ความเงียบที่น่าสะพรึงกลัวเข้าครอบงำห้องโถงของตระกูลสวี่ สวี่จื่อเหวินยังคงยืนหอบหายใจอย่างเกรี้ยวกราด จ้องมองภรรยาที่ทรุดกายอยู่บนพื้นด้วยแววตาเหยียดหยาม ส่วนโม่หงชวนนั้นยกยิ้มอย่างผู้มีชัย ชัยชนะที่ได้มาจากการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของสตรีอีกผู้หนึ่ง
ทว่า หลี่ชิงอีกลับไม่เป็นไปอย่างที่พวกเขาคาดหวัง
นางไม่ได้ฟูมฟาย ไม่ได้กรีดร้องทึ้งผมตัวเอง ไม่ได้แม้แต่จะส่งสายตาตัดพ้อต่อว่าใด ๆ ออกมา ความเจ็บปวดบนใบหน้ายังคงแผ่ซ่าน แต่หัวใจของนางกลับนิ่งสงบราวกับผิวน้ำในบ่อยามไร้ลม ความรู้สึกทั้งมวลที่เคยมี ทั้งความรัก ความอดทน ความหวัง ได้ถูกฝ่ามือนั้นตบจนสลายไปหมดสิ้นแล้ว เหลือเพียงความว่างเปล่า
นางค่อย ๆ พยุงกายลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคง เสื้อผ้าที่เคยดูซอมซ่อ บัดนี้กลับไม่อาจบดบังแผ่นหลังที่ตั้งตรงดุจต้นสนท้าลมหนาวของนางได้ นางไม่แม้แต่จะปรายตามองบุรุษผู้เป็นสามีและสตรีผู้เป็นแม่สามีอีก ราวกับว่าคนทั้งสองเป็นเพียงธาตุอากาศที่ไร้ตัวตน
หลี่ชิงอีหมุนกายและเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ ทุกย่างก้าวของนางหนักแน่นและมั่นคง ไม่มีแม้เพียงเศษเสี้ยวของความลังเลใจ การกระทำอันแปลกประหลาดของนางทำให้สองแม่ลูกตระกูลสวี่ถึงกับชะงักงัน พวกเขาคาดหวังจะเห็นน้ำตาและการยอมจำนน แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นความเงียบสงัดที่เย็นชาจนน่าขนลุก
นางเดินกลับมายังห้องเก็บของท้ายเรือนที่ทั้งอับชื้นและมืดมิด สถานที่ที่เคยเป็นดั่งคุกกักขังนางมาตลอดสามปีเต็ม บัดนี้กลับไม่สามารถสร้างความรู้สึกใด ๆ ให้นางได้อีกต่อไป สายตาของนางกวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะหยุดลงที่กล่องไม้ใบเล็กอันเป็นที่เก็บอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยของนาง
มือเรียวเปิดกล่องออก ก่อนจะคว้ากรรไกรตัดผ้าด้ามเหล็กที่วาววับขึ้นมา ความเย็นของโลหะที่สัมผัสกับผิวเนื้อทำให้นางรู้สึกมีสติอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นางมองดูกรรไกรในมือ มันคือเครื่องมือที่สร้างสรรค์ผลงานอันงดงาม เป็นสิ่งที่มอบความหวังให้นาง และบัดนี้มันกำลังจะกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้ตัดขาดโซ่ตรวนที่พันธนาการชีวิตของนาง
โดยไม่ลังเลแม้แต่ชั่วขณะเดียว นางใช้ปลายแหลมของกรรไกรกรีดลงบนปลายนิ้วชี้ข้างซ้ายของตนเอง ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาพร้อมกับหยาดโลหิตสีแดงสดที่ผุดซึมออกมา นางจ้องมองหยดเลือดนั้นนิ่ง
นางหันไปฉีกชายผ้าซับในสีขาวที่เก่าคร่ำคร่าของตนเองออกมาผืนหนึ่ง พลางปูมันลงบนโตไม้เตี้ย ๆ แล้วใช้นิ้วที่ชุ่มเลือดบรรจงเขียนอักษรที่ไม่มีผู้ใดกล้าจะคาดคิดลงไปบนผืนผ้า...
