Share

๐๒ ไม่สำนึกบุญคุณ

last update Last Updated: 2025-10-17 22:19:08

อีกสามวันถัดมา ณ ยามเซิน[1] ในที่สุดหลี่ชิงอีก็ปักเข็มสุดท้ายลงบนภาพกิเลนหมื่นมงคลของตนเองจนเสร็จสมบูรณ์ นางใช้กรรไกรเล่มเล็กตัดปลายด้ายเส้นสุดท้ายออกอย่างประณีตบรรจง ลมหายใจที่กลั้นไว้ถูกผ่อนออกมาอย่างโล่งอก ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดครึ่งปีดูจะมลายหายไปในบัดดล

นางยกสะดึงขึ้นชมผลงานชิ้นเอกของตนเองภายใต้แสงอาทิตย์ยามบ่ายที่ส่องลอดผ่านช่องหน้าต่าง กิเลนบนผืนผ้าไหมสีแดงสดดูราวกับจะมีชีวิตขึ้นมาจริง ๆ เกล็ดสีทองสะท้อนแสงเป็นประกายวาววับราวกับทองคำบริสุทธิ์ แววตาเปี่ยมบารมีของมันจ้องมองกลับมายังนาง คล้ายจะมอบพรอันเป็นมงคลให้สมกับชื่อภาพ

หัวใจของหลี่ชิงอีพองโตด้วยความภาคภูมิใจ เพราะนี่ไม่ใช่แค่ผ้าปัก แต่เป็นหยาดเหงื่อ แรงกาย และจิตวิญญาณของนางที่หลอมรวมกัน นางค่อย ๆ ถอดผ้าไหมออกจากสะดึง พลางบรรจงพับมันอย่างเรียบร้อยแล้วห่อด้วยผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดอีกชั้นหนึ่ง ก่อนจะนำไปเก็บไว้ในหีบไม้ใบเก่าที่มุมห้อง อันเป็นที่เก็บสมบัติเพียงไม่กี่ชิ้นของนาง

หลังจากทำงานบ้านช่วงบ่ายจนเสร็จสิ้น นางก็ตั้งใจว่าจะนำภาพปักออกมาเชยชมอีกครั้งเพื่อเป็นรางวัลให้กับตัวเอง นางเดินกลับมาที่ห้องเก็บของซอมซ่อของตนด้วยฝีเท้าที่เบากว่าปกติเล็กน้อย ซึ่งวันนี้ก็เป็นวันแรกในรอบหลายเดือนที่นางรู้สึกว่าตนเองได้มีความสุขอย่างที่สุด

นางเปิดฝาหีบไม้ใบเก่าที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดอย่างคุ้นเคย ภายในหีบมีเพียงเสื้อผ้าเก่าสองสามชุด กับปิ่นปักผมหยกเนื้อธรรมดาอันเป็นของดูต่างหน้ามารดา นางสอดมือลงไปในหีบ คาดหวังว่าจะได้สัมผัสกับห่อผ้าฝ้ายที่คุ้นเคย แต่ทว่ากลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า

รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่ชิงอีแข็งค้าง หัวใจของนางพลันกระตุกวูบและหล่นลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม

“เป็นไปไม่ได้...” นางพึมพำกับตัวเอง

นางรีบรื้อของทุกชิ้นในหีบออกมา ทว่าของทุกอย่างยังคงอยู่ครบ ขาดก็แต่เพียงห่อผ้าที่สำคัญที่สุดชิ้นนั้น เหงื่อเย็นเยียบผุดขึ้นทั่วแผ่นหลังบอบบาง ความรู้สึกเย็นเฉียบแล่นปราดจากปลายเท้าขึ้นมาสู่กลางอกราวกับถูกแช่แข็ง นางค้นหาทั่วทุกมุมห้องที่เล็กเท่ารูหนูแห่งนี้แต่ก็ไร้วี่แวว ในใจของนางเริ่มปรากฏภาพของคนผู้หนึ่งขึ้นมา คนเพียงคนเดียวในบ้านหลังนี้ที่จะกล้าทำเรื่องเช่นนี้!

