หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปไวราวกับโกหก เผลอครู่เดียวก็ย่างเข้าสู่ต้นเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า ลมหนาวระลอกใหม่พัดพาเอาความเยือกเย็นมาปกคลุมทั่วทั้งเมือง แต่สำหรับหลี่ชิงอีแล้ว ในใจของนางกลับอบอุ่นกว่าครั้งไหน ๆ ในรอบหลายปีที่ผ่านมา
ชีวิตของนางในตอนนี้ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความหมาย ทุกเช้านางจะตื่นขึ้นมาในห้องเช่าเล็ก ๆ ที่เป็นของตนเอง หุงหาอาหารกินอย่างพอเพียง ก่อนจะลงมือประดิษฐ์ผลงานปักผ้าของนางด้วยความใส่ใจ กิจการเล็ก ๆ ของนางยังคงดำเนินไปได้ด้วยดี จากการบอกเล่าปากต่อปากนั้นช่วยทำให้ตอนนี้นางมีลูกค้าประจำอยู่หลายราย ส่วนใหญ่เป็นเหล่าแม่บ้านและผู้สูงอายุในละแวกนั้น เงินที่หามาได้ในแต่ละวันนั้นแม้จะไม่ได้มากมาย แต่ก็เพียงพอให้นางมีชีวิตอยู่ได้อย่างสมศักดิ์ศรี ไม่ต้องแบมือขอใครกินอีก
นางยังคงตั้งแผงเล็ก ๆ ที่มุมเดิมของตลาดเช่นทุกวัน ความขยันขันแข็งและความซื่อสัตย์ของนางเริ่มเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของพ่อค้าแม่ขายในบริเวณใกล้เคียง จากที่เคยถูกมองด้วยสายตาแปลกแยก ตอนนี้หลายคนเริ่มส่งยิ้มและทักทายนางอย่างเป็นมิตร ชีวิตที่เคยต้องหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินอย่างโดดเดี่ยว บัดนี้เริ่มมีสีสันและรอยยิ้มเข้ามาแต่งแต้ม
บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่หลี่ชิงอีกำลังอธิบายสรรพคุณของผ้าเช็ดหน้าสมุนไพรให้ลูกค้าสูงวัยท่านหนึ่งฟังอย่างตั้งใจ เงาร่างสูงใหญ่ของใครบางคนก็ทอดลงมาบดบังแสงอาทิตย์ที่แผงของนาง เมื่อลูกค้าท่านนั้นจากไปแล้ว นางจึงเงยหน้าขึ้นและต้องประหลาดใจ
บุรุษผู้นั้นคือชายแปลกหน้าที่เคยช่วยประคองนางไว้ในวันที่นางสิ้นหวังที่สุดในชีวิต
เซียวจิ่นเหยียนเพียงแค่เดินผ่านตลาดมาตามปกติ แต่แล้วสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นแผงค้าเล็ก ๆ ที่มุมหนึ่ง ซึ่งมีสตรีร่างบางที่คุ้นตากำลังนั่งอยู่ตรงนั้น เขายืนมองดูนางอยู่ห่าง ๆ ชั่วครู่หนึ่ง รอยช้ำบนใบหน้าของนางจางลงไปมากแล้ว เหลือเพียงรอยจาง ๆ ที่หากไม่สังเกตก็แทบมองไม่เห็น ท่าทีของนางในยามที่พูดคุยกับลูกค้าดูสงบและมั่นคง แตกต่างจากภาพของสตรีที่บอบช้ำและอ้างว้างในวันนั้นอย่างสิ้นเชิง เขารู้สึกทึ่งในความเข้มแข็งของนางที่สามารถลุกขึ้นยืนหยัดได้ด้วยตนเองในเวลาอันสั้น เขาจึงตัดสินใจเดินตรงเข้าไปที่แผงของนาง
หลี่ชิงอีรู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อต้องสบตากับดวงตาคมกริบคู่นั้นอีกครั้ง นางรีบลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับให้เขาเล็กน้อยตามมารยาท
“ทะ ท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือเจ้าคะ?”
