“เออ / จ้าว /จริง” เสียงตอบเบา ๆ หลายเสียง
คนตัวโตหรี่ตามอง “คุณชื่ออะไร?” แตงกวาจ้องกลับอย่างท้าทายโดยไม่สนใจมือไม้ของเพื่อนฝูงที่ดึงเสื้อของเธอเพื่อเตือน “ตรีนาถ แก้วกานต์ ชื่อเล่นแตงกวาค่ะ” “ฮึ งั้นผมขอใช้สิทธิ์ของหัวหน้าให้ใบเตือนคุณ โทษฐานขัดคำสั่งในเวลางาน” พูดเสร็จผู้มีอำนาจสูงสุดก็ชี้นิ้วไปที่ใบหน้าของพนักงาน ส่งแววตาขุ่นเคืองสาดใส่ผู้ใต้บังคับบัญชาทีละคนที่เอาแต่หลบ “คุณ คุณ คุณ และคุณ ดีแค่ไหนแล้วที่บริษัทให้พวกคุณสังสรรค์กันในเวลางาน ไม่รู้จักสำนึกบ้าง ใครมีปัญหาอะไรจะพูดอีกไหม พูดเคลียร์กันตรงนี้เลยผมจะได้เซ็นทีเดียว” แน่นอนว่าก่อนมาเขาได้อ่านกฎมาบ้างแล้ว ใบเตือนหนึ่งใบมีผลต่อโบนัสและการขึ้นเงินเดือน โดนสามใบคือเขามีสิทธิ์ ไล่ออกในทันที งานรื่นเริงสังสรรค์พวกนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเขา แต่การที่ได้เห็นดวงตาคู่สวยที่กำลังเจ็บปวดนั่นต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกสะใจ นี่มันยังน้อยไปเสียด้วยซ้ำหากเทียบกับสิ่งที่เธอทำเอาไว้ ข้าวปุ้นยื่นมืออันสั่นเทากระตุกแขนเพื่อนให้ยอม ไม่อาจบอกทุกคนได้ว่าสิ่งโหดร้ายที่เกิดขึ้นนี้ต้นเหตุมาจากเธอ แตงกวากัดริมฝีปากแน่น ถอดหายใจอย่างแรงระบายความอัดอั้น รู้สึกขัดใจมากแต่จำต้องถอย ทะเลาะกับนายจ้างก็มีแต่ลูกจ้างที่เสียเปรียบ “อ้าว มัวแต่ยื่นงงกันอยู่ได้ ไปสิ รีบกลับไปทำงาน” สิ้นเสียงพูดของเขาเหล่าพนักงานก็แตกกระเจิงดั่งดาวกระจาย พากันก้มหน้าเดินตัวปลิวไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง ต้นกล้าหันไปมองนายยิ้มที่ทำท่ายึก ๆ ยัก ๆ วางตัวไม่ถูก เขาเลยเอ่ยชวน “ลุงยิ้มมากินเป็นเพื่อนผมหน่อย ปล่อยให้แม่เลขานุการเขาจัดการเองเถอะ งานแค่นี้ทำไม่ได้ก็ลาออกไปซะ” ‘นั่นไง พอเล่นปุ้นได้ก็เล่นเพลิน เล่นยาว เล่นไม่บันยะบันยัง!’ เธอบ่นแขวะในใจขณะกำมือแน่น แล้วผ่อนลมหายใจออกอย่างเชื่องช้า ก้มหน้าก้มตาเก็บของต่ออย่างเจียมตัว คนตัวโตยืนเคี้ยวอาหารทานเล่นอย่างเพลินใจ นัยน์ตาสีนิลจ้องมองเรือนร่างที่เคยโอบกอดราวกับสิ่งล้ำค่า ทว่าตอนนี้ไม่ต่างจากขยะ ใจหนึ่งรังเกียจที่จะอยู่ใกล้ อีกใจหนึ่งก็อยากจะกระโจนเข้าไปเขย่าลำตัวแรง ๆ ถามเอาคำตอบ ต้นกล้าสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรง และผ่อนมันออกมาเป็นระยะ ๆ การมองเห็นเธอรังแต่จะปลุกซาตานร้ายในตัวให้ตื่นขึ้น เขาจึงเลือกที่จะมองออกไปนอกตึก หวังเพียงให้ธรรมชาติช่วยบำบัดจิตใจที่เต็มไปด้วยความแค้น สายตาของนายยิ้มมองตามกระดูกไก่ทอดที่ลอยออกจากริมฝีปากหยักได้รูป ชิ้นแล้วชิ้นเล่าร่วงหล่นจนซากเกลื่อนอยู่ทั่วพื้นพรม เขาเลยคิดว่าพ่อหน้าหล่อถ้าไม่เต็มบาทก็อาจเป็นพันธุ์เดียวกันกับพวกตัวเงินตัวทอง การกระทำของพ่อหนุ่มฟ้องว่าแค้นคุณเลขาเอามาก ๆ แต่นึกยังไงเขาก็นึกไม่ออกว่าคนแสนดีอย่างแม่หนูข้าวปุ้น ที่ไม่กล้าแม้จะฆ่ามดสักตัวแล้วไปทำอีท่าไหนเล่าถึงได้ไปสะกิดต่อมบ้าของไอ้นี่ให้โตขึ้นมาได้ ข้าวปุ้นรู้ถึงความผิดของตัวเอง ยิ่งคิดยิ่งไม่กล้าแม้จะสบสายตา จึงตั้งหน้าตั้งตาดันโต๊ะเหล็กขนาดห้าฟุตโดยมีคน ตัวโตปรายตามองความทุกข์ยากของเธออย่างมีความสุข นายยิ้มทนดูไม่ไหวรีบวางจานกระดาษ ปรี่ตัวเข้าไปช่วยดันโต๊ะขนาดใหญ่ไปยังมุมอับลับสายตาตามคำสั่งของผู้เป็นใหญ่ “เอาตรงนี้แหละลุง ขอบคุณมากนะคะ” เธอส่งเสียงเบาปนหอบ ผมดำขลับที่เกล้าเป็นทรงสวยของเธอเริ่มหลุดลุ่ย สภาพอันน่าเวทนานี้ทำให้เธอต้องยืนหันหลังให้อีกฝ่าย ไม่ลืมที่จะคว่ำป้ายชื่อของตัวเองลงก่อนที่จะเริ่มจัดเรียงแฟ้มงาน “ลุงพาผมไปทัวร์โรงงานหน่อย รบกวนคุณเขมิกาเก็บกวาดพื้นด้วยก็แล้วกัน” ‘ฮึ ดีได้ร้ายเป็น เลว! ได้หมดครับ จะเอาอะไรผมจัดให้’ คนตัวโตพูดในใจ เหยียดยิ้มขณะมองแผ่นหลังบอบบางจากนั้นก็ทยอยทิ้งทิชชูใช้แล้วลงพื้น ตามด้วยขยำแก้วกระดาษ ปาไปทุก ๆ ที่ที่อยากปา ในใจของเขานึกอยากปาใส่หน้าของ แม่เลขานุการเสียด้วยซ้ำ แน่นอนว่าใบเดียวคงไม่ทำให้เขาหายโกรธ จะหลายสิบใบก็เถอะยังไงเขาก็ไม่ให้อภัยเธอ เมื่อพื้นพรมเกลื่อนไปด้วยขยะดั่งใจปรารถนาแล้วชายผู้มีแต่ความแค้นก็เดินตัวปลิวไปยังลิฟต์ นายยิ้มส่ายหน้ามองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา จากนั้นเขาก็รีบเดินตามร่างสูงใหญ่ ไปติด ๆ ในใจกะว่าจะส่งข้อความบอกเพื่อนซี้ให้ขึ้นมาช่วย แม่หนูข้าวปุ้นทำความสะอาดเสียหน่อย ทว่า… “ลุงโทร. บอกแม่บ้านด้วย” “อ้อ ได้ครับว่าจะบอกยายแพรวให้พาเด็ก ๆ ขึ้นมา…” ยังไม่ทันจบประโยคคนตัวโตก็พูดแทรกขึ้นทันที “ห้ามช่วย” “หา!” “ไม่ได้ยินที่ผมสั่งหรือไง ห้ามให้ใครช่วย อย่าให้ผมรู้นะว่ามีคนขัดคำสั่ง ไม่งั้นได้เจอใบเตือนของผมแน่” แววตามีอำนาจจ้องดุจนทำให้มือของนายยิ้มที่กำลังหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงชักออกอย่างว่องไว