เธอและเขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกระหว่างทางที่เกวียนวิ่งไปเรื่อยๆ มีแค่เธอที่มองสองข้างทางอย่างสนอกสนใจ ที่นี่สองข้างทางมีแค่ป่า ทางที่เอาไว้สำหรับใช้เดินทางก็เป็นทางง่ายๆ มีหลุมตลอดทาง เวลาเกวียนวิ่งไปทำให้เธอรู้สึกเจ็บทุกครั้งที่เกวียนวิ่งผ่านหลุมเหล่านั้น เธอคิดในใจว่าเมื่อไหร่จะถึงเสียที
อี้เฉิงมองไปที่หญิงสาวที่มองดูตลอดสองข้างทาง เหมือนคนไม่เคยเห็น และทำหน้าเจ็บปวดทุกครั้งที่เกวียนวัวคันนี้ขับลงหลุมที่มีอยู่ตลอดเส้นทาง เขามองนางและคิดว่านางคงไม่เคยพบเจอกับความลำบากมาก่อนหรือเปล่า เขาคิดอะไรเพลินๆ ก็ถึงประตูเข้าเมือง เขาจ่ายค่าผ่านทางและบอกให้คนขับเกวียนขับไปที่ร้านอาหารตระกูลฉิ่น “ถึงร้านอาหารตระกูลฉิ่นแล้ว” อี้เฉิงเดินลงมาจากรถเกวียนวัว ลูกจ้างที่กำลังทำความสะอาดอยู่หน้าร้านก็วิ่งเข้าไปตามหลงจู๊ออกมา เพราะร้านอาหารตระกูลฉิ่นกับอี้เฉิงซื้อขายกันบ่อยครั้ง “หลงจู๊ขอรับ นายพรานอี้เฉิงมาหาขอรับ” “นายพรานอี้เฉิงมาหรือ เจ้าเรียกเขาเข้ามาข้างในร้านเลย” “ได้ขอรับ” ลูกจ้างเดินออกไปเรียกอี้เฉิงให้เข้ามาคุยภายในร้าน แต่อี้เฉิงบอกว่ามีสินค้าชิ้นใหญ่นำมาขายเอาออกมาวางข้างนอกไม่ได้ “นายพรานอี้เฉิงให้คนขับเกวียนเข้าไปด้านหลังร้านได้เลยขอรับ” “ข้าจะไปรอหลงจู๊ด้านหลังร้าน” อี้เฉิงบอกกับลูกจ้างคนนั้น ลูกจ้างผู้นั้นรีบเดินเข้าไปรายงานหลงจู๊ หลงจู๊ที่ได้ฟังรายงาน ของที่ล่าได้วันนี้ที่นายพรายอี้เฉิงนำมาขายต้องเป็นของหายากอย่างแน่นอน เขาต้องรีบออกไปต้อนรับเสียแล้ว “เจ้าไปรายงานนายท่านว่านายพรานอี้เฉิงมีสินค้าชิ้นใหญ่มาขาย” หลงจู๊สั่งงานกับลูกน้องเสร็จแล้วเขาก็รีบเดินมาด้านหลังร้านทันที “ข้าต้องทำให้รอนานหรือไม่ท่านนายพรายอี้เฉิง วันนี้ท่านมีของดีอะไรมาขายให้ที่ร้านเล็กๆ ของเรากัน” “ท่านก็พูดไป ถ้าร้านของหลงจู๊เล็กก็ไม่มีร้านที่ไหนใหญ่ไปกว่านี้แล้ว” หลงจู๊หัวเราะกับคำตอบของอี้เฉิง “ไม่ทราบว่าสิ่งใดกันที่ท่านนำมาขายให้กับร้านของเรา” “ท่านลองดูเองเถิดว่าสิ่งนี้พอจะเรียกว่าชิ้นใหญ่ได้หรือไม่” หลงจู๊เดินไปดูที่หลังรถเกวียนวัวคันนั้น เขาเปิดใบไม้ที่คลุมอยู่ออก ก็เห็นเป็นหมีตัวใหญ่ เป็นหมีตัวเมีย ถ้าแยกชิ้นส่วนออกขายร้านเขาสามารถทำราคาเพิ่มขึ้นได้ “ของชิ้นใหญ่จริงๆ ตอนนี้ข้าให้ลูกน้องไปเรียกนายท่านเจ้าของร้านมาแล้ว ท่านโปรดรอสักครู่” อี้เฉิงรอไม่นาน ก็เห็นเจ้าของร้านเดินออกมา