รุ่งอรุณของวันใหม่ในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้ามาเยือนพร้อมกับความหนาวเหน็บที่เสียดแทงกระดูก หลี่ชิงอีลืมตาตื่นขึ้นในซอกหลืบหลังศาลเจ้าเก่าแห่งหนึ่ง ร่างกายของนางปวดเมื่อยไปทุกส่วนจากการนอนขดตัวบนพื้นดินที่เย็นเฉียบตลอดทั้งคืน ความหิวโหยบิดเกร็งอยู่ในช่องท้องจนแสบร้อน นี่คือเช้าวันแรกของอิสรภาพที่ต้องแลกมาด้วยความอ้างว้างและยากลำบากอย่างแสนสาหัส
นางอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่าสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างแท้จริง แต่ในแววตาที่อิดโรยนั้นกลับไม่มีความท้อแท้สิ้นหวังแม้แต่น้อย นางรู้ดีว่าการมัวแต่สมเพชเวทนาในโชคชะตาของตนเองนั้นไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น สิ่งเดียวที่นางต้องทำในตอนนี้คือการดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด
นางล้วงเข้าไปในอกเสื้อ หยิบเอาสมบัติชิ้นสุดท้ายที่เหลือติดตัวออกมา มันคือปิ่นปักผมเงินอันเล็ก ๆ สลักลายดอกเหมยอย่างเรียบง่าย เป็นของดูต่างหน้าชิ้นเดียวที่มารดามอบให้ก่อนสิ้นใจ นางลูบไล้มันอย่างแผ่วเบา ความอบอุ่นจากความทรงจำในวัยเยาว์หลั่งไหลเข้ามาในหัวใจชั่วขณะ ก่อนที่นางจะตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว
ชีวิตต้องเดินต่อไปข้างหน้า
นางเดินไปยังโรงรับจำนำที่ใหญ่ที่สุดในตลาด บรรยากาศข้างในช่างดูหดหู่และเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ผู้คนที่เข้าออกล้วนมีสีหน้าอมทุกข์ไม่ต่างจากนาง หลี่ชิงอีเดินตรงไปยังหน้าเคาน์เตอร์ แล้ววางปิ่นปักผมลงบนโต๊ะไม้ที่สึกกร่อน
เถ้าแก่โรงรับจำนำเป็นชายชราเคราแพะ เขาหยิบปิ่นขึ้นมาพิจารณาด้วยแว่นขยาย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “ของชิ้นนี้เป็นเนื้อเงินธรรมดา ไม่ใช่ของล้ำค่าอะไร ข้าให้เจ้าได้มากสุดคือห้าสิบอีแปะ”
ห้าสิบอีแปะช่างเป็นราคาที่น้อยนิดเสียจนน่าใจหาย แต่นางไม่มีทางเลือกอื่น “ตกลงเจ้าค่ะ”
เมื่อได้เงินมา สิ่งแรกที่นางทำคือการซื้อหมั่นโถวร้อน ๆ สองลูกจากร้านข้างทาง นางกินมันอย่างช้า ๆ รับรู้รสชาติของอาหารมื้อแรกในฐานะอิสชน มันเป็นเพียงแป้งธรรมดา แต่กลับหอมหวานและอร่อยที่สุดเท่าที่นางเคยกินมาในชีวิต
และเป้าหมายต่อไปก็คือการหาที่ซุกหัวนอน นางเดินสอบถามไปทั่วบริเวณท้ายตลาด ซึ่งเป็นย่านที่อยู่อาศัยของเหล่าผู้ใช้แรงงานและพ่อค้าแม่ขายรายย่อย จนกระทั่งได้พบกับหญิงม่ายแซ่หวัง หรือที่ใคร ๆ เรียกว่า ป้าหวัง ผู้มีห้องเช่าเล็ก ๆ ว่างอยู่ห้องหนึ่ง