เขาไม่ได้ตอบในทันที สายตาของเขากวาดมองสินค้าที่จัดวางอยู่อย่างเป็นระเบียบบนผืนผ้า ก่อนจะหยุดลงที่ถุงหอมปักลายกิ่งหลิวที่พลิ้วไหวตามลม
“ถุงหอมนี้ช่วยเรื่องใดได้บ้าง?” น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำ และราบเรียบเช่นเดียวกับในวันนั้น
“ภายในบรรจุสมุนไพรที่ช่วยให้จิตใจสงบ และหลับสบายขึ้นเจ้าค่ะ” นางอธิบายอย่างคล่องแคล่ว แม้ในใจจะยังเต้นไม่เป็นส่ำ “เหมาะสำหรับวางไว้ข้างหมอน หรือพกติดตัวไว้เพื่อสูดดมยามที่รู้สึกเหนื่อยล้าเจ้าค่ะ”
เขาพยักหน้ารับรู้ช้า ๆ “ข้าเอาชิ้นนี้” เขากล่าวสั้น ๆ พร้อมกับหยิบถุงหอมชิ้นนั้นขึ้นมา แล้วยื่นเหรียญทองแดงจำนวนหนึ่งให้นางโดยไม่ถามราคาหรือต่อรองแม้แต่คำเดียว จากนั้นเขาก็หมุนตัวและเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้หลี่ชิงอียืนงงอยู่กับความเรียบง่ายและตรงไปตรงมาของเขา
นางคิดว่ามันคงเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แต่แล้วในวันต่อมาเขาก็กลับมาอีกครั้ง
“ข้าต้องการถุงหอมอีกชิ้นหนึ่ง” เขากล่าวเหตุผล “เมื่อคืนข้านอนหลับสนิทขึ้นมาก กลิ่นหอมของมันช่วยได้จริง ๆ”
หลี่ชิงอีรู้สึกยินดีที่สินค้าของนางมีประโยชน์ต่องผู้อื่นจริง ๆ นางจึงหยิบถุงหอมลายใหม่ส่งให้เขา “ลายนี้เป็นลายหมู่ปลาแหวกว่ายในสายน้ำเจ้าค่ะ เป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จและความมั่งคั่ง”
เขาพยักหน้ารับและจ่ายเงินแล้วจากไปเช่นเคย
และในวันถัด ๆ มา เขาก็กลายเป็นลูกค้าประจำของนางอย่างเต็มตัว ทุกวันในยามบ่ายเขาจะแวะเวียนมาที่แผงของนางเสมอ บางวันก็ซื้อถุงหอม บางวันก็ซื้อผ้าเช็ดหน้า บางวันก็ไม่ได้ซื้ออะไร เพียงแค่แวะมาหยุดดูและถามไถ่สองสามคำถามเท่านั้น
การมาเยือนของเขากลายเป็นส่วนหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของนางไปโดยไม่รู้ตัว ความประหม่าในตอนแรกค่อย ๆ เลือนหายไป ถูกแทนที่ด้วยความคุ้นเคยและความรู้สึกปลอดภัยอย่างน่าประหลาด
บทสนทนาระหว่างพวกเขาก็เริ่มพัฒนาขึ้นเช่นกัน เขาไม่ใช่คนพูดมาก แต่ทุกคำถามของเขาล้วนแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดและความสนใจอย่างแท้จริง เป็นบุรุษประเภทที่พูดน้อยต่อยหนักอย่างแท้จริง
“สมุนไพรชนิดนี้คือดอกเก๊กฮวยป่าใช่หรือไม่?” เขาถามขึ้นในวันหนึ่ง ขณะที่หยิบผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกเก๊กฮวยสีเหลืองขึ้นมาพิจารณา “ข้าได้ยินมาว่ามันมีสรรพคุณช่วยบำรุงสายตา”
หลี่ชิงอีเบิกตากว้างเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ท่านรู้เรื่องสมุนไพรด้วยหรือ”
“เล็กน้อยเท่านั้น” เขาตอบเรียบ ๆ “ข้าเคยอ่านเจอในตำราแพทย์”
บทสนทนาเช่นนี้ทำให้หลี่ชิงอีรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก นางไม่เคยเจอใครที่ให้ความสนใจในแก่นของงานฝีมือของนางมาก่อน สวี่จื่อเหวินเคยชมก็เพียงความงามภายนอกเพื่อหวังจะเอาผลงานของนางไปโอ้อวดสหาย หรือโม่หงชวนที่มองมันเป็นเพียงเครื่องมือหาเงินเท่านั้น แต่บุรุษผู้นี้กลับมองเห็นคุณค่าที่ลึกลงไปกว่านั้น
“ลายปักดอกเหมยนี้ เหตุใดเจ้าจึงเลือกปักลายนี้” เขาถามในอีกวันหนึ่ง