เจ้าของร้านฉิ่นจางหย่ง เป็นชายหนุ่มหน้าหวานแต่สายตาว่องไว เหมาะสมกับคนทำการค้า “ต้องทำให้ท่านนายพรานอี้เฉิงรอนานแล้ว ข้าขอดูสินค้าของท่านได้หรือไม่” “เชิญท่านฉิ่นจางหย่งลองเปิดดูสินค้าก่อน” จางหย่งเปิดดูสินค้าเป็นหมีตัวใหญ่ เขาก็มีราคาขึ้นมาในหัวทันที เขาต้องการเนื้อหมีอยู่พอดี เพราะอีกไม่กี่วันจะมีคนชั้นสูงมาเปิดห้องที่ร้านอาหารของเขา และต้องการกินเนื้อหมีซึ่งเป็นของหายาก “ข้าขอบอกท่านตามตรง ทางเราก็กำลังต้องการเนื้อหมีอยู่พอดี ท่านเสนอขายในราคาเท่าไหร่” “ข้าให้ท่านเป็นคนเสนอราคาดีกว่า วันนี้ข้าต้องรีบกลับบ้าน เลยไม่ได้ไปที่อื่น มุ่งตรงมาที่ร้านของท่านโดยตรง ท่านคิดว่าควรให้ราคาข้าเท่าไหร่ดี” อี้เฉิงพูดออกไปและบอกถึงเหตุผลที่เขานำหมีมาขายให้ร้านฉิ่น ถ้าเขาแยกชิ้นส่วนขายเขาจะขายได้ราคาที่ดีกว่า จางหยงเข้าใจถึงคำพูดที่อี้เฉิงกล่าวออกมา เขามองไปด้านข้างรถเกวียนวัวก็เห็นหญิงสาวนางหนึ่ง นางมีใบหน้าน่ารัก และตัวขาวผ่อง เขาเผลอมองไปที่นางนานไปหน่อย จนได้ยินเสียงไอเบาๆ ของอี้เฉิงดังขึ้นมา “ข้าขอแนะนำให้ท่านรู้จัก คนนี้ภรรยาของข้าเอง มีนามว่าเหมยฮวา ที่ข้าต้องรีบขายหมีเพราะข้าอยากพานางกลับไปที่บ้านเร็วขึ้น” เหมยฮวามองไปที่อี้เฉิง ส่งสายตาเป็นคำถามว่า ทำไมท่านต้องบอกว่าเธอเป็นภรรยาด้วย? อี้เฉิงเห็นสายตาของเหมยฮวา เขาก็ทำเป็นไม่สนใจ “อ่อ ที่แท้แม่นางคนนี้ก็เป็นภรรยาของท่านนี่เอง ข้าชื่อฉิ่นจางหย่ง ยินดีที่ได้รู้จักกับแม่นางเหมยฮวา” “ข้าเหมยฮวาก็ยินดีที่ได้รู้จักกับท่านฉิ่นจางหย่งเช่นกัน” เธอตอบออกไป พร้อมกับสำรวจชายหนุ่มตรงหน้า เธอคิดในใจว่า ผู้ชายจีนสมัยก่อนต้องหล่อขนาดนี้เลยหรือเนี่ย ผู้ชายที่ชื่อจางหย่งมีหน้าตาที่หล่อเหลาคล้ายบัณฑิต และมีรูปร่างสูงเพรียว จางหย่งรู้สึกเสียดายที่หญิงสาวมีสามีเสียแล้ว เขาไม่ใช่ว่าจะถูกใจหญิงสาวได้ง่าย แต่พอถูกใจหญิงสาวสักคนก็มีเจ้าของเสียแล้ว “ข้าเสนอราคาให้ท่าน หนึ่งร้อยตำลึงทองเป็นอย่างไร” อี้เฉิงคิดราคาไว้ในใจแล้วว่าไม่น่าจะเกินหนึ่งร้อยตำลึงทอง “ตกลง หนึ่งร้อยตำลึงทอง ข้าขอแลกเงินเป็นตำลึงเงินสองร้อยตำลึงเงิน ที่เหลือข้าขอเป็นตั๋วเงินทั้งหมด” “ตกลงตามที่ท่านว่า หลงจู๊ท่านไปนำตั๋วเงินและตำลึงเงินมาสองร้อยตำลึงเงิน และเรียกคนมาขนหมีตัวนี้ลงจากเกวียนวัวคันนี้ด้วย” “ได้ขอรับนายท่าน” หลงจู๊ไปทำตามคำสั่งเจ้านาย