ในขณะที่ชีวิตของหลี่ชิงอีกำลังผลิบานขึ้นใหม่อย่างช้า ๆ ชีวิตในเรือนตระกูลสวี่กลับกำลังร่วงโรยลงทุกขณะ บรรยากาศที่เคยเต็มไปด้วยเสียงตวาดด่าและเสียงประจบประแจง บัดนี้กลับอึมครึมและเต็มไปด้วยความขุ่นข้องหมองใจ
นับตั้งแต่ไร้หลี่ชิงอีผู้เป็นดั่งวัวม้าให้ใช้งาน โม่หงชวนก็จำต้องลงมือทำงานบ้านด้วยตนเองเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี ความเหนื่อยยากทำให้โทสะของนางยิ่งเพิ่มพูน ส่วนสวี่จื่อเหวินนั้นเลวร้ายยิ่งกว่า เมื่อไม่มีเงินที่ได้จากงานปักผ้าของภรรยามาเจือจุน เขาก็ไม่สามารถใช้ชีวิตเสเพลร่ำสุรากับสหายได้เช่นเคย ทั้งยังถูกเจ้าหนี้บ่อนพนันตามทวงหนี้ที่เหลือไม่เว้นวัน สองแม่ลูกที่เคยสุขสบายอยู่บนความทุกข์ของผู้อื่น บัดนี้กำลังลิ้มรสความลำบากเป็นครั้งแรก
ยามบ่ายของกลางเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า ขณะที่โม่หงชวนกำลังนั่งบ่นอุบอิบถึงชะตาชีวิตของตนเองอยู่นั้น สตรีข้างบ้านผู้หนึ่งซึ่งขึ้นชื่อเรื่องปากหอยปากปูก็แวะเวียนเข้ามาหาที่เรือน
“แม่เสี่ยวสวี่ ข้ามีเรื่องน่าประหลาดใจจะมาเล่าให้ฟังด้วยล่ะ!” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เมื่อวานข้าน่ะไปตลาดมา ทายสิว่าข้าเจอใครมา ก็นางหนูหลี่ชิงอีอดีตสะใภ้ของเจ้าน่ะสิ!”
โม่หงชวนเบ้ปากด้วยความรังเกียจ “แล้วอย่างไร นางไปนั่งขอทานอยู่ข้างถนนรึไง”
“ขอทานที่ไหนกัน!” สตรีข้างบ้านรีบปฏิเสธ “นางไปตั้งแผงขายของอยู่ท้ายตลาดแน่ะ! เห็นว่าขายพวกถุงหอมผ้าเช็ดหน้าอะไรสักอย่างนี่แหละ ตอนแรกข้าก็คิดว่าคงจะไปไม่รอด แต่ที่ไหนได้ ลูกค้าติดกันตรึมเชียว! ได้ยินว่าหาเงินได้ไม่น้อยเลยในแต่ละวัน!”
คำพูดของนางเปรียบเสมือนชนวนที่ช่วยเพิ่มพูนความริษยาของโม่หงชวนให้มากยิ่งขึ้นไปอีก สตรีที่นางขับไล่ออกไปราวกับหมูหมา สตรีที่นางตราหน้ากลับกล้าไปมีชีวิตที่ดี เสมือนกับการตบหน้าตระกูลสวี่ของนางอย่างฉาดฉาน
เมื่อสวี่จื่อเหวินกลับมาถึงบ้านและได้ฟังเรื่องนี้จากมารดา ความรู้สึกของเขาก็ไม่ต่างกัน จากความดูแคลนแปรเปลี่ยนเป็นความอิจฉาและโกรธแค้น
“นาง! นางกล้าดีอย่างไร! วิชาปักผ้าพิสดารนั่นต้องเป็นของตระกูลเราแน่ ๆ นางคงขโมยมันไปใช้ทำมาหากิน!” เขาปั้นเรื่องขึ้นมาอย่างหน้าไม่อายเพื่อหาความชอบธรรมให้ความรู้สึกดำมืดในใจตนเอง
“ใช่! ต้องใช่แน่ ๆ!” โม่หงชวนรีบสนับสนุน คำพูดปั้นแต่งของบุตรชายเหลือขอ “เราจะปล่อยให้นางลอยนวลมีความสุขอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้! เราต้องไปทวงความยุติธรรมของเราคืนมา!”