“ห้องข้ามันทั้งเล็กทั้งเก่านะแม่นาง ค่าเช่าเดือนละสามสิบอีแปะ จ่ายล่วงหน้าหนึ่งเดือน” ป้าหวังบอกด้วยท่าทีตรงไปตรงมา นางเป็นหญิงวัยกลางคนที่ผ่านโลกมามาก สายตาของนางมองสำรวจหลี่ชิงอีตั้งแต่หัวจรดเท้า เห็นรอยช้ำบนใบหน้าและเสื้อผ้าที่มอซอ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามอะไรที่ก้าวก่าย
“ข้าตกลงเช่าเจ้าค่ะ” หลี่ชิงอีตอบรับทันที นางยื่นเงินสามสิบอีแปะให้ป้าหวัง
ห้องที่นางได้เช่านั้นเป็นห้องเก็บของเก่าที่ถูกดัดแปลง มันเล็กเสียจนแทบไม่มีที่ให้เดิน มีเพียงเตียงไม้เก่า ๆ หนึ่งตัวกับโต๊ะเล็ก ๆ ที่ขาโยกเยกอีกหนึ่งตัว ผนังมีรอยคราบน้ำและใยแมงมุมเกาะอยู่ทั่วไปหมด แต่สำหรับหลี่ชิงอีแล้ว สถานที่แห่งนี้เปรียบได้กับคฤหาสน์อันโอ่อ่า เพราะมันเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ช่วยเป็นกำบังจากลมหนาวและสายตาดูแคลนของผู้คน เป็นเสมือนบ้านหลังแรกที่เป็นของนางจริง ๆ
หลังจากใช้เวลาตลอดบ่ายทำความสะอาดห้องจนเอี่ยมอ่อง นางก็เริ่มนำข้าวของเพียงน้อยนิดออกจากห่อผ้า เสื้อผ้าเก่าสองชุดถูกพับเก็บอย่างเรียบร้อย และแล้วสายตาของนางก็หยุดลงที่ของสองสิ่งสุดท้าย กล่องไม้ใบเล็กที่ใส่เข็มกับด้าย และถุงผ้าใบจิ๋วที่ใส่สมุนไพรแห้งสองสามชนิดที่นางพกติดตัวไว้เสมอเพื่อใช้บรรเทาอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ
นางพลันนึกถึงวิชาประจำตระกูลที่มารดาสอนสั่งมาตั้งแต่เด็ก การปักผ้าโอสถ ศาสตร์และศิลป์ชั้นสูงในการผสมผสานการเย็บปักถักร้อยเข้ากับความรู้ด้านสมุนไพร การสอดไส้ตัวยาเข้าไปในเส้นด้ายหรือผืนผ้าอย่างแนบเนียนเพื่อใช้ในการบำบัดรักษา ในอดีตนางเพียงมองว่ามันเป็นงานอดิเรก เป็นวิชาของสตรีชั้นสูงที่ไม่ได้มีไว้เพื่อการค้าขาย แต่ในยามนี้ยามที่นางไม่เหลืออะไรเลย วิชานี้กลับกลายเป็นแสงสว่างเดียวที่นางนึกออก
หัวใจของหลี่ชิงอีเต้นแรงขึ้นด้วยความตื่นเต้น นางใช้เงินที่เหลืออีกยี่สิบอีแปะไปซื้อผ้าฝ้ายเนื้อดีราคาถูกที่สุดเท่าที่จะหาได้ ด้ายหลากสี และสมุนไพรเพิ่มเติมอีกสองสามชนิดจากร้านยาเล็ก ๆ ในตลาด นางเลือกซื้อเพียงสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมและมีสรรพคุณพื้นฐานที่ไม่เป็นอันตราย เช่น ซวินอีเฉ่า[1] และโม่ลี่ฮวา[2] ที่ช่วยให้ผ่อนคลาย ปั่วเหอ[3] ที่ช่วยให้สดชื่น และเฉิงผี[4] ที่ช่วยไล่แมลง
ตลอดทั้งคืนนั้น ภายใต้แสงตะเกียงน้ำมันที่สลัวราง หลี่ชิงอีได้ทุ่มเทสมาธิทั้งหมดไปกับการสร้างสรรค์สินค้าชิ้นแรกในชีวิตของนาง