หนังสือยินยอมหย่า
ทุกขีดทุกเส้นของตัวอักษรถูกเขียนขึ้นอย่างหนักแน่นและชัดเจน สีแดงฉานของเลือดตัดกับสีขาวของผืนผ้าอย่างน่าสะพรึงกลัว เป็นคำประกาศที่เต็มไปด้วยสัตย์สาบาน เป็นเจตจำนงสุดท้ายที่นางมีต่อตระกูลสวี่
เมื่อเขียนเสร็จแล้ว นางก็กำผ้าผืนนั้นไว้ในมือแน่น ก่อนจะเดินออกจากห้อง ออกจากเรือนที่เต็มไปด้วยความทรงจำอันเลวร้าย มุ่งหน้าไปยังลานกลางหมู่บ้านโดยไม่หันหลังกลับไปมอง
ยามบ่ายของปลายเดือนสิบเอ็ดในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า โดยปกติแล้วจะเป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบ ชาวบ้านส่วนใหญ่กำลังพักผ่อนอยู่ในบ้านเพื่อหลบลมหนาว แต่แล้วความสงบนั้นก็ถูกทำลายลงด้วยเสียง ตึง! ตึง! ตึง! ของเกราะสัญญาณที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องและหนักหน่วง
ชาวบ้านต่างพากันแตกตื่นตกใจ รีบวิ่งออกมาจากบ้านของตนเพื่อดูว่าเกิดเหตุร้ายอันใดขึ้น ไฟไหม้ หรือมีโจรบุกปล้น แต่ภาพที่พวกเขาเห็นกลับทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจยิ่งกว่า
สตรีในอาภรณ์ซอมซ่อผู้หนึ่ง หลี่ชิงอี สะใภ้ตระกูลสวี่ที่ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่ามีชีวิตที่แสนอาภัพ กำลังใช้ท่อนไม้ทุบเกราะสัญญาณอย่างไม่หยุดหย่อน ใบหน้าซีกหนึ่งของนางบวมแดงปรากฏรอยนิ้วมืออย่างชัดเจน แต่แววตาของนางกลับแข็งกร้าวและเด็ดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?!”
“นั่นสะใภ้บ้านสวี่นี่นา นี่นางเสียสติไปแล้วรึ”
“ดูรอยบนหน้านางสิ ต้องถูกทุบตีมาแน่ ๆ”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นเซ็งแซ่ ไม่นานนัก ท่านผู้ใหญ่บ้านและเหล่าผู้อาวุโสของหมู่บ้านก็รีบรุดมาถึงที่เกิดเหตุ
“หลี่ชิงอี! นี่เจ้าทำอะไร! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกราะสัญญาณนี้จะตีได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุฉุกเฉินเท่านั้น!” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวด้วยน้ำเสียงตำหนิ
หลี่ชิงอีหยุดทุบเกราะทันทีที่เห็นเหล่าผู้อาวุโสมากันพร้อมหน้าแล้ว นางทิ้งท่อนไม้ในมือลง ก่อนจะเดินเข้ามากลางวงล้อมของผู้คนแล้วคุกเข่าลงกับพื้นดินที่เย็นเฉียบ
การกระทำของนางทำให้ทุกคนยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่
นางก้มศีรษะลงคำนับผู้อาวุโสทั้งสามคราอย่างนอบน้อม ก่อนจะเงยหน้าขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัดและมั่นคงจนน่าประหลาดใจ
“เรียนท่านผู้ใหญ่บ้านและท่านผู้อาวุโสทุกท่าน วันนี้ที่ข้าตีเกราะสัญญาณมิได้มีเหตุไฟไหม้หรือโจรปล้น แต่เป็นเพราะข้า หลี่ชิงอี มีเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดจะร้องขอความเป็นธรรมและขอให้ทุกท่านโปรดเป็นพยาน!”
นางคลี่ผ้าสีขาวในมือออก ชูขึ้นให้ทุกคนได้เห็นตัวอักษรสีเลือดทั้งสามตัวอย่างชัดเจน
“ข้า หลี่ชิงอี ขอตัดขาดจากสวี่จื่อเหวินและตระกูลสวี่นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป!”
คำประกาศของนางทำให้ทุกคนในหมู่บ้านต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง สตรีที่ถูกสามีหย่าถือเป็นเรื่องน่าอับอายอย่างที่สุด แต่นี่กลับเป็นฝ่ายภรรยาที่ร้องขอการหย่าขาดด้วยตนเอง แถมยังกล้าทำเรื่องอย่างอุกอาจถึงเพียงนี้
“เจ้า! เจ้าพูดอะไรของเจ้า!” ผู้ใหญ่บ้านถึงกับพูดติด ๆ ขัด ๆ อย่างยากจะเชื่อ “เรื่องในครอบครัวเหตุใดต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตด้วยเล่า!”
