เสียงฝีเท้าดังมาแต่ไกลหญิงรับใช้นามว่าฮุ่ยชิวเดินกลับมาในครัว นางมองหาหญิงอัปลักษณ์ที่พึ่งได้เจอหน้ากันคราแรก แล้วพบว่าหญิงนางนั้นกำลังนั่งหลบมุมอยู่ในครัวเหมยลี่เห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นและมองสตรีอายุมากกว่าด้วยแววตามีคำถาม แต่นางไม่ได้ปริปากเปล่งวาจาออกมา“เจ้าหิวรึไม่” ฮุ่ยชิวเอ่ยถาม หญิงอัปลักษณ์พยักหน้าแทนคำตอบ“เดี๋ยวข้าจัดการให้” ฮุ่ยชิวพูดด้วยน้ำเสียงอย่างเป็นมิตร ก่อนเดินไปหาถ้วยมาตักข้าวสวยจนพูนและอาหารสองสามอย่างมายื่นให้กับหญิงอัปลักษณ์ที่น่าสงสาร“รับไปเสีย”“ขอบน้ำใจเจ้ายิ่งนัก” เหมยลี่พูดก่อนรับถ้วยไว้ในมือฮุ่ยชิวจึงหันกับไปตักข้าวของตัวเองบ้าง ก่อนหันมาหาหญิงอัปลักษณ์ที่ยืนเก้กังอยู่“ข้าว่าเจ้ากับข้าหลบไปกินข้าวที่โรงฟืนเถอะ”ว่าแล้วสหายใหม่ได้เดินนำทางไป เหมยลี่จึงเดินตามไปอย่างว่าง่าย แล้วพากันมานั่งลงบนแคร่ไม้ไผ่ที่อยู่ใต้ต้นบ๊วย ซึ่งตอนนี้มีกิ่งก้านและใบเขียวขจีอยู่เต็มต้น พอให้ร่มเงากับนางทั้งสองได้“เจ้าชื่ออันใด ข้าชื่อฮุ่ยชิว” ฮุ่ยชิวเอ่ยถามพร้อมเคี้ยวอาหารไปด้วย“ข้ามีนามว่าเหมยลี่”“ชื่อเจ้าไพเราะยิ่งนัก” ฮุ่ยชิวยิ้มจาง ๆ ให้ “รีบกินเสียก่อนที่อู๋ท่งจักมาเห็น”
มู่หยางมองหน้าหญิงอัปลักษณ์ด้วยความสงสัย ทั้งที่เขาสั่งไม่ให้นางออกมาเพ่นพ่านมิใช่หรือ เหตุใดถึงไม่ฟังคำกัน ร่างสูงใหญ่ขยับเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายที่ตอนนี้เอาแต่ก้มหน้าก้มตา คิดว่าจะหลบความผิดของตัวเองได้เป็นความคิดที่ผิดมหัน“ตอบข้ามา!”ตุบ!สิ้นเสียงตะคอกเหมยลี่ได้สะดุ้งเฮือกด้วยความหวาดกลัวจนทำให้ถังน้ำหล่นลงพื้นและกลิ้งไปคนละทิศละทาง“ข้าตักน้ำมาใส่อ่างเท่านั้น มิได้มีเจตนาอื่น” เหมยลี่จึงตอบแต่โดยดี“ที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ของเจ้า”“ข้ารู้ หากมิใช่คำของอู๋ท่งสั่งข้าคงไม่ย่างกรายเข้ามาให้ท่านหงุดหงิดใจ” หญิงอัปลักษณ์แหงนหน้าไปเผชิญสายตาคมที่แสนดุและเยือกเย็นยิ่งกว่าในฤดูเหมันต์“รีบไปให้พ้นหน้าข้าเสีย” มู่หยางได้ทีไล่ใช่ว่านางอยากยืนอยู่ในที่แห่งนี้กับอีกฝ่ายสองต่อสองเสียเมื่อไหร่ หญิงอัปลักษณ์จึงรีบเก็บถังน้ำมาแบกหามแล้วรีบเดินออกไปทันที ปล่อยให้บุรุษหน้าขรึมได้อยู่เพียงลำพังตามใจปรารถนาสายตาคมมองร่างอรชรเดินออกมาโดยที่คิ้วหนาขมวดเล็กน้อย เขาแค่นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายดูแข็งแรงดีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้เยี่ยงไร“ถึกเกินคน ยิ่งกว่าวัวกระทิงเสียอีก”มู่หยางกำลังดูแคลนอีกฝ่าย เขาไม่นึกสนใจอ