หลี่ชิงอีพรวดพราดออกจากห้อง หัวใจเต้นระรัวราวกับจะทะลุออกมานอกอก นางมุ่งตรงไปยังห้องโถงใหญ่ ที่ซึ่งโม่หงชวนกำลังนั่งไขว่ห้างจิบชาและกินขนมเปี๊ยะอย่างสบายอารมณ์อยู่บนเก้าอี้ไม้ชั้นดี

“ท่านแม่!” เสียงของหลี่ชิงอีแหบพร่าและสั่นเครือเล็กน้อย

โม่หงชวนเหลือบมองนางด้วยหางตาอย่างรำคาญใจ “มีอะไร! ตะโกนโหวกเหวกโวยวายเสียมารยาท ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเอาเสียเลย!”

“ท่านแม่ ท่าน... ท่านเห็นห่อผ้าในหีบของข้าหรือไม่เจ้าคะ?” นางถามออกไป พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นไปมากกว่านี้ ในใจยังคงภาวนาขอให้สิ่งที่นางคิดไม่เป็นความจริง

แม่สามีเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง พลันวางถ้วยชาลงบนโต๊ะแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับมุมปากอย่างอ้อยอิ่ง ราวกับกำลังยียวนนางอย่างไรอย่างนั้น

“ห่อผ้าอะไรของเจ้า ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร” นางตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่แววตาที่ฉายแววเย้ยหยันนั้นไม่อาจปิดบังได้

“ห่อผ้าที่ข้างในเป็นภาพปักกิเลนของข้าอย่างไรเล่าเจ้าคะ!” หลี่ชิงอีเริ่มขึ้นเสียงเล็กน้อย ความหวาดกลัวในใจเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธที่คุกรุ่น

“อ้อ ภาพปักผืนนั้นน่ะหรือ” โม่หงชวนลากเสียงยาว ทำราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ “ข้าเอาไปขายแล้ว”

ราวกับมีท้อนไม้แข็งฟาดลงมากลางกะโหลกศีรษะของหลี่ชิงอี โลกทั้งใบของนางพลันเงียบงันและหมุนคว้าง หูของนางอื้ออึงไปหมด

“ทะ ท่านว่าอะไรนะเจ้าคะ?!” นางถามซ้ำ ไม่ใช่เพราะไม่ได้ยิน แต่เพราะไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“หูหนวกรึอย่างไร!” โม่หงชวนตวาดเสียงแหลม “ข้าบอกว่าข้าเอาไปขายแล้ว! พอดีว่าจื่อเหวินไปติดหนี้พนันก้อนโตมา เจ้าของบ่อนมาทวงเงินถึงหน้าบ้าน ข้าไม่มีทางเลือก เลยจำใจต้องเอาผ้าปักไร้สาระของเจ้าไปขายเพื่อใช้หนี้ให้ลูกข้า!”

“ท่านทำอย่างนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ นั่นมันเป็นของของข้านะ เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ข้ามี!” หลี่ชิงอีตะโกนออกมาอย่างลืมตัว น้ำตาจากความเสียใจและความโกรธแค้นไหลทะลักออกมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี นางไม่เคยรู้สึกสิ้นไร้ไม้ตอกเช่นนี้มาก่อน

“ของของเจ้ารึ!” โม่หงชวนลุกพรวดขึ้นยืน ชี้นิ้วมาที่หน้านาง “อย่าลืมสิว่าเจ้าแต่งเข้ามาเป็นคนของตระกูลสวี่แล้ว! ทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้าก็ย่อมเป็นของตระกูลสวี่! การที่เจ้าช่วยเหลือตระกูลสามีในยามยากลำบากมันเป็นหน้าที่ของสะใภ้ไม่ใช่รึ! หรือเจ้าคิดจะตัดช่องน้อยแต่พอตัว หอบสมบัติหนีไปคนเดียว!”

