ฮูหยินหลิวอิ๋งเอ่ยถามเสียงเข้ม สองพ่อลูกมองหน้ากันเลิ่กลั่ก หลิวอิ๋งผู้เป็นภรรยาที่ได้เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยอย่างมีโทสะ
"ข้ารู้นะว่าพวกท่านจะพากันไปที่ใด!!! บัดซบนัก ต้นผักกาดของข้าเฉาตายหมดเพราะพวกท่าน!!!"
"ฮูหยิน ให้อภัยข้าเถิด ครานั้นข้ารีบชัก มันจึงพุ่งไปโดนผักกาดของเจ้า!!!"
"หึ!!! คิดว่าข้าไม่เห็นหรือ!!! พวกท่านสองพ่อลูกแข่งกันชัก ข้าเห็นกับตา!!!"
"ข้าไม่ได้ตั้งใจนี่นา!!! มันแข็งขึ้นมากะทันหันจะให้ข้าทำเช่นไรเล่า!!!"
"ท่านพ่อท่านแม่พอเถิด!!! อายบ่าวไพร่บ้างเจ้าค่ะ!!!"
จ้าวไป๋ลู่รีบเอ่ยยับยั้งบิดาและมารดาของตนทันที ก่อนจะหันไปมองจ้าวเฉียนที่มีท่าทีกระอักกระอ่วนเช่นเดียวกัน
"ช่างหัวมันสิ!!! คนที่ต้องอายคือพ่อเจ้า ผักกาดของข้ากำลังงอกงาม กลับตายเพราะน้ำบัดซบของเขา!!!"
"ก็บอกว่าไม่ได้ตั้งใจชักมันจำเป็น!!!"
"กล้าเถียงข้าหรือ!!!"
"ฮูหยิน!!!"
โครม!!!
จ้าวเยียนและจ้าวเฉียนสะดุ้งโหยง ด้านจ้าวไป๋ลู่นั้นนางทำได้เพียงยกมือขึ้นเกาหน้าผาก ก่อนจะมองภาพอาหารบนโต๊ะที่ถูกท่านแม่พังโครมหกเลอะเทอะอย่างอับจนหนทาง
บัดซบเถิดไม่ต้องกินแล้วข้าวเย็น!!!
"ท่านตั้งใจชัก!!!"
"ข้าไม่ได้ตั้งใจมันแข็งเอง!!!"
"ท่านชัก!!!"
"โธ่ฮูหยิน เดิมทีข้ากับอาเฉียนเพียงตั้งใจเล่นว่าวที่ฝ่าบาททรงประทานให้ข้าเพียงเท่านั้น ผู้ใดจะรู้ว่าสายว่าวกลับแข็งขึ้นมากะทันหัน ข้าจึงรีบชักสายมัน ข้าไม่ได้ตั้งใจ มือข้าเลยพลัดไปโดนถังน้ำสกปรก จนมันหกราดรดต้นผักกาดเจ้าจนเฉาตาย!!! นี่ข้ากับอาเฉียนก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมเก็บว่าวอันใหม่ที่เพิ่งทำเสร็จวางเอาไว้ที่ด้านหลังจวน จึงจะไปเก็บ เจ้าก็ระงับโทสะหน่อยเถิด!!!"
จ้าวเยียนพยายามอธิบายให้ภรรยาเข้าใจ เมื่อสองสามวันก่อน ฝ่าบาททรงพระราชทานว่าวให้ข้ารับใช้ได้ละเล่นแก้เบื่อ เขาก็ได้มาเช่นกันจึงชักชวนบุตรชายเล่น ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุมิคาดฝันเช่นนี้
จ้าวไป๋ลู่ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วตนเองก่อนจะครุ่นคิดในใจ
โธ่! ท่านพ่อ แทนที่จะพูดให้ละเอียดข้าก็คิดไปไกลเลย!!!