ในพื้นที่ห่างไกลของแคว้นอัน สตรีผู้น้อยนามว่าฟู่ฟู่ได้เดินทางมาถึงวัดอย่างที่นางตั้งใจไว้ ร่างอรชรเดินลงจากเกวียนและมองไปเบื้องหน้าซึ่งเป็นเขตวัดอันแสนสงบร่มเย็น ด้วยอยู่เป็นเชิงภูเขาสูงจึงมีเหล่าพืชพรรณต้นไม้น้อยใหญ่ โดยเฉพาะไผ่ตรงที่อยู่เป็นกอและยืนต้นสูง“ให้ข้ารอรับกลับหรือไม่” บุรุษซึ่งพานางมาส่งเอ่ยถาม เขาเข้าใจว่านางคงจักแค่มาไหว้พระประเดี๋ยวเดียวก็กลับฟู่ฟู่ส่ายหน้าและยิ้มให้จาง ๆ “ข้าจักมาบวช” พร้อมตอบเสียงเบาแต่ใจหนักแน่นยิ่งนัก นางเบื่อโลกแสนวุ่นวายเต็มไปด้วยการแย่งชิงอำนาจและมีคนต้องบาดเจ็บล้มตายจากสงครามมานับไม่ถ้วน นางอยากหลุดพ้นจากวิบากกรรมนี้สักที“เจ้าแน่ใจแล้วรึ การบวชมิใช่ผู้ใดจักมาพูดเล่น ๆ ได้” บุรุษตรงหน้ามองดูหญิงสาววัยละอ่อนที่มีความคิดสุดโต่งอย่างประหลาดใจ“ข้าคิดดีแล้ว ขอบคุณท่านมากที่มาส่งข้าถึงที่นี่” เมื่อพูดจบนางจึงเดินขึ้นบันไดหมายขึ้นไปสักการะท่านเจ้าอาวาส“เดี๋ยวแม่นาง ช้าก่อน” ทว่าบุรุษผู้นี้ดันไม่ยอมให้นางจากไปอย่างง่ายดาย เขารีบวิ่งมายืนขวางหน้าไว้“ท่านมีอันใด?”“ข้ามิอยากให้เจ้าบวช”“ท่านมาขวางทางข้าด้วยเหตุอันใด ไม่กลัวบาปบุญเลยรึ”“ข้าแค่เสียดา
สายลมเย็นพัดโชยยามราตรี หญิงอัปลักษณ์ได้ซุกกายอยู่ในโรงฟืน ก่อนหน้านั้นนางได้จัดระเบียบท่อนฟืนเพื่อแบ่งพื้นที่ว่างให้กายของนางได้พักพิง ร่างอรชรแม้จักได้ดื่มยาสมุนไพรจากฮุ่ยชิวไปแล้ว แต่จิตใจที่อ่อนแอยังไม่ได้รับการบรรเทาสักนิด กว่าจะผ่านวันแรกไปได้ช่างทรมานเสียจนดวงตามีหยดน้ำตาไหล แขนทั้งสองกอดตัวเองไว้ให้รู้สึกอุ่นขึ้นบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถช่วยได้ นางไม่กล้าเผาฟืนจุดไฟเพราะความทรงจำเลวร้ายในเยาว์วัยทำให้หวาดกลัว นางยังจำได้ดีถึงความร้อนที่แผดเผาและสีของเปลวเพลิงอันน่ากลัว รอบกายเต็มไปด้วยสีแดงสาดโหมกระหน่ำ และไหม้ใบหน้าของนางจนดิ้นทุรนทุราย“ชะ...ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย ไม่ ไม่นะ ข้าร้อน ร้อนไปหมดแล้ว” เหมยลี่ร้องละเมอทั้งยังหลับตา กายของนางแทบร้อนดั่งไฟเผา เหงื่อออกจนแตกพลั่ก แม้อากาศตอนนี้จะหนาวเหน็บเพียงไรก็ตามความทรมานจากพิษไข้ กำลังกัดกินนางไปถึงกระดูกทั้งปวดและทรมานหนักหนา หากยังขืนปล่อยไว้เช่นนี้นางคงได้กลายเป็นร่างไร้วิญญาณเป็นแน่ภายในห้องทำงานของมู่หยาง บุรุษร่างสูงสวมใส่ด้วยชุดแสนสบาย แต่ใบหน้าคมคายกลับเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก เหตุมิใช่เพราะงานที่กองตรงหน้า แต่กลับเ