ชายชราคิดว่าคนเราถ้าแกล้งกันถึงขนาดนี้มันต้องมีสาเหตุ หากรู้ที่มาที่ไปสักนิดเขาอาจจะช่วยคุณเลขานุการได้ จึงอาศัยวัยที่สูงกว่าพูดเตือนสติหนุ่มรุ่นลูก “เออ คุณเมธานนท์ครับ คุณน่ะเป็นหัวหน้าของเธอโดยตรง ทำแบบนี้มันไม่ดูใจจืดใจดำไปหน่อยเหรอครับ คุณไปแกล้งหนูข้าวปุ้นซะขนาดนั้นแล้ววันจันทร์จะเริ่มงานกันยังไง แล้ววันต่อ ๆ ไปอีกล่ะ ทำงานด้วยกันมันจะมีความสุขหรือครับ” “นั่นแหละที่ผมต้องการ นี่มันเพิ่งจะเริ่มด้วยซ้ำ เฮ้ย ใจจืดใจดำลุงจะไปรู้อะไร หน้าหวาน ๆ ยิ้มสวย ๆ ที่เห็นน่ะร้ายยิ่งกว่าพิษงูซะอีก” “แหม มันขนาดนั้นเลยเหรอครับ ไม่น่าเชื่อ เท่าที่ผมเห็น แม่หนูข้าวปุ้นนี่ขยันมาก มีน้ำใจ พูดจานอบน้อมเป็นกันเองกับทุกคน” “โอ๊ย ลุงโดนต้มจนเปื่อยแล้วยังไม่รู้ตัวอีก” “อะ พูดเหมือนเคยโดนเท” “เทเทออะไรกันลุง หล่ออย่างผมเนี่ยนะ โดนเท ฮึ” “อ๋อ…ครับ” นายยิ้มลากเสียงยาว ชายสูงวัยซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายฤดูส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้กับคนเสียอาการ พอเดินออกจากลิฟต์เขาก็พาพ่อหน้าหล่อขึ้นรถกอล์ฟ โรงงานน่ะอยู่ไม่ไกลหรอกแต่เพราะแดดจ้าเหมือนตะวันแปะอยู่บนหน้า พ่อหน้ามนของเขาเลยรีเควสต์ความสะดวกสบาย เพียงแค่สิบนาทีสองหนุ่มต่างวัยก็ถึงโรงงาน โซนแรกคือโซนคัดคุณภาพของผลไม้ ล้างจนสะอาดก็ตัดเป็นชิ้น ๆ แล้ว ส่งต่อไปยังโซนปรุงรสก่อนจะอบแห้ง ต้นกล้าเดินตรวจตราพร้อมจดบันทึก จากนั้นก็เดินไปยังโซนของผลไม้เชื่อม กวน ดอง และอัดใส่กระป๋อง สายตาคมเข้มมองดูพนักงานเกือบร้อยทยอยเก็บของเข้าที่ ปิดเครื่องจักร เก็บกวาดสถานที่เพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน ร่างกำยำยืนกอดอก ทอดสายตามองความยิ่งใหญ่อย่างภาคภูมิใจ นึกถึงวัยเด็กที่ป้าของเขาชอบเอาผลไม้แปรรูปพวกนี้ใส่กล่องมาให้ชิม จากนั้นก็เริ่มทำขายในหมู่เพื่อนฝูง ยี่สิบปีให้หลังคือโรงงานขนาดใหญ่ คนในพื้นที่มากมาย มีอาชีพที่มั่นคง ซึ่งโชคอนันต์เลื่องลือเรื่องสวัสดิการของพนักงานว่าดีเยี่ยม พนักงานมีความสุขมากจนไม่มีใครคิดอยากลาออก ทว่าเหตุการณ์ในวันนี้อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนของความคิดนั้น ‘ฮึ! เดี๋ยวก็ชิน ถ้าน้องข้าวปุ้นไม่กระอักเลือดอย่าเรียกกูว่าต้นกล้า’ ชายหนุ่มพูดกับตัวเองด้วยความสะใจกับอำนาจ ในมือ เมธานนท์พรายยิ้มเย็นยะเยือกไปกับใบหน้าใสซื่อที่เขาแสนรัก ก็แค่คนเคยรัก วันนี้ใบหน้านั้นฉายแววตาเจ็บปวดอย่างเด่นชัด พอได้เห็นแล้วก็ทำให้เขารู้สึกดี รู้สึกสดชื่น คิดไม่ถึงว่าการที่เขาตัดสินใจออกจากกะลาในครั้งนี้จะคุ้มค่ามาก 4 บทลงโทษ นาฬิกาบนฝาผนังบอกเวลาสี่โมงเย็น หลังจากเคลียร์งานจนเสร็จแล้วสาวร่างกลมก็เดินกึ่งวิ่งมายังออฟฟิศของแตงกวาซึ่งมีส้มนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เธอรีบเอ่ยถาม “แตงกวาโอเคไหมเพื่อน” คนถูกถามตอบเสียงอ่อย “โอเค” แล้วใส่อารมณ์ต่อ “แม่งโคตรเจ็บใจ หัวหน้าเชี้ยไรวะ แม่งไร้เหตุผลโคตร ๆ” “ฉันว่าแม่งบ้า” อรุณพูดเสริมเสียงดัง ส้มเบะปาก จะร้องไห้ “บ้า บ้าที่สุด อือ… อือ… ฉันคิดถึงคุณวสุอะแก” “อย่ามัวแต่โอดโอยกันอยู่เลยรีบไปช่วยนังปุ้นกันเถอะ ไอ้บ้านั่นมันกลับแล้วนี่” อรุณบอกเสียงดังพร้อมกับขยับตัวเดิน “ไม่ต้อง! พวกฉันไปมาแล้ว ถึงพากันนั่งกลุ้มอยู่นี่ไง” เสียงห้ามของแตงกวาดังจนต่อมเผือกของแม่นักบัญชีขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างท้วมรีบคว้าเก้าอี้นั่งลง ส่งเสียงถามด้วยความอยากรู้ “อ้าวทำไมล่ะ พูด เร็ว” แตงกวาหงุดหงิดเกินกว่าจะเล่าเรื่องจึงปรายตาไปหาเพื่อนอีกคน “ให้นังส้มเล่าฉันกำลังโมโห” ส้มขยับปากที่คว่ำลงก่อนหน้านั้นขึ้นพร้อมกับถอนหายใจยาว “พวกเราไปมาแล้วแต่เห็นข้าวปุ้นยืนร้องไห้” “หา! นังปุ้นเนี่ยนะร้องไห้” น้ำเสียงตกใจจากนักบัญชีตัวกลมขัดขึ้นกลางคัน ดวงตาเบิกตากว้างด้วยว่าเคยเห็นอีกฝ่ายเศร้า แต่ก็แกร่งพอที่จะไม่ฟูมฟายเสียงดัง ส้มหงุดหงิดกับไอ้คนทำให้เพื่อนสาวของเธอร้องไห้มากกว่าคนที่ชอบพูดแทรก จึงลากเสียงยาวเล่าต่อ “เออ ไม่ใช่ร้องธรรมดานะแบบว่าปล่อยโฮเลยแหละ” อรุณชักสีหน้า กระเด้งตัวยืนจังก้า ดึงเสื้อช่วงไหล่ขึ้นโชว์ต้นแขนอวบ “ไอ้นี่แม่งเลว ของกูแม่งขึ้นละ”“ไอ้คนฉวยโอกาส” เสียงจากริมฝีปากกระจับที่ทำให้คนฟังหน้าชา พาลนึกถึงข้อความของเธอ ‘ฉันเกลียดนาย’ ทว่าเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะแก้ไขได้ ทุกอย่างถูกกำหนดตั้งแต่ท่านเรียกตัวเขาเข้าไปพบแล้ว“ผู้กองข้าวโอ๊ตต้องทำอะไรสักอย่างนะผมว่า ในข่าวเบลอหน้าให้ก็จริง แต่เบอร์ห้องกับแฟลตตำรวจชัดเจนแบบนี้ฝ่ายหญิงเขาเสียหาย ผมไม่อยากเสียเพื่อน