และเดินออกมาพร้อมกับส่งตั๋วเงินและตำลึงเงินให้ผู้เป็นนาย จางหย่งส่งตั๋วเงินและตำลึงเงินให้อี้เฉิง อี้เฉิงรับมาก็เก็บเข้ากระเป๋าทันทีโดยไม่ได้นับ “ท่านไม่นับหน่อยหรือ” “ข้าไว้ใจท่าน เรายังต้องทำการค้ากันอีกนาน” จางหย่งหัวเราะ “ดี ข้าชอบคนเช่นท่านจริงๆ ท่านจะเข้าไปทานอาหารด้านในหรือไม่ข้าให้เด็กๆ เตรียมไว้ให้ท่าน “ข้าต้องขอปฏิเสธคำชวนของท่านจางหย่งเสียแล้ว ข้าต้องรีบพาภรรยาของข้ากลับบ้าน เพราะนางคงจะเพลียมาก” อี้เฉิงพูดออกไปพร้อมกับมองไปที่เหมยฮวา เหมยฮวาหน้าแดงขึ้นมาทันที เหนื่อยมากอะไร ใช่เธอเดินทางในป่าเหนื่อยมาก แต่เขาไม่จำเป็นต้องพูดคำพูดกำกวมแบบนี้ก็ได้ อีกอย่างเธอก็หิวมาก ตลอดการเดินทางในป่า เธอได้กินแค่ผลไม้เท่านั้น คนใจร้ายนี่ทำไมไม่พาเธอไปหาอาหารกินบ้าง เธอหิวจะตายอยู่แล้ว “ถ้าแบบนั้นข้าไม่รั้งพวกท่านไว้แล้ว เดินทางกลับอย่างปลอดภัย ไว้พบกันใหม่นายพรานอี้เฉิง และแม่นางเหมยฮวา” “ไว้พบกันใหม่เช่นกัน ท่านจางหย่ง” หลังจากกล่าวลาเสร็จ เธอและอี้เฉิงก็ขึ้นมานั่งบนเกวียนวัว อี้เฉิงจ้างคุณลุงให้ไปส่งที่บ้านต่อ “นี่ข้าหิวจะแย่แล้ว ใจคอนายจะให้ฉันอดตายหรือไง” เธอพูดเบาๆ เพื่อให้อี้เฉิงได้ยิน “เจ้าไม่บอกข้า ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าอยากกินข้าว” เธอรู้สึกโกรธจนอยากร้องไห้ออกมา ผู้ชายคนนี้ช่างใจร้ายนัก ถึงเธอจะจน แต่เธอก็ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองอดอยาก อี้เฉิงมองไปทางเหมยฮวา ก็นึกสงสาร เขาแกล้งนางมากเกินไปหรือไม่ เขาหันไปบอกกับคนขับเกวียนวัว ให้แวะร้านขายของกินที่ยังเปิดอยู่ เป็นร้านข้าวปั้นชุบไข่ธรรมดา เขาลงไปซื้อมาหลายชิ้น เขาแบ่งให้คนขับเกวียนวัวไปหนึ่งชิ้น เขาส่งข้าวปั้นที่มีขนาดใหญ่ให้เหมยฮวาไปสองชิ้น เขาคิดว่าเธอต้องหิวข้าวมากแน่ๆ เหมยฮวารับมา ใครว่าเธอจะไม่รับ ถึงเธอจะโกรธแต่เธอก็ไม่อยากอดตายด้วยเช่นกัน “ขอบคุณที่หวังดี ถ้าข้าหาเงินได้ข้าจะใช้คืนท่าน” ผู้หญิงคนนี้เห็นว่าเขาเห็นแก่เงินมากนักหรือไง “ลุงแวะร้านผ้าให้ข้าหน่อย ข้าอยากซื้อผ้านวมสักผืน” “ได้ขอรับ” ลุงขับเกวียนตอบออกไปด้วยอารมณ์ที่ดี วันนี้เขาได้เงินตั้งเยอะ เงินที่ได้เท่ากับเขาขับเกวียนแทบทั้งเดือนเลยด้วยซ้ำ แถมยังได้ข้าวชุบไข่มากินอีกด้วยเวลาผ่านไปหนึ่งปีที่เธออยู่เมืองหลวง ตอนนี้ลูกชายของเธอหัดเดินได้สองสามเดือนแล้ว เขาพูดเรียกแม่และพ่อได้เก่งขึ้น แต่ก็ยังพูดไม่ชัดเท่าไหร่นัก