หลี่ชิงอีเดินกลับไปยังเรือนตระกูลสวี่เป็นครั้งสุดท้าย นางไม่ได้กลับไปเพื่ออาลัยอาวรณ์ แต่กลับไปเพื่อเก็บสัมภาระเพียงน้อยนิดของตนเอง การกระทำของนางเป็นไปอย่างรวดเร็วและเด็ดขาดราวกับสายน้ำที่ไหลเชี่ยว ไม่เปิดโอกาสให้สองแม่ลูกตระกูลสวี่ได้กล่าววาจาถากถางใด ๆ เพิ่มเติม
โม่หงชวนโยนห่อผ้าที่ใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ ของนางออกมาให้ที่หน้าประตูอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ “เอาของของเจ้าไป! แล้วไสหัวไปให้พ้นจากบ้านข้าบัดนี้!”
หลี่ชิงอีรับห่อผ้านั้นมาโดยไม่พูดอะไรสักคำ สายตาของนางไม่ได้มองไปที่อดีตแม่สามีหรืออดีตสามีที่ยืนยิ้มเยาะอยู่ข้างหลังแม้แต่น้อย นางเพียงหันหลังให้ประตูไม้ที่คุ้นเคยบานนั้นเป็นครั้งสุดท้าย ประตูที่นางเคยเดินผ่านเข้ามาเมื่อสามปีก่อนด้วยความหวังเต็มเปี่ยม และบัดนี้ นางกำลังเดินจากไปพร้อมกับหัวใจที่แหลกสลายแต่ก็เป็นอิสระ
นางเดินออกมาจากตรอกตระกูลสวี่ ก้าวเข้าสู่เส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นและเสียงซุบซิบนินทาของชาวบ้านที่ยังคงจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของนางไม่เลิกรา บางสายตาสมเพชเวทนา บางสายตาดูแคลน แต่สำหรับหลี่ชิงอีในยามนี้ นางไม่รับรู้หรือไม่ใส่ใจสิ่งใดทั้งสิ้น
นางยังคงเดินต่อไปอย่างไร้จุดหมาย...
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงสู่ทิวเขาเบื้องทิศตะวันตก แสงสีทองสุดท้ายของวันสาดส่องอาบร่างของนาง ก่อเกิดเป็นเงาทอดยาวอยู่บนพื้นดินที่เย็นเยียบ ยามโหย่ว[1] มาเยือนพร้อมกับลมหนาวที่ทวีความรุนแรงขึ้น มันพัดผ่านเสื้อผ้าที่บางเฉียบของนางเสียดแทงเข้าสู่กระดูก ความเหน็บหนาวภายนอกเทียบไม่ได้เลยกับความเหน็บหนาวในใจของนาง
ตอนนี้นางเปรียบดั่งว่าวที่ขาดลอย ล่องลอยไปตามกระแสลมแห่งโชคชะตาโดยไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดที่ใด นางไม่มีบ้านให้กลับ ไม่มีครอบครัวให้พึ่งพิง ไม่มีเงินติดตัวแม้แต่อีแปะเดียว อนาคตเบื้องหน้าช่างดูมืดแปดด้าน ไร้ซึ่งหนทางโดยสิ้นเชิง
ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวที่เคยมีเมื่อครู่เริ่มเลือนหายไป ถูกแทนที่ด้วยความอ่อนล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจที่ถาโถมเข้ามาอย่างหนักหน่วง อาการปวดแสบบนใบหน้าที่ถูกตบเริ่มรุนแรงขึ้น ท้องของนางร้องประท้วงด้วยความหิวโหย ขาทั้งสองข้างหนักอึ้งราวกับมีเหล็กถ่วงไว้ ทุกย่างก้าวต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด
“นี่ข้าตัดสินใจถูกแล้วจริง ๆ หรือ” คำถามนี้ผุดขึ้นมาในหัวเป็นครั้งแรก แต่นางก็รีบสลัดมันทิ้งไปทันที
ไม่! นางตัดสินใจถูกแล้ว! การมีชีวิตอยู่อย่างสิ้นไร้ไม้ตอก แต่มีอิสระและศักดิ์ศรี ก็ยังดีกว่าการมีชีวิตอยู่ในกรงทองที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาและคำด่าทอ
ขณะที่จิตใจกำลังสับสนว้าวุ่น ร่างกายที่อ่อนล้าจนเกินขีดจำกัดก็เริ่มไม่เชื่อฟัง สติของนางเลื่อนลอย ภาพเบื้องหน้าเริ่มพร่ามัว ขาที่ก้าวไปข้างหน้าเกิดสะดุดก้อนหินบนพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างทั้งร่างของนางเสียหลักโผไปข้างหน้าอย่างแรง
“ว้าย!” นางร้องออกมาด้วยความตกใจ เตรียมพร้อมรับความเจ็บปวดจากการล้มกระแทกพื้นดินแข็ง ๆ
หมับ!