สองแม่ลูกมองหน้ากัน แววตาเต็มไปด้วยความละโมบและแผนการอันชั่วร้าย พวกเขาไม่ได้ต้องการความยุติธรรม แต่ต้องการทำลายชีวิตที่ดีของหลี่ชิงอีให้ย่อยยับลงมาอีกครั้ง
***
ทว่าอีกด้านหนึ่งของท้ายตลาด หลี่ชิงอีกำลังค้าขายอย่างมีความสุข กิจการของนางกำลังไปได้สวย วันนี้นางทำผ้าพันคอผืนเล็กสอดไส้สมุนไพรที่ช่วยให้ความอบอุ่นมาขายเป็นพิเศษ ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างมาก
ลูกค้าประจำผู้เงียบขรึมของนางเพิ่งแวะเวียนมาซื้อผ้าเช็ดหน้าผืนใหม่ไปเมื่อครู่นี้เอง บทสนทนาสั้น ๆ และสายตาที่ให้เกียรติของเขายังคงทิ้งความรู้สึกอบอุ่นไว้ในใจของนาง
“นั่นไง! อยู่นั่นไง! นางแพศยาไร้ยางอาย!”
เสียงแหลมเล็กที่คุ้นเคยดังขึ้นราวกับเสียงอีกาที่น่ารังเกียจ มันตัดผ่านเสียงจอแจของตลาดจนทุกคนต้องหันไปมอง หลี่ชิงอีใจหายวาบเมื่อเห็นร่างของโม่หงชวนและสวี่จื่อเหวินกำลังแหวกฝูงชนตรงมาที่แผงของนางด้วยท่าทีคุกคาม
“ดูนางสิพี่น้องทุกท่าน! ดูอดีตลูกสะใภ้ของข้า!” โม่หงชวนชี้นิ้วมาที่หน้านางพลางป่าวประกาศด้วยเสียงอันดัง “ถูกขับออกจากตระกูลไปไม่ทันไร ก็ออกมานั่งให้ท่ายั่วยวนบุรุษอยู่กลางตลาด! ไม่มียางอายหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย!”
คำกล่าวหาที่ร้ายแรงไร้มูลความจริงทำเอาผู้คนในบริเวณนั้นถึงกับตกตะลึงและเริ่มจับกลุ่มซุบซิบกันทันที หลี่ชิงอีกำหมัดแน่น พยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาน้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก ข่มความโกรธและความเจ็บปวดเอาไว้
“ท่านป้าสวี่ ท่านพูดอะไรของท่านน่ะเจ้าคะ” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้ราบเรียบที่สุด “ข้าเพียงทำมาค้าขายอย่างสุจริต ไม่ได้ทำเรื่องเสื่อมเสียอย่างที่ท่านกล่าวหา”
“สุจริตรึ!” โม่หงชวนหัวเราะเยาะเสียงแหลม “แล้วบุรุษร่างสูงใหญ่ที่มาหยุดยืนคุยกับเจ้าแทบทุกวันเล่า! หากไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังอ่อยเขาอยู่ แล้วมันจะเรียกว่าอะไร! ถูกสามีหย่าแล้วก็รีบหาผัวใหม่ทันที ช่างร่านเสียจริง!”
คำพูดของนางเป็นดังการสาดโคลนใส่ชื่อเสียงของหลี่ชิงอีอย่างโหดเหี้ยมที่สุด ลูกค้าบางคนของนางที่อยู่ในเหตุการณ์พยายามจะช่วยพูดแก้ต่างให้ แต่ก็ถูกเสียงของโม่หงชวนตวาดกลับไปจนหงอ
สวี่จื่อเหวินเห็นว่ามารดาเปิดประเด็นได้อย่างงดงามแล้ว จึงรีบก้าวเข้ามาร่วมวงเสริมทัพทันที เขาแสร้งทำทีเป็นบัณฑิตผู้ทรงภูมิ ใช้เหตุผลจอมปลอมเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของนาง
“ท่านทั้งหลายโปรดไตร่ตรองดูให้ดี” เขากล่าวกับฝูงชนที่เริ่มเข้ามามุงดูมากขึ้นเรื่อย ๆ “สินค้าของนางดูภายนอกงดงาม แต่ใครจะไปรู้ว่าสมุนไพรที่นางยัดไส้เข้าไปข้างในนั้นคืออะไรกันแน่ อาจจะเป็นยาพิษที่มีฤทธิ์ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้ ซื้อไปวันนี้ พรุ่งนี้อาจจะล้มป่วยโดยไม่รู้สาเหตุ!”
“นั่นมันเรื่องโกหก!” หลี่ชิงอีเถียงกลับทันควัน “สมุนไพรของข้าทุกชนิดซื้อมาจากร้านยาที่เชื่อถือได้ มีแต่คุณไม่มีโทษ!”