ร่างอรชรนอนอยู่บนเตียงด้วยความทรมานจากพิษไข้ ดวงใบหน้าซีดของนางยังเต็มไปด้วยเหงื่อและยังคงละเมอเพ้อพบ นางรู้สึกถึงความร้อนจากกายซึ่งกำลังส่งผลให้คลั่นเนื้อคลั่นตัวอยู่ไม่หาย แต่ไม่นานมากนักไอร้อนที่แผ่กระจายออกมากลับถูกความเย็นชโลมกาย โดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ฝันร้ายจากห้วงนิทราทำให้กลายเป็นฝันดีได้อย่างน่าประหลาด นางจักรับรู้หรือไม่ว่าท่านแม่ทัพกำลังเช็ดร่างที่มีแต่พิษไข้ โดยที่ปากบ่นอุบอิบไปด้วย สายตาคมมองสมบัติไร้ค่าที่นอนสบายอยู่บนเตียงของเขา แต่ถึงจักบ่นเพียงใดสายตาคมคู่นี้ก็ยังแอบโลมเลียร่างอรชรที่มีความงามเทียบเท่าผู้อื่นได้ มู่หยางได้เห็นผิวกายขาวสะอาดเรียบเนียนอย่างเต็มตาอีกหน จักบอกว่าเขาแอบล่วงเกินก็เป็นได้ บุรุษผู้นี้หลงใหลในรูปของสตรีอัปลักษณ์มากเสียจน เอื้อมมือที่จับแต่ดาบมาลูบผิวเนียนนุ่มอย่างแผ่วเบา เขาไม่มองใบหน้าอัปลักษณ์เลยด้วยซ้ำ ใครอยากมองให้เสียสายตากันเล่า “อะ อื้อ”คนหลับใหลส่งเสียงครวญแผ่วเบาอย่างไม่รู้ตัว เมื่อรู้สึกคล้ายกำลังมีผีเสื้อมาตอมกายให้จั๊กจี้และวูบวาบ นางรู้สึกหนาวจนตัวแทบสั่นสะท้านคล้ายกำลังเปลือยเป
เสียงนกกระจิบร้องดังเป็นสัญญาณของเช้าวันใหม่ หญิงอัปลักษณ์กับชายร่างกำยำนอนกอดกันอยู่ใต้ผ้าห่ม ซึ่งไร้ผ้าปิดบังกายอย่างน่าอายเหมยลี่หายจากพิษไข้ขยับเปลือกตาปรือขึ้น แล้วต้องตกใจเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาของท่านแม่ทัพอยู่ตรงหน้า ทั้งยังถูกวงแขนโอบรัดเอวกิ่วของนางไว้ สติที่เลือนรางเริ่มปะติปะต่อเรื่องราวพลันหน้าแดงระเรื่อและร้อนผ่าว เมื่อจดจำเรื่องราวเมื่อคืนได้อย่างชัดเจนร่างกายของนางยังระบมไม่หายท่านแม่ทัพไม่ถนอมน้ำใจกันเลยสักนิดถึงได้ทำให้ตัวนางมีแต่รอยจ้ำแดง เหมยลี่ขยับตัวอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้คนบนเตียงตื่นลืมตา แล้วรีบสวมเสื้อผ้าและคลุมศีรษะให้เรียบร้อยเพื่อหนีออกไปจากห้องให้เร็วที่สุดร่างอรชรวิ่งไปเปิดประตูทั้งสองฝั่ง แต่เมื่อบานประตูได้แง้มออกนางกลับพบท่านฮูหยินชิงชิงยืนอยู่ตรงหน้า ซึ่งทำให้นางตกใจจนตาเบิกโพลงเพี้ยะ! เพี้ยะ!เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้านวลถึงสองข้าง หญิงอัปลักษณ์ถูกฮูหยินชิงชิงตบหน้าเสียเต็มแรงจนนางล้มลงกองพื้น ความเจ็บบนใบหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้ดวงตาคู่นี้มีหยดน้ำตาไหลออกมา และกุมหน้าตัวเองไว้“เจ้ากล้าดียังไงถึงได้เข้ามาในห้องของบุตรชายข้า” ฮูหยินชี้หน้าด่าด้วยใ
