะได้สติกลับมาก็ผ่านไปราวสองสามวินาที เมื่อตั้งสติได้ก็มองหน้าชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชาทันที แล้วบอกชายหนุ่มตรงหน้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
"ฉันว่านายอย่าเสียเวลามาจีบฉันเลย เพราะฉันไม่เชื่อในความรักและฉันไม่คิดจะคบใครเป็นแฟน เพราะฉะนั้นเลิกยุ่งวุ่นวายกับฉันได้แล้ว" บอกชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเย็นชา แล้วคิดว่าเธอไม่มีทางกลับไปเป็นแก้มคนเก่าที่ทุ่มเทยอมทำทุกอย่างเพื่อความรักอีกแล้ว เพราะผลตอบแทนที่ได้กลับมาคือความเจ็บปวดทั้งนั้น
"แต่ก็ขอบคุณนะ สำหรับของที่ซื้อมาให้" บอกชายหนุ่มพร้อมปิดประตูห้องลง เพื่อกันไม่ให้ชายหนุ่มได้พูดอะไรอีก
เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว นักเขียนสาวก็นึกถึงเรื่องราวความรักที่ผ่านมา ที่มันมีทั้งความสุขและความเจ็บปวดปนกันอยู่ ย้อนไปเมื่อ 5 ปีก่อน เธอคบกับผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนสมัยเรียน เธอรักเขามากทุ่มเททุกอย่างไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะอยากได้อะไรเธอก็หาให้ทุกอย่าง ยอมทุกอย่างถึงแม้ว่าเธอจะไม่ชอบแต่เธอก็ยอม ทั้ง ๆ ที่คนรอบข้างเธอบอกว่าอย่าไปคบกับผู้ชายคนนี้เลย เพราะผู้ชายคนนี้ทั้งเจ้าชู้และไม่เอาไหน แต่เธอก็ไม่สนใจยังรักยังทุ่มเทเพื่อผู้ชายคนนี้อยู่ตลอดเวลา อยู่มาวันนึงเธอรู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไปดูเหมือนมีความลับอะไรกับเธอ แต่เธอก็พยายามมองโลกในแง่ดีว่าคงไม่มีอะไรเธอคิดมากไปเอง แต่แล้ววันนึงเขาก็เดินมาบอกเธอว่า เขากำลังคุยกับผู้หญิงอีกคนอยู่และอยากยุติความสัมพันธ์กับเธอ เพราะไม่อยากให้ผู้หญิงคนนั้นรู้และเสียใจ หลังจากที่เธอได้ฟังประโยคนั้นจบ น้ำตาเธอค่อยๆ ไหลลงมาพร้อมกับความเจ็บปวดที่ยากจะบรรยาย ความรู้สึกทั้งหมดพังทลาย เธอค่อยๆ หันหลังเดินจากมาพร้อมกับน้ำตาและความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส และเธอก็ได้สัญญากับตัวเองว่าเธอจะไม่รักใครและไม่คบใครอีกเด็ดขาด เพราะเธอคิดว่าความรักของหนุ่มสาวมันไม่มีอยู่จริง และกว่าที่เธอจะก้าวผ่านมันมาได้เธอก็แทบปางตาย เธอไม่มีทางกลับไปเป็นแบบนั้นอีกแน่นอน
หลังจากได้ฟังประโยคตัดโอกาสของหญิงสาวจบแล้วนั้น ชายหนุ่มก็ยิ่งมีแรงฮึกเฮิมที่จะเดินหน้าจีบหญิงสาวต่อไป และชายหนุ่มยังสัญญากับตัวเองในใจว่า เขานี่แหละจะเป็นผู้ชายคนนั้นที่ทำให้หญิงสาวกลับมาเชื่อมั่นในความรักและยอมเปิดใจอีกครั้งให้ได้
ฝากติดตามนิยายไรท์ด้วยนะค่ะ
ขอบคุณมากค่าาา
หลังจากกินอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็เรียกพนักงานมาเช็คบิล เมื่อพนักงานบอกราคาเสร็จชายหนุ่มก็หยิบบัตรเครดิตให้พนักงานทันที เมื่อหญิงสาวเห็นดังนั้นก็ยื่นเงินค่าอาหารของตัวเองให้ชายหนุ่ม แต่ชายหนุ่มกลับไม่ยื่นมือมารับเงินที่หญิงสาวยื่นให้ พร้อมบอกกับหญิงสาวว่า"มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง" "นายจะมาเลี้ยงฉันทำไม ฉันกับนายไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย และอีกอย่างฉันก็ไม่อยากติดหนี้บุญคุณใคร โดยเฉพาะนาย" "เลี้ยงข้าวแค่นี้ ผมไม่คิดเป็นบุณคุณหรอก แต่ถ้าคิดเป็นอย่างอื่นก็ไม่แน่" บอกหญิงสาวแบบยิ้มๆ"อย่างอื่นนี่อะไร พูดให้ดีๆ นะ อย่ามาทะลึ่งกับฉัน" พูดพร้อมกับถลึงตาใส่ชายหนุ่มตรงหน้า"ทะลึ่งอะไรคุณ คิดไปถึงไหน อย่างอื่นที่ผมพูดถึงน่ะ หมายถึงผมอยากขอโอกาสได้ทำความรู้จักกับคุณให้มากขึ้นแค่นั้นเอง" บอกหญิงสาวด้วยใบหน้าจริงจัง"ทำไมนายต้องอยากรู้จักฉันด้วย ฉันไม่เห็นจะอยากรู้จักนายเลยสักนิด" นั่งกอดอกตอบชายหนุ่มตรงหน้า"คุณพูดแบบนี้ ผมน้อยใจนะ" มองค้อนหญิงสาวที่พูดออกมาแบบนั้น เดี๋ยวก่อนเถอะ ถ้าเปลี่ยนสถานะมาเป็นแฟนเขาเมื่อไหร่ละก็ ถ้าพูดแบบไม่รักษาน้ำใจกันแบบนี้อีก จะลงโทษให้เข็ดเลยคอยดู"นี่นายให
ณ ร้านอาหาร...หลังจากที่พราวฟ้าทำข้อตกลงกับปราชญ์เรียบร้อย ทั้งสองก็นัดแม่ของตนเองมาฟังข้อตกลงของทั้งคู่ที่ร้านอาหารวันนี้ สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองมีเหมือนกันคือ พ่อของทั้งคู่นั้นได้เสียไปแล้วทั้งคู่ ทำให้เหลือแต่แม่เท่านั้นที่เป็นคนคอยดูแลทั้งคู่มาตั้งแต่เด็ก“สวัสดีค่ะ คุณหญิงป้า” พราวฟ้าเอ่ยทักทายแม่ของชายหนุ่มก่อน เพราะทั้งสองครอบครัวค่อนข้างสนิทกันมาก เนื่องด้วยแม่ของเขาและแม่ชายหนุ่มนั้นเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยสาวๆ“สวัสดีจ๊ะหนูพราวของป้า” เมื่อเจอหน้าพราวฟ้าแม่ของชายหนุ่มก็ตรงเข้าไปกอดหญิงสาวทันทีด้วยความเอ็นดูและอยากได้มาเป็นลูกสะใภ้“สวัสดีครับ คุณป้า” ชายหนุ่มเองก็รีบยกมือไหว้แม่หญิงสาวเช่นเดียวกัน“ไหว้พระเถอะลูก” ฝากแม่ของพราวฟ้าก็รับไหว้ชายหนุ่มด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และหมายมั่นว่าจะต้องได้ชายหนุ่มตรงหน้ามาเป็นลูกเขยให้ได้หลังจากทักทายกันเสร็จ ทั้งหมดก็ลงมือสั่งอาหาร และระหว่างรออาหารอยู่นั้น ก็เป็นพราวฟ้าที่เริ่มบทสนทนาก่อน“คุณแม่ คุณหญิงป้าค่ะ ที่พราวกับปราชญ์นัดมาทานข้าวกันวันนี้ พราวกับปราชญ์มีเรื่องจะบอกค่ะ” หญิงสาวเว้นจังหวะแล้วมองหน้าชายหนุ่มให้พูดต่อ ชายหนุ่มพยักหน้ารับพ
