ท่ามกลางวงล้อมของฝูงชนและความโกลาหล หลี่ชิงอีกำลังจะถึงขีดจำกัดของความอดทน นางกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ ความโกรธและความอัปยศอดสูที่ถูกหยามเกียติต่อหน้าธารกำนัลทำให้ร่างทั้งร่างของนางสั่นสะท้าน แต่ก่อนที่นางจะได้เอ่ยคำพูดใด ๆ ออกไป...
ชาวบ้านที่กำลังมุงดูอยู่นั้นพลันแหวกออกเป็นทางอย่างเงียบเชียบ ราวกับมีพลังที่มองไม่เห็นบางอย่างกำลังเคลื่อนที่ผ่านเข้ามา
บุรุษร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์ผ้าฝ้ายสีเข้มก้าวเข้ามาในวงล้อมด้วยฝีเท้าที่มั่นคงและหนักแน่น เขาไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามใด ๆ เพียงแค่เดินมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ แผงค้าเล็ก ๆ ของหลี่ชิงอีอย่างสงบนิ่ง
เซียวจิ่นเหยียนเพิ่งเดินออกมาจากร้านยาที่อยู่ไม่ไกลนัก ในมือของเขายังคงถือห่อสมุนไพรสำหรับรักษาอาการบาดเจ็บภายในอยู่ แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายที่คุ้นเคยดังมาจากทิศทางของตลาด ด้วยสัญชาตญาณบางอย่าง เขารีบเดินตรงมายังต้นเสียงทันที และภาพที่เขาเห็นก็ทำให้ดวงตาที่เคยสงบนิ่งของเขาพลันฉายแววเย็นเยียบขึ้นมาวูบหนึ่ง
สตรีที่เขาเฝ้ามองดูนางลุกขึ้นสู้และสร้างชีวิตใหม่ด้วยสองมือของตนเอง กำลังถูกคนพาลสองคนรุมรังแกและใส่ร้ายป้ายสีอย่างน่ารังเกียจ
เขาไม่ได้ปรี่เข้าไปปกป้องนางอย่างโจ่งแจ้ง ไม่ได้ตวาดใส่สองแม่ลูกตระกูลสวี่ให้เสียกิริยา การกระทำของเขาละเอียดอ่อนและทรงพลังยิ่งกว่านั้นมาก
เขาเพียงแค่ยืนกอดอกนิ่ง ๆ แล้วหันไปจ้องมองโม่หงชวนและสวี่จื่อเหวินด้วยสายตาที่เรียบเฉย แต่กลับเย็นชาและลึกล้ำ มันเป็นสายตาของผู้ที่เคยผ่านสมรภูมิรบมานับครั้งไม่ถ้วน เคยเผชิญหน้ากับความเป็นความตายมาแล้วจนเป็นเรื่องปกติ รังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาโดยไม่รู้ตัวนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามัญอย่างสองแม่ลูกตระกูลสวี่จะสามารถต้านทานได้
โม่หงชวนที่กำลังอ้าปากเตรียมจะพ่นวาจาหยาบคายต่อไปถึงกับชะงักงัน คำพูดทั้งหมดพลันติดอยู่ที่ลำคอ เมื่อนางสบเข้ากับสายตาคู่นั้น ความรู้สึกเย็นวาบก็แล่นปราดไปทั่วทั้งสันหลังราวกับถูกอสรพิษร้ายจ้องมองอยู่ ส่วนสวี่จื่อเหวินที่เคยทำตัวกร่างเป็นบัณฑิตผู้ทรงภูมิ บัดนี้กลับรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างของตนเองเริ่มสั่นเทาขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงมดปลวกตัวเล็ก ๆ ที่กำลังเผชิญหน้ากับพญาราชสีห์
ความเงียบเข้าครอบงำบริเวณนั้นอีกครั้ง แต่เป็นความเงียบที่น่าอึดอัดและเต็มไปด้วยแรงกดดันที่มองไม่เห็น ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ต่างก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันนี้ พวกเขามองบุรุษแปลกหน้าผู้นี้ด้วยความฉงนและยำเกรงในเวลาเดียวกัน
หลังจากปล่อยให้ความเงียบทำงานอยู่ชั่วครู่หนึ่ง เซียวจิ่นเหยียนก็เอ่ยปากขึ้นเป็นครั้งแรก น้ำเสียงของเขาราบเรียบแต่กลับก้องกังวานและทรงพลังอย่างน่าประหลาด
“ร้านค้าของนางมีปัญหาอะไรกับพวกเจ้ารึ?” แม้จะเป็นคำถามที่เรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยอำนาจที่ทำให้คนฟังไม่อาจเพิกเฉยได้