เขาซนเป็นอย่างมากในช่วงนี้ เดือนหน้าอี้เฉิงจะพาเธอไปไหว้หลุมศพพ่อกับแม่ของเขา และยังจะพาไปหาท่านลุงของเขาที่เป็นเจ้าสำนักเงาดารา อี้เฉิงได้เล่าให้เธอฟังว่า เขาได้สละตำแหน่งเจ้าสำนักให้ท่านลุงของเขาดูแลไปแล้ว เขาแค่ดูแลสำนักคุ้มภัยทั้งหมดเท่านั้น เขาอยากมีเวลาอยู่กับครอบครัวให้มากขึ้น เขาไม่อยากทำเรื่องที่มันเสี่ยงอันตรายมากเกินไปนักเวลาผ่านมาอีกหนึ่งเดือน อี้เฉิงก็พาเธอ และลูกรวมทั้งป้าลี่ซือเดินทางไปที่สำนักเงาดาราครั้งแรก เธอให้พี่ลี่หลินคอยช่วยงานหลีชางดูแลร้านค้าเครื่องหอมเหมยฮวาที่เมืองหลวง และมีบ่าวรับใช้อีกหลายคนที่เป็นงานแล้วคอยสลับกันไปช่วยอยู่บ่อยครั้ง ส่วนเรื่องการทำสินค้าเธอให้พี่ลี่หลินเป็นคนดูแลทั้งหมด เธอจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เธอจึงเดินทางไปที่อื่นได้อย่างสบายใจเดินทางอยู่สิบห้าวัน เธอก็มาถึงสำนักเงาดารา ท่านเจ้าสำนัก ซึ่งก็คือลุงของอี้เฉิงได้ออกมาต้อนรับพวกเธอ“อี้เฉิง หลานกลับมาแล้ว ลุงได้ข่าวมาว่าหลานได้ลูกชายใช่หรือ
“ข้าไม่ใช่คนที่โลกใบนี้หรอก ข้าเป็นคนที่อยู่ในโลกอนาคตที่แสนไกล ในอีกหลายร้อยปี ข้าเป็นคนที่มาจากประเทศอื่น ที่ไม่ใช่ประเทศจีนแห่งนี้ ที่นั่นข้าพูดอีกภาษาหนึ่ง ไม่ใช่ภาษาที่ข้าพูดอยู่ในตอนนี้ และที่นั้นข้าไม่มีครอบครัว ข้าอยู่ตัวคนเดียว จนวันหนึ่งข้าได้มาอยู่ในที่แห่งนี้ด้วยเหตุผลบางอย่าง” “เหตุผลอะไรหรือ” เขาตั้งใจฟังที่เหมยฮวาพูดให้เขาฟัง เรื่องที่นางเล่าให้เขาฟังมันเป็นเรื่องที่อัศจรรย์มาก“ข้าโดนเพื่อนที่ข้าไว้ใจทำร้าย ข้าคิดว่าตัวเองตายไปแล้ว แต่ข้าก็ได้โอกาสกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในที่แห่งนี้ ท่านว่าแปลกหรือไม่ เราอยู่คนละที่กันเลย แต่ก็มาพบเจอกันได้ ท่านอาจเป็นคู่ที่ท่านแม่และท่านพ่อของข้า เลือกให้ข้าก็ได้” “ท่านแม่ของเจ้าอาจจะเห็นความดีของข้าก็ได้” “แต่ข้ารู้มาว่า สำนักของท่านเป็นนักฆ่าไม่ใช่หรือ ท่านก็ไม่น่าจะใช่คนดีเท่าไหร่นัก” “แต่ตอนที่เจ้าเจอข้า ข้าเป็นแค่พรานป่าตัวน้อยๆ เท่านั้น” “อี้เฉิง ท่านเข้าใจผิดแล้ว ท่านตัวใหญ่กว่าหมีเสียอีก” เธอขำคำพูดของเขาที่บอกว่าตัวของเขาเล็ก ตอนเจอเขาครั้งแรก เขาน่ากลัวมาก เธอนึกว่าเขาเป็นโจรป่าเสียอีก“ข้าตัวน้อยเสมอเมื่ออยู่กับ