ร่างอรชรถูกจับให้นั่งคุกเข่าในที่โล่งแจ้งเพื่อเตรียมรับโทษ โทษของนางแม้จะถูกลดทอนให้เหลือน้อยนิดด้วยการถูกโบยด้วยลำไม้ไผ่ที่มีท่อนเล็กไม่ถึงขนาดไม้พาย แต่ก็ยังหนักหนาเกินกว่าที่สตรีตัวเล็ก ๆ จะรับได้ไหวนางกำกระโปรงที่หน้าเข่าไว้แน่นและหลับตาทั้งที่หยดน้ำตายังไหล เพื่อไม่ให้มองเห็นการลงโทษนี้เพี้ยะ เพี้ยะเสียงลำไม้ไผ่กระทบแผ่นหลังดังจนนกบนต้นไม้แตกรัง ด้วยแรงจากบุรุษที่มีอยู่มากทำให้เหมยลี่ล้มคะมำด้วยความเจ็บและแสบไปทั้งหลังจนเหมือนกระดูกร้าว นางร้องไห้เสียใจกับการถูกลงโทษที่ไม่เป็นธรรมเอาเสียเลย แต่มิอาจทำการอันใดได้ ในเมื่อนางมิมีสิทธิ์ในเรือนนี้“การทำโทษของเจ้ายังไม่หมด เจ้ารีบไปตัดฟืนเสีย” บุรุษที่เป็นคนรับใช้เช่นกันพูดขึ้นใบหน้าเปียกปอนของหญิงอัปลักษณ์มองอีกฝ่ายด้วยความโกรธเคืองอยู่ไม่น้อย นางไม่มีเรี่ยวแรงลุกขึ้นแล้วจักให้รีบไปได้เยี่ยงไร“เหมยลี่มาข้าช่วย”ฮุ่ยชิวที่มายืนมุงอย่างไม่รู้เรื่องราว เมื่อเห็นสตรีผู้น่าสงสารถูกลงโทษเยี่ยงนี้จึงรีบมาประคอง“เจ้าจักไปช่วยนางทำไม” หญิงนางหนึ่งพูด พลางมองหญิงอัปลักษณ์ราวกับเป็นสิ่งชั่วร้าย“หากเจ้ามิมีน้ำใจก็หุบปากเสีย” ฮุ่ยชิวหันไปต
ทางด้านฟู่ฟู่หลังจากนางได้ตัดสินใจไปกับบุรุษนามว่าจางเหว่ยที่พึ่งพบเจอได้ไม่นาน นางยินดีไปตายเอาดาบหน้าดีกว่าต้องกลับไปยังที่จากมา แม้บุรุษผู้นี้จักดูไม่เป็นพิษเป็นภัยแต่ขึ้นชื่อว่าบุรุษก็ยังมิอาจเบาใจได้ว่าเขาจักไม่เป็นภัยต่อนางร่างอรชรนั่งอยู่บนเกวียนแต่ในครั้งนี้นางได้แหวกม่านและมองข้างทางไปตลอดทาง เพราะหากจางเหว่ยคิดร้ายต่อนางจริงนางจักได้หาลู่ทางหนีได้อย่างทันท่วงที“เรือนของแม่ท่านอยู่ที่ใด” ด้วยความอยากรู้นางจึงตะโกนถาม สายตาของนางเห็นบุรุษเบื้องหน้าผ่านผืนม่านบางที่พอเห็นราง ๆ เท่านั้น“หมู่บ้านตรงหุบเขาเหลียงซาน”“อยู่บนหุบเขาเชียวรึ”“มิใช่ดอก อยู่ตรงคุ้งน้ำตรงหุบเขา เป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ทำการเกษตร”ฟู่ฟู่พยักหน้าเล็กน้อยอย่างเข้าใจ นางไม่เคยได้ยินมาก่อน และไม่คิดว่าจักได้เดินทางไปไกลถึงที่แห่งนั้นด้วย ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ เส้นทางเกวียนก็ลำบากแสนเข็นเสียจนนางนั่งไม่ติดพื้นจนก้นพลันระบมจนชาไปหมด นางมิรู้ว่านั่งไปได้นานเพียงใด แต่ตอนนี้นางได้ปวดท้องจนอยากลงไปเด็ดดอกไม้สักครู่“ท่านจางเหว่ย ท่านหยุดพักสักประเดี๋ยวได้รึไม่ คือข้า...” ฟู่ฟู่อ้ำอึ้งมิกล้าเ
มู่หยางได้เดินย่องกลับมายังห้องนอนของตัวเอง ทว่าเมื่อกำลังเดินไปตามทางสลัวเขาดันเห็นภรรยาเอกมายืนรออยู่หน้าประตู ใบหน้าของเขาแสร้งทำเป็นขรึมอย่างมีเรื่องปกปิด และเดินเข้าไปหาคล้ายไม่มีเรื่องอันใดต้าเหนิงรอสามีมาตลอดทั้งวันจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด แต่พอมายืนรอหน้าประตูห้องนางได้เห็นมู่หยางเดินมาจากทิศทางที่ไม่ใช่เส้นทางปกติ ใจของนางสั่นไหวด้วยความรู้สึกกลัวอยู่ในใจ กลัวเหลือเกินว่าสิ่งที่นางกำลังคิดจักเป็นความจริง“ท่านพี่ไยถึงได้เดินมาจากทางนั้น” เป็นต้าเหนิงเอ่ยทักก่อน