แล้วท่าทีโล่งใจของบ่าวไพร่คือสิ่งใดกัน หรือพวกเขาคิดว่าท่านพ่อและพี่ใหญ่...
วะฮ่า ๆ ๆ ๆ นางก็คิดว่าท่านพ่อและพี่ใหญ่ชัก...
ช่างมันเถิด! เย็นนี้กินข้าวกับน้ำมันพริกแก้ขัดไปก่อนก็แล้วกัน!
ยามนี้เข้าสู่ช่วงกลางฤดูเหมันต์ อากาศจึงค่อนข้างเหน็บหนาวเป็นอย่างยิ่ง จ้าวไป๋ลู่กำลังนั่งอยู่ในรถม้า มือทั้งสองข้างของนางกอดเตาผิงเอาไว้เพื่อช่วยให้ความอบอุ่น ชุดคลุมขนจิ้งจอกที่มารดาสั่งตัดให้นาง ยังช่วยเพิ่มความอบอุ่นได้เป็นอย่างดี
ฮูหยินหลิวอิ๋งยื่นมือไปเปิดผ้าม่านออกเล็กน้อย ก่อนจะหันมาเอ่ยกับจ้าวไป๋ลู่
"ไป๋ไป๋ ยามเมื่อถึงจวนโหวแล้ว เจ้าจงรักษากิริยาให้ดี สิ่งใดควรมิควรต้องจดจำให้ขึ้นใจ"
"เจ้าค่ะท่านแม่ โอ๊ะ!!! ฮ่า ๆ ๆ ๆ มันร่วงจากปากข้า ฮ่า ๆ ๆ ๆ"
จ้าวไป๋ลู่กำลังอ้าปากงับถังหูลู่ที่สาวใช้ส่งมาให้ แต่ทว่ามันกลับร่วงลงจากปากของนางไปเสียแล้ว นางจึงเผลอหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน แต่ทว่าเมื่อหันไปพบกับสายตาเย็นเยียบของผู้เป็นมารดา นางจึงยกมือขึ้นปิดปากตนเองทันที
ท่านแม่ของนางดีไปหมดทุกสิ่งอย่าง เสียอย่างเดียวคือเป็นสตรีที่ค่อนข้างเจ้าระเบียบ ท่านพ่อเคยบอกกับนางว่า เพราะท่านแม่มาจากตระกูลชาวนา ยามเมื่อมีหน้ามีตาจึงเกรงว่าจะทำให้ท่านพ่อขายหน้าเอาได้ ท่านแม่จึงตั้งใจศึกษากฎระเบียบและกิริยาของสตรีชั้นสูงอย่างเคร่งครัด
ให้ตายเถิด! นางอึดอัดที่สุดเลย
"เอ่ยยังมิทันขาดคำ เจ้าก็เป็นเช่นนี้เสียแล้ว เป็นสตรีเหตุใดจึงอ้าปากหัวเราะเช่นนั้น น่ารังเกียจยิ่งนัก"
ยิ่งบ่นด่าบุตรสาวนางก็ยิ่งโมโห เมื่อสองปีก่อน จ้าวไป๋ลู่เป็นสตรีที่เรียบร้อยอ่อนหวานกิริยางดงาม เหตุใดพอเริ่มเติบโตกลับเป็นเช่นนี้ไปเสียได้
"ท่านแม่ ข้าจะไม่หัวเราะอีกแล้ว"
"หึ!!! เอาเถิด เมื่อไปถึงจวนโหวแล้ว แม่จะพาเจ้าไปทำความเคารพองค์หญิงหงลี่"
ฮูหยินหลิวอิ๋งเอ่ยเพียงเท่านี้ไม่ได้เอ่ยวาจาใดต่อ แท้จริงแล้วในจดหมายขององค์หญิงหงลี่นั้น มิได้เพียงชวนพวกนางสองแม่ลูกมาชมดอกเหมยเพียงอย่างเดียว แต่กลับจะเจรจาทาบทามสู่ขอจ้าวไป๋ลู่ให้แต่งงานกับบุตรชายของตน
นางเองมิใช่ว่าไม่ดีใจ นางดีใจมากเสียด้วยซ้ำที่องค์หญิงให้เกียรตินางให้เกียรติตระกูลจ้าวถึงเพียงนี้ แต่เมื่อมองเห็นท่าทีเดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวหัวเราะของบุตรสาว นางก็ปวดใจยิ่งนัก
