ไม่...ไม่นะ...
นี่นาง...นางกำลังคล้อยตามโจรขืนใจผู้นี้!
ไม่ ไม่ ไม่ ไม่! ไม่มีวัน!
นางต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ
เรื่องน่าอัปยศเช่นนี้ ความรู้สึกโสมมเช่นนี้!
“เอามัน...ฮึก...! เอามันออกไป...!” หนิงซินร้องเสียงแหบพร่า
ตอนนี้นางแทบจะไม่มีเสียงห้ามแล้ว แต่หากไม่ห้าม...
นาง...
นางรู้สึกว่า...นางคิดว่านางสมควรต้องห้าม!
ถูกแล้ว นางสมควรต้องพยายามยุติเหตุการณ์อันน่าอัปยศและไม่ถูกต้องนี้ ต้องต่อต้านสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และไม่สมควรคล้อยตามความรู้สึกอันสกปรกไร้ยางอายเช่นนี้!
ต่อให้นางไม่ใช่สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่สมควรครองพรหมจรรย์แต่ก็ยังเป็นองค์หญิงรองที่ถือกำเนิดจากครรภ์พระราชชายาแห่งผู้ปกครองแคว้นป๋าย และต่อให้นางไม่ใช่องค์หญิงผู้หนึ่งของแคว้นป๋าย นางก็ยังเป็นสตรีผู้หนึ่ง
ใต้หล้านี้จะมีสตรีดีๆ ใดที่เป็นเช่นนี้...ยังไม่ทันแต่งงานเข้าพิธี โดนบุรุษผู้หนึ่งข่มเหงรังแก กลับหลงคล้อยตาม เผลอปล่อยตัวปล่อยใจ ปล่อยให้ผู้อื่นเสพสุขจากร่างกายตนโดยง่าย กระทำตัวไร้ยางอายและไร้ค่าเช่นนี้!
นาง...ไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนี้!
ราวกับล่วงรู้ว่านางกำลังคิดอะไร คนด้านบนแค่นหัวเราะอย่างสาแก่ใจ ก่อนขยับอีกนิ้วที่ว่างอยู่ปัดเขี่ยติ่งไตเหนือช่องทางอันคับแคบของนาง ทำให้นางถึงกับเนื้อตัวสั่นเทิ้มอย่างห้ามไม่อยู่
“มะ...ไม่...” ตอนนี้นางแทบจะพูดไม่เป็นภาษา “...อย่า...อึก...หยุดนะ...”
“ได้”
ได้?
“ ’อย่าหยุด’ ” เขาเฉลย ก่อนสอดแทรกอีกนิ้วเพิ่มเข้ามา ขยับนิ้วรัวเร็วยิ่งขึ้นอีก ไม่ปรานีนางสักนิด
ยามนี้ตกเป็นเบี้ยล่าง ต้องมาโดนแม่ทัพต่ำช้าป่าเถื่อนรุกเร้ารังแกหนักหน่วงจนสติใกล้จะพร่าเลือนเช่นนี้...หนิงซินพยายามยึดเหนี่ยวความชิงชังไว้แน่นหนัก
นางจะ...ไม่มีวัน...
ไม่มีวันคล้อยตามคนชั่วนี่!
“…ข้า...ฮึก...ข้าเกลียด...ข้าเกลียดท่าน…”
ถ้อยคำที่หลุดจากริมฝีปากนาง ทั้งสั่นทั้งเบาหวิวจนน่าอเนจอนาถใจ
“ข้าก็เกลียดเจ้า” บุรุษต่ำช้าบอกก่อนรวบแขนดื้อรั้นสองข้างขึ้นเหนือหัวนางอีกครั้งด้วยมือเพียงข้างเดียว
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่แม่ทัพใจทรามคลายขาที่ไม่ต่างจากเหล็กกล้าลงแนบเรียวขานาง
ทว่าตอนที่ยังไม่รู้ตัวก็เรื่องหนึ่ง เมื่อรู้ตัวแล้วก็นับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ไวเท่าความคิด หนิงซินพยายามฝืนขยับแข้งขาที่อ่อนแรงไปหมดขึ้นยันเขา คาดไม่ถึงว่าจังหวะนั้นแม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์จะฉวยโอกาสนั้นใช้มืออีกข้างกางเรียวขาของนางออกจากกัน แล้วแทรกตัวลงมาคั่นไว้
ก่อนที่หนิงซินจะได้ตั้งตัว ปลายนิ้วที่เป็นเหมือนสวรรค์กับนรกหลอมรวมกันก็ถอดถอน
หนิงซินได้สติกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์อีกครั้งก็ตอนนั้น นางรีบกระถดถอยหนีโดยสัญชาตญาณ แต่แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์ไม่ยอมให้เสียเวลา เขาใช้มือข้างที่เพิ่งกลับมาว่างอีกครั้งขยับขึ้นคว้าเอวน้อยๆ ของนางไว้มั่น จากนั้นก็ยัดเยียดสิ่งที่ทั้งยาวทั้งใหญ่โตและแข็งเกร็งเข้ามาในกายนาง
อุกอาจ รวดเร็ว และรุนแรง!