“แล้ววิชาปักผ้าพิสดารเช่นนี้เล่า!” สวี่จื่อเหวินยังคงกล่าวหาต่อไปไม่หยุด “นางเป็นเพียงเด็กกำพร้า จะไปร่ำเรียนวิชาชั้นสูงเช่นนี้มาจากไหนได้ หากไม่ใช่ว่านางแอบขโมยเคล็ดวิชาปักผ้าประจำตระกูลของข้าไปใช้ทำมาหากิน!”
คำโป้ปดมดเท็จคำนี้ร้ายกาจยิ่งกว่าข้อหาใด ๆ มันทำลายทั้งเกียรติภูมิของนางและยังลบหลู่ไปถึงวิชาของบรรพบุรุษตระกูลเดิมของนางอีกด้วย
“ข้าไม่ได้ขโมย!” น้ำเสียงของนางเริ่มสั่นด้วยความโกรธ “วิชานี้เป็นของตระกูลเดิมของข้า! ไม่เคยเกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลสวี่ของท่านแม้แต่น้อย!”
“ใครจะเชื่อเจ้า! เจ้ามีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์!” สวี่จื่อเหวินย้อนถามอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า
สถานการณ์เริ่มเลวร้ายลงเรื่อย ๆ ผู้คนที่มุงดูเริ่มส่งเสียงกระซิบกระซาบที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวง ลูกค้าบางคนที่กำลังจะซื้อของจากนางถึงกับชะงักและถอยห่างออกไป
หลี่ชิงอียืนหยัดอย่างโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางวงล้อม นางพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะตอบโต้ข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอยเหล่านั้น แต่เสียงของนางคนเดียวจะไปสู้เสียงของคนพาลสันดานหยาบสองคนได้อย่างไร นางรู้สึกเหมือนกำลังจมลงไปในทะเลโคลนที่สองแม่ลูกตระกูลสวี่สาดเข้ามาไม่หยุดหย่อน
ความสุขที่นางเพิ่งสร้างขึ้นมาด้วยสองมือกำลังจะถูกทำลายลงในพริบตา
นางมองไปรอบ ๆ ตัว เห็นแต่สายตาที่ว่างเปล่า สายตาที่สงสัย และสายตาที่สมเพชเวทนา ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ไม่มีใครเชื่อในคำพูดของนาง
ในชั่วขณะนั้นเอง นางรู้สึกเหนื่อยล้าและอ้างว้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังไม่ยอมก้มหัวให้ แววตาของนางยังคงฉายแววไม่ยอมจำนน
กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ฤดูเหมันต์ผ่านพ้นไปอีกคราหนึ่ง...หนึ่งปีต่อมา ณ ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่หก ภายในจวนแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองหลวงอันโอ่อ่าและสง่างาม แทนที่จะมีเพียงความเงียบสงบและระเบียบวินัยแบบทหาร กลับมีมุมหนึ่งที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเหล่าสตรีดังแว่วออกมาไม่ขาดสายที่นี่คือเรือนปักผ้าโอสถ กิจการที่หลี่ชิงอีก่อตั้งขึ้นด้วยสองมือของนางเองหลี่ชิงอีในฐานะฮูหยินแม่ทัพ ไม่ได้เลือกใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่เพียงหลังบ้าน นางกลับทูลขอพื้นที่ส่วนหนึ่งในจวนจากสามี เพื่อดัดแปลงให้กลายเป็นโรงทำงานขนาดใหญ่ ที่นี่นางได้รวบรวมเหล่าสตรีผู้ตกยาก ไม่ว่าจะเป็นหญิงม่ายที่ไร้ที่พึ่ง ภรรยาที่ถูกสามีทอดทิ้ง หรือหญิงสาวที่เคยมีชีวิตตกต่ำ ผู้หญิงที่สังคมตราหน้าว่าไร้ค่า เฉกเช่นที่นางเคยโดนมาก่อนชิงอีจึงตัดสินใจมอบโอกาสครั้งที่สองให้แก่พวกนาง มอบวิชาความรู้ มอบอาชีพ และที่สำคัญที่สุดคือมอบครอบครัวและศักดิ์ศรีที่พวกนางไม่เคยได้รับกลับคืนมา“ฮูหยินเจ้าขา ด้ายเส้นนี้ของข้าขาดอีกแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงท้อแท้ นางเป็นอดีตนางโลมที่หลี่ชิงอ