“แต่นั่น... นั่นเป็นหยาดเหงื่อแรงกายของข้าตลอดครึ่งปีเลยนะเจ้าคะ!”

“แล้วอย่างไร เงินที่ได้มาก็เอาไปใช้หนี้ให้สามีของเจ้า เจ้าควรจะดีใจเสียด้วยซ้ำที่ได้ทำประโยชน์ให้ตระกูลบ้าง!” โม่หงชวนพูดอย่างหน้าไม่อาย ท่าทีของนางเต็มไปด้วยความเหนือกว่า ราวกับสิ่งที่นางทำคือการข่มเขาโคขืนให้กลืนหญ้า และนางก็ทำออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบเสียทีเดียว

การโต้เถียงที่ไร้ประโยชน์ยังคงดำเนินต่อไป แม้นหลี่ชิงอีจะพยายามยกเหตุผลร้อยแปดมากล่าวอ้าง แต่มันก็เหมือนกับการสีซอให้ควายฟัง เพราะโม่หงชวนยังคงยืนกรานในความถูกต้องของตนเองอย่างไม่ลดละ และในตอนนั้นเอง สวี่จื่อเหวินก็เดินกลับเข้าบ้านมาพอดี เขาเห็นภรรยาและมารดากำลังยืนเผชิญหน้ากันด้วยท่าทีเอาเรื่องก็ขมวดคิ้วมุ่น

“เกิดอะไรขึ้น! ส่งเสียงดังไปถึงนอกบ้าน!”

เมื่อหลี่ชิงอีเห็นสามีของนาง ความหวังสุดท้ายก็พลันปรากฏขึ้นในใจ อย่างไรเขาก็ยังได้ชื่อว่าเป็นสามีของนาง อย่างน้อยที่สุด เขาก็ควรจะมอบความยุติธรรมให้นางบ้างไม่ใช่หรือ

“ท่านพี่!” นางรีบหันไปหาเขานางรีบหันไปหาเขาด้วยท่าทีลนลาน “ท่านแม่... ท่านแม่เอาภาพปักกิเลนของข้าไปขายใช้หนี้พนันให้ท่าน! ท่านพี่ ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วยนะเจ้าคะ!” นางพยายามวิงวอนขอความเห็นใจจากเขาเป็นครั้งสุดท้าย

สวี่จื่อเหวินได้ยินเช่นนั้นก็พลันชะงักไปเล็กน้อย เขาหันไปมองหน้ามารดาสลับกับภรรยา โม่หงชวนรีบชิงพูดขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแสร้งทำทีเป็นน่าสงสาร

“จื่อเหวินดูนางสิลูก แม่แค่เป็นห่วงเจ้า กลัวเจ้าจะถูกเจ้าหนี้ทำร้าย เลยเอาผ้าปักของนางไปช่วยไถ่ถอนหนี้สินให้ แต่นางกลับมาต่อว่าแม่ว่าขโมยของของนาง! กล่าวหาว่าแม่รังแกนาง ฮือ ๆๆ แม่เลี้ยงเจ้ามาจนเติบใหญ่ขนาดนี้ ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาเจอสะใภ้อกตัญญูเช่นนี้!”

ภาพมารดาที่กำลังร่ำไห้ปานจะขาดใจนั้น ทำให้สวี่จื่อเหวินหน้าเปลี่ยนสีในทันที ความลังเลเมื่อครู่พลันมลายหายไปสิ้น เขารีบหันขวับมามองหลี่ชิงอีด้วยสายตาที่ลุกโชนไปด้วยโทสะ

“นางแพศยา!”

เพียะ!