รถม้าหยุดลงที่หน้าประตูจวนโหวตระกูลหลี่ ฮูหยินหลิวอิ๋งและจ้าวไป๋ลู่ก็เดินลงมาจากรถม้า มีสาวใช้มารอต้อนรับ ก่อนจะพาพวกนางสองแม่ลูกตรงเข้าไปในเรือนใหญ่ทันที
เสียงพิณบรรเลงบทเพลงชวนเคลิบเคลิ้ม จ้าวไป๋ลู่มองดูรอบจวนด้วยความตื่นเต้น ที่นี่ปลูกต้นไม้ดอกไม้ไว้เต็มไปหมด แต่ยามนี้เห็นทีคงจะมีเพียงดอกเหมยที่ออกดอกบานสะพรั่งสวยงาม จ้าวไป๋ลู่ยื่นมือไปรองหิมะที่โปรยปรายลงมาก่อนจะเผยรอยยิ้มจนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้างของนาง
เดินต่ออีกสักพักก็มาถึงเรือนใหญ่ ยามนี้มีเหล่าคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์มากมายกำลังร่วมชมดอกเหมยและรับฟังบทเพลงจากพิณที่ขับกล่อมชวนเสนาะหู
"อิ๋งเอ๋อร์เจ้ามาแล้ว"
"ถวายพระพรองค์หญิงเพคะ"
"จะมากพิธีไปไยกัน รีบมานั่งกับข้า เอ่อ แล้ว นี่คือ..."
"ทูลองค์หญิง นี่คือ จ้าวไป๋ลู่ บุตรสาวของหม่อมฉันเพคะ"
"โอ้วว ไป๋ไป๋เติบโตถึงเพียงนี้แล้ว อีกทั้งยังงดงามมากอีกด้วย"
องค์หญิงหงลี่เอ่ยชมจ้าวไป๋ลู่มิขาดปาก จ้าวไป๋ลู่เองก็จำที่ท่านแม่สอนนางมาได้เป็นอย่างดี จึงทำความเคารพได้อย่างงดงามอ่อนช้อย จนองค์หญิงหงลี่พยักหน้าอย่างชื่นชม
ความสัมพันธ์ขององค์หญิงหงลี่และมารดาของจ้าวไป๋ลู่นั้นค่อนข้างสนิทสนม พวกนางเป็นสหายที่ดีต่อกันมาตั้งแต่วัยเยาว์
เมื่อยี่สิบปีก่อน องค์หญิงหงลี่ตกหลุมรักซื่อจื่อจวนโหว ซึ่งก็คือสามีของนางในยามนี้ นางจึงออกจากวังไปตามหาเขา แต่ระหว่างทาง กลับถูกพวกบ้าตัณหาคิดฉุดคร่าลวนลาม โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากหลิวอิ๋งและครอบครัว นางจึงรอดพ้นหายนะครานั้นมาได้ ความช่วยเหลือนี้ก่อเกิดความสัมพันธ์ที่ดีเสมอมา ทำให้พวกนางเป็นสหายรักกันนับตั้งแต่วันนั้น และยังสัญญากันเอาไว้ว่าหากมีบุตรสาวบุตรชายจะให้แต่งงานกันอีกด้วย
ท่าทีที่องค์หญิงหงลี่มีต่อนาง สร้างความริษยาให้แก่คุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ไม่น้อย โดยเฉพาะ หนิงเสวี่ย
หนิงเสวี่ยเป็นบุตรสาวของจวนตระกูลหนิง บิดาของนางเป็นถึงเสนาบดีกรมพระคลัง พี่ชายของนางก็เป็นบัณฑิตผู้เลื่องชื่อ สอบได้ที่หนึ่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังก้าวหน้า กำลังจะได้เป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยนอีกด้วย
และนางเองก็เป็นคนรักของหลี่รั่วหาน ซื่อจื่อแห่งจวนโหว คุณชายใหญ่แห่งจวนตระกูลหลี่ บุตรชายขององค์หญิงหงลี่