เสียงของนางสั่นเครืออยู่ไม่น้อย ดวงตากำลังจ้องอย่างจับผิด“ไม่มีอันใดให้เจ้ากังวลดอก ม้าของข้ามันดันขาเจ็บอยู่ตรงนั้น ข้าเลยต้องเดินเข้ามาเองหากอ้อมไปด้านหน้าคงได้เสียเวลาข้าเลยเข้ามาจากประตูด้านนั้น”มู่หยางโกหกเต็มคำ เขาพูดพร้อมเดินเข้าไปในห้องด้วยท่าทางที่แสดงออกมาอย่างเป็นปกติ ทว่าคนฟังก็ยังมิปักใจเชื่อ ใบหน้าเรียวมองไปยังประตูบานที่ว่าซึ่งตอนนี้ปิดสนิทไร้วี่แววการถูกเปิดออก ก่อนเดินเข้าไปภายในห้องแล้วถามในสิ่งที่นางเริ่มสงสัย“ท่านพี่มิได้ไปหานางผู้นั้นใช่รึไม่”“เจ้าเอาอะไรมาพูด คนอย่างข้ามิไปสุงสิงกับหญิงอัปลักษณ์เ
หลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้เรียบร้อย มู่หยางได้มานั่งพักผ่อนอยู่ที่โรงน้ำชา ด้วยสีหน้าดูเคร่งเครียดอยู่ไม่น้อย เขาดันคิดถึงหญิงอัปลักษณ์ขึ้นมาด้วยสำนึกผิดอยู่ในใจที่เขาสั่งลงโทษนางทั้งที่ไม่ได้มีความผิดเลยสักนิด หากจักต้องลงโทษผู้ใดก็คงเป็นเขาเองที่ใจโลเลเยี่ยงนี้“ท่านมู่หยาง ไยเจ้านั่งจิบน้ำชาหน้าตาเคร่งเครียดเช่นนั้น มันควรสุนทรีมิใช่” สหายรักอย่างเซียวจ้านเอ่ยทักเมื่อย่างกรายมาถึง ทั้งที่โรงน้ำชาแห่งนี้มีสตรีรูปงามมาดีดพิณพร้อมร่ายรำแต่สหายไยมิไม่ผ่อนคลายลงบ้าง“งานราชการท่านยุ่งยากเชียวรึ” แล้วถามต่อพร้อมนั่งลง“มิใช่” มู่หยางตอบอย่างไม่สบอารมณ์นัก“แล้วเรื่องอันใดเล่า”“มิใช่เรื่องที่คุณชายเซียวจ้านต้องใส่ใจ”“มิบอกข้าก็ไม่เป็นไร ข้าก็พอจะเดาได้ ท่านกลุ้มใจเรื่องนางผู้นั้นใช่รึไม่”“ท่านเป็นนักปราชญ์สินะถึงได้รู้มากนัก” มู่หยางยกจอกน้ำชามาดื่มจนหมดจอก ก่อนวางกระแทกโต๊ะอย่างแรง“ข้าก็แค่เดา นางผู้นั้นเป็นหญิงอัปลักษณ์จริงรึไม่”“ใช่รึไม่มิเห็นเกี่ยวกับเจ้า”“ระวังภัยเอาไว้ย่อมเป็นการดี เจ้ามิรู้หรอกรึว่าผู้ใดเกิดมาผิดแผกย่อมเป็นกาลกิณีต่อบ้านเมือง ยิ่งเจ้าเป็นแม่ทัพใหญ่ด้วยแล้วต้องยิ่
ทางด้านฟู่ฟู่หลังจากนางได้ตัดสินใจไปกับบุรุษนามว่าจางเหว่ยที่พึ่งพบเจอได้ไม่นาน นางยินดีไปตายเอาดาบหน้าดีกว่าต้องกลับไปยังที่จากมา แม้บุรุษผู้นี้จักดูไม่เป็นพิษเป็นภัยแต่ขึ้นชื่อว่าบุรุษก็ยังมิอาจเบาใจได้ว่าเขาจักไม่เป็นภัยต่อนางร่างอรชรนั่งอยู่บนเกวียนแต่ในครั้งนี้นางได้แหวกม่านและมองข้างทางไปตลอดทาง เพราะหากจางเหว่ยคิดร้ายต่อนางจริงนางจักได้หาลู่ทางหนีได้อย่างทันท่วงที“เรือนของแม่ท่านอยู่ที่ใด” ด้วยความอยากรู้นางจึงตะโกนถาม สายตาของนางเห็นบุรุษเบื้องหน้าผ่านผืนม่านบางที่พอเห็นราง ๆ เท่านั้น“หมู่บ้านตรงหุบเขาเหลียงซาน”“อยู่บนหุบเขาเชียวรึ”“มิใช่ดอก อยู่ตรงคุ้งน้ำตรงหุบเขา เป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ทำการเกษตร”ฟู่ฟู่พยักหน้าเล็กน้อยอย่างเข้าใจ นางไม่เคยได้ยินมาก่อน และไม่คิดว่าจักได้เดินทางไปไกลถึงที่แห่งนั้นด้วย ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ เส้นทางเกวียนก็ลำบากแสนเข็นเสียจนนางนั่งไม่ติดพื้นจนก้นพลันระบมจนชาไปหมด นางมิรู้ว่านั่งไปได้นานเพียงใด แต่ตอนนี้นางได้ปวดท้องจนอยากลงไปเด็ดดอกไม้สักครู่“ท่านจางเหว่ย ท่านหยุดพักสักประเดี๋ยวได้รึไม่ คือข้า...” ฟู่ฟู่อ้ำอึ้งมิกล้าเ
ร่างอรชรถูกจับให้นั่งคุกเข่าในที่โล่งแจ้งเพื่อเตรียมรับโทษ โทษของนางแม้จะถูกลดทอนให้เหลือน้อยนิดด้วยการถูกโบยด้วยลำไม้ไผ่ที่มีท่อนเล็กไม่ถึงขนาดไม้พาย แต่ก็ยังหนักหนาเกินกว่าที่สตรีตัวเล็ก ๆ จะรับได้ไหวนางกำกระโปรงที่หน้าเข่าไว้แน่นและหลับตาทั้งที่หยดน้ำตายังไหล เพื่อไม่ให้มองเห็นการลงโทษนี้เพี้ยะ เพี้ยะเสียงลำไม้ไผ่กระทบแผ่นหลังดังจนนกบนต้นไม้แตกรัง ด้วยแรงจากบุรุษที่มีอยู่มากทำให้เหมยลี่ล้มคะมำด้วยความเจ็บและแสบไปทั้งหลังจนเหมือนกระดูกร้าว นางร้องไห้เสียใจกับการถูกลงโทษที่ไม่เป็นธรรมเอาเสียเลย แต่มิอาจทำการอันใดได้ ในเมื่อนางมิมีสิทธิ์ในเรือนนี้“การทำโทษของเจ้ายังไม่หมด เจ้ารีบไปตัดฟืนเสีย” บุรุษที่เป็นคนรับใช้เช่นกันพูดขึ้นใบหน้าเปียกปอนของหญิงอัปลักษณ์มองอีกฝ่ายด้วยความโกรธเคืองอยู่ไม่น้อย นางไม่มีเรี่ยวแรงลุกขึ้นแล้วจักให้รีบไปได้เยี่ยงไร“เหมยลี่มาข้าช่วย”ฮุ่ยชิวที่มายืนมุงอย่างไม่รู้เรื่องราว เมื่อเห็นสตรีผู้น่าสงสารถูกลงโทษเยี่ยงนี้จึงรีบมาประคอง“เจ้าจักไปช่วยนางทำไม” หญิงนางหนึ่งพูด พลางมองหญิงอัปลักษณ์ราวกับเป็นสิ่งชั่วร้าย“หากเจ้ามิมีน้ำใจก็หุบปากเสีย” ฮุ่ยชิวหันไปต
เสียงนกกระจิบร้องดังเป็นสัญญาณของเช้าวันใหม่ หญิงอัปลักษณ์กับชายร่างกำยำนอนกอดกันอยู่ใต้ผ้าห่ม ซึ่งไร้ผ้าปิดบังกายอย่างน่าอายเหมยลี่หายจากพิษไข้ขยับเปลือกตาปรือขึ้น แล้วต้องตกใจเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาของท่านแม่ทัพอยู่ตรงหน้า ทั้งยังถูกวงแขนโอบรัดเอวกิ่วของนางไว้ สติที่เลือนรางเริ่มปะติปะต่อเรื่องราวพลันหน้าแดงระเรื่อและร้อนผ่าว เมื่อจดจำเรื่องราวเมื่อคืนได้อย่างชัดเจนร่างกายของนางยังระบมไม่หายท่านแม่ทัพไม่ถนอมน้ำใจกันเลยสักนิดถึงได้ทำให้ตัวนางมีแต่รอยจ้ำแดง เหมยลี่ขยับตัวอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้คนบนเตียงตื่นลืมตา แล้วรีบสวมเสื้อผ้าและคลุมศีรษะให้เรียบร้อยเพื่อหนีออกไปจากห้องให้เร็วที่สุดร่างอรชรวิ่งไปเปิดประตูทั้งสองฝั่ง แต่เมื่อบานประตูได้แง้มออกนางกลับพบท่านฮูหยินชิงชิงยืนอยู่ตรงหน้า ซึ่งทำให้นางตกใจจนตาเบิกโพลงเพี้ยะ! เพี้ยะ!เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้านวลถึงสองข้าง หญิงอัปลักษณ์ถูกฮูหยินชิงชิงตบหน้าเสียเต็มแรงจนนางล้มลงกองพื้น ความเจ็บบนใบหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้ดวงตาคู่นี้มีหยดน้ำตาไหลออกมา และกุมหน้าตัวเองไว้“เจ้ากล้าดียังไงถึงได้เข้ามาในห้องของบุตรชายข้า” ฮูหยินชี้หน้าด่าด้วยใ