โม่หงชวนถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ นางหันไปมองหน้าบุตรชายเพื่อขอความช่วยเหลือ สวี่จื่อเหวินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี แสร้งทำเป็นใจดีสู้เสือ
“ทะ ท่านเป็นใคร! อย่าเข้ามายุ่งเรื่องของครอบครัวผู้อื่นจะดีกว่า! สตรีผู้นี้นางเป็นอดีตภรรยาของข้า นางกำลังสร้างความเสื่อมเสียให้ตระกูลเรา!” เขาพยายามอ้างสิทธิ์อันจอมปลอมของตนเองขึ้นมา
เซียวจิ่นเหยียนหรี่ตาลงเล็กน้อย แววตาคมกริบยิ่งขึ้น
“อดีตก็คืออดีตมิใช่รึ” เขากล่าวสวนกลับไปเรียบ ๆ “แล้วสินค้าของนางไปทำอะไรให้พวกเจ้าเดือดร้อน?” เขาย้ำคำถามเดิมอีกครั้งหนึ่ง เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าเขาไม่สนใจเรื่องส่วนตัวไร้สาระของพวกเขา แต่สนใจในการกระทำที่พวกเขากำลังก่อกวนการค้าขายของหลี่ชิงอีอยู่
คำพูดของเขาเป็นดั่งคมในฝักที่แม้จะไม่ได้ชักออกมาให้เห็น แต่ก็สัมผัสได้ถึงความคมกล้าที่ซ่อนอยู่ภายใน
สวี่จื่อเหวินถึงกับเหงื่อตก “กะ ก็... ก็นางขโมยวิชาปักผ้าของตระกูลข้าไป! แล้วยังใช้สมุนไพรที่อาจเป็นพิษอีก!” เขายังคงดันทุรังกล่าวหาต่อไป แต่คราวนี้น้ำเสียงของเขาขาดความมั่นใจไปอย่างเห็นได้ชัด
เซียวจิ่นเหยียนเหลือบมองสินค้าบนแผงของหลี่ชิงอีแวบหนึ่ง ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกเหมยขึ้นมาหนึ่งผืน
“ข้าซื้อสินค้าของนางแทบทุกวัน” เขากล่าวกับฝูงชนที่กำลังตั้งใจฟังอยู่ “ข้ายังคงแข็งแรงดี ไม่มีอาการเจ็บป่วยใด ๆ ทั้งสิ้น และในฐานะที่พอมีความรู้เรื่องสมุนไพรอยู่บ้าง ข้าขอยืนยันว่าสมุนไพรที่นางใช้ล้วนเป็นของดีมีคุณภาพ”
คำพูดของเขาเปรียบเสมือนการตบหน้าสวี่จื่อเหวินอย่างฉาดฉาน การยืนยันจากลูกค้าประจำที่ดูน่าเชื่อถือและน่าเกรงขามเช่นนี้ มีน้ำหนักมากกว่าคำกล่าวหาลอย ๆ ของคนพาลเป็นร้อยเท่าพันเท่า
จากนั้น เขาก็หันกลับไปจ้องมองสองแม่ลูกอีกครั้ง “ส่วนเรื่องวิชาปักผ้า หากพวกเจ้ามีหลักฐานก็จงไปแจ้งทางการให้มาตรวจสอบ แต่หากไม่มี การกล่าวหาผู้อื่นลอย ๆ เช่นนี้ถือเป็นการหมิ่นประมาท มีความผิดตามกฎหมาย”
เมื่อได้ยินคำว่าแจ้งทางการและกฎหมาย สองแม่ลูกตระกูลสวี่ก็ถึงกับหน้าซีดเผือดเป็นไก่ต้มทันที พวกเขาเป็นเพียงกบในกะลาครอบที่เคยแต่ข่มเหงคนที่อ่อนแอกว่า เมื่อเจอเข้ากับบุรุษที่ดูไม่ธรรมดาและมีความรู้เรื่องกฎหมายเช่นนี้ ก็ถึงกับไปไม่เป็นทันที
โม่หงชวนรู้ดีว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่เป็นใจให้นางแล้ว นางรีบดึงแขนเสื้อของบุตรชายเป็นสัญญาณให้ล่าถอย “ชะ ช่างมันเถอะ! ข้าไม่อยากลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับคนชั้นต่ำ!” นางแผดเสียงออกมาเพื่อรักษาหน้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะรีบจูงมือบุตรชายแหวกฝูงชนและเดินหนีไปอย่างหัวซุกหัวซุน
เมื่อตัวต้นเหตุจากไปแล้ว ฝูงชนที่มุงดูก็เริ่มสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว เรื่องราวในวันนี้คงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาของพวกเขาไปอีกหลายวัน แต่ที่แน่ ๆ คือความน่าเชื่อถือของสองแม่ลูกตระกูลสวี่ได้พังทลายลงแล้ว ส่วนหลี่ชิงอีนั้น แม้จะยังคงรู้สึกเจ็บปวดกับคำพูดเหล่านั้น แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เริ่มมองนางด้วยสายตาที่เข้าใจและเห็นใจมากขึ้น
หลี่ชิงอียืนนิ่งอยู่กับที่ นางยังคงรู้สึกชาไปทั้งตัวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น นางหันไปมองบุรุษที่ยังคงยืนอยู่ข้าง ๆ นางด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งขอบคุณ ทั้งซาบซึ้ง และทั้งประหลาดใจ
เซียวจิ่นเหยียนวางผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นลงบนแผงตามเดิม พร้อมกับวางเหรียญเงินก้อนหนึ่งทับไว้ “ผืนนี้ข้าซื้อ”
“ท่าน... ข้า...” หลี่ชิงอีพูดไม่ออก นางไม่รู้จะขอบคุณเขาอย่างไรดี
เขามองลึกเข้ามาในดวงตาของนาง แววตาที่เคยเย็นชาเมื่อครู่ บัดนี้กลับอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด เขารู้ว่านางคงจะบอบช้ำกับเหตุการณ์ในวันนี้ไม่น้อย
เขาไม่ได้พูดปลอบใจ ไม่ได้พูดจาหวานเลี่ยนใด ๆ เขาเพียงแค่เอ่ยประโยคสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและหนักแน่นประโยคหนึ่ง...
“หากมีคนมารังแกอีก ให้มาบอกข้า”
คำพูดนั้นมันไม่ใช่แค่คำพูดปลอบใจ แต่มันเสมือนคำมั่นสัญญา เป็นการประกาศจุดยืนที่ชัดเจนว่านับจากนี้ไปนางจะไม่ได้ต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวอีกแล้ว
หลี่ชิงอีก้มหน้าลงเพื่อซ่อนน้ำตาที่เริ่มเอ่อคลอขึ้นมาในดวงตา นางพยักหน้ารับเบา ๆ เป็นการตอบรับ
กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ฤดูเหมันต์ผ่านพ้นไปอีกคราหนึ่ง...หนึ่งปีต่อมา ณ ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่หก ภายในจวนแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองหลวงอันโอ่อ่าและสง่างาม แทนที่จะมีเพียงความเงียบสงบและระเบียบวินัยแบบทหาร กลับมีมุมหนึ่งที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจและเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเหล่าสตรีดังแว่วออกมาไม่ขาดสายที่นี่คือเรือนปักผ้าโอสถ กิจการที่หลี่ชิงอีก่อตั้งขึ้นด้วยสองมือของนางเองหลี่ชิงอีในฐานะฮูหยินแม่ทัพ ไม่ได้เลือกใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่เพียงหลังบ้าน นางกลับทูลขอพื้นที่ส่วนหนึ่งในจวนจากสามี เพื่อดัดแปลงให้กลายเป็นโรงทำงานขนาดใหญ่ ที่นี่นางได้รวบรวมเหล่าสตรีผู้ตกยาก ไม่ว่าจะเป็นหญิงม่ายที่ไร้ที่พึ่ง ภรรยาที่ถูกสามีทอดทิ้ง หรือหญิงสาวที่เคยมีชีวิตตกต่ำ ผู้หญิงที่สังคมตราหน้าว่าไร้ค่า เฉกเช่นที่นางเคยโดนมาก่อนชิงอีจึงตัดสินใจมอบโอกาสครั้งที่สองให้แก่พวกนาง มอบวิชาความรู้ มอบอาชีพ และที่สำคัญที่สุดคือมอบครอบครัวและศักดิ์ศรีที่พวกนางไม่เคยได้รับกลับคืนมา“ฮูหยินเจ้าขา ด้ายเส้นนี้ของข้าขาดอีกแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงท้อแท้ นางเป็นอดีตนางโลมที่หลี่ชิงอ