“อ๊ะ!!!”
ถ้านิ้วยาวๆ สากๆ ที่เข้ามาในกายนางก่อนหน้านี้เป็นมีด สิ่งนี้ก็คือหัวหอกคมปลาบใหญ่โตที่ช่างตีอาวุธจิตวิปลาสสร้างไว้ใช้ลงทัณฑ์ทรมานผู้คน!
“ไม่! ไม่! อย่านะ! ได้โปรด!” นางหวีดร้องลั่น เจ็บแสบเหมือนร่างกายจะปริแยก รู้สึกอึดอัดคับแน่นไปหมด “มันใหญ่...มันใหญ่เกินไป!”
ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะไม่วิงวอนร้องขอความเห็นใจ แต่พอช่วงเวลานี้มาถึงจริงๆ นางก็อดที่จะอุทธรณ์ไม่ได้
ดูเหมือนถ้อยคำสั้นๆ จะทำให้แม่ทัพป่าเถื่อนย่ามใจ
เขากดเอวลงแนบสนิทยิ่งขึ้น บดจูบริมฝีปากบอบบางอย่างหนักหน่วงหิวกระหาย ทำเอาหนิงซินที่ไม่เคยผ่านค่ำคืนแรกกับใครมาก่อนทั้งเจ็บปวดทั้งตกใจกลัวจนน้ำตาเล็ด
“ฮือ...” ตอนนี้นางหยุดน้ำตาไม่ได้แล้ว
อีกฝ่ายก็หยุดตัวเองไม่ได้แล้วเช่นกัน
“เดี๋ยวก็ชิน” เขากระซิบขณะเลื่อนหน้าซุกไซ้ไปตามซอกหูหอมละมุน
นี่เป็นครั้งแรกที่หนิงซินรู้สึกว่าน้ำเสียงเขาฟังดูอ่อนโยน มันฟังคล้ายคำปลอบใจ...แต่ในวินาทีถัดมา บุรุษที่คร่อมทับเหนือร่างนางก็เปลี่ยนให้นางรู้สึกว่านั่นคือคำเยาะเย้ยถากถางมากกว่า ด้วยคำพูดเพียงประโยคสั้นๆ
“จนกว่าจะแยกจากกัน ข้าจะทำให้เจ้าชินเสียยิ่งกว่าชิน”
“ฮือ...ข้า...ข้าเกลียดท่าน...” ประโยคนั้นทำให้คนต่ำช้าถอดถอนส่วนคับแน่นชวนอึดอัดออกไป...ก่อนกระแทกกลับลงมา!
“ข้าเกลียดท่าน!” นางประกาศซ้ำทั้งน้ำตา แล้วแม่ทัพร่างใหญ่ก็มอบผลลัพธ์แบบเดียวกันมาให้
“ข้าเกลียด...” คราวนี้ไม่ต้องรอให้นางพูดจบ ริมฝีปากร้อนๆ ก็เลื่อนไล้ขึ้นบังคับครอบครองความเงียบงัน พร้อมๆ กับขับเคลื่อนส่วนที่นางชิงชังนักเข้าออกเร็วและรัว มือสองข้างค่อยๆ เคลื่อนจากจุดเกาะกุม เปลี่ยนเป็นลูบไล้ กอดรัด
หนิงซินหัวหมุนคว้าง ช่องเร้นลับคับแคบกลางหว่างขาทั้งร้อนผ่าว ทั้งตื่นตัวเต้นตุบตับไม่หยุด อีกทั้งทั่วทั้งบริเวณนั้น อกอวบอิ่ม และเนื้อตัว ยังเสียววาบสั่นสะท้าน ร่างทั้งร่างเกร็งแล้วเกร็งอีก หายใจหายคอแทบไม่ทัน แทบจะควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้แล้วสักนิด
ครั้งหนึ่ง เสด็จพ่อ เสด็จอา และเหล่าพี่ชายพี่หญิงลูกพี่ลูกน้องในราชวงศ์สกุลอิ๋ง เคยพานางไปล่องเรือชมทิวทัศน์นอกอ่าวที่ด่านโถงอู่...