“ดอกเหมยเบ่งบานในฤดูหนาวเจ้าค่ะ” นางอธิบายพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ ที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเป็นครั้งแรกเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา “เป็นสัญลักษณ์ของการไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค และความหวังที่งดงามท่ามกลางความหนาวเหน็บเจ้าค่ะ”
เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาของนางหลังจากได้ยินคำตอบนั้น แววตาของเขาฉายแววชื่นชมออกมาอย่างไม่ปิดบัง “เป็นความหมายที่ดีมาก”
หลี่ชิงอีเริ่มสังเกตเห็นสายตาที่เขามองมายังนาง มันเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยการให้เกียรติและความเคารพ ไม่ใช่สายตาที่ฉวยโอกาสหรือดูแคลนเหมือนที่นางเคยได้รับจากบุรุษคนอื่น ๆ ในตลาด เป็นสายตาที่มองเห็นตัวตนของนาง มองเห็นความสามารถของนาง และชื่นชมในสิ่งที่นางเป็น
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ ดุจน้ำซึมบ่อทรายที่ค่อย ๆ ซึมลึกลงไปในผืนดินทีละน้อย มันไม่ใช่ความรักที่หวือหวา แต่เป็นความรู้สึกดี ๆ ที่มั่นคงและอบอุ่นใจ
นางไม่เคยถามชื่อของเขา และเขาก็ไม่เคยถามชื่อของนาง พวกเขารู้จักกันในฐานะแม่นางเจ้าของแผง และลูกค้าประจำผู้เงียบขรึมเท่านั้น
บ่ายวันนั้นหลังจากที่เขาจากไปแล้ว หลี่ชิงอีพบว่าตัวเองกำลังเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว นางยกมือขึ้นแตะแก้มที่ร้อนผ่าวของตนเอง ความรู้สึกอบอุ่นที่ไม่คุ้นเคยแผ่ซ่านไปทั่วทั้งหัวใจ นางไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้เรียกว่าอะไร และไม่กล้าที่จะคาดหวังอะไรไปมากกว่านี้
นางรู้เพียงแค่ว่าการได้พบเจอบุรุษผู้นี้ในทุก ๆ วัน ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้เห็นสายตาที่เปี่ยมด้วยความเคารพคู่นั้น มันได้กลายเป็นดังแสงสว่างดวงเล็ก ๆ ที่ทำให้นางตั้งตารอให้วันพรุ่งนี้มาถึงอย่างมีความหวัง
กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ฤดูเหมันต์ผ่านพ้นไปอีกคราหนึ่ง...หนึ่งปีต่อมา ณ ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่หก ภายในจวนแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองหลวงอันโอ่อ่าและสง่างาม แทนที่จะมีเพียงความเงียบสงบและระเบียบวินัยแบบทหาร กลับมีมุมหนึ่งที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเหล่าสตรีดังแว่วออกมาไม่ขาดสายที่นี่คือเรือนปักผ้าโอสถ กิจการที่หลี่ชิงอีก่อตั้งขึ้นด้วยสองมือของนางเองหลี่ชิงอีในฐานะฮูหยินแม่ทัพ ไม่ได้เลือกใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่เพียงหลังบ้าน นางกลับทูลขอพื้นที่ส่วนหนึ่งในจวนจากสามี เพื่อดัดแปลงให้กลายเป็นโรงทำงานขนาดใหญ่ ที่นี่นางได้รวบรวมเหล่าสตรีผู้ตกยาก ไม่ว่าจะเป็นหญิงม่ายที่ไร้ที่พึ่ง ภรรยาที่ถูกสามีทอดทิ้ง หรือหญิงสาวที่เคยมีชีวิตตกต่ำ ผู้หญิงที่สังคมตราหน้าว่าไร้ค่า เฉกเช่นที่นางเคยโดนมาก่อนชิงอีจึงตัดสินใจมอบโอกาสครั้งที่สองให้แก่พวกนาง มอบวิชาความรู้ มอบอาชีพ และที่สำคัญที่สุดคือมอบครอบครัวและศักดิ์ศรีที่พวกนางไม่เคยได้รับกลับคืนมา“ฮูหยินเจ้าขา ด้ายเส้นนี้ของข้าขาดอีกแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงท้อแท้ นางเป็นอดีตนางโลมที่หลี่ชิงอ