“เพราะหากไม่ทำเช่นนี้ เรื่องของข้าก็คงไม่มีวันจบสิ้นเจ้าค่ะ!” นางตอบกลับอย่างไม่เกรงกลัว “สามปีที่ผ่านมา ข้าอดทนอดกลั้นทำหน้าที่ภรรยาและลูกสะใภ้ไม่เคยขาดตกบกพร่อง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมีเพียงการกดขี่ข่มเหงและการทุบตี วันนี้พวกเขาพรากสมบัติชิ้นสุดท้ายของข้าไป แล้วยังทำร้ายร่างกายข้าอีก ข้าทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว! การถูกหย่าอาจจะทำให้ข้าต้องอับอายในสายตาคนอื่น แต่การทนมีชีวิตอยู่ในขุมนรกเช่นนั้นไม่ต่างอะไรกับการตายทั้งเป็น!”
ขณะที่ความโกลาหลกำลังดำเนินอยู่ โม่หงชวนและสวี่จื่อเหวินก็ได้ยินข่าวและรีบวิ่งตามมาดูด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เมื่อเห็นภาพบุตรสะใภ้คุกเข่าอยู่กลางวงล้อมชาวบ้านพร้อมกับป่าวประกาศเรื่องน่าอับอาย โม่หงชวนก็กรีดร้องออกมาด้วยความโมโห
“นางแพศยา! เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ! กล้าดียังไงเอาเรื่องในบ้านมาประจานให้ชาวบ้านรับรู้! คิดจะทำให้ตระกูลสวี่ของข้าขายหน้าใช่ไหม!”
สวี่จื่อเหวินรีบเข้าไปหมายจะฉุดกระชากหลี่ชิงอีให้ลุกขึ้น แต่นางกลับปัดมือเขาออกอย่างไม่ไยดี
“อย่ามาแตะต้องตัวข้า!”
“เจ้า!” สวี่จื่อเหวินโกรธจนหน้าเขียว “เจ้าคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะได้อะไรขึ้นมา! อย่ามาเล่นละครตบตาชาวบ้านหน่อยเลย! รีบกลับบ้านไปสำนึกผิดเสีย!”
หลี่ชิงอีหัวเราะออกมาเบา ๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไว้ด้วยความสมเพช
“กลับบ้านรึ? ที่นั่นไม่เคยเป็นบ้านของข้า และนับจากนี้ไป ข้ากับพวกท่านก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”
โม่หงชวนมองดูท่าทีแข็งกร้าวของหลี่ชิงอีแล้วก็หัวเราะเยาะออกมาดังลั่น นางคิดว่าหลี่ชิงอีกำลังเรียกร้องความสนใจและข่มขู่พวกเขาเท่านั้น สตรีตัวคนเดียวที่ไม่มีญาติขาดมิตรที่ไหนจะกล้าหย่ากับสามีจริง ๆ ได้อย่างไรกัน
“ฮ่า ๆๆๆ ดี! อยากหย่านักใช่ไหม! ได้! ข้าจะให้เจ้าได้หย่าอย่างสมใจ!” โม่หงชวนประกาศก้อง “ข้าเองก็เบื่อสะใภ้ไร้ประโยชน์ที่เป็นดั่งหอกข้างแคร่เช่นเจ้าเต็มทนแล้ว! ท่านผู้ใหญ่บ้านโปรดเป็นพยานด้วย! ตระกูลสวี่ของข้าขอขับไล่สตรีอกตัญญูผู้นี้ออกจากตระกูล! เป็นการตัดหางปล่อยวัดนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป!”
สวี่จื่อเหวินเองก็เห็นด้วยกับมารดา เขามองหลี่ชิงอีด้วยสายตาดูแคลน “ดี! ไสหัวไปเลย! ข้าจะดูซิว่าหญิงที่ถูกหย่า ไร้ที่ซุกหัวนอนอย่างเจ้าจะเอาชีวิตรอดไปได้อย่างไร! อย่าซมซานกลับมาคุกเข่าอ้อนวอนข้าทีหลังก็แล้วกัน!”