วงแขนแข็งแกร่งราวกับคีมเหล็กของใครบางคนก็คว้าต้นแขนของนางไว้ได้ทันท่วงที รั้งร่างที่กำลังจะล้มของนางให้กลับมายืนตรงได้อย่างมั่นคง สัมผัสนั้นหนักแน่นและอบอุ่นอย่างน่าประหลาด มันส่งผ่านความร้อนมายังร่างที่หนาวสั่นของนาง
หลี่ชิงอีที่ยังคงตื่นตระหนก รีบเงยหน้าขึ้นเพื่อมองดูผู้มีพระคุณของนาง
ภาพที่เห็นทำให้หัวใจของนางเต้นผิดจังหวะไปชั่วขณะ บุรุษที่ช่วยนางไว้เป็นชายร่างสูงใหญ่กว่าบุรุษทั่วไปที่นางเคยพบเจอ เขาสวมเพียงอาภรณ์ผ้าฝ้ายสีเข้มธรรมดา แต่กลับไม่อาจบดบังโครงร่างที่องอาจและกล้ามเนื้อที่อัดแน่นอยู่ภายใต้ร่มผ้าได้ ใบหน้าของเขาคมคาย เค้าโครงชัดเจนราวกับรูปสลัก คิ้วกระบี่หนาเข้มพาดเฉียงขึ้นสู่ขมับ ดวงตาเรียวคมกริบ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหยักลึกเม้มสนิทเป็นเส้นตรง บ่งบอกถึงนิสัยที่เด็ดเดี่ยวและพูดน้อย โดยรวมแล้วเขาให้ความรู้สึกที่น่าเกรงขามและเย็นชา แต่กลับไม่มีแววคุกคามแม้แต่น้อย
‘เซียวจิ่นเหยียน’ ที่ปลอมตัวเป็นสามัญชนเพื่อมาพักรักษาอาการบาดเจ็บอย่างลับ ๆ ในเมืองเล็กแห่งนี้ กำลังเดินสำรวจตลาดเพื่อหาซื้อสมุนไพรบางชนิด แต่แล้วจู่ ๆ สตรีร่างเล็กผู้หนึ่งก็เดินโซซัดโซเซเข้ามาชนเขาอย่างจัง สัญชาตญาณของทหารทำให้เขารีบคว้าตัวนางไว้ก่อนที่จะล้มลง
ในตอนแรกเขาเพียงคิดจะช่วยตามมารยาท แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าของนางชัด ๆ เขาก็ถึงกับชะงักไปเล็กน้อย
ใบหน้าของนางซูบตอบและซีดเซียว แต่ยังคงเค้าความงามหมดจด บนแก้มซีกซ้ายมีรอยฝ่ามือแดงก่ำเด่นชัด ดวงตากลมโตคู่นั้นดูอ้างว้างและเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย แต่ในส่วนลึกที่สุดของดวงตาคู่นั้นเขากลับมองเห็นประกายแสงบางอย่าง เป็นประกายแห่งความทรนงและไม่ยอมจำนน มันเป็นแววตาของคนที่แม้จะบอบช้ำ แต่ก็ยังคงยืนหยัดสู้ไม่ยอมโค้งงอ
“แม่นาง เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?”