ร่างอรชรนอนอยู่บนเตียงด้วยความทรมานจากพิษไข้ ดวงใบหน้าซีดของนางยังเต็มไปด้วยเหงื่อและยังคงละเมอเพ้อพบ นางรู้สึกถึงความร้อนจากกายซึ่งกำลังส่งผลให้คลั่นเนื้อคลั่นตัวอยู่ไม่หาย แต่ไม่นานมากนักไอร้อนที่แผ่กระจายออกมากลับถูกความเย็นชโลมกาย โดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ฝันร้ายจากห้วงนิทราทำให้กลายเป็นฝันดีได้อย่างน่าประหลาด นางจักรับรู้หรือไม่ว่าท่านแม่ทัพกำลังเช็ดร่างที่มีแต่พิษไข้ โดยที่ปากบ่นอุบอิบไปด้วย สายตาคมมองสมบัติไร้ค่าที่นอนสบายอยู่บนเตียงของเขา แต่ถึงจักบ่นเพียงใดสายตาคมคู่นี้ก็ยังแอบโลมเลียร่างอรชรที่มีความงามเทียบเท่าผู้อื่นได้ มู่หยางได้เห็นผิวกายขาวสะอาดเรียบเนียนอย่างเต็มตาอีกหน จักบอกว่าเขาแอบล่วงเกินก็เป็นได้ บุรุษผู้นี้หลงใหลในรูปของสตรีอัปลักษณ์มากเสียจน เอื้อมมือที่จับแต่ดาบมาลูบผิวเนียนนุ่มอย่างแผ่วเบา เขาไม่มองใบหน้าอัปลักษณ์เลยด้วยซ้ำ ใครอยากมองให้เสียสายตากันเล่า “อะ อื้อ”คนหลับใหลส่งเสียงครวญแผ่วเบาอย่างไม่รู้ตัว เมื่อรู้สึกคล้ายกำลังมีผีเสื้อมาตอมกายให้จั๊กจี้และวูบวาบ นางรู้สึกหนาวจนตัวแทบสั่นสะท้านคล้ายกำลังเปลือยเป
สายลมเย็นพัดโชยยามราตรี หญิงอัปลักษณ์ได้ซุกกายอยู่ในโรงฟืน ก่อนหน้านั้นนางได้จัดระเบียบท่อนฟืนเพื่อแบ่งพื้นที่ว่างให้กายของนางได้พักพิง ร่างอรชรแม้จักได้ดื่มยาสมุนไพรจากฮุ่ยชิวไปแล้ว แต่จิตใจที่อ่อนแอยังไม่ได้รับการบรรเทาสักนิด กว่าจะผ่านวันแรกไปได้ช่างทรมานเสียจนดวงตามีหยดน้ำตาไหล แขนทั้งสองกอดตัวเองไว้ให้รู้สึกอุ่นขึ้นบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถช่วยได้ นางไม่กล้าเผาฟืนจุดไฟเพราะความทรงจำเลวร้ายในเยาว์วัยทำให้หวาดกลัว นางยังจำได้ดีถึงความร้อนที่แผดเผาและสีของเปลวเพลิงอันน่ากลัว รอบกายเต็มไปด้วยสีแดงสาดโหมกระหน่ำ และไหม้ใบหน้าของนางจนดิ้นทุรนทุราย“ชะ...ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย ไม่ ไม่นะ ข้าร้อน ร้อนไปหมดแล้ว” เหมยลี่ร้องละเมอทั้งยังหลับตา กายของนางแทบร้อนดั่งไฟเผา เหงื่อออกจนแตกพลั่ก แม้อากาศตอนนี้จะหนาวเหน็บเพียงไรก็ตามความทรมานจากพิษไข้ กำลังกัดกินนางไปถึงกระดูกทั้งปวดและทรมานหนักหนา หากยังขืนปล่อยไว้เช่นนี้นางคงได้กลายเป็นร่างไร้วิญญาณเป็นแน่ภายในห้องทำงานของมู่หยาง บุรุษร่างสูงสวมใส่ด้วยชุดแสนสบาย แต่ใบหน้าคมคายกลับเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก เหตุมิใช่เพราะงานที่กองตรงหน้า แต่กลับเ