มือที่เคยใช้หาบน้ำผ่าฟืน บัดนี้กลับเคลื่อนไหวอย่างอ่อนช้อยและแม่นยำ เข็มเงินเล่มเล็กพลิกไหวไปบนผืนผ้าราวกับพู่กันของจิตรกรเอก นางบรรจงปักผ้าเช็ดหน้าสีขาวนวลเป็นลายดอกเหมย[5] สีชมพูอ่อนที่กำลังบานท้าลมหนาว สัญลักษณ์ของความทรหดอดทนและความงามที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค ที่สำคัญนางได้ใช้เทคนิคพิเศษสอดไส้ผงสมุนไพรลาเวนเดอร์และปั่วเหอบดละเอียดเข้าไปในตัวดอกเหมยอย่างแนบเนียน ทำให้ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดได้เป็นอย่างดี
สินค้าอีกชนิดหนึ่งคือนางทำถุงหอมขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ ปักเป็นลวดลายผีเสื้อหลากสีสันที่กำลังโบยบินอย่างอิสระ ภายในบรรจุเฉิงผีตากแห้งและสมุนไพรไล่แมลงอื่น ๆ เป็นของใช้ที่เหมาะสำหรับแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้าหรือพกติดตัว
เช้าวันต่อมา หลี่ชิงอีนำสินค้าที่ทำเสร็จแล้วทั้งหมด ผ้าเช็ดหน้าหอมสิบผืนและถุงหอมอีกสิบชิ้นไปยังตลาด นางเลือกทำเลที่มุมหนึ่งของตลาดซึ่งไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านนัก เพราะนางยังไม่มีเงินพอที่จะจ่ายค่าเช่าแผง นางเพียงปูผ้าผืนเก่าลงบนพื้น จัดวางสินค้าของนางอย่างเป็นระเบียบ แล้วนั่งลงรอคอยลูกค้าอย่างเงียบ ๆ
ตลาดตอนเช้าเต็มไปด้วยความวุ่นวายและเสียงจอแจ พ่อค้าแม่ค้าต่างตะโกนเรียกลูกค้ากันอย่างแข็งขัน แต่แผงเล็ก ๆ ที่เงียบสงบของนางกลับถูกผู้คนมองข้ามไปโดยสิ้นเชิง หลายคนเดินผ่านไปมา บ้างก็ชำเลืองมองด้วยความแปลกใจ แต่ไม่มีใครหยุดสอบถามหรือให้ความสนใจเลยแม้แต่คนเดียว
เวลาผ่านไปนานนับชั่วยาม หลี่ชิงอียังคงขายของไม่ได้แม้แต่ชิ้นเดียว ความมั่นใจที่เคยมีเริ่มสั่นคลอน แต่แล้วนางก็นึกถึงวันที่นางคุกเข่าประกาศขอหย่ากลางตลาด ในเมื่อนางกล้าทำเรื่องที่ใหญ่โตเช่นนั้นมาแล้ว เหตุใดนางจะต้องมาหวาดกลัวกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ด้วยเล่า!
นางรวบรวมความกล้า ตัดสินใจเปลี่ยนจากฝ่ายตั้งรับเป็นฝ่ายรุก ขณะนั้นเอง หญิงมีครรภ์ผู้หนึ่งเดินผ่านมาพอดี นางมีสีหน้าอิดโรยและมักจะยกมือขึ้นปัดป่ายแมลงวันที่บินตอมอยู่รอบ ๆ ตัวด้วยความรำคาญ
“ฮูหยินเจ้าคะ” หลี่ชิงอีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ลองดูถุงหอมไล่แมลงของข้าสักชิ้นสิเจ้าคะ กลิ่นหอมจากธรรมชาติ ไม่เป็นอันตรายต่อท่านและทารกในครรภ์แน่นอนเจ้าค่ะ”
หญิงผู้นั้นหยุดชะงัก นางมองดูถุงหอมปักลายผีเสื้ออย่างสนใจ “จริงรึ? มันไล่แมลงได้จริงหรือ?”