น้ำเสียงทุ้มต่ำและเรียบเฉยของเขาดังขึ้น ทำลายความเงียบระหว่างคนทั้งสอง แม้จะเป็นคำถามธรรมดาที่ไร้ซึ่งการปรุงแต่งใด ๆ แต่สำหรับหลี่ชิงอีแล้ว มันเปรียบดังถ้อยคำที่เปี่ยมด้วยความห่วงใยอย่างแท้จริง เป็นคำแรกที่นางได้ยินจากบุรุษเพศในรอบหลายปี
นางสะบัดศีรษะเบาๆ เพื่อเรียกสติกลับคืนมา “ขะ ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านมากที่ช่วยไว้” นางรีบก้มหน้าลงซ่อนใบหน้าที่น่าอับอายของตนเอง แล้วขยับตัวเพื่อดึงแขนออกจากมือของเขา
เซียวจิ่นเหยียนคล้ายจะเพิ่งรู้สึกตัว เขารีบปล่อยมือออกจากแขนของนางทันที แต่สายตาคมกริบคู่นั้นยังคงจับจ้องอยู่ที่นาง
“ใบหน้าของเจ้า...” เขาเอ่ยขึ้นมาสั้น ๆ คล้ายจะถาม แต่แล้วก็หยุดไป เหมือนคิดได้ว่ามันเป็นการก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของนางมากเกินไป
“ข้า... ข้าแค่หกล้มเจ้าค่ะ” นางโกหกออกไปคำโต ไม่อยากให้คนแปลกหน้าต้องมารับรู้เรื่องราวที่น่าสมเพชของตนเอง “ข้าขอตัวก่อน”
นางกล่าวขอบคุณเขาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะรีบหมุนตัวและเดินจากไปอย่างรวดเร็ว แม้จะยังรู้สึกอ่อนแรง แต่จิตใต้สำนึกกลับสั่งให้นางรีบหนีไปจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี้
เซียวจิ่นเหยียนไม่ได้รั้งนางไว้ เขาเพียงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มองตามแผ่นหลังที่บอบบางแต่ตั้งตรงของนางเดินลับหายไปในฝูงชนยามเย็น
ภาพของสตรีผู้นั้น ดวงตาที่อ้างว้างแต่ไม่ยอมแพ้ รอยฝ่ามือบนใบหน้า และแผ่นหลังที่เหยียดตรงอย่างทระนง ทั้งหมดนี้กลับตราตรึงอยู่ในความคิดของเขาอย่างน่าประหลาด
ส่วนหลี่ชิงอีนั้น หลังจากเดินห่างออกมาจนลับสายตาของบุรุษผู้นั้นแล้ว นางก็หยุดพักพิงกำแพงดินแห่งหนึ่งอย่างหมดแรง หัวใจของนางยังคงเต้นแรงไม่หาย ความอบอุ่นจากฝ่ามือของเขายังคงติดอยู่ที่ต้นแขนของนาง เป็นสัมผัสที่แตกต่างจากสัมผัสหยาบกระด้างของสวี่จื่อเหวินอย่างสิ้นเชิง
มันเป็นเพียงเหตุการณ์เล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ การพบเจอกันของคนแปลกหน้าสองคนที่ไม่มีวันได้พบกันอีก แต่ในวันที่มืดมนและสิ้นหวังที่สุดในชีวิตของนาง การได้พบเจอกับความเมตตาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไร้การปรุงแต่งนี้ กลับกลายเป็นเศษเสี้ยวความหวังที่ส่องสว่างขึ้นมาในหัวใจที่มืดบอดของหลี่ชิงอี มันเป็นดั่งแสงหิ่งห้อยในคืนเดือนมืด เป็นดั่งประกายไฟในฤดูหนาว เสมือนเครื่องเตือนใจว่าในโลกที่โหดร้ายใบนี้ ยังคงมีเรื่องราวดี ๆ ซ่อนอยู่
นางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ความรู้สึกเคราะห์ซ้ำกรรมซัดที่เคยท่วมท้นอยู่ในใจเมื่อครู่ ค่อย ๆ จางลงไป ความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตรอดกลับคืนมาอีกครั้ง
ใช่แล้ว นางต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้...