เมื่อกลับเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มก็ครุ่นคิดหาวิธีที่จะทำให้เข้าถึงตัวหญิงสาวแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่รีบร้อนเพราะดูจากสถานการณ์แล้ว หญิงสาวคงไม่เปิดใจง่ายๆ แน่ แต่ชายหนุ่มคิดว่า ไม่เป็นไรยังไงความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จก็อยู่ที่นั้น ชายหนุ่มคิดอย่างมุ่งมั่นเนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุด ชายหนุ่มจึงคิดว่าจะออกไปเดินดูหาต้นไม้ต้นเล็กๆ ที่เขากำลังฮิตสัก 2-3 ต้น เพื่อเอามาฝากสาวตรงข้ามห้องไว้เป็นของดูต่างหน้า เมื่อเปิดประตูห้องออกมาก็เป็นเวลาเดียวกับที่ห้องตรงข้ามก็เปิดประตูออกมาเช่นกัน ทำให้ทั้งสองสบตากันโดยบังเอิญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน"จะออกไปไหนแต่เช้าเลยครับ" "ไปซื้อของ" ตอบชายหนุ่มเสร็จก็เดินออกมาทันที ซึ่งชายหนุ่มก็รีบเดินตามหลังมาอย่างเงียบๆเมื่อลงมาถึงชั้นล่างหญิงสาวก็เดินออกไปขึ้นรถเมย์หน้าปากซอย เพราะคิดว่าถ้าเอารถไปจะหาที่จอดยาก เลยคิดว่าไปรถเมย์ดีกว่าสะดวกดี ซึ่งเมื่อชายหนุ่มเห็นแบบนั้นก็เดินตามหญิงสาวมา เมื่อเห็นหญิงสาวขึ้นรถเมย์สายที่จะไปแหล่งซื้อขายต้นไม้ที่ตนเองคิดไว้ก็รีบขึ้นตาม และยังรีบไปนั่งข้างๆ หญิงสาวทันที แล้วคิดในใจว่าพรหมลิขิตชัดๆ แล้วนั่งอ
กว่าจะคิดพล็อตนิยายเรื่องใหม่ได้ก็ปาไปเที่ยงคืนกว่า ทำให้นักเขียนสาวตื่นเกือบเที่ยงวัน เมื่อลากตัวเองออกจากเตียงนอนได้แล้วพร้อมกับทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาหาของกินในครัวให้อิ่มท้อง เพื่อเตรียมตัวเริ่มเขียนนิยายหลังจากวางพล็อตเรื่องเสร็จ เมื่อทุกอย่างพร้อมเสร็จแล้วนักเขียนสาววัยเลขสามก็เริ่มเขียนนิยายทันที โดยแต่งตามจินตนาการและประสบการณ์ทั้งหมดที่มีและตามแนวโครงเรื่องที่วางไว้ ด้านชายหนุ่มตรงข้ามห้องหลังจากเลิกงานก็แวะหาซื้อของกินเพื่อกลับไปกินที่ห้อง โดยไม่ลืมที่จะซื้อไปฝากหญิงสาวที่อยู่ห้องตรงข้ามด้วย เพราะชายหนุ่มคิดว่าจะเดินหน้าจีบหญิงสาวห้องตรงข้ามให้ติดและทำทุกอย่างให้หญิงสาวยอมตกลงคบกับตัวเองให้ได้ และชายหนุ่มยังได้คติมาใหม่คือ ตื้อเข้าไว้หน้าด้านเข้าไว้หน้ามึนเข้าไว้ น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อนแล้วนับประสาอะไรกับใจคน จะไม่หวั่นไหวบ้างให้มันรู้ไปก๊อก ๆ ๆ ๆเสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นทำให้นักเขียนสาวต้องเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโน๊ตบุ๊ค พลางคิดว่าใครมาเคาะประตูรบกวนเวลาเขียนนิยายของเธอเนี่ย เมื่อเสียงเคาะประตูดังอีกครั้งทำให้เธอต้องลุกขึ้นไปดู แต่เมื่อเปิดป