พวกเขาตอบตกลงอย่างง่ายดายเหลือเกิน ง่ายดายจนน่าใจหาย เพราะในสายตาของพวกเขา หลี่ชิงอีเป็นเพียงของตายที่ไม่มีวันไปจากพวกเขาได้
ผู้ใหญ่บ้านเห็นทั้งสองฝ่ายยินยอมพร้อมใจก็ได้แต่ถอนหายใจยาว “ในเมื่อพวกเจ้าตัดสินใจกันเช่นนี้แล้ว ข้าก็คงไม่อาจขัดได้”
หลี่ชิงอีก้มศีรษะคำนับพื้นดินสามครั้ง “ขอบคุณท่านผู้ใหญ่บ้าน และทุกท่านที่เป็นพยาน!”
นางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ปัดฝุ่นดินออกจากหัวเข่า หันหลังให้กับอดีตสามีและอดีตแม่สามีที่กำลังส่งสายตาเย้ยหยันมาให้ แล้วเดินจากไปโดยไม่เอ่ยคำอำลาใด ๆ อีก
นางไม่มีสมบัติติดตัว ไม่มีเงินแม้แต่อีแปะเดียว มีเพียงเสื้อผ้าชุดเก่าที่สวมใส่อยู่กับรอยแผลบนใบหน้าและหัวใจที่แตกสลาย แต่ในขณะเดียวกัน นางก็รู้สึกเป็นอิสระอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
แผ่นหลังที่บอบบางแต่เหยียดตรงของนางค่อย ๆ เดินห่างออกไปท่ามกลางสายตาของชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน ทิ้งเสียงหัวเราะเยาะของตระกูลสวี่ไว้เบื้องหลังราวกับเสียงลมพัดผ่านที่ไร้ความหมาย
กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ฤดูเหมันต์ผ่านพ้นไปอีกคราหนึ่ง...หนึ่งปีต่อมา ณ ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่หก ภายในจวนแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองหลวงอันโอ่อ่าและสง่างาม แทนที่จะมีเพียงความเงียบสงบและระเบียบวินัยแบบทหาร กลับมีมุมหนึ่งที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเหล่าสตรีดังแว่วออกมาไม่ขาดสายที่นี่คือเรือนปักผ้าโอสถ กิจการที่หลี่ชิงอีก่อตั้งขึ้นด้วยสองมือของนางเองหลี่ชิงอีในฐานะฮูหยินแม่ทัพ ไม่ได้เลือกใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่เพียงหลังบ้าน นางกลับทูลขอพื้นที่ส่วนหนึ่งในจวนจากสามี เพื่อดัดแปลงให้กลายเป็นโรงทำงานขนาดใหญ่ ที่นี่นางได้รวบรวมเหล่าสตรีผู้ตกยาก ไม่ว่าจะเป็นหญิงม่ายที่ไร้ที่พึ่ง ภรรยาที่ถูกสามีทอดทิ้ง หรือหญิงสาวที่เคยมีชีวิตตกต่ำ ผู้หญิงที่สังคมตราหน้าว่าไร้ค่า เฉกเช่นที่นางเคยโดนมาก่อนชิงอีจึงตัดสินใจมอบโอกาสครั้งที่สองให้แก่พวกนาง มอบวิชาความรู้ มอบอาชีพ และที่สำคัญที่สุดคือมอบครอบครัวและศักดิ์ศรีที่พวกนางไม่เคยได้รับกลับคืนมา“ฮูหยินเจ้าขา ด้ายเส้นนี้ของข้าขาดอีกแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงท้อแท้ นางเป็นอดีตนางโลมที่หลี่ชิงอ
เสียงโหยหวนคร่ำครวญของสองแม่ลูกตระกูลสวี่ดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่กลับไม่มีใครในที่นั้นรู้สึกสงสารหรือเห็นใจแม้แต่น้อย ทุกคนต่างมองดูภาพอันน่าสมเพชนั้นด้วยสายตาที่เย็นชา เพราะนี่คือผลลัพธ์ที่พวกเขาก่อขึ้นเอง เพียงแต่กรรมตามสนองที่มาถึงเร็วกว่าที่คาดคิดเซียวจิ่นเหยียนมองดูสองชีวิตที่กำลังกอดขาตนเองอ้อนวอนขอความเมตตาด้วยแววตาที่ว่างเปล่าราวกับมองดูฝุ่นผงที่ไร้ค่า สำหรับเขาแล้ว คนที่บังอาจทำร้ายสตรีที่อยู่ในความคุ้มครองของเขา ไม่สมควรได้รับความปรานีใด ๆ ทั้งสิ้นเขาหันไปทางท่านนายอำเภอหลิวที่ยังคงคุกเข่าตัวสั่นอยู่“นายอำเภอหลิว ในฐานะเจ้าเมือง ท่านปล่อยให้มีการลักขโมยของหลวงในเขตปกครองของตนเอง นับเป็นความผิดฐานละเลยต่อหน้าที่ แต่ในครั้งนี้ข้าจะถือว่าท่านเองก็ถูกหลอกใช้เช่นกัน ข้าจะยังไม่เอาความผิดท่าน แต่จงกลับไปปรับปรุงการป้องกันจวนของท่านให้ดีขึ้นกว่านี้!”