ไม่ต้องการให้วงการสีกากีที่ประชาชนเคารพดูแย่ไปกว่านี้”ตอนนั้นเขานิ่งเงียบ หากปฏิเสธออกไปก็ดูจะไม่เป็นลูกผู้ชาย เพราะหลักฐานในโลกโซเชียลมัดแน่นว่าเขากับเธอจูบกัน พากันเข้าบ้านตอนดึกและออกจากบ้านเกือบเที่ยง โดยที่เขาเองแทบไม่รู้เลยว่าทุกฝีก้าวอยู่ในสายตาของนักข่าว“ครับผมจะแต่งงานกับเธอเอง”“ดีมากไอ้โอ๊ต กล้าทำกล้ารับแบบนี้สิวะถึงเป็นลูกผู้ชาย เยี่ยม ๆ เดี๋ยวกูขอโทรบอกไอ้ศักดิ์ก่อน”สรรพนามที่ท่านเรียกเพื่อนสนิทต่อหน้าบอกเป็นนัย ๆ ว่านี้คือทางรอดเดียวสำหรับตำรวจไร้เส้นสายอย่างเขา ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าเขากำลังต้องมนตร์ของเธออยู่ หรือแค่รักในอาชีพ จนยอมเสียศักดิ์ศรีของตัวเอง…คำต่อว่าของบุตรสาวทำให้ช่อทิพย์หน้าเจื่อน สมศักดิ์ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ตามใจจนลูกกลาย
“อ่า…พี่ต้นกล้า”ข้าวปุ้นมองสามีโยกเอวพลิ้ว แท่งร้อนจากที่ขยับเนิบ ๆ นาบ ๆ ก็ดุดันขึ้นจนเกิดเสียงหยาบโลนไม่น่าฟัง เธอชอบความฟิตของเขา ยิ่งเวลาพี่ต้นกล้าออกแรงยิ่งเห็นกล้ามเนื้อของเขาขึ้นมัดสวยงาม ใบหน้าคมเข้มก็ดูเซ็กซี่ยั่วยวนอารมณ์มากดีหน่อยที่เขาสร้างความมั่นคงและมั่นใจให้ ไม่เช่นนั้นเธอคงหึงเจ้าของเอวดุ สะโพกหวาน และมีแท่งร้อนสุดแสนจะอร่อยคนนี้จนไม่ได้หลับได้นอนเป็นแน่“อืม…เมียจ๋า…” ต้นกล้าเพิ่มความเร็วสะโพกสอบ ใช้มือดันขาเรียวไปข้างหน้า แล้วจ้องโพรงแสนรักกลืนกินความแข็งแกร่งของเขาอย่างพอใจ“อือ อย่ามองค่ะ ปุ้นอาย” ก็นี่มันกลางวันแสก ๆ ถึงเขาไม่อายแต่เธออายนี่ ฝันไปเถอะว่าเขาจะฟัง“อ๊าย… อื่อ…” เสียงหวีดร้องระบายอาการเสียดเสียวเมื่อโดนอีกฝ่ายกระทุ้ง แถมเขายังทรมานเธอเพิ่มด้วยการบดขยี้บนตุ่มทับทิบ ที่ทำเธอปั่นป่วนจนต้องดิ้นเร่า ความสุขที่อัดแน่นในกายเธอนี้ใกล้จะระเบิดเต็มทีคนตัวโตเร่งจังหวะอย่างรู้ใจ ยิ่งโพรงแคบรัดตอดตัวตนของเขามากเท่าไรเขายิ่งทวีคูณความเผ็ดร้อน ตอกแท่งร้ายใส่โพรงแคบอย่างใจต้องการไม่นานนักคุณพ่อนักรักกับคุณแม่เสียงพิณต่างก็ประสานมือพากันท่องทุ่งดอกลาเวนเดอร์ สอง