“จริงเจ้าค่ะ ฮูหยินลองพิสูจน์ดูได้เลย หากไม่ได้ผล ข้ายินดีคืนเงินให้เต็มจำนวน” หลี่ชิงอีกล่าวอย่างมั่นใจ
หญิงมีครรภ์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นความจริงใจในแววตาของหลี่ชิงอี ประกอบกับราคาที่ไม่แพงนัก นางจึงตัดสินใจซื้อไปหนึ่งชิ้น “ก็ได้ ข้าจะลองดู”
นี่คือการค้าขายครั้งแรกในชีวิตของนาง แม้จะเป็นเงินเพียงไม่กี่อีแปะ แต่มันกลับทำให้หัวใจของนางพองโตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หนึ่งเค่อ[6] ต่อมา เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น หญิงมีครรภ์คนเดิมเดินกลับมาที่แผงของนางอีกครั้ง แต่คราวนี้นางมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างและเพื่อนบ้านอีกสองสามคน
“แม่นาง ของของเจ้าช่างวิเศษจริง ๆ ตั้งแต่ข้าพกถุงหอมของเจ้าไว้กับตัว ก็ไม่มีแมลงวันหน้าด้านตัวไหนบินเข้ามาใกล้ข้าอีกเลย!” นางประกาศด้วยความตื่นเต้น “นี่ ข้าพาเพื่อน ๆ มาช่วยอุดหนุน พวกนางก็อยากได้เหมือนกัน!”
จากนั้น การค้าขายของนางก็เริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง เหล่าแม่บ้านที่ได้ยินชื่อเสียงต่างก็พากันมามุงดูและซื้อถุงหอมของนางไป ไม่นานนัก ชายชราผู้หนึ่งที่กำลังปวดศีรษะก็เดินผ่านมา หลี่ชิงอีจึงแนะนำผ้าเช็ดหน้าสมุนไพรให้เขาได้ทดลองดมดู
“โอ้ กลิ่นหอมชื่นใจดีจริง ๆ” ชายชรากล่าวหลังจากสูดดมกลิ่นหอมเข้าไป “มันทำให้ข้ารู้สึกหัวโล่งขึ้นมาก ข้าเอาผืนหนึ่ง!”
สิ้นสุดวันนั้น หลี่ชิงอีขายถุงหอมไปได้เจ็ดชิ้น และผ้าเช็ดหน้าอีกสี่ผืน เงินที่ได้มาแม้จะไม่มากมาย แต่มันก็มากพอที่จะจ่ายค่าเช่าห้องและซื้ออาหารดี ๆ กินได้อีกหลายวัน
ขณะที่นางเก็บของกลับห้องพักในยามเย็น มองดูเหรียญทองแดงในถุงผ้าด้วยหัวใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยความหวัง นางรู้ดีว่าหนทางข้างหน้ายังคงอีกยาวไกลและไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ นางยังคงต้องเก็บเล็กผสมน้อยต่อไป แต่ในวันนี้นางได้พิสูจน์ให้ตัวเองเห็นแล้วว่านางก็สามารถยืนหยัดได้ด้วยลำแข้งของตนเอง
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น คำกล่าวนี้ไม่เคยผิดเพี้ยนไปเลยจริง ๆ
°°° °°°
เชิงอรรถ
[1] ซวินอีเฉ่า คือ ดอกลาเวนเดอร์
[2] โม่ลี่ฮวา คือ ดอกมะลิ
[3] ปั่วเหอ คือ เปปเปอร์มินต์
[4] เฉิงผี คือ เปลือกส้ม
[5] ดอกเหมย หรือ เหมยฮวา คือ ดอกบ๊วย
[6] หนึ่งเค่อ คือ ประมาณ 15 นาที
กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ฤดูเหมันต์ผ่านพ้นไปอีกคราหนึ่ง...หนึ่งปีต่อมา ณ ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่หก ภายในจวนแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองหลวงอันโอ่อ่าและสง่างาม แทนที่จะมีเพียงความเงียบสงบและระเบียบวินัยแบบทหาร กลับมีมุมหนึ่งที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเหล่าสตรีดังแว่วออกมาไม่ขาดสายที่นี่คือเรือนปักผ้าโอสถ กิจการที่หลี่ชิงอีก่อตั้งขึ้นด้วยสองมือของนางเองหลี่ชิงอีในฐานะฮูหยินแม่ทัพ ไม่ได้เลือกใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่เพียงหลังบ้าน นางกลับทูลขอพื้นที่ส่วนหนึ่งในจวนจากสามี เพื่อดัดแปลงให้กลายเป็นโรงทำงานขนาดใหญ่ ที่นี่นางได้รวบรวมเหล่าสตรีผู้ตกยาก ไม่ว่าจะเป็นหญิงม่ายที่ไร้ที่พึ่ง ภรรยาที่ถูกสามีทอดทิ้ง หรือหญิงสาวที่เคยมีชีวิตตกต่ำ ผู้หญิงที่สังคมตราหน้าว่าไร้ค่า เฉกเช่นที่นางเคยโดนมาก่อนชิงอีจึงตัดสินใจมอบโอกาสครั้งที่สองให้แก่พวกนาง มอบวิชาความรู้ มอบอาชีพ และที่สำคัญที่สุดคือมอบครอบครัวและศักดิ์ศรีที่พวกนางไม่เคยได้รับกลับคืนมา“ฮูหยินเจ้าขา ด้ายเส้นนี้ของข้าขาดอีกแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงท้อแท้ นางเป็นอดีตนางโลมที่หลี่ชิงอ
เสียงโหยหวนคร่ำครวญของสองแม่ลูกตระกูลสวี่ดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่กลับไม่มีใครในที่นั้นรู้สึกสงสารหรือเห็นใจแม้แต่น้อย ทุกคนต่างมองดูภาพอันน่าสมเพชนั้นด้วยสายตาที่เย็นชา เพราะนี่คือผลลัพธ์ที่พวกเขาก่อขึ้นเอง เพียงแต่กรรมตามสนองที่มาถึงเร็วกว่าที่คาดคิดเซียวจิ่นเหยียนมองดูสองชีวิตที่กำลังกอดขาตนเองอ้อนวอนขอความเมตตาด้วยแววตาที่ว่างเปล่าราวกับมองดูฝุ่นผงที่ไร้ค่า สำหรับเขาแล้ว คนที่บังอาจทำร้ายสตรีที่อยู่ในความคุ้มครองของเขา ไม่สมควรได้รับความปรานีใด ๆ ทั้งสิ้นเขาหันไปทางท่านนายอำเภอหลิวที่ยังคงคุกเข่าตัวสั่นอยู่“นายอำเภอหลิว ในฐานะเจ้าเมือง ท่านปล่อยให้มีการลักขโมยของหลวงในเขตปกครองของตนเอง นับเป็นความผิดฐานละเลยต่อหน้าที่ แต่ในครั้งนี้ข้าจะถือว่าท่านเองก็ถูกหลอกใช้เช่นกัน ข้าจะยังไม่เอาความผิดท่าน แต่จงกลับไปปรับปรุงการป้องกันจวนของท่านให้ดีขึ้นกว่านี้!”“ขะ ขอบพระคุณท่านแม่ทัพที่เมตตา! ข้าน้อยจะจดจำคำสอนของท่านไว้ใส่ใจ!” นายอำเภอหลิวโขกศีรษะคำนับด้วยความโล่งอกจากนั้น สายตาเย็นเยียบก็หวนกลับมาจับจ้องที่ร่างของสองแม่ลูกตระกูลสวี่อีกครั้ง“สำหรับคนทั้งสอง...” น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งความ