เสียงโหยหวนคร่ำครวญของสองแม่ลูกตระกูลสวี่ดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่กลับไม่มีใครในที่นั้นรู้สึกสงสารหรือเห็นใจแม้แต่น้อย ทุกคนต่างมองดูภาพอันน่าสมเพชนั้นด้วยสายตาที่เย็นชา เพราะนี่คือผลลัพธ์ที่พวกเขาก่อขึ้นเอง เพียงแต่กรรมตามสนองที่มาถึงเร็วกว่าที่คาดคิดเซียวจิ่นเหยียนมองดูสองชีวิตที่กำลังกอดขาตนเองอ้อนวอนขอความเมตตาด้วยแววตาที่ว่างเปล่าราวกับมองดูฝุ่นผงที่ไร้ค่า สำหรับเขาแล้ว คนที่บังอาจทำร้ายสตรีที่อยู่ในความคุ้มครองของเขา ไม่สมควรได้รับความปรานีใด ๆ ทั้งสิ้นเขาหันไปทางท่านนายอำเภอหลิวที่ยังคงคุกเข่าตัวสั่นอยู่“นายอำเภอหลิว ในฐานะเจ้าเมือง ท่านปล่อยให้มีการลักขโมยของหลวงในเขตปกครองของตนเอง นับเป็นความผิดฐานละเลยต่อหน้าที่ แต่ในครั้งนี้ข้าจะถือว่าท่านเองก็ถูกหลอกใช้เช่นกัน ข้าจะยังไม่เอาความผิดท่าน แต่จงกลับไปปรับปรุงการป้องกันจวนของท่านให้ดีขึ้นกว่านี้!”“ขะ ขอบพระคุณท่านแม่ทัพที่เมตตา! ข้าน้อยจะจดจำคำสอนของท่านไว้ใส่ใจ!” นายอำเภอหลิวโขกศีรษะคำนับด้วยความโล่งอกจากนั้น สายตาเย็นเยียบก็หวนกลับมาจับจ้องที่ร่างของสองแม่ลูกตระกูลสวี่อีกครั้ง“สำหรับคนทั้งสอง...” น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งความ
ณ ตรอกท้ายตลาดในยามนั้น เวลาดูราวกับจะหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหนาวที่พัดหวีดหวิวผ่านไป ทุกสายตาจับจ้องไปยังบุรุษในชุดเกราะเงินผู้เปรียบประดุจเทพเจ้าสงครามที่จุติลงมายังโลกมนุษย์ ความกดดันที่มองไม่เห็นแผ่กระจายไปทั่วทุกอณูของอากาศจนทำให้ผู้คนแทบหยุดหายใจหลี่ชิงอียืนนิ่งงันอยู่กลางวงล้อมความโกลาหลนั้น น้ำตาของนางเหือดแห้งไปแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกตื่นตะลึงและสับสนจนทำอะไรไม่ถูก นางมองดูแผ่นหลังที่กว้างและองอาจของเซียวจิ่นเหยียน บุรุษที่นางรู้จักในฐานะลูกค้าผู้เงียบขรึม บัดนี้กลับกลายเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้เขาลงจากหลังม้าอย่างสง่างาม เสียงเกราะที่กระทบกันดังกังวานน่าเกรงขาม แต่แทนที่จะเดินตรงไปยังท่านนายอำเภอที่กำลังคุกเข่าตัวสั่นงันงกอยู่ เขากลับเดินตรงมาหานาง...เซียวจิ่นเหยียนหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหลี่ชิงอี เขาไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงแค่ยกมือที่สวมถุงมือเกราะขึ้น ปัดปอยผมที่เปียกชื้นจากน้ำตาให้พ้นจากใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นแม้จะผ่านเกราะหนา แต่กลับอบอุ่นและอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด“ไม่ต้องกลัว” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเข
รุ่งอรุณของวันถัดมา เวลายามเฉิน[1] ในที่สุดหิมะก็หยุดตก ทิ้งไว้เพียงปุยขาวโพลนที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง อากาศยามเช้าสดชื่นและบริสุทธิ์ หลี่ชิงอีกำลังนั่งอยู่ในห้องเช่าอันอบอุ่นของนางอย่างมีความสุข นางกำลังบรรจงปักผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก ๆ ลายดอกกุ้ยฮวา เพื่อเตรียมจะมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียวนางฮัมเพลงเบา ๆ อย่างสบายใจ ชีวิตที่เคยมืดแปดด้านของนาง บัดนี้กลับสว่างไสวและเต็มไปด้วยความหวัง นางมีกิจการเล็ก ๆ เป็นของตนเอง มีผู้ใหญ่ที่เคารพรักและเอ็นดูนาง และมีบุรุษผู้หนึ่งที่ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้พบเจอตึง!