“ขะ ขอบพระคุณท่านแม่ทัพที่เมตตา! ข้าน้อยจะจดจำคำสอนของท่านไว้ใส่ใจ!” นายอำเภอหลิวโขกศีรษะคำนับด้วยความโล่งอกจากนั้น สายตาเย็นเยียบก็หวนกลับมาจับจ้องที่ร่างของสองแม่ลูกตระกูลสวี่อีกครั้ง“สำหรับคนทั้งสอง...” น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งความ
ณ ตรอกท้ายตลาดในยามนั้น เวลาดูราวกับจะหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหนาวที่พัดหวีดหวิวผ่านไป ทุกสายตาจับจ้องไปยังบุรุษในชุดเกราะเงินผู้เปรียบประดุจเทพเจ้าสงครามที่จุติลงมายังโลกมนุษย์ ความกดดันที่มองไม่เห็นแผ่กระจายไปทั่วทุกอณูของอากาศจนทำให้ผู้คนแทบหยุดหายใจหลี่ชิงอียืนนิ่งงันอยู่กลางวงล้อมความโกลาหลนั้น น้ำตาของนางเหือดแห้งไปแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกตื่นตะลึงและสับสนจนทำอะไรไม่ถูก นางมองดูแผ่นหลังที่กว้างและองอาจของเซียวจิ่นเหยียน บุรุษที่นางรู้จักในฐานะลูกค้าผู้เงียบขรึม บัดนี้กลับกลายเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้เขาลงจากหลังม้าอย่างสง่างาม เสียงเกราะที่กระทบกันดังกังวานน่าเกรงขาม แต่แทนที่จะเดินตรงไปยังท่านนายอำเภอที่กำลังคุกเข่าตัวสั่นงันงกอยู่ เขากลับเดินตรงมาหานาง...เซียวจิ่นเหยียนหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหลี่ชิงอี เขาไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงแค่ยกมือที่สวมถุงมือเกราะขึ้น ปัดปอยผมที่เปียกชื้นจากน้ำตาให้พ้นจากใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นแม้จะผ่านเกราะหนา แต่กลับอบอุ่นและอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด“ไม่ต้องกลัว” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเข
รุ่งอรุณของวันถัดมา เวลายามเฉิน[1] ในที่สุดหิมะก็หยุดตก ทิ้งไว้เพียงปุยขาวโพลนที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง อากาศยามเช้าสดชื่นและบริสุทธิ์ หลี่ชิงอีกำลังนั่งอยู่ในห้องเช่าอันอบอุ่นของนางอย่างมีความสุข นางกำลังบรรจงปักผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก ๆ ลายดอกกุ้ยฮวา เพื่อเตรียมจะมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียวนางฮัมเพลงเบา ๆ อย่างสบายใจ ชีวิตที่เคยมืดแปดด้านของนาง บัดนี้กลับสว่างไสวและเต็มไปด้วยความหวัง นางมีกิจการเล็ก ๆ เป็นของตนเอง มีผู้ใหญ่ที่เคารพรักและเอ็นดูนาง และมีบุรุษผู้หนึ่งที่ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้พบเจอตึง!ประตูห้องที่ทำจากไม้แผ่นบาง ๆ ถูกถีบเปิดออกอย่างแรงจนบานพับแทบหลุดกระเด็นกลุ่มทหารในเครื่องแบบเต็มยศราวห้าหกนายกรูเข้ามาในห้องเล็ก ๆ ของนางอย่างพร้อมเพรียง นำโดยหัวหน้าทหารผู้มีใบหน้าถมึงทึง และท่านนายอำเภอหลิวซึ่งมีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด“นะ นี่มันเรื่องอะไรกันเจ้าคะ?!” หลี่ชิงอีตกใจจนผุดลุกขึ้นยืน ทำเข็มในมือหล่นลงบนพื้นเสียงดัง แกร๊ง“เจ้าคือหลี่ชิงอีใช่หรือไม่!” หัวหน้าทหารตวาดถามเสียงกร้าว“ใช่เจ้าค่ะ แต่...”“ไม่ต้องพูดมาก!” เขาตัดบทอย่างไม่ไยด