ในพื้นที่ห่างไกลของแคว้นอัน สตรีผู้น้อยนามว่าฟู่ฟู่ได้เดินทางมาถึงวัดอย่างที่นางตั้งใจไว้ ร่างอรชรเดินลงจากเกวียนและมองไปเบื้องหน้าซึ่งเป็นเขตวัดอันแสนสงบร่มเย็น ด้วยอยู่เป็นเชิงภูเขาสูงจึงมีเหล่าพืชพรรณต้นไม้น้อยใหญ่ โดยเฉพาะไผ่ตรงที่อยู่เป็นกอและยืนต้นสูง“ให้ข้ารอรับกลับหรือไม่” บุรุษซึ่งพานางมาส่งเอ่ยถาม เขาเข้าใจว่านางคงจักแค่มาไหว้พระประเดี๋ยวเดียวก็กลับฟู่ฟู่ส่ายหน้าและยิ้มให้จาง ๆ “ข้าจักมาบวช” พร้อมตอบเสียงเบาแต่ใจหนักแน่นยิ่งนัก นางเบื่อโลกแสนวุ่นวายเต็มไปด้วยการแย่งชิงอำนาจและมีคนต้องบาดเจ็บล้มตายจากสงครามมานับไม่ถ้วน นางอยากหลุดพ้นจากวิบากกรรมนี้สักที“เจ้าแน่ใจแล้วรึ การบวชมิใช่ผู้ใดจักมาพูดเล่น ๆ ได้” บุรุษตรงหน้ามองดูหญิงสาววัยละอ่อนที่มีความคิดสุดโต่งอย่างประหลาดใจ“ข้าคิดดีแล้ว ขอบคุณท่านมากที่มาส่งข้าถึงที่นี่” เมื่อพูดจบนางจึงเดินขึ้นบันไดหมายขึ้นไปสักการะท่านเจ้าอาวาส“เดี๋ยวแม่นาง ช้าก่อน” ทว่าบุรุษผู้นี้ดันไม่ยอมให้นางจากไปอย่างง่ายดาย เขารีบวิ่งมายืนขวางหน้าไว้“ท่านมีอันใด?”“ข้ามิอยากให้เจ้าบวช”“ท่านมาขวางทางข้าด้วยเหตุอันใด ไม่กลัวบาปบุญเลยรึ”“ข้าแค่เสียดา
มู่หยางมองหน้าหญิงอัปลักษณ์ด้วยความสงสัย ทั้งที่เขาสั่งไม่ให้นางออกมาเพ่นพ่านมิใช่หรือ เหตุใดถึงไม่ฟังคำกัน ร่างสูงใหญ่ขยับเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายที่ตอนนี้เอาแต่ก้มหน้าก้มตา คิดว่าจะหลบความผิดของตัวเองได้เป็นความคิดที่ผิดมหัน“ตอบข้ามา!”ตุบ!สิ้นเสียงตะคอกเหมยลี่ได้สะดุ้งเฮือกด้วยความหวาดกลัวจนทำให้ถังน้ำหล่นลงพื้นและกลิ้งไปคนละทิศละทาง“ข้าตักน้ำมาใส่อ่างเท่านั้น มิได้มีเจตนาอื่น” เหมยลี่จึงตอบแต่โดยดี“ที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ของเจ้า”“ข้ารู้ หากมิใช่คำของอู๋ท่งสั่งข้าคงไม่ย่างกรายเข้ามาให้ท่านหงุดหงิดใจ” หญิงอัปลักษณ์แหงนหน้าไปเผชิญสายตาคมที่แสนดุและเยือกเย็นยิ่งกว่าในฤดูเหมันต์“รีบไปให้พ้นหน้าข้าเสีย” มู่หยางได้ทีไล่ใช่ว่านางอยากยืนอยู่ในที่แห่งนี้กับอีกฝ่ายสองต่อสองเสียเมื่อไหร่ หญิงอัปลักษณ์จึงรีบเก็บถังน้ำมาแบกหามแล้วรีบเดินออกไปทันที ปล่อยให้บุรุษหน้าขรึมได้อยู่เพียงลำพังตามใจปรารถนาสายตาคมมองร่างอรชรเดินออกมาโดยที่คิ้วหนาขมวดเล็กน้อย เขาแค่นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายดูแข็งแรงดีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้เยี่ยงไร“ถึกเกินคน ยิ่งกว่าวัวกระทิงเสียอีก”มู่หยางกำลังดูแคลนอีกฝ่าย เขาไม่นึกสนใจอ