วันนี้อาจจะมืดมน แต่มันไม่ได้หมายความว่าวันพรุ่งนี้จะไม่มีแสงสว่าง บางทีนี่อาจเป็นสัญญาณของฟ้าหลังฝนก็เป็นได้ หลี่ชิงอีเช็ดน้ำตาที่คลอหน่วยออกอย่างลวก ๆ พลันยืดตัวตรง แล้วเริ่มก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอีกครั้ง
°°° °°°
เชิงอรรถ
[1] ยามโหย่ว คือช่วงเวลา 17.00-18.59 น.
กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ฤดูเหมันต์ผ่านพ้นไปอีกคราหนึ่ง...หนึ่งปีต่อมา ณ ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่หก ภายในจวนแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองหลวงอันโอ่อ่าและสง่างาม แทนที่จะมีเพียงความเงียบสงบและระเบียบวินัยแบบทหาร กลับมีมุมหนึ่งที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเหล่าสตรีดังแว่วออกมาไม่ขาดสายที่นี่คือเรือนปักผ้าโอสถ กิจการที่หลี่ชิงอีก่อตั้งขึ้นด้วยสองมือของนางเองหลี่ชิงอีในฐานะฮูหยินแม่ทัพ ไม่ได้เลือกใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่เพียงหลังบ้าน นางกลับทูลขอพื้นที่ส่วนหนึ่งในจวนจากสามี เพื่อดัดแปลงให้กลายเป็นโรงทำงานขนาดใหญ่ ที่นี่นางได้รวบรวมเหล่าสตรีผู้ตกยาก ไม่ว่าจะเป็นหญิงม่ายที่ไร้ที่พึ่ง ภรรยาที่ถูกสามีทอดทิ้ง หรือหญิงสาวที่เคยมีชีวิตตกต่ำ ผู้หญิงที่สังคมตราหน้าว่าไร้ค่า เฉกเช่นที่นางเคยโดนมาก่อนชิงอีจึงตัดสินใจมอบโอกาสครั้งที่สองให้แก่พวกนาง มอบวิชาความรู้ มอบอาชีพ และที่สำคัญที่สุดคือมอบครอบครัวและศักดิ์ศรีที่พวกนางไม่เคยได้รับกลับคืนมา“ฮูหยินเจ้าขา ด้ายเส้นนี้ของข้าขาดอีกแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงท้อแท้ นางเป็นอดีตนางโลมที่หลี่ชิงอ
เสียงโหยหวนคร่ำครวญของสองแม่ลูกตระกูลสวี่ดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่กลับไม่มีใครในที่นั้นรู้สึกสงสารหรือเห็นใจแม้แต่น้อย ทุกคนต่างมองดูภาพอันน่าสมเพชนั้นด้วยสายตาที่เย็นชา เพราะนี่คือผลลัพธ์ที่พวกเขาก่อขึ้นเอง เพียงแต่กรรมตามสนองที่มาถึงเร็วกว่าที่คาดคิดเซียวจิ่นเหยียนมองดูสองชีวิตที่กำลังกอดขาตนเองอ้อนวอนขอความเมตตาด้วยแววตาที่ว่างเปล่าราวกับมองดูฝุ่นผงที่ไร้ค่า สำหรับเขาแล้ว คนที่บังอาจทำร้ายสตรีที่อยู่ในความคุ้มครองของเขา ไม่สมควรได้รับความปรานีใด ๆ ทั้งสิ้นเขาหันไปทางท่านนายอำเภอหลิวที่ยังคงคุกเข่าตัวสั่นอยู่“นายอำเภอหลิว ในฐานะเจ้าเมือง ท่านปล่อยให้มีการลักขโมยของหลวงในเขตปกครองของตนเอง นับเป็นความผิดฐานละเลยต่อหน้าที่ แต่ในครั้งนี้ข้าจะถือว่าท่านเองก็ถูกหลอกใช้เช่นกัน ข้าจะยังไม่เอาความผิดท่าน แต่จงกลับไปปรับปรุงการป้องกันจวนของท่านให้ดีขึ้นกว่านี้!”“ขะ ขอบพระคุณท่านแม่ทัพที่เมตตา! ข้าน้อยจะจดจำคำสอนของท่านไว้ใส่ใจ!” นายอำเภอหลิวโขกศีรษะคำนับด้วยความโล่งอกจากนั้น สายตาเย็นเยียบก็หวนกลับมาจับจ้องที่ร่างของสองแม่ลูกตระกูลสวี่อีกครั้ง“สำหรับคนทั้งสอง...” น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งความ