ตอนพิเศษ หนึ่งเดือนผ่านไปเช้าวันใหม่สำหรับคนไม่มีงานทำก็เป็นธรรมดาที่ไม่จำเป็นต้องรีบเร่ง เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นขยับตัวหลายครั้งพยายามที่จะตื่น ทว่าร่างกายกลับหนักอึ้ง เพราะตั้งแต่เป็นคุณแม่ป้ายแดงนอกจากจะนอนเก่งแล้ว ครอบครัวธนโภคินยังสปอยล์เธอด้วยอาหารชั้นดี จนทำให้ร่างกายที่ซูบผอมเริ่มมีน้ำมีนวลขึ้นมาบ้างแล้วข้าวปุ้นหลับตาพริ้ม อดพรายยิ้มไม่ได้เมื่อแก้มนุ่มสัมผัสกับเพชรเม็ดงาม ที่พาลให้เธอนึกไปถึงคนให้ที่คุยอวดอยู่หลายวันว่าเป็นเพชรน้ำดีที่สุดจากจังหวัดยามานาชิ ประเทศญี่ปุ่น‘พี่อยากให้ปุ้นรู้สึกมั่นคงห้ามทิ้งพี่นะ’ คิดถึงตรงนี้หัวใจของเธอก็พองโตกับเงินในบัญชีธนาคาร ที่ตัวเธอเองคิดว่าชาตินี้ไม่น่าจะมีปัญญาหาได้ จึงทำเรื่องเอาสมบัติของแม่ออกมาจากธนาคาร ต่อมาก็ซื้อลิปสติกฝากเดอะแก๊งตามที่เคยให้คำมั่นสัญญากันไว้โครกคราก! กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาตามลมทำให้คนท้องต้องขยับลุก เพราะเจ้าตัวเล็กของเธอกินอาหารตรงเวลา“คุณพ่อทำอะไรให้ทานค่ะวันนี้” เสียงทักใสของคนที่ยื่นอยู่ด้านข้างทำให้พ่อครัวประจำบ้านโน้มหน้าไปหอมแก้มนุ่ม“ใกล้เสร็จแล้วครับผม” ต้นกล้าวางอุปกรณ์ครัวลงบนเคาน์เตอร์ รีบโอบลำตัวข
“เป็นอะไรคะ บอกพี่หน่อยได้ไหม หึ” คนถามพูดยังไม่จบประโยคอีกฝ่ายก็ถลาตัวเข้ามากอด ข้าวปุ้นเงยหน้าขึ้นปลดปล่อยความรู้สึกผิดให้ไหลพรากไปกับน้ำตา เอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเทาปนสะอื้น “พี่ต้นกล้าโกรธปุ้นไหม”ต้นกล้าโอบภรรยาสาวให้นั่งลงบนเก้าอี้เด็ก ส่วนเขานั่งชันเข่าจับคางเล็กเบา ๆ ขยับไปมาอย่างเอ็นดู“พี่จะโกรธปุ้นเรื่องอะไร ไหนบอกพี่สิ”“ก็พี่ต้นกล้าทำงานอย่างหนักแต่ปุ้นคิดว่าพี่ต้นกล้ากับมัดหมี่ อื่อ…อื่อ…วันนั้น วันที่แม่ของนายช่างป่วยปุ้นโทรหาพี่ แต่เป็นมัดหมี่รับสายบอกว่าพี่ต้นกล้านอนอยู่ข้าง ๆ ปลุกยังไงก็ไม่ตื่น แล้วมัดหมี่อะใส่แต่เสื้อกล้าม อื่อ…อื่อ…ตอนปลุกยังเอานมถูแขนโชว์ปุ้นด้วย เดี๋ยว ดูนี่สิ โพสต์แบบนี้ด้วย ปุ้นเลยคิดว่าพี่ต้นกล้าไม่รักปุ้นแล้ว” ปากกระจับบิดเบี้ยวพูดฟ้องไม่ต่างจากเด็กสามขวบ คว้ามือถือโชว์โพสต์มหาภัย ร้องไห้สะอึกสะอื้นปาดน้ำตาระรัวขณะส่ายนมเลียนแบบท่าทางของอีกคนพูดถึงตรงนี้ความน้อยเนื้อต่ำใจของเธอก็ปะทุขึ้นอีกจนต้องสะอึกสะอื้นหนักยิ่งกว่าเก่า สิ่งนี้ทำให้คนฟังเข้าใจทุกอย่าง ต้นกล้าปลอบใจอีกฝ่ายด้วยการจูบซับน้ำตาทุกหยดบนใบหน้าอ่อนเยาว์ ชูสามนิ้วสบตาพูดอย่างจริงจัง