ท่าทีที่องค์หญิงหงลี่มีต่อสองแม่ลูกนั้นช่างอ่อนโยนและสนิทสนม ต่างจากทุกคราที่พบเจอนาง องค์หญิงหงลี่กลับเว้นระยะห่างจนนางมิอาจเข้าถึง
ยามนี้จ้าวไป๋ลู่กำลังเดินชมดอกเหมยที่ออกดอกบานสะพรั่งอย่างเบื่อหน่าย เพราะท่านแม่กับองค์หญิงหงลี่มีเรื่องต้องสนทนาหารือกัน จึงให้นางออกมาเดินเล่น ด้วยกังวลว่านางจะเบื่อหน่ายเสียก่อน จ้าวไป๋ลู่ทิ้งกายลงนั่งที่ชิงช้า ซึ่งถูกผูกเอาไว้กับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปล้วงขนมกุ้ยฮวาในแขนเสื้อออกมากัดกินอย่างอารมณ์ดี ขนมนี้นางแอบหยิบมาจากในเรือนใหญ่ รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว "หมิงอวี้ เจ้ามาไกวชิงช้าให้ข้าที" "คุณหนูเจ้าคะ แต่นายหญิงสั่งเอาไว้ว่า..." "ช่างท่านแม่เถอะน่า!!! ยามนี้ท่านแม่ไม่เห็น มา เร็ว ๆ" หมิงอวี้ไม่อาจทัดทานคำสั่งของจ้าวไป๋ลู่ได้ จึงจำใจต้องเดินมาไกวชิงช้าให้นางอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง"ฮ่า ๆ ๆ ๆ สนุกยิ่งนัก" ชิงช้าแกว่งไกวตามแรงมือของหมิงอวี้ที่ผลักออกไป จ้าวไป๋ลู่หลับตาลง ยามนี้นางรู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังจะล่องลอยสู่แดนสวรรค์ "ฮึมมมม" นางฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีในขณะที่ปากก็เคี้ยวขนมกุ้ยฮวาไปด้วย ราวกับเด็กน้อยที่ทั้งห่วงเล่นสนุกและห่วงกินในเวลาเดียวกัน แกรก "ว้ายยย คุณหนู!!!"เสียงร้องตะโกนของหมิงอวี้ทำให้จ้าวไป๋ลู่ลืมตาขึ้นมา ก่อนจะอุทานในใจ ตายแล้ว!!! นางบินได้ ไ
เมื่อหลี่รั่วหานจากไปแล้ว ฮูหยินหลิวอิ๋งจึงหันมาเอ่ยกับองค์หญิงหงลี่ทันที "องค์หญิงอย่าได้ทรงเป็นกังวล เดิมทีนี่ก็เป็นความผิดของไป๋ไป๋เช่นกัน อย่างไรข้าคงมิอาจฝืนใจซื่อจื่อให้เขาต้องลำบากมาแต่งงานกับไป๋ไป๋เป็นแน่ หากนางมิสามารถแต่งออกจากจวนได้อีก ตระกูลจ้าวย่อมต้องส่งนางออกบวชเพื่อลบล้างความผิดในครานี้" จ้าวไป๋ลู่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง นางมุ่ยหน้าลงราวกับเด็กน้อย ในใจครุ่นคิดไปต่าง ๆ นานาไปอยู่อารามหรือ ออกบวชหรือ!!! ข้าไม่อยากถือศีลกินเจนะ ข้าชอบกินเนื้อที่สุดเลย ฮือออ!!!แต่จะว่าไปอาหารเจก็รสชาติดีมิใช่หรือ?แถมไม่ต้องเสียเงินสักอีแปะด้วย!