ณ ตรอกท้ายตลาดในยามนั้น เวลาดูราวกับจะหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหนาวที่พัดหวีดหวิวผ่านไป ทุกสายตาจับจ้องไปยังบุรุษในชุดเกราะเงินผู้เปรียบประดุจเทพเจ้าสงครามที่จุติลงมายังโลกมนุษย์ ความกดดันที่มองไม่เห็นแผ่กระจายไปทั่วทุกอณูของอากาศจนทำให้ผู้คนแทบหยุดหายใจหลี่ชิงอียืนนิ่งงันอยู่กลางวงล้อมความโกลาหลนั้น น้ำตาของนางเหือดแห้งไปแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกตื่นตะลึงและสับสนจนทำอะไรไม่ถูก นางมองดูแผ่นหลังที่กว้างและองอาจของเซียวจิ่นเหยียน บุรุษที่นางรู้จักในฐานะลูกค้าผู้เงียบขรึม บัดนี้กลับกลายเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้เขาลงจากหลังม้าอย่างสง่างาม เสียงเกราะที่กระทบกันดังกังวานน่าเกรงขาม แต่แทนที่จะเดินตรงไปยังท่านนายอำเภอที่กำลังคุกเข่าตัวสั่นงันงกอยู่ เขากลับเดินตรงมาหานาง...เซียวจิ่นเหยียนหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหลี่ชิงอี เขาไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงแค่ยกมือที่สวมถุงมือเกราะขึ้น ปัดปอยผมที่เปียกชื้นจากน้ำตาให้พ้นจากใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นแม้จะผ่านเกราะหนา แต่กลับอบอุ่นและอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด“ไม่ต้องกลัว” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเข
รุ่งอรุณของวันถัดมา เวลายามเฉิน[1] ในที่สุดหิมะก็หยุดตก ทิ้งไว้เพียงปุยขาวโพลนที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง อากาศยามเช้าสดชื่นและบริสุทธิ์ หลี่ชิงอีกำลังนั่งอยู่ในห้องเช่าอันอบอุ่นของนางอย่างมีความสุข นางกำลังบรรจงปักผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก ๆ ลายดอกกุ้ยฮวา เพื่อเตรียมจะมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียวนางฮัมเพลงเบา ๆ อย่างสบายใจ ชีวิตที่เคยมืดแปดด้านของนาง บัดนี้กลับสว่างไสวและเต็มไปด้วยความหวัง นางมีกิจการเล็ก ๆ เป็นของตนเอง มีผู้ใหญ่ที่เคารพรักและเอ็นดูนาง และมีบุรุษผู้หนึ่งที่ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้พบเจอตึง!ประตูห้องที่ทำจากไม้แผ่นบาง ๆ ถูกถีบเปิดออกอย่างแรงจนบานพับแทบหลุดกระเด็นกลุ่มทหารในเครื่องแบบเต็มยศราวห้าหกนายกรูเข้ามาในห้องเล็ก ๆ ของนางอย่างพร้อมเพรียง นำโดยหัวหน้าทหารผู้มีใบหน้าถมึงทึง และท่านนายอำเภอหลิวซึ่งมีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด“นะ นี่มันเรื่องอะไรกันเจ้าคะ?!” หลี่ชิงอีตกใจจนผุดลุกขึ้นยืน ทำเข็มในมือหล่นลงบนพื้นเสียงดัง แกร๊ง“เจ้าคือหลี่ชิงอีใช่หรือไม่!” หัวหน้าทหารตวาดถามเสียงกร้าว“ใช่เจ้าค่ะ แต่...”“ไม่ต้องพูดมาก!” เขาตัดบทอย่างไม่ไยด