21.30 น ณ ผับดังย่านกลางเมือง มีสาวสวยคนนึงกำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่คนเดียวด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ด้วยว่าที่บ้านจะบังคับให้เธอแต่งงานกับคนที่เธอไม่ได้รักและสาวสวยคนนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พราวฟ้า บก สาวสวยนั้นเอง ที่กำลังเคร่งเครียดหลังจากที่คุณนายแม่โทรมาบอกว่าเธอต้องแต่งงานกับลูกชายของเพื่อนแม่ ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น ไอ้ปลาไหล จอมเจ้าชู้อย่างนายปราชญ์ ไอ้เด็กตัวอ้วนที่เธอเคยบอกว่าไม่มีทางแต่งงานด้วยอย่างเด็ดขาดนั่นเอง“เฮ้ยย...” เสียงถอนหายใจดังขึ้นท่ามกลางเสียงดนตรีที่ครึกโครม พลางคิดในใจว่าทำไมครอบครัวของเธอถึงต้องมาบังคับให้เธอแต่งงานกับไอ้บ้านั่นด้วย ทั้ง ๆ ที่ไอ้หมอนั่นแสนจะเจ้าชู้ควงสาวไม่เลือก แต่ทำไมแม่ของเธอถึงยังบังคับให้เธอแต่งงานกะไอ้หมอนั้นอีก“อ้าว นึกว่าสาวสวยที่ไหนมานั่งกินเหล้าคนเดียว ที่แท้ก็คุณหนูพราวฟ้านั่นเอง” เสียงที่ดังมาจากทางด้านหลังทำให้พราวฟ้าหันหน้าไปมอง แล้วก็พบกับไอ้คนที่เธอไม่อยากเจอหน้ามากที่สุด“ถ้าจะมากวนประสาทละก็ มาทางไหนก็ใสหัวกลับไปทางนั้นสะ” หญิงสาวตอบกลับไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว“เธอคงลืมไปว่านี่มันผับฉัน แล้วเธอจะไล่ฉันไปไหนล่ะ”” ชายหนุ่มตอบกลับไปอย
หลังกลับมาจากเที่ยวเมื่อคืน นักเขียนสาวตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการมึนหัวนิดๆ เพราะดื่มเยอะไปนิด ประกอบกับที่วันนี้ไม่มีงานอะไรด่วน ทำให้วันนี้นักเขียนสาวอยู่บนเตียงทั้งวันไม่ลุกไปไหน นอกจากเข้าห้องน้ำด้านอีกฟากของห้องที่อยู่ตรงข้าม มีชายหนุ่มหล่อหน้าตาดีที่พึ่งย้ายเข้ามาอยู่ได้วันแรกกำลังเตรียมตัวที่จะออกไปทำงาน ซึ่งชายหนุ่มคนนี้คือ เป็ก พีระวัฒน์ ลูกชายเจ้าของบริษัทเกี่ยวกับการผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีฐานะร่ำรวย แต่ชอบใช้ชีวิตธรรมดาเป็นลูกจ้างบริษัทขนาดกลาง ไม่ยอมไปทำงานให้กับบริษัทที่บ้านแต่ออกมาทำงานเป็นวิศวกรไฟฟ้าให้กับบริษัทหนึ่งตามที่เรียนมา โดยให้เหตุผลกับที่บ้านว่าต้องการหาประสบการณ์ก่อนที่จะไปทำงานให้ที่บ้าน“พี่เป็กออกมายังพี่ หัวหน้าถาม” เสียงรุ่นน้องดังมาตามสาย“เออ กำลังไป มีอะไรด่วนงั้นเหรอ” ถามกลับด้วยความสงสัย“ไม่รู้แต่หัวหน้าถามหาพี่”“เออๆ บอกหัวหน้าว่ากำลังไป” หลังจากวางสายรุ่นน้องในที่ทำงาน หนุ่มหล่อประจำบริษัทจึงรีบออกไปทันที เมื่อมาถึงบริษัทก็รีบไปหาหัวหน้างานทันที ซึ้งไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นรุ่นพี่ที่เรียนมาด้วยกันและเป็นเจ้าของบริษัทที่ตนเองทำงานอยู่ก๊อก ๆ ๆ ๆ“เข้าม