ยามเมื่อเรือออกทะเล กระแสน้ำเชี่ยวกรากจะซัดเข้าหาลำเรือ กระแทกกระทั้นเข้าใส่ แล้วเรือลำน้อยก็ทำได้เพียงโยกไหวไปเรื่อยๆ อยู่อย่างนั้น
...ตอนนี้นางรู้สึกว่าตนเองก็คือเรือลำนั้น...
ตอนนั้นเอง หญิงหม้ายสกุลอวี๋ก็เปิดประตูเดินอุ้ยอ้ายออกมา นางทำท่าจะประสานมือคารวะ แต่ถูกอีเหิงขยับเข้าประคองห้ามไว้กลับเป็นหมอหลวงสวี่ที่ประสานมือค้อมศีรษะคารวะหญิงหม้ายเสียเอง แล้วเอ่ยถาม“อวี๋ฮูหยิน เป็นอย่างไรบ้าง มิใช่ว่าองค์หญิง—” หมอหลวงสวี่กำมือที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อใต้ชายแขนเสื้อคลุมสีขาวตัวยาวไว้แน่นหญิงหม้ายคาดไม่ถึงว่าบุคคลที่จำได้เลาๆ ว่าเป็นถึงหมออาวุโสผู้หนึ่งของกองทัพ ได้รับการนับหน้าถือตาเป็นอย่างยิ่ง จะถึงกับทำความเคารพสามัญชนเช่นนาง ซ้ำยังออกปากถามความเห็น มิใช่ถามเพียงอาการเช่นนี้ ทว่าเมื่อคำนึงถึงเรื่องที่สตรีในห้องเป็นสตรีของท่านแม่ทัพ อีกทั้งอาการของนางในยามนี้ก็ทั้งชัดเจนและไม่ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง หญิงหม้ายก็ประสานมือคารวะกลับ ทว่าทำได้เพียงค้อมศีรษะเล็กน้อยเท่านั้นนางตอบหมอชราดูทรงภูมิและรองแม่ทัพผู้รั้งเมืองตรงหน้าอย่างใจเย็น “ท่านหมอและท่านรองแม่ทัพไม่ต้องเป็นห่วง แม่นางเพียงแต่อ่อนเพลียและมีอาการวิตกกังวลมากสักหน่อยเท่านั้น ข้าต้มยาสงบใจที่เหมาะสำหรับสตรีให้รับประทานแล้ว หลังจากได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ รั
หญิงหม้ายสกุลอวี๋มาถึงในชั่วอึดใจถัดมาอีเหิงมองร่างเล็กๆ เอวคอดกิ่วที่อุ้มครรภ์แก่ใกล้คลอดอุ้ยอ้ายเดินเข้ามาด้วยความช่วยเหลือของสาวใช้แล้วก็ให้ห่วงหน้าพะวงหลัง ทั้งเป็นห่วงคนป่วยบนเตียง ทั้งหวาดกลัวว่าเอวเล็กๆ ดูบอบบางของหญิงหม้ายจะเกิดหักลงมา ทว่าไม่กล้าทักท้วงที่นี่ไม่มีหมอหญิง และหมอหลวงสวี่ก็ยืนกรานว่าต้องให้หญิงหม้ายซึ่งรู้วิชาแพทย์และเชี่ยวชาญโรคสตรีมาช่วยตรวจอาการให้แน่ใจ หากมัวห่วงพะวงและรบกวนผู้ตรวจรักษาจนองค์หญิงรองเกิดเป็นอะไรลงไป ไม่ต้องรอจนผู้เป็นนายกลับมา เกรงแต่ว่าตัวเขาจะทนแบกรับความรู้สึกผิดไม่ไหว ซ้ำยังถูกเหล่าองครักษ์ที่ท่านแม่ทัพทิ้งไว้ให้คอยดูแลองค์หญิงรุมลงทัณฑ์องครักษ์เหล่านี้แม้ยามนี้นับเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ แต่ขึ้นตรงต่อท่านแม่ทัพของเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น แม้แต่คำว่า ‘อ๋องผู้นั่งอยู่เหนือบัลลังก์เฮยเซ่อเย่ว์’ ก็ยังหาได้มีความสลักสำคัญอะไรต่อพวกเขาไม่องครักษ์เหล่านี้ต่างหาก ที่นับเป็นกองทัพทมิฬที่แท้จริงแท้จริงแล้ว ‘กองทัพทมิฬ’ คือชื่อเรียกที่ท่านอ๋องผู้ล่วงลับมอบให้แก่กองกำลังลับส่วนตนของท่าน