องค์หญิงหงลี่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยห้ามปรามสหายสนิทของตนทันที "ไม่ได้เด็ดขาด!!! นางอายุเพียงเท่านี้จะให้ออกบวชได้อย่างไร ข้าน่ะเอ็นดูนางยิ่งนัก นางน่ารักและไร้เดียงสาถึงเพียงนี้ข้าคงทำใจให้เจ้าพานางออกบวชมิได้ อิ๋งเอ๋อร์ หากเจ้าจะส่งนางออกบวช มิสู้ให้นางแต่งเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ข้ามิดีกว่าหรือ" ฮูหยินหลิวอิ๋งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง เมื่อได้เห็นสายตาที่องค์หญิงหงลี่มองจ้าวไป๋ลู่ด้วยความเอ็นดู นางก็เริ่มใจอ
ด้านจ้าวไป๋ลู่นั้นก็กำลังให้หมิงอวี้สาวใช้ทายาที่ท่านหมอจัดให้ ก่อนจะเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด ขาของข้า!!! ฮือออ จ้าวเฉียนที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มให้น้องสาวของตนด้วยความอ่อนโยน ก่อนจะยื่นซาลาเปาไส้เนื้อไปตรงหน้านาง เมื่อเห็นของกินมาวางตรงหน้า จ้าวไป๋ลู่ก็ยิ้มตาหยี ก่อนจะรับซาลาเปาไส้เนื้อลูกนั้นมากัดกินอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งที่ยังนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง"อย่างไรเจ้าคงต้องแต่งเข้าจวนโหว" จ้าวเฉียนเอ่ยกับจ้าวไป๋ลู่ด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย เมื่อได้ยินผู้เป็นพี่ชายเอ่ยเช่นนั้น จ้าวไป๋ลู่ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเป็นอย่างมาก "พี่ใหญ่ มันเป็นอุบัติเหตุ เอ่อ ข้าไม่ได้ตั้งใจ" "ข้ารู้ ข้าเชื่อเจ้า แต่ชื่อเสียงของเจ้าย่ำแย่เช่นนี้ จะให้ทำเช่นไรได้เล่า" "ช่างสิ!!! ข้าจะอยู่ให้ท่านพี่เลี้ยงดูไปจนแก่ ดีกว่าต้องแต่งกับจอมมารผู้นั้น" จ้าวเฉียนรู้สึกขบขันน้องสาวของตนยิ่งนัก เขายื่นมือไปลูบศีรษะน้องสาวด้วยความรักใคร่ "ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด ก็ยังเป็นน้องสาวของพี่เสมอ"จ้าวไป๋ลู่พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างปลงไม่ตก เห็น ๆ อยู่ว่าจอมมารหลี่ผู้นั้นมีคู่รักอยู่แล้ว เหตุใดท่านแม่และองค์หญิงหงลี่จึง
สามวันต่อมา องค์หญิงหงลี่ก็ส่งแม่สื่อมาที่จวนตระกูลจ้าวตามที่ได้รับปากเอาไว้จริง ๆ อีกทั้งยังมีรายการสินสอดมาอีกหนึ่งฉบับ ฮูหยินหลิวอิ๋งมองดูรายการสินสอดที่เขียนเอาไว้บนแผ่นกระดาษ ก็รู้สึกตกใจไม่น้อย เหตุใดจึงมากมายถึงเพียงนี้! เพราะนางเติบโตมาในตระกูลชนบท อีกทั้งตระกูลสามีก็เป็นเพียงพ่อค้าร้านอาหารเล็ก ๆ ในเมืองหลวงเพียงเท่านั้น นางเองมิได้มีใจโลภละโมบในสมบัติของผู้อื่น