ฝ่ามือหนาหนักของสวี่จื่อเหวินฟาดลงบนใบหน้าของหลี่ชิงอีอย่างเต็มแรง ความรุนแรงนั้นทำให้นางหน้าสะบัดและล้มลงไปกองกับพื้น เสียงตบดังสนั่นก้องกังวานไปทั่วทั้งเรือน ประหนึ่งการบดขยี้ความหวังสุดท้ายของนางจนแหลกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี

หลี่ชิงอีรู้สึกชาวาบไปทั้งหน้า หูของนางอื้ออึงจนไม่ได้ยินเสียงใด ๆ มีเพียงเสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัว มุมปากรู้สึกได้ถึงรสเค็มปร่าของเลือด

นางไม่ร้องไห้... ไม่กรีดร้อง... หรือไม่แม้แต่จะสะอื้น

ความเจ็บปวดบนใบหน้านั้นเทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดในหัวใจที่ด้านชาไปจนหมดสิ้นแล้ว นางค่อย ๆ ใช้แขนยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งช้า ๆ พลางยกมือข้างที่สั่นเทาขึ้นแตะใบหน้าของตัวเองเบา ๆ ความรู้สึกแสบร้อนที่ปรากฏอยู่บนแก้มซีกซ้ายเป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง

สวี่จื่อเหวินยังคงยืนชี้หน้านางด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด

“กล้าดีอย่างไรมาต่อว่ามารดาข้า! เจ้ามันก็แค่ผู้หญิงไร้ค่าที่ตระกูลข้าอุตส่าห์รับมาเลี้ยงดู! สมบัติของเจ้าก็คือสมบัติของตระกูลข้า! การที่มารดาข้าเอาของของเจ้าไปใช้หนี้ให้ข้า นั่นก็นับว่าเป็นเกียรติของเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ! เจ้ามันแค่อีตัวอกตัญญูที่ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ!”

หลี่ชิงอียังคงนั่งนิ่งอยู่บนพื้น ทว่านางก็พลันค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นสบตากับบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนาง

ในดวงตาคู่นั้นไม่มีน้ำตาจากความเสียใจอีกต่อไป ไม่มีแววตาที่บ่งบอกถึงความรักหรือความผูกพันใด ๆ หลงเหลืออยู่เลย มีเพียงความเงียบสงัดที่เย็นเยียบ มีเพียงความว่างเปล่าที่ลึกล้ำจนน่ากลัว และในส่วนที่ลึกที่สุดของความว่างเปล่านั้นมีประกายของการตัดสินใจที่เด็ดขาดลุกวาบขึ้น

ในชั่วขณะนั้นเอง หลี่ชิงอีผู้ที่เคยอดทนอดกลั้นมาตลอดสามปีกลับได้ตายลง ความรัก ความภักดี ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่เคยมีต่อบุรุษตรงหน้าและตระกูลของเขาได้มอดไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่านไปพร้อมกับเสียงตบเมื่อครู่นี้แล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือสตรีคนหนึ่งที่ถูกผลักจนตกขอบเหว และตระหนักได้ว่าตนเองไม่จำเป็นต้องเกาะเกี่ยวอยู่กับปากเหวแห่งความหลอกลวงนี้อีกต่อไป

°°°        °°°

เชิงอรรถ

[1] ยามเซิน คือช่วงเวลา 15.00-16.59 น.

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • สามีลูกสุนัขเช่นเจ้า ข้าไม่เอาอีกแล้ว!   ๑๕ เรือนปักผ้าโอสถ

    กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ฤดูเหมันต์ผ่านพ้นไปอีกคราหนึ่ง...หนึ่งปีต่อมา ณ ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่หก ภายในจวนแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองหลวงอันโอ่อ่าและสง่างาม แทนที่จะมีเพียงความเงียบสงบและระเบียบวินัยแบบทหาร กลับมีมุมหนึ่งที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเหล่าสตรีดังแว่วออกมาไม่ขาดสายที่นี่คือเรือนปักผ้าโอสถ กิจการที่หลี่ชิงอีก่อตั้งขึ้นด้วยสองมือของนางเองหลี่ชิงอีในฐานะฮูหยินแม่ทัพ ไม่ได้เลือกใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่เพียงหลังบ้าน นางกลับทูลขอพื้นที่ส่วนหนึ่งในจวนจากสามี เพื่อดัดแปลงให้กลายเป็นโรงทำงานขนาดใหญ่ ที่นี่นางได้รวบรวมเหล่าสตรีผู้ตกยาก ไม่ว่าจะเป็นหญิงม่ายที่ไร้ที่พึ่ง ภรรยาที่ถูกสามีทอดทิ้ง หรือหญิงสาวที่เคยมีชีวิตตกต่ำ ผู้หญิงที่สังคมตราหน้าว่าไร้ค่า เฉกเช่นที่นางเคยโดนมาก่อนชิงอีจึงตัดสินใจมอบโอกาสครั้งที่สองให้แก่พวกนาง มอบวิชาความรู้ มอบอาชีพ และที่สำคัญที่สุดคือมอบครอบครัวและศักดิ์ศรีที่พวกนางไม่เคยได้รับกลับคืนมา“ฮูหยินเจ้าขา ด้ายเส้นนี้ของข้าขาดอีกแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงท้อแท้ นางเป็นอดีตนางโลมที่หลี่ชิงอ

  • สามีลูกสุนัขเช่นเจ้า ข้าไม่เอาอีกแล้ว!   ๑๔ คำมั่นสัญญา

    เสียงโหยหวนคร่ำครวญของสองแม่ลูกตระกูลสวี่ดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่กลับไม่มีใครในที่นั้นรู้สึกสงสารหรือเห็นใจแม้แต่น้อย ทุกคนต่างมองดูภาพอันน่าสมเพชนั้นด้วยสายตาที่เย็นชา เพราะนี่คือผลลัพธ์ที่พวกเขาก่อขึ้นเอง เพียงแต่กรรมตามสนองที่มาถึงเร็วกว่าที่คาดคิดเซียวจิ่นเหยียนมองดูสองชีวิตที่กำลังกอดขาตนเองอ้อนวอนขอความเมตตาด้วยแววตาที่ว่างเปล่าราวกับมองดูฝุ่นผงที่ไร้ค่า สำหรับเขาแล้ว คนที่บังอาจทำร้ายสตรีที่อยู่ในความคุ้มครองของเขา ไม่สมควรได้รับความปรานีใด ๆ ทั้งสิ้นเขาหันไปทางท่านนายอำเภอหลิวที่ยังคงคุกเข่าตัวสั่นอยู่“นายอำเภอหลิว ในฐานะเจ้าเมือง ท่านปล่อยให้มีการลักขโมยของหลวงในเขตปกครองของตนเอง นับเป็นความผิดฐานละเลยต่อหน้าที่ แต่ในครั้งนี้ข้าจะถือว่าท่านเองก็ถูกหลอกใช้เช่นกัน ข้าจะยังไม่เอาความผิดท่าน แต่จงกลับไปปรับปรุงการป้องกันจวนของท่านให้ดีขึ้นกว่านี้!”“ขะ ขอบพระคุณท่านแม่ทัพที่เมตตา! ข้าน้อยจะจดจำคำสอนของท่านไว้ใส่ใจ!” นายอำเภอหลิวโขกศีรษะคำนับด้วยความโล่งอกจากนั้น สายตาเย็นเยียบก็หวนกลับมาจับจ้องที่ร่างของสองแม่ลูกตระกูลสวี่อีกครั้ง“สำหรับคนทั้งสอง...” น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งความ