แม้หมอหลวงสวี่จะเป็นหนึ่งในผู้ที่รั้นจะตามมาในกองทัพใหญ่เฮยเซ่อเย่ว์ ด้วยเห็นว่าชีวิตของตนเองอยู่มาจนป่านนี้ก็ไม่มีเรื่องใดให้เสียดายอีกแล้ว ห่วงแต่ว่าจะไม่ได้ทำประโยชน์ให้แก่ท่านแม่ทัพที่ยืนกรานออกศึกด้วยตนเองหลายต่อหลายครั้ง ทว่าอยู่มาจนป่านนี้ กลับได้ข่าวว่าอนุที่เยาว์วัยที่สุดของตนเกิดตั้งครรภ์และเพิ่งจะคลอดบุตร นับๆ ดูแล้วก็มั่นใจว่าเป็นทายาทของตนเป็นแม่นมั่น แม้ใจหนึ่งอยากกลับไปรับขวัญบุตรชายที่ได้มาราวปาฏิหาริย์ แต่การศึกยังติดพัน จึงได้แต่ตั้งใจอบรมสอนสั่งหมอทหาร เพื่อให้แน่ใจได้มากขึ้นอย่างน้อยๆ ก็อีกสองส่วน ว่ากองทัพเฮยเซ่อเย่ว์ที่เกรียงไกรจะไม่สูญเสียกำลังทหารจนพลาดพลั้งแพ้พ่าย... มิใช่ว่าไม่เชื่อใจผู้นำทัพ ในฐานะผู้ที่ติดตามกองทัพมาทั้งที่ไร้วรยุทธป้องกันตัว สวี่ซีซวนก็เพียงแต่ต้องการเพิ่มความแน่นอนปลอดภัยให้ชีวิตของตนเองเท่านั้นก่อนออกศึก ท่านแม่ทัพมิได้ทิ้งผู้ชราที่จู่ๆ ก็เกิดหวงชีวิตขึ้นมาเช่นตนไว้ที่เลี่ยงจินอู่เพียงเพื่อให้คอยกำกับดูแลหมอคนอื่นๆ ที่ล้วนกำลังทุ่มเทความสามารถรักษาเยียวยาทหารที่ได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ยังมอบหมายอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญให้ด้วยเ
นับตั้งแต่วันที่หยางหยางนำทัพใหญ่ออกเดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นป๋าย หนิงซินก็รู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักอึ้งถ่วงอยู่ในอก ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเขาและสถานการณ์การรบ บีบรัดหัวใจจนนางแทบหายใจไม่ออก แม้จะพยายามฝืนกินอาหารตามเวลา แต่อาหารทั้งหมดกลับจืดชืดไร้รส ยามพยายามข่มตาหลับ ภาพเงาร่างสูงใหญ่ของบุรุษที่เคยโอบกอดหยอกเย้ารวมถึงปลอบโยนนางจนหลับไหลซึ่งกำลังต่อสู้กับศัตรูก็ปรากฏขึ้นในห้วงนิทรา ทำให้นางสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวไม่รู้กี่คืนต่อกี่คืนวันแล้ววันเล่าผ่านไป หนิงซินได้แต่เฝ้ารอข่าวคราวจากสนามรบอย่างกระวนกระวาย จนกระทั่งข่าวที่ว่ากองทัพของหยางหยางบุกเข้าวังหลวงได้แล้วแพร่สะพัดไปทั่ว ทั่วทั้งจวนพลันเต็มไปด้วยความโกลาหล พร้อมๆ กับที่ผู้คนในเรือนหลักยิ่งพากันหน้าดำคร่ำเคร่ง พยายามระมัดระวังเอาใจใส่นาง ด้วยบ้างก็ยิ่งหวาดกลัวยำเกรงแม่ทัพใหญ่ บ้างก็อกสั่นขวัญผวาหวั่นเกรงว่าองค์หญิงรองที่ตนต้องดูแลปกป้องให้ปลอดภัยดีทุกอย่างจะคิดสั้นหรือล้มป่วยลงสำหรับหนิงซิน ข่าวนี้กลับทำให้หัวใจของนางเต้นรัวราวกับกลองศึก ความดีใจที่หยางหยางประสบชัยชนะ ปะปนกับความหวาดกลัวในอ