เสียงโหยหวนคร่ำครวญของสองแม่ลูกตระกูลสวี่ดังก้องไปทั่วบริเวณ แต่กลับไม่มีใครในที่นั้นรู้สึกสงสารหรือเห็นใจแม้แต่น้อย ทุกคนต่างมองดูภาพอันน่าสมเพชนั้นด้วยสายตาที่เย็นชา เพราะนี่คือผลลัพธ์ที่พวกเขาก่อขึ้นเอง เพียงแต่กรรมตามสนองที่มาถึงเร็วกว่าที่คาดคิดเซียวจิ่นเหยียนมองดูสองชีวิตที่กำลังกอดขาตนเองอ้อนวอนขอความเมตตาด้วยแววตาที่ว่างเปล่าราวกับมองดูฝุ่นผงที่ไร้ค่า สำหรับเขาแล้ว คนที่บังอาจทำร้ายสตรีที่อยู่ในความคุ้มครองของเขา ไม่สมควรได้รับความปรานีใด ๆ ทั้งสิ้นเขาหันไปทางท่านนายอำเภอหลิวที่ยังคงคุกเข่าตัวสั่นอยู่“นายอำเภอหลิว ในฐานะเจ้าเมือง ท่านปล่อยให้มีการลักขโมยของหลวงในเขตปกครองของตนเอง นับเป็นความผิดฐานละเลยต่อหน้าที่ แต่ในครั้งนี้ข้าจะถือว่าท่านเองก็ถูกหลอกใช้เช่นกัน ข้าจะยังไม่เอาความผิดท่าน แต่จงกลับไปปรับปรุงการป้องกันจวนของท่านให้ดีขึ้นกว่านี้!”“ขะ ขอบพระคุณท่านแม่ทัพที่เมตตา! ข้าน้อยจะจดจำคำสอนของท่านไว้ใส่ใจ!” นายอำเภอหลิวโขกศีรษะคำนับด้วยความโล่งอกจากนั้น สายตาเย็นเยียบก็หวนกลับมาจับจ้องที่ร่างของสองแม่ลูกตระกูลสวี่อีกครั้ง“สำหรับคนทั้งสอง...” น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งความ
ณ ตรอกท้ายตลาดในยามนั้น เวลาดูราวกับจะหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหนาวที่พัดหวีดหวิวผ่านไป ทุกสายตาจับจ้องไปยังบุรุษในชุดเกราะเงินผู้เปรียบประดุจเทพเจ้าสงครามที่จุติลงมายังโลกมนุษย์ ความกดดันที่มองไม่เห็นแผ่กระจายไปทั่วทุกอณูของอากาศจนทำให้ผู้คนแทบหยุดหายใจหลี่ชิงอียืนนิ่งงันอยู่กลางวงล้อมความโกลาหลนั้น น้ำตาของนางเหือดแห้งไปแล้ว เหลือเพียงความรู้สึกตื่นตะลึงและสับสนจนทำอะไรไม่ถูก นางมองดูแผ่นหลังที่กว้างและองอาจของเซียวจิ่นเหยียน บุรุษที่นางรู้จักในฐานะลูกค้าผู้เงียบขรึม บัดนี้กลับกลายเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้เขาลงจากหลังม้าอย่างสง่างาม เสียงเกราะที่กระทบกันดังกังวานน่าเกรงขาม แต่แทนที่จะเดินตรงไปยังท่านนายอำเภอที่กำลังคุกเข่าตัวสั่นงันงกอยู่ เขากลับเดินตรงมาหานาง...เซียวจิ่นเหยียนหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหลี่ชิงอี เขาไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงแค่ยกมือที่สวมถุงมือเกราะขึ้น ปัดปอยผมที่เปียกชื้นจากน้ำตาให้พ้นจากใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นแม้จะผ่านเกราะหนา แต่กลับอบอุ่นและอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด“ไม่ต้องกลัว” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเข
รุ่งอรุณของวันถัดมา เวลายามเฉิน[1] ในที่สุดหิมะก็หยุดตก ทิ้งไว้เพียงปุยขาวโพลนที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง อากาศยามเช้าสดชื่นและบริสุทธิ์ หลี่ชิงอีกำลังนั่งอยู่ในห้องเช่าอันอบอุ่นของนางอย่างมีความสุข นางกำลังบรรจงปักผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก ๆ ลายดอกกุ้ยฮวา เพื่อเตรียมจะมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียวนางฮัมเพลงเบา ๆ อย่างสบายใจ ชีวิตที่เคยมืดแปดด้านของนาง บัดนี้กลับสว่างไสวและเต็มไปด้วยความหวัง นางมีกิจการเล็ก ๆ เป็นของตนเอง มีผู้ใหญ่ที่เคารพรักและเอ็นดูนาง และมีบุรุษผู้หนึ่งที่ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้พบเจอตึง!