32 ทาสรักเมื่อความเงียบมาเยือนบวกกับความเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศในรถตู้ ดวงตาของคนท้องจากที่ปรือก็หลับไปในที่สุดช่อผกาสั่งให้รถจอดอีกครั้งเพื่อที่จะได้เปลี่ยนที่นั่งกับบุตรชาย ต้นกล้าทะนุถนอมโอบเรือนร่างเล็กที่หลับสนิทให้นอนทับลงบนตัวอยู่ในท่าสบาย ปลายจมูกโด่งพรมหอมผมนุ่มสลวยของเมียรักตลอดเวลา เมื่อความหนาวมาเยือนเรือนร่างบอบบางก็เบียดลำตัวเข้าไปในวงแขนอบอุ่น ลากยาวจนกระทั่งถึงจุดหมาย“ถึงบ้านเราแล้วเดินไหวไหมคะ” เสียงกระซิบจากริมฝีปากอุ่น มอบจูบบางเบาบนหัวกระหม่อมขณะลูบไล้อ่อนโยนบนผิวละเอียด ปลุกคนหลับใหลให้ตื่นหญิงสาวผู้แง่งอนเมื่อรู้สึกตัวก็ดันตัวเองออกจากร่างกำยำ ทว่าก็ไม่ได้เป็นอย่างคิดเพราะถูกเขากอดแน่น จึงเงยหน้าทำตาดุใส่ อยากกัดปลายจมูกโด่งบนใบหน้าคมคายสักที อยากถามเรื่องคาใจในตอนนี้แต่ก็เกรงใจผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ด้านหลังและแล้วนัยน์ตาดำขลับที่จ้องดุก็อ่อนลงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ใช่แค่พูดอ่อนโยนอย่างเดียว ทว่าแววตาของเขาก็อ่อนโยนเช่นกัน“ให้พี่อุ้มไหม”“ไม่ต้อง! ปล่อย!” เสียงดุเบาในลำคอ“อืม…เมียใครวะดุจัง” กระซิบพร้อมกับขโมยความหอมบนแก้มนุ่ม คนที่ยกมือจะทุบก็ลดกำปั้นลงส่
“พูดให้ผมฟังหน่อยว่าไปทำลายชีวิตของใครเข้าอีก”ข้าวเม่าเม้มริมฝีปากเล็กน้อย แปลกใจพอสมควรที่หัวใจของเธอกำลังสั่นไปกับสายตาดุที่จ้องมองอย่างไม่ลดละ แน่นอนว่าสิ่งที่เธอทำไม่ว่าจะเป็นพี่ต้นกล้าหรือแม้แต่ป้าของเธอก็ต้องโกรธ แต่เขาอาจจะไม่ คิดได้ดังนั้นมือเรียวก็รีบคว้ากระเป๋าสะพายข้างใบขนาดเล็ก หยิบมือถือขึ้นมาเปิดรูปที่ทำให้คนมองหยุดหายใจไปชั่วขณะ เมื่อเห็นแตงกวาจูบกับชายอื่น“ฉันกลับไปเอารถแล้วถ่ายไว้”“แล้วยังไง”“ฉันปิดหน้าผู้หญิงแล้วส่งไปให้พี่ต้นกล้าน่ะ เขาคงคิดว่าเป็นน้องนายอะสิ”“ไม่คงล่ะครับ คิดแน่นอน ไม่รู้ว่าคุณตีบทนางเอกแตกได้ไงทั้งที่ทำตัวเหมือนพวกนางร้ายขี้อิจฉา”“นี่! ลากฉันมาเนี่ยจะช่วยหรือจะซ้ำเติมไม่ทราบ”“ผมเชื่อว่าคุณคงไม่ได้ตั้งใจ คุณก็แค่อยากให้เขาเจ็บเหมือนที่คุณเจ็บ ก็แค่นั้น” คำปลอบโยนแสนจะธรรมดาที่ทำให้คนฟังรู้สึกซึ้งใจ ด้วยว่าการทำงานในวงการบันเทิงหลายปีมานี้รายล้อมไปด้วยผู้คนที่หวังแต่ผลประโยชน์ หล่อหลอมให้เธอเป็นคนที่ไม่เชื่อใจใครง่าย ๆ และก็ไม่บ่อยนักที่จะมีคนเข้าใจและรับฟังเธอ“นายเชื่อฉันจริง ๆ นะ” เสียงบอกแผ่วเบาที่ทำให้หัวใจของคนฟังเต้นแรง…หลังจากที่ทั้ง