ณ ตรอกท้ายตลาดในยามนั้น เวลาดูราวกับจะหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหนาวที่พัดหวีดหวิวผ่านไป ทุกสายตาจับจ้องไปยังบุรุษในชุดเกราะเงินผู้เปรียบประดุจเทพเจ้าสงครามที่จุติลงมายังโลกมนุษย์ ความกดดันที่มองไม่เห็นแผ่กระจายไปทั่วทุกอณูของอากาศจนทำให้ผู้คนแทบหยุดหายใจหลี่ชิงอียืนนิ่งงันอยู่กลางวงล้อมความโกลาหลนั้น น้ำตาของนางเหือดแห้งไปแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกตื่นตะลึงและสับสนจนทำอะไรไม่ถูก นางมองดูแผ่นหลังที่กว้างและองอาจของเซียวจิ่นเหยียน บุรุษที่นางรู้จักในฐานะลูกค้าผู้เงียบขรึม บัดนี้กลับกลายเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้เขาลงจากหลังม้าอย่างสง่างาม เสียงเกราะที่กระทบกันดังกังวานน่าเกรงขาม แต่แทนที่จะเดินตรงไปยังท่านนายอำเภอที่กำลังคุกเข่าตัวสั่นงันงกอยู่ เขากลับเดินตรงมาหานาง...เซียวจิ่นเหยียนหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหลี่ชิงอี เขาไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงแค่ยกมือที่สวมถุงมือเกราะขึ้น ปัดปอยผมที่เปียกชื้นจากน้ำตาให้พ้นจากใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นแม้จะผ่านเกราะหนา แต่กลับอบอุ่นและอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด“ไม่ต้องกลัว” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเข
รุ่งอรุณของวันถัดมา เวลายามเฉิน[1] ในที่สุดหิมะก็หยุดตก ทิ้งไว้เพียงปุยขาวโพลนที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง อากาศยามเช้าสดชื่นและบริสุทธิ์ หลี่ชิงอีกำลังนั่งอยู่ในห้องเช่าอันอบอุ่นของนางอย่างมีความสุข นางกำลังบรรจงปักผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก ๆ ลายดอกกุ้ยฮวา เพื่อเตรียมจะมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียวนางฮัมเพลงเบา ๆ อย่างสบายใจ ชีวิตที่เคยมืดแปดด้านของนาง บัดนี้กลับสว่างไสวและเต็มไปด้วยความหวัง นางมีกิจการเล็ก ๆ เป็นของตนเอง มีผู้ใหญ่ที่เคารพรักและเอ็นดูนาง และมีบุรุษผู้หนึ่งที่ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้พบเจอตึง!ประตูห้องที่ทำจากไม้แผ่นบาง ๆ ถูกถีบเปิดออกอย่างแรงจนบานพับแทบหลุดกระเด็นกลุ่มทหารในเครื่องแบบเต็มยศราวห้าหกนายกรูเข้ามาในห้องเล็ก ๆ ของนางอย่างพร้อมเพรียง นำโดยหัวหน้าทหารผู้มีใบหน้าถมึงทึง และท่านนายอำเภอหลิวซึ่งมีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด“นะ นี่มันเรื่องอะไรกันเจ้าคะ?!” หลี่ชิงอีตกใจจนผุดลุกขึ้นยืน ทำเข็มในมือหล่นลงบนพื้นเสียงดัง แกร๊ง“เจ้าคือหลี่ชิงอีใช่หรือไม่!” หัวหน้าทหารตวาดถามเสียงกร้าว“ใช่เจ้าค่ะ แต่...”“ไม่ต้องพูดมาก!” เขาตัดบทอย่างไม่ไยด