คำพูดของหยางหยางทำให้หนิงซินรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหัวใจนางรู้ดีว่าสงครามไม่มีผู้ชนะที่แท้จริง และทุกชีวิตที่ต้องสูญเสีย ล้วนนำมาซึ่งความโศกเศร้า“ข้าขอร้อง...”หนิงซินพยายามจะพูดอะไรบางอย่างอีกครั้ง เขารู้ว่านางจะพูดอะไร เขาเองก็ฟังมามากพอแล้วเช่นกันหยางหยางส่ายหน้าเบาๆ“ได้เวลาแล้ว” เขาพูดเสียงเรียบ “รอข้าอยู่ที่นี่”เมื่อสวมเกราะสุดท้ายเสร็จสิ้น แม่ทัพทมิฬก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้เงาร่างบอบบางยืนมองส่งเขาอย่างเดียวดายหนิงซินเม้มริมฝีปากแน่นก่อนตัดสินใจเดินตามไป ทว่าไม่ทันจะก้าวขาออกจากประตู เหล่าสาวใช้ที่รอปรนนิบัติดูแลนางอยู่ด้านนอกก็พากันคุกเข่าลง ใบหน้าเผือดสีหนิงซินเข้าใจในความหวาดกลัวของคนเหล่านี้ จึงไม่กล้าทำให้พวกนาง ทหารยาม และองครักษ์ทั้งหลายลำบากใจ ได้แต่เฝ้ามองเงาร่างของอีกฝ่ายหายลับไปจากประตูวงเดือนด้วยความรู้สึกผสมปนเปกันไปหมดนางได้พูดกับเขาแล้วรึยัง ว่านางเองก็อยากให้เขาดูแลตนเองให้ดี และปลอดภัยกลับมาเช่นกัน...แต่...คนผู้นั้นคือแม่ทัพใหญ่ฝ่ายศัตรู...
หยางหยางลูบผมของนางเบาๆ ก่อนปัดปอยปมที่ระใบหน้านางออกอย่างอ่อนโยนดีใจ...อย่างนั้นหรือ...?จริงก็ช่าง เท็จก็ช่าง...เขาไม่สนใจนางคือสตรีของเขา ทุกคำพูดมีไว้เพื่อเขา ทุกสายตา...ก็ควรมีไว้เพื่อเขาเช่นกันต่อให้นางยังไม่ตระหนักในตอนนี้ แต่สุดท้ายแล้วนางจะรู้...ชีวิตนี้นางไม่อาจถอยห่างจากเขาได้หยางหยางกระชับอ้อมแขนโอบรอบนางแน่นเข้าอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาฉายแวววูบไหวลึกซึ้งเมื่อนึกถึงตอนที่นางกำลังจะเอื้อนเอ่ยว่าเขาเป็นคนสำคัญแต่เขาฟังไม่ได้ เขาไม่อาจทนฟังได้เพราะเขารู้ว่านางจะบอกว่าเขาคือคนสำคัญ นางจะต้องพูดเช่นนั้นเพื่อบ้านเมืองของนาง เพื่ออาณาประชาราษฎร์ของนาง เพื่อความถูกต้อง...ทว่าเขาไม่มีทางรู้เลยว่านางพูดด้วยความรู้สึกที่แท้จริงด้วยหรือไม่ หากใช่ เทียบกันแล้ว ระหว่างเขากับ ‘คนอื่น’ ค่าของเขาในใจนางแท้จริงแล้วนับว่ามีน้ำหนักน้อยมากเพียงใด จึงได้แต่ใช้การกระทำที่ตรงไปตรงมาที่สุดบีบให้นางแสดงความปรารถนาในส่วนลึกออกมาเท่านั้นอย่างน้อยเรื่องที่นางเป็นของเขาเพียงผู้เดียวก็เป็นเรื่องจริง