  • สามีลูกสุนัขเช่นเจ้า ข้าไม่เอาอีกแล้ว!   ๑๓ ทวงคืนความยุติธรรม

    ณ ตรอกท้ายตลาดในยามนั้น เวลาดูราวกับจะหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหนาวที่พัดหวีดหวิวผ่านไป ทุกสายตาจับจ้องไปยังบุรุษในชุดเกราะเงินผู้เปรียบประดุจเทพเจ้าสงครามที่จุติลงมายังโลกมนุษย์ ความกดดันที่มองไม่เห็นแผ่กระจายไปทั่วทุกอณูของอากาศจนทำให้ผู้คนแทบหยุดหายใจหลี่ชิงอียืนนิ่งงันอยู่กลางวงล้อมความโกลาหลนั้น น้ำตาของนางเหือดแห้งไปแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกตื่นตะลึงและสับสนจนทำอะไรไม่ถูก นางมองดูแผ่นหลังที่กว้างและองอาจของเซียวจิ่นเหยียน บุรุษที่นางรู้จักในฐานะลูกค้าผู้เงียบขรึม บัดนี้กลับกลายเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้เขาลงจากหลังม้าอย่างสง่างาม เสียงเกราะที่กระทบกันดังกังวานน่าเกรงขาม แต่แทนที่จะเดินตรงไปยังท่านนายอำเภอที่กำลังคุกเข่าตัวสั่นงันงกอยู่ เขากลับเดินตรงมาหานาง...เซียวจิ่นเหยียนหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหลี่ชิงอี เขาไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงแค่ยกมือที่สวมถุงมือเกราะขึ้น ปัดปอยผมที่เปียกชื้นจากน้ำตาให้พ้นจากใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นแม้จะผ่านเกราะหนา แต่กลับอบอุ่นและอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด“ไม่ต้องกลัว” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเข

  • สามีลูกสุนัขเช่นเจ้า ข้าไม่เอาอีกแล้ว!   ๑๒ ลูบคมพยัคฆ์

    รุ่งอรุณของวันถัดมา เวลายามเฉิน[1] ในที่สุดหิมะก็หยุดตก ทิ้งไว้เพียงปุยขาวโพลนที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง อากาศยามเช้าสดชื่นและบริสุทธิ์ หลี่ชิงอีกำลังนั่งอยู่ในห้องเช่าอันอบอุ่นของนางอย่างมีความสุข นางกำลังบรรจงปักผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก ๆ ลายดอกกุ้ยฮวา เพื่อเตรียมจะมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียวนางฮัมเพลงเบา ๆ อย่างสบายใจ ชีวิตที่เคยมืดแปดด้านของนาง บัดนี้กลับสว่างไสวและเต็มไปด้วยความหวัง นางมีกิจการเล็ก ๆ เป็นของตนเอง มีผู้ใหญ่ที่เคารพรักและเอ็นดูนาง และมีบุรุษผู้หนึ่งที่ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้พบเจอตึง!ประตูห้องที่ทำจากไม้แผ่นบาง ๆ ถูกถีบเปิดออกอย่างแรงจนบานพับแทบหลุดกระเด็นกลุ่มทหารในเครื่องแบบเต็มยศราวห้าหกนายกรูเข้ามาในห้องเล็ก ๆ ของนางอย่างพร้อมเพรียง นำโดยหัวหน้าทหารผู้มีใบหน้าถมึงทึง และท่านนายอำเภอหลิวซึ่งมีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด“นะ นี่มันเรื่องอะไรกันเจ้าคะ?!” หลี่ชิงอีตกใจจนผุดลุกขึ้นยืน ทำเข็มในมือหล่นลงบนพื้นเสียงดัง แกร๊ง“เจ้าคือหลี่ชิงอีใช่หรือไม่!” หัวหน้าทหารตวาดถามเสียงกร้าว“ใช่เจ้าค่ะ แต่...”“ไม่ต้องพูดมาก!” เขาตัดบทอย่างไม่ไยด