ประตูห้องที่ทำจากไม้แผ่นบาง ๆ ถูกถีบเปิดออกอย่างแรงจนบานพับแทบหลุดกระเด็นกลุ่มทหารในเครื่องแบบเต็มยศราวห้าหกนายกรูเข้ามาในห้องเล็ก ๆ ของนางอย่างพร้อมเพรียง นำโดยหัวหน้าทหารผู้มีใบหน้าถมึงทึง และท่านนายอำเภอหลิวซึ่งมีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด“นะ นี่มันเรื่องอะไรกันเจ้าคะ?!” หลี่ชิงอีตกใจจนผุดลุกขึ้นยืน ทำเข็มในมือหล่นลงบนพื้นเสียงดัง แกร๊ง“เจ้าคือหลี่ชิงอีใช่หรือไม่!” หัวหน้าทหารตวาดถามเสียงกร้าว“ใช่เจ้าค่ะ แต่...”“ไม่ต้องพูดมาก!” เขาตัดบทอย่างไม่ไยด
ช่วงปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า ใกล้ถึงเทศกาลปีใหม่เข้าไปทุกขณะ บรรยากาศในเมืองเริ่มคึกคักและเต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้คน สำหรับหลี่ชิงอีแล้วนี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของนางเลยเชียวล่ะชีวิตของนางในตอนนี้เปรียบได้กับภาพวาดที่งดงาม ทุก ๆ สองสามวัน นางจะได้รับเชิญให้ไปยังจวนรับรองเพื่อเป็นเพื่อนคุยและร่ำเรียนวิชาปักผ้าชั้นสูงกับฮูหยินผู้เฒ่าเซียวเซียว ฮูหยินผู้เฒ่ามักจะปฏิบัติต่อนางด้วยความรักและความเอ็นดูราวกับเป็นหลานสาวแท้ ๆ คอยสอนสั่งทั้งเรื่องงานฝีมือและเรื่องการใช้ชีวิต ความอบอุ่นที่นางได้รับนั้นค่อย ๆ เยียวยาบาดแผลในหัวใจที่เคยมีมาในอดีตจนเกือบจะหายสนิทความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเซียวจิ่นเหยียนก็พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะยังคงไว้ซึ่งท่าทีที่สำรวม แต่สายตาที่พวกเขามองกันและกันนั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูดได้ ทุกครั้งที่นางไปที่จวนเขามักจะหาเรื่องเข้ามานั่งร่วมวงสนทนาด้วยเสมอ บางครั้งก็นำตำราสมุนไพรหายากมาให้นางอ่าน บางครั้งก็เล่าเรื่องราวแปลก ๆ จากแดนไกลให้ฟัง เป็นความสุขสงบเรียบง่ายที่นางไม่เคยได้สัมผั
หลายวันต่อมา ปลายเดือนสิบสองในรัชศกจิ่งหยวนปีที่ห้า อากาศยิ่งทวีความหนาวเหน็บ หิมะโปรยปรายลงมาเป็นครั้งแรกของปี ปกคลุมหลังคาบ้านเรือนจนขาวโพลนไปทั่วทั้งเมือง แต่ความหนาวเย็นภายนอกกลับไม่อาจทำอะไรกิจการเล็ก ๆ ของหลี่ชิงอีได้อีก แผงของนางกลายเป็นจุดแวะพักที่อบอุ่นใจสำหรับลูกค้าหลาย ๆ คนที่ไม่เพียงมาซื้อของ แต่ยังมาเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนรอยยิ้มกับแม่ค้าสาวผู้มีน้ำใจงามผู้นี้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับลูกค้าประจำผู้เงียบขรึมก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นและลึกซึ้งขึ้นทุกวัน ผ้าเช็ดหน้าลายกิ่งไผ่ผืนนั้นได้กลายเป็นสะพานเชื่อมใจที่มองไม่เห็น ทำให้กำแพงระหว่างคนทั้งสองค่อย ๆ ทลายลง แม้บทสนทนาจะยังคงสั้นกระชับเช่นเคย แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในแววตาของพวกเขากลับชัดเจนยิ่งกว่าถ้อยคำนับพันคำหลี่ชิงอีไม่เคยคาดคิดเลยว่าโชคชะตาที่พลิกผันกำลังจะนำพาความอบอุ่นในรูปแบบที่นางโหยหามาตลอดชีวิตมามอบให้...ณ จวนรับรองส่วนตัวที่ตั้งอยู่อย่างเงียบสงบในอีกฟากหนึ่งของเมือง เซียวจิ่นเหยียนกำลังขมวดคิ้วมุ่นขณะอ่านรายงานทางการทหารที่ถูกส่งมาอย่างลับ ๆ อาการบาดเจ็บภายในของเขาค่อย ๆ ทุเลาลงอย่างน่าอัศจรรย์ในช่วงหลายวันที่ผ่านม