เสียงโหยหวนคร่ำครวญของสองแม่ลูกตระกูลสวี่ดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่กลับไม่มีใครในที่นั้นรู้สึกสงสารหรือเห็นใจแม้แต่น้อย ทุกคนต่างมองดูภาพอันน่าสมเพชนั้นด้วยสายตาที่เย็นชา เพราะนี่คือผลลัพธ์ที่พวกเขาก่อขึ้นเอง เพียงแต่กรรมตามสนองที่มาถึงเร็วกว่าที่คาดคิดเซียวจิ่นเหยียนมองดูสองชีวิตที่กำลังกอดขาตนเองอ้อนวอนขอความเมตตาด้วยแววตาที่ว่างเปล่าราวกับมองดูฝุ่นผงที่ไร้ค่า สำหรับเขาแล้ว คนที่บังอาจทำร้ายสตรีที่อยู่ในความคุ้มครองของเขา ไม่สมควรได้รับความปรานีใด ๆ ทั้งสิ้นเขาหันไปทางท่านนายอำเภอหลิวที่ยังคงคุกเข่าตัวสั่นอยู่“นายอำเภอหลิว ในฐานะเจ้าเมือง ท่านปล่อยให้มีการลักขโมยของหลวงในเขตปกครองของตนเอง นับเป็นความผิดฐานละเลยต่อหน้าที่ แต่ในครั้งนี้ข้าจะถือว่าท่านเองก็ถูกหลอกใช้เช่นกัน ข้าจะยังไม่เอาความผิดท่าน แต่จงกลับไปปรับปรุงการป้องกันจวนของท่านให้ดีขึ้นกว่านี้!”“ขะ ขอบพระคุณท่านแม่ทัพที่เมตตา! ข้าน้อยจะจดจำคำสอนของท่านไว้ใส่ใจ!” นายอำเภอหลิวโขกศีรษะคำนับด้วยความโล่งอกจากนั้น สายตาเย็นเยียบก็หวนกลับมาจับจ้องที่ร่างของสองแม่ลูกตระกูลสวี่อีกครั้ง“สำหรับคนทั้งสอง...” น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งความ
ณ ตรอกท้ายตลาดในยามนั้น เวลาดูราวกับจะหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหนาวที่พัดหวีดหวิวผ่านไป ทุกสายตาจับจ้องไปยังบุรุษในชุดเกราะเงินผู้เปรียบประดุจเทพเจ้าสงครามที่จุติลงมายังโลกมนุษย์ ความกดดันที่มองไม่เห็นแผ่กระจายไปทั่วทุกอณูของอากาศจนทำให้ผู้คนแทบหยุดหายใจหลี่ชิงอียืนนิ่งงันอยู่กลางวงล้อมความโกลาหลนั้น น้ำตาของนางเหือดแห้งไปแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกตื่นตะลึงและสับสนจนทำอะไรไม่ถูก นางมองดูแผ่นหลังที่กว้างและองอาจของเซียวจิ่นเหยียน บุรุษที่นางรู้จักในฐานะลูกค้าผู้เงียบขรึม บัดนี้กลับกลายเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้เขาลงจากหลังม้าอย่างสง่างาม เสียงเกราะที่กระทบกันดังกังวานน่าเกรงขาม แต่แทนที่จะเดินตรงไปยังท่านนายอำเภอที่กำลังคุกเข่าตัวสั่นงันงกอยู่ เขากลับเดินตรงมาหานาง...เซียวจิ่นเหยียนหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหลี่ชิงอี เขาไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงแค่ยกมือที่สวมถุงมือเกราะขึ้น ปัดปอยผมที่เปียกชื้นจากน้ำตาให้พ้นจากใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นแม้จะผ่านเกราะหนา แต่กลับอบอุ่นและอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด“ไม่ต้องกลัว” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเข
รุ่งอรุณของวันถัดมา เวลายามเฉิน[1] ในที่สุดหิมะก็หยุดตก ทิ้งไว้เพียงปุยขาวโพลนที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง อากาศยามเช้าสดชื่นและบริสุทธิ์ หลี่ชิงอีกำลังนั่งอยู่ในห้องเช่าอันอบอุ่นของนางอย่างมีความสุข นางกำลังบรรจงปักผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก ๆ ลายดอกกุ้ยฮวา เพื่อเตรียมจะมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียวนางฮัมเพลงเบา ๆ อย่างสบายใจ ชีวิตที่เคยมืดแปดด้านของนาง บัดนี้กลับสว่างไสวและเต็มไปด้วยความหวัง นางมีกิจการเล็ก ๆ เป็นของตนเอง มีผู้ใหญ่ที่เคารพรักและเอ็นดูนาง และมีบุรุษผู้หนึ่งที่ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้พบเจอตึง!