  • สามีลูกสุนัขเช่นเจ้า ข้าไม่เอาอีกแล้ว!   ๑๑ แผนการอำมหิต

    ช่วงปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า ใกล้ถึงเทศกาลปีใหม่เข้าไปทุกขณะ บรรยากาศในเมืองเริ่มคึกคักและเต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้คน สำหรับหลี่ชิงอีแล้วนี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของนางเลยเชียวล่ะชีวิตของนางในตอนนี้เปรียบได้กับภาพวาดที่งดงาม ทุก ๆ สองสามวัน นางจะได้รับเชิญให้ไปยังจวนรับรองเพื่อเป็นเพื่อนคุยและร่ำเรียนวิชาปักผ้าชั้นสูงกับฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียว ฮูหยินผู้เฒ่ามักจะปฏิบัติต่อนางด้วยความรักและความเอ็นดูราวกับเป็นหลานสาวแท้ ๆ คอยสอนสั่งทั้งเรื่องงานฝีมือและเรื่องการใช้ชีวิต ความอบอุ่นที่นางได้รับนั้นค่อย ๆ เยียวยาบาดแผลในหัวใจที่เคยมีมาในอดีตจนเกือบจะหายสนิทความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเซียวจิ่นเหยียนก็พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะยังคงไว้ซึ่งท่าทีที่สำรวม แต่สายตาที่พวกเขามองกันและกันนั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้ ทุกครั้งที่นางไปที่จวนเขามักจะหาเรื่องเข้ามานั่งร่วมวงสนทนาด้วยเสมอ บางครั้งก็นำตำราสมุนไพรหายากมาให้นางอ่าน บางครั้งก็เล่าเรื่องราวแปลก ๆ จากแดนไกลให้ฟัง เป็นความสุขสงบเรียบง่ายที่นางไม่เคยได้สัมผั

  • สามีลูกสุนัขเช่นเจ้า ข้าไม่เอาอีกแล้ว!   ๑๐ เจอสมบัติล้ำค่า

    หลายวันต่อมา ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า อากาศยิ่งทวีความหนาวเหน็บ หิมะโปรยปรายลงมาเป็นครั้งแรกของปี ปกคลุมหลังคาบ้านเรือนจนขาวโพลนไปทั่วทั้งเมือง แต่ความหนาวเย็นภายนอกกลับไม่อาจทำอะไรกิจการเล็ก ๆ ของหลี่ชิงอีได้อีก แผงของนางกลายเป็นจุดแวะพักที่อบอุ่นใจสำหรับลูกค้าหลาย ๆ คนที่ไม่เพียงมาซื้อของ แต่ยังมาเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนรอยยิ้มกับแม่ค้าสาวผู้มีน้ำใจงามผู้นี้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับลูกค้าประจำผู้เงียบขรึมก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นและลึกซึ้งขึ้นทุกวัน ผ้าเช็ดหน้าลายกิ่งไผ่ผืนนั้นได้กลายเป็นสะพานเชื่อมใจที่มองไม่เห็น ทำให้กำแพงระหว่างคนทั้งสองค่อย ๆ ทลายลง แม้บทสนทนาจะยังคงสั้นกระชับเช่นเคย แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในแววตาของพวกเขากลับชัดเจนยิ่งกว่าถ้อยคำนับพันคำหลี่ชิงอีไม่เคยคาดคิดเลยว่าโชคชะตาที่พลิกผันกำลังจะนำพาความอบอุ่นในรูปแบบที่นางโหยหามาตลอดชีวิตมามอบให้...ณ จวนรับรองส่วนตัวที่ตั้งอยู่อย่างเงียบสงบในอีกฟากหนึ่งของเมือง เซียวจิ่นเหยียนกำลังขมวดคิ้วมุ่นขณะอ่านรายงานทางการทหารที่ถูกส่งมาอย่างลับ ๆ อาการบาดเจ็บภายในของเขาค่อย ๆ ทุเลาลงอย่างน่าอัศจรรย์ในช่วงหลายวันที่ผ่านม

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status