ประตูห้องที่ทำจากไม้แผ่นบาง ๆ ถูกถีบเปิดออกอย่างแรงจนบานพับแทบหลุดกระเด็นกลุ่มทหารในเครื่องแบบเต็มยศราวห้าหกนายกรูเข้ามาในห้องเล็ก ๆ ของนางอย่างพร้อมเพรียง นำโดยหัวหน้าทหารผู้มีใบหน้าถมึงทึง และท่านนายอำเภอหลิวซึ่งมีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด“นะ นี่มันเรื่องอะไรกันเจ้าคะ?!” หลี่ชิงอีตกใจจนผุดลุกขึ้นยืน ทำเข็มในมือหล่นลงบนพื้นเสียงดัง แกร๊ง“เจ้าคือหลี่ชิงอีใช่หรือไม่!” หัวหน้าทหารตวาดถามเสียงกร้าว“ใช่เจ้าค่ะ แต่...”“ไม่ต้องพูดมาก!” เขาตัดบทอย่างไม่ไยด
ช่วงปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า ใกล้ถึงเทศกาลปีใหม่เข้าไปทุกขณะ บรรยากาศในเมืองเริ่มคึกคักและเต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้คน สำหรับหลี่ชิงอีแล้วนี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของนางเลยเชียวล่ะชีวิตของนางในตอนนี้เปรียบได้กับภาพวาดที่งดงาม ทุก ๆ สองสามวัน นางจะได้รับเชิญให้ไปยังจวนรับรองเพื่อเป็นเพื่อนคุยและร่ำเรียนวิชาปักผ้าชั้นสูงกับฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียว ฮูหยินผู้เฒ่ามักจะปฏิบัติต่อนางด้วยความรักและความเอ็นดูราวกับเป็นหลานสาวแท้ ๆ คอยสอนสั่งทั้งเรื่องงานฝีมือและเรื่องการใช้ชีวิต ความอบอุ่นที่นางได้รับนั้นค่อย ๆ เยียวยาบาดแผลในหัวใจที่เคยมีมาในอดีตจนเกือบจะหายสนิทความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเซียวจิ่นเหยียนก็พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะยังคงไว้ซึ่งท่าทีที่สำรวม แต่สายตาที่พวกเขามองกันและกันนั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้ ทุกครั้งที่นางไปที่จวนเขามักจะหาเรื่องเข้ามานั่งร่วมวงสนทนาด้วยเสมอ บางครั้งก็นำตำราสมุนไพรหายากมาให้นางอ่าน บางครั้งก็เล่าเรื่องราวแปลก ๆ จากแดนไกลให้ฟัง เป็นความสุขสงบเรียบง่ายที่นางไม่เคยได้สัมผั
หลายวันต่อมา ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า อากาศยิ่งทวีความหนาวเหน็บ หิมะโปรยปรายลงมาเป็นครั้งแรกของปี ปกคลุมหลังคาบ้านเรือนจนขาวโพลนไปทั่วทั้งเมือง แต่ความหนาวเย็นภายนอกกลับไม่อาจทำอะไรกิจการเล็ก ๆ ของหลี่ชิงอีได้อีก แผงของนางกลายเป็นจุดแวะพักที่อบอุ่นใจสำหรับลูกค้าหลาย ๆ คนที่ไม่เพียงมาซื้อของ แต่ยังมาเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนรอยยิ้มกับแม่ค้าสาวผู้มีน้ำใจงามผู้นี้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับลูกค้าประจำผู้เงียบขรึมก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นและลึกซึ้งขึ้นทุกวัน ผ้าเช็ดหน้าลายกิ่งไผ่ผืนนั้นได้กลายเป็นสะพานเชื่อมใจที่มองไม่เห็น ทำให้กำแพงระหว่างคนทั้งสองค่อย ๆ ทลายลง แม้บทสนทนาจะยังคงสั้นกระชับเช่นเคย แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในแววตาของพวกเขากลับชัดเจนยิ่งกว่าถ้อยคำนับพันคำหลี่ชิงอีไม่เคยคาดคิดเลยว่าโชคชะตาที่พลิกผันกำลังจะนำพาความอบอุ่นในรูปแบบที่นางโหยหามาตลอดชีวิตมามอบให้...ณ จวนรับรองส่วนตัวที่ตั้งอยู่อย่างเงียบสงบในอีกฟากหนึ่งของเมือง เซียวจิ่นเหยียนกำลังขมวดคิ้วมุ่นขณะอ่านรายงานทางการทหารที่ถูกส่งมาอย่างลับ ๆ อาการบาดเจ็บภายในของเขาค่อย ๆ ทุเลาลงอย่างน่าอัศจรรย์ในช่วงหลายวันที่ผ่านม