ตอนนี้ลูกชายของเธออายุได้หนึ่งเดือนแล้ว แผลที่เกิดจากการคลอดลูกก็ดีขึ้นมากแล้ว เธอรู้สึกว่าร่างกายของเธอฟื้นฟูกับมาเกือบเป็นปกติแล้ว เธอนั่งเล่นกับลูกน้อยของเธอ ในตอนที่ทุกคนไม่อยู่กับเธอ เธอก็จะเอากล้องที่ใช้แต้มซื้อมาถ่ายรูปเธอและลูกชายของเธอ เธอต้องขอบคุณคุณยายท่านนั้นที่ช่วยให้เธอกลับมาคลอดลูกของเธอได้ ถ้าไม่มีคุณยายในวันนั้น เธอและลูกน้อยก็คงเสียชีวิตไปแล้วลูกชายของเธอที่กินนมจากเต้าของเธอก็แข็งแรงมากขึ้นทุกวัน ตัวเขาอ้วนนัก ใครเห็นก็อยากกอด และเอ็นดูเด็กน้อยคนนี้ อี้เฉิงอยากให้เธอไปกราบไหว้หลุมศพพ่อ และแม่ของเขา เธอคิดว่าก็ดีเหมือนกัน ฮุ่ยหมิ่งจะได้พบ และกราบไหว้หลุมศพคุณตาคุณยาย ให้พวกท่านทั้งสองคุ้มครองครอบครัวของเธอ“เจ้าทำอะไรกันหรือ” อี้เฉิงเดินเข้ามาในห้องเห็นเหมยฮวานั่งเล่นอยู่กับลูกชาย“ข้าก็กำลังเล่นกับลูกอยู่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ทำงานเหนื่อยหรือไม่” ตั้งแต่เขากลับมา เธอก็แทบไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะเขาจะเป็นคนดูแลครอบครัวทั้งหมด เขาไม่อยากให้เธอไปลำบาก มีบางครั้งที่เธอเข้าไปดูร้านและออกสินค้าใหม่ๆ ออกมาบ้าง“ข้าจะเหนื่อยได้อย่างไร ข้าก็แค่เข้าไปดูบัญชีเท่านั้น” เขา
“ทุกคนปลอดภัยแล้วเจ้าคะ ทั้งเด็กและก็แม่เด็ก” หมอทำคลอดตบก้นเด็กทารกที่เพิ่งคลอดออกมา จนมีเสียงร้องออกมา“เป็นเด็กผู้ชายเจ้าคะ ร่างกายแข็งแรงดีทั้งแม่และลูก” หมอทำคลอดพูดบอกกับคนที่รอฟังข่าวอยู่หน้าห้องเหมยฮวาหลังจากที่ได้ยินเสียงร้องของลูกเธอแล้ว เธอก็หลับลงไปอีกครั้ง ด้วยความเหนื่อยล้าที่เกิดจากการคลอดลูก“เจ้าไปตามหมอมาดูภรรยาของข้า นางหลับไปอีกแล้ว นางจะเป็นอะไรหรือไม่” อี้เฉิงที่อยู่ข้างเหมยฮวาตลอด เขาเห็นว่านางตื่นขึ้นมาและหลับลงไปอีกครั้งหมอทำคลอดที่อยู่ใกล้ ก็จับชีพจรของนายหญิง เธอเห็นว่าปกติดี“นายหญิงเพียงแค่หลับไปเพราะความเหนื่อยล้าจากร่างกายเท่านั้นเจ้าคะ ตอนนี้นายหญิงปลอดภัยแล้ว” เธอบอกอาการของนายหญิงให้นายท่านได้ฟัง เพื่อคลายความเป็นกังวลอี้เฉิงหลังจากที่รับรู้ว่าภรรยาของเขาปลอดภัยแล้ว เขาก็ให้คนเข้ามาเอาผ้าเช็ดตามเนื้อตัวของเหมยฮวา เหมยฮวาไม่ชอบให้ร่างกายตัวเองสกปรกเท่าไหร่นัก หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว เขาก็อุ้มนางไปอีกห้อง เพื่อรอให้นางตื่น และทำการอยู่ไฟหลังคลอดหนึ่งเดือน“นายท่านอยากดูนายน้อยหน่อยไหมเจ้าคะ หน้าตาของเขาเหมือนนายหญิงยิ่งนัก” อี้เฉิงได้ยินแ