ช่วงปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า ใกล้ถึงเทศกาลปีใหม่เข้าไปทุกขณะ บรรยากาศในเมืองเริ่มคึกคักและเต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้คน สำหรับหลี่ชิงอีแล้วนี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของนางเลยเชียวล่ะชีวิตของนางในตอนนี้เปรียบได้กับภาพวาดที่งดงาม ทุก ๆ สองสามวัน นางจะได้รับเชิญให้ไปยังจวนรับรองเพื่อเป็นเพื่อนคุยและร่ำเรียนวิชาปักผ้าชั้นสูงกับฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียว ฮูหยินผู้เฒ่ามักจะปฏิบัติต่อนางด้วยความรักและความเอ็นดูราวกับเป็นหลานสาวแท้ ๆ คอยสอนสั่งทั้งเรื่องงานฝีมือและเรื่องการใช้ชีวิต ความอบอุ่นที่นางได้รับนั้นค่อย ๆ เยียวยาบาดแผลในหัวใจที่เคยมีมาในอดีตจนเกือบจะหายสนิทความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเซียวจิ่นเหยียนก็พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะยังคงไว้ซึ่งท่าทีที่สำรวม แต่สายตาที่พวกเขามองกันและกันนั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้ ทุกครั้งที่นางไปที่จวนเขามักจะหาเรื่องเข้ามานั่งร่วมวงสนทนาด้วยเสมอ บางครั้งก็นำตำราสมุนไพรหายากมาให้นางอ่าน บางครั้งก็เล่าเรื่องราวแปลก ๆ จากแดนไกลให้ฟัง เป็นความสุขสงบเรียบง่ายที่นางไม่เคยได้สัมผั
หลายวันต่อมา ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า อากาศยิ่งทวีความหนาวเหน็บ หิมะโปรยปรายลงมาเป็นครั้งแรกของปี ปกคลุมหลังคาบ้านเรือนจนขาวโพลนไปทั่วทั้งเมือง แต่ความหนาวเย็นภายนอกกลับไม่อาจทำอะไรกิจการเล็ก ๆ ของหลี่ชิงอีได้อีก แผงของนางกลายเป็นจุดแวะพักที่อบอุ่นใจสำหรับลูกค้าหลาย ๆ คนที่ไม่เพียงมาซื้อของ แต่ยังมาเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนรอยยิ้มกับแม่ค้าสาวผู้มีน้ำใจงามผู้นี้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับลูกค้าประจำผู้เงียบขรึมก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นและลึกซึ้งขึ้นทุกวัน ผ้าเช็ดหน้าลายกิ่งไผ่ผืนนั้นได้กลายเป็นสะพานเชื่อมใจที่มองไม่เห็น ทำให้กำแพงระหว่างคนทั้งสองค่อย ๆ ทลายลง แม้บทสนทนาจะยังคงสั้นกระชับเช่นเคย แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในแววตาของพวกเขากลับชัดเจนยิ่งกว่าถ้อยคำนับพันคำหลี่ชิงอีไม่เคยคาดคิดเลยว่าโชคชะตาที่พลิกผันกำลังจะนำพาความอบอุ่นในรูปแบบที่นางโหยหามาตลอดชีวิตมามอบให้...ณ จวนรับรองส่วนตัวที่ตั้งอยู่อย่างเงียบสงบในอีกฟากหนึ่งของเมือง เซียวจิ่นเหยียนกำลังขมวดคิ้วมุ่นขณะอ่านรายงานทางการทหารที่ถูกส่งมาอย่างลับ ๆ อาการบาดเจ็บภายในของเขาค่อย ๆ ทุเลาลงอย่างน่าอัศจรรย์ในช่วงหลายวันที่ผ่านม