ช่วงปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า ใกล้ถึงเทศกาลปีใหม่เข้าไปทุกขณะ บรรยากาศในเมืองเริ่มคึกคักและเต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้คน สำหรับหลี่ชิงอีแล้วนี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของนางเลยเชียวล่ะชีวิตของนางในตอนนี้เปรียบได้กับภาพวาดที่งดงาม ทุก ๆ สองสามวัน นางจะได้รับเชิญให้ไปยังจวนรับรองเพื่อเป็นเพื่อนคุยและร่ำเรียนวิชาปักผ้าชั้นสูงกับฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียว ฮูหยินผู้เฒ่ามักจะปฏิบัติต่อนางด้วยความรักและความเอ็นดูราวกับเป็นหลานสาวแท้ ๆ คอยสอนสั่งทั้งเรื่องงานฝีมือและเรื่องการใช้ชีวิต ความอบอุ่นที่นางได้รับนั้นค่อย ๆ เยียวยาบาดแผลในหัวใจที่เคยมีมาในอดีตจนเกือบจะหายสนิทความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเซียวจิ่นเหยียนก็พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะยังคงไว้ซึ่งท่าทีที่สำรวม แต่สายตาที่พวกเขามองกันและกันนั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้ ทุกครั้งที่นางไปที่จวนเขามักจะหาเรื่องเข้ามานั่งร่วมวงสนทนาด้วยเสมอ บางครั้งก็นำตำราสมุนไพรหายากมาให้นางอ่าน บางครั้งก็เล่าเรื่องราวแปลก ๆ จากแดนไกลให้ฟัง เป็นความสุขสงบเรียบง่ายที่นางไม่เคยได้สัมผั
หลายวันต่อมา ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า อากาศยิ่งทวีความหนาวเหน็บ หิมะโปรยปรายลงมาเป็นครั้งแรกของปี ปกคลุมหลังคาบ้านเรือนจนขาวโพลนไปทั่วทั้งเมือง แต่ความหนาวเย็นภายนอกกลับไม่อาจทำอะไรกิจการเล็ก ๆ ของหลี่ชิงอีได้อีก แผงของนางกลายเป็นจุดแวะพักที่อบอุ่นใจสำหรับลูกค้าหลาย ๆ คนที่ไม่เพียงมาซื้อของ แต่ยังมาเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนรอยยิ้มกับแม่ค้าสาวผู้มีน้ำใจงามผู้นี้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับลูกค้าประจำผู้เงียบขรึมก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นและลึกซึ้งขึ้นทุกวัน ผ้าเช็ดหน้าลายกิ่งไผ่ผืนนั้นได้กลายเป็นสะพานเชื่อมใจที่มองไม่เห็น ทำให้กำแพงระหว่างคนทั้งสองค่อย ๆ ทลายลง แม้บทสนทนาจะยังคงสั้นกระชับเช่นเคย แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในแววตาของพวกเขากลับชัดเจนยิ่งกว่าถ้อยคำนับพันคำหลี่ชิงอีไม่เคยคาดคิดเลยว่าโชคชะตาที่พลิกผันกำลังจะนำพาความอบอุ่นในรูปแบบที่นางโหยหามาตลอดชีวิตมามอบให้...ณ จวนรับรองส่วนตัวที่ตั้งอยู่อย่างเงียบสงบในอีกฟากหนึ่งของเมือง เซียวจิ่นเหยียนกำลังขมวดคิ้วมุ่นขณะอ่านรายงานทางการทหารที่ถูกส่งมาอย่างลับ ๆ อาการบาดเจ็บภายในของเขาค่อย ๆ ทุเลาลงอย่างน่าอัศจรรย์ในช่วงหลายวันที่ผ่านม