ประตูห้องที่ทำจากไม้แผ่นบาง ๆ ถูกถีบเปิดออกอย่างแรงจนบานพับแทบหลุดกระเด็นกลุ่มทหารในเครื่องแบบเต็มยศราวห้าหกนายกรูเข้ามาในห้องเล็ก ๆ ของนางอย่างพร้อมเพรียง นำโดยหัวหน้าทหารผู้มีใบหน้าถมึงทึง และท่านนายอำเภอหลิวซึ่งมีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด“นะ นี่มันเรื่องอะไรกันเจ้าคะ?!” หลี่ชิงอีตกใจจนผุดลุกขึ้นยืน ทำเข็มในมือหล่นลงบนพื้นเสียงดัง แกร๊ง“เจ้าคือหลี่ชิงอีใช่หรือไม่!” หัวหน้าทหารตวาดถามเสียงกร้าว“ใช่เจ้าค่ะ แต่...”“ไม่ต้องพูดมาก!” เขาตัดบทอย่างไม่ไยด
ช่วงปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า ใกล้ถึงเทศกาลปีใหม่เข้าไปทุกขณะ บรรยากาศในเมืองเริ่มคึกคักและเต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้คน สำหรับหลี่ชิงอีแล้วนี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของนางเลยเชียวล่ะชีวิตของนางในตอนนี้เปรียบได้กับภาพวาดที่งดงาม ทุก ๆ สองสามวัน นางจะได้รับเชิญให้ไปยังจวนรับรองเพื่อเป็นเพื่อนคุยและร่ำเรียนวิชาปักผ้าชั้นสูงกับฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียว ฮูหยินผู้เฒ่ามักจะปฏิบัติต่อนางด้วยความรักและความเอ็นดูราวกับเป็นหลานสาวแท้ ๆ คอยสอนสั่งทั้งเรื่องงานฝีมือและเรื่องการใช้ชีวิต ความอบอุ่นที่นางได้รับนั้นค่อย ๆ เยียวยาบาดแผลในหัวใจที่เคยมีมาในอดีตจนเกือบจะหายสนิทความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเซียวจิ่นเหยียนก็พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะยังคงไว้ซึ่งท่าทีที่สำรวม แต่สายตาที่พวกเขามองกันและกันนั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้ ทุกครั้งที่นางไปที่จวนเขามักจะหาเรื่องเข้ามานั่งร่วมวงสนทนาด้วยเสมอ บางครั้งก็นำตำราสมุนไพรหายากมาให้นางอ่าน บางครั้งก็เล่าเรื่องราวแปลก ๆ จากแดนไกลให้ฟัง เป็นความสุขสงบเรียบง่ายที่นางไม่เคยได้สัมผั
หลายวันต่อมา ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า อากาศยิ่งทวีความหนาวเหน็บ หิมะโปรยปรายลงมาเป็นครั้งแรกของปี ปกคลุมหลังคาบ้านเรือนจนขาวโพลนไปทั่วทั้งเมือง แต่ความหนาวเย็นภายนอกกลับไม่อาจทำอะไรกิจการเล็ก ๆ ของหลี่ชิงอีได้อีก แผงของนางกลายเป็นจุดแวะพักที่อบอุ่นใจสำหรับลูกค้าหลาย ๆ คนที่ไม่เพียงมาซื้อของ แต่ยังมาเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนรอยยิ้มกับแม่ค้าสาวผู้มีน้ำใจงามผู้นี้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับลูกค้าประจำผู้เงียบขรึมก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นและลึกซึ้งขึ้นทุกวัน ผ้าเช็ดหน้าลายกิ่งไผ่ผืนนั้นได้กลายเป็นสะพานเชื่อมใจที่มองไม่เห็น ทำให้กำแพงระหว่างคนทั้งสองค่อย ๆ ทลายลง แม้บทสนทนาจะยังคงสั้นกระชับเช่นเคย แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในแววตาของพวกเขากลับชัดเจนยิ่งกว่าถ้อยคำนับพันคำหลี่ชิงอีไม่เคยคาดคิดเลยว่าโชคชะตาที่พลิกผันกำลังจะนำพาความอบอุ่นในรูปแบบที่นางโหยหามาตลอดชีวิตมามอบให้...ณ จวนรับรองส่วนตัวที่ตั้งอยู่อย่างเงียบสงบในอีกฟากหนึ่งของเมือง เซียวจิ่นเหยียนกำลังขมวดคิ้วมุ่นขณะอ่านรายงานทางการทหารที่ถูกส่งมาอย่างลับ ๆ อาการบาดเจ็บภายในของเขาค่อย ๆ ทุเลาลงอย่างน่าอัศจรรย์ในช่วงหลายวันที่ผ่านม