ลูกชายคงจะโมโหเขา ที่เขารังแกแม่ของเขาไปเสียนาน เขาใส่เสื้อผ้าให้เหมยฮวาและหอมแก้มของนาง และลูกน้อยที่อยู่ในท้อง เขานอนกอดเหมยฮวา และหลับไปพร้อมกันตอนสายของอีกวัน เหมยฮวาตื่นเช้าขึ้นมาก็ไม่เห็นคนที่นอนอยู่ด้านข้างเธอเสียแล้ว เธอรู้สึกปวดเมื่อยร่างกาย และหิวมาก เธอจึงค่อยๆ ลุก และเดินออกมาด้านนอกห้องนอน“นายหญิงตื่นแล้วหรือเจ้าคะ ข้ากำลังเตรียมเอาอาหารไปให้ท่านอยู่พอดี” ลี่หลินที่วันนี้ไม่ได้ไปที่ร้านเครื่องหอมถามนายหญิงที่เดินออกมาจากห้องนอนพอดี“พี่ลี่หลินเองหรือ ท่านไม่ได้ไปร้านเครื่องหอม” “วันนี้ข้าไม่ได้ไปเจ้าคะ เป็นบ่าวอีกคนหนึ่งไปแทนข้า นายหญิงหิวหรือไม่ ท่านตื่นสายเช่นนี้ต้องหิวเป็นแน่ ข้าทำอาหารไว้รอท่านตั้งหลายอย่าง” “ท่านช่างรู้ใจข้าเสียจริง ข้ากำลังหิวอยู่พอดี ข้าขอไปล้างหน้า อาบน้ำเสียหน่อย ข้าจะออกไปกินอาหาร” เธอบอกพี่ลี่หลินเสร็จแล้วก็เดินเข้ามาในห้องนอน เพื่ออาบน้ำล้างหน้า เธอถอดเสื้อผ้าก็เห็นรอยแดงที่อี้เฉิงทำไว้เมื่อคืนนี้ เขานี่ไปอดอยากมาจากที่ไหนกัน แต่เธอยอมมีอะไรกับเขา ก็ดีกว่าให้เขาไปหาสาวอื่นมาปลดปล่อย ดีที่อี้เฉิงตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นก็ไม่เคยเห็นเขาชายต
ช่วงนี้เธอใช้ชีวิตอยู่แต่บ้าน ไม่ค่อยได้ออกไปไหนมากนัก แต่ละวันที่ผ่านไปเธอไม่กินก็จะนอน จนเธอจะอ้วนเป็นหมูแล้ว ตั้งแต่ที่เธอท้องก็ทำให้ร่างกายของเธอขยายมากขึ้นไปอีก จากตอนแรกที่เธอผอม ตอนนี้เธอมีน้ำมีนวล เปล่งปลั่งเหมือนสาวน้อยแรกรุ่น ที่จริงเธอก็เพิ่งอายุสิบเก้าเท่านั้น ก็ยังไม่ได้แก่เท่าไหร่นัก แต่คนยุคนี้จะแต่งงานกันตั้งแต่อายุสิบห้ากันแล้ว เกินสิบหกก็จะหาคู่ยาก ไม่เหมือนโลกเก่าของเธอ อายุสิบห้าถือว่ายังเด็กนัก แต่งตอนอายุยี่สิบห้าก็ยังไม่แก่เลยด้วยซ้ำ เธอนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เธอเพิ่งกินข้าวเสร็จ และเดินวนรอบบ้านไปหนึ่งรอบ โดยอยู่ภายในสายตาของบ่าวรับใช้ที่อยู่ภายในบ้าน และตอนนี้บริเวณรอบบ้าน อี้เฉิงก็ให้คนที่สำนักคุ้มภัยมาคอยเฝ้าที่หน้าร้านและหน้าประตูบ้านอยู่หลายคนเธอเดินจนเหนื่อยแล้ว เธอก็เข้ามาในห้องและนอนหลับไป ตอนที่เธอหลับอยู่เธอรู้สึกว่ามีใครมาจับหน้าอกของเธอ เธอจึงลืมตาตื่นขึ้นก้มลงไปมองตรงหน้าอกของเธอ ก็เห็นว่าเป็นอี้เฉิงนั่นเอง“ท่านทำอะไรอยู่ ใยท่านถึงได้มากวนข้า” เธอถามเขาหลังจากเห็นเขาเอาหน้ามุดเข้ามาในเสื้อของเธอ เพื่อดูดดึงยอดอกที่ขยายใหญ่ขึ้นมาก“ข้าทำเจ้า