ช่วงปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า ใกล้ถึงเทศกาลปีใหม่เข้าไปทุกขณะ บรรยากาศในเมืองเริ่มคึกคักและเต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้คน สำหรับหลี่ชิงอีแล้วนี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของนางเลยเชียวล่ะชีวิตของนางในตอนนี้เปรียบได้กับภาพวาดที่งดงาม ทุก ๆ สองสามวัน นางจะได้รับเชิญให้ไปยังจวนรับรองเพื่อเป็นเพื่อนคุยและร่ำเรียนวิชาปักผ้าชั้นสูงกับฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียว ฮูหยินผู้เฒ่ามักจะปฏิบัติต่อนางด้วยความรักและความเอ็นดูราวกับเป็นหลานสาวแท้ ๆ คอยสอนสั่งทั้งเรื่องงานฝีมือและเรื่องการใช้ชีวิต ความอบอุ่นที่นางได้รับนั้นค่อย ๆ เยียวยาบาดแผลในหัวใจที่เคยมีมาในอดีตจนเกือบจะหายสนิทความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเซียวจิ่นเหยียนก็พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะยังคงไว้ซึ่งท่าทีที่สำรวม แต่สายตาที่พวกเขามองกันและกันนั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้ ทุกครั้งที่นางไปที่จวนเขามักจะหาเรื่องเข้ามานั่งร่วมวงสนทนาด้วยเสมอ บางครั้งก็นำตำราสมุนไพรหายากมาให้นางอ่าน บางครั้งก็เล่าเรื่องราวแปลก ๆ จากแดนไกลให้ฟัง เป็นความสุขสงบเรียบง่ายที่นางไม่เคยได้สัมผั
หลายวันต่อมา ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า อากาศยิ่งทวีความหนาวเหน็บ หิมะโปรยปรายลงมาเป็นครั้งแรกของปี ปกคลุมหลังคาบ้านเรือนจนขาวโพลนไปทั่วทั้งเมือง แต่ความหนาวเย็นภายนอกกลับไม่อาจทำอะไรกิจการเล็ก ๆ ของหลี่ชิงอีได้อีก แผงของนางกลายเป็นจุดแวะพักที่อบอุ่นใจสำหรับลูกค้าหลาย ๆ คนที่ไม่เพียงมาซื้อของ แต่ยังมาเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนรอยยิ้มกับแม่ค้าสาวผู้มีน้ำใจงามผู้นี้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับลูกค้าประจำผู้เงียบขรึมก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นและลึกซึ้งขึ้นทุกวัน ผ้าเช็ดหน้าลายกิ่งไผ่ผืนนั้นได้กลายเป็นสะพานเชื่อมใจที่มองไม่เห็น ทำให้กำแพงระหว่างคนทั้งสองค่อย ๆ ทลายลง แม้บทสนทนาจะยังคงสั้นกระชับเช่นเคย แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในแววตาของพวกเขากลับชัดเจนยิ่งกว่าถ้อยคำนับพันคำหลี่ชิงอีไม่เคยคาดคิดเลยว่าโชคชะตาที่พลิกผันกำลังจะนำพาความอบอุ่นในรูปแบบที่นางโหยหามาตลอดชีวิตมามอบให้...ณ จวนรับรองส่วนตัวที่ตั้งอยู่อย่างเงียบสงบในอีกฟากหนึ่งของเมือง เซียวจิ่นเหยียนกำลังขมวดคิ้วมุ่นขณะอ่านรายงานทางการทหารที่ถูกส่งมาอย่างลับ ๆ อาการบาดเจ็บภายในของเขาค่อย ๆ ทุเลาลงอย่างน่าอัศจรรย์ในช่วงหลายวันที่ผ่านม