แม้จะไม่สบายใจเท่าใดนัก แต่ก็ทำได้เพียงยิ้มแย้มต้อนรับแม่สื่อไปตามมารยาท นางรู้ดีว่าอย่างไรเสียคงมิอาจตัดไมตรีที่องค์หญิงหงลี่มอบให้ได้เป็นอันขาด หลังจากที่แม่สื่อกลับไปแล้ว ฮูหยินหลิวอิ๋งก็ให้สาวใช้ไปเรียกจ้าวไป๋ลู่มาพบที่เรือนใหญ่ จ้าวไป๋ลู่ที่กำลังนอนแผ่หลาอ่านตำราอาหารอยู่บนเตียง เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงรีบวางตำราในมือลง ก่อนจะรีบไปพบมารดาของตนทันที "คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ" "นั่งลงเถิด" เมื่อมาถึงเรือนใหญ่ นางก็ทำความเคารพผู้เป็นมารดา ฮูหยินหลิวอิ๋งพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยกับบุตรสาวด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม"จวนโหวส่งใบรายการสินสอดมาแล้ว อีกสองวันจะสั่งให้คนมาตัดเย็บชุดเจ้าสาวให้เจ้า เตรียมตัวให้ดี นับแต่วันนี้ไปข้าจะเป็น
เมื่อกินอิ่มแล้ว จ้าวไป๋ลู่จึงช่วยท่านปู่ท่านย่าเก็บกวาดล้างจานชามจนสะอาด เซียวถงเองก็เข้าไปช่วยนางเช่นกัน ชายหญิงชราที่เห็นเช่นนั้นก็เพียงสบตากันและยิ้มเพียงเล็กน้อย ในสายตาของพวกเขา เซียวถงเป็นบุรุษที่ดีคนหนึ่ง หากได้มาเป็นหลานเขย ชีวิตของจ้าวไป๋ลู่ ย่อมมีความสุขไม่น้อย "พี่ชาย ท่านกลับมาเมื่อใดหรือเจ้าคะ" "สองสามวันที่แล้ว แต่ต้องเข้าวังหลวงรายงานความเป็นไปให้ฝ่าบาททรงรับรู้เสียก่อน เมื่อเสร็จงานแล้วข้าจึงตั้งใจจะกลับจวน แต่ทว่ากลับพบเจ้าที่กินมูมมามอยู่หน้าร้านจึงต้องแวะมาหา" "หากท่านว่างมากก็ให้ท่านหมองัดสุนัขออกจากปากบ้างนะเจ้าคะ" "ฮ่า ๆ ๆ ๆ!!!" เซียวถงที่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะชอบใจเป็นอย่างยิ่ง เขาลอบมองนางอย่างพิจารณาก่อนจะครุ่นคิดในใจ นางเติบโตเป็นสตรีเต็มตัวแล้ว อีกทั้งยังงดงามมากอีกด้วย "ไป๋ไป๋" "หืม" "ยามนี้ข้ามิต้องไปชายแดนแล้ว เจ้าจะยินดีแต่งงานกับข้าได้หรือไม่" จ้าวไป๋ลู่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงรีบหันขวับไปมองเซียวถงทันที ก่อนจะหัวเราะออกมา "ฮ่า ๆ ๆ ๆ" "เจ้าขบขันสิ่งใดกัน!!!" เมื่อเห็นว่านางหัวเราะโดยไร้เหตุผลเช่นนั้น เซียวถงก็ขมวดคิ้วมุ่น จ้าวไป๋ลู่จึงรีบเอ่ย
จวนตระกูลหนิง "โง่งมที่สุด ไหนเจ้าว่าหลี่รั่วหานรักเจ้านักหนา เหตุใดเขาจึงยอมตกปากรับคำแต่งงานกับสตรีนางนั้นง่ายดายเช่นนี้เล่า!!!"หนิงเสวี่ยในยามนี้กำลังนั่งก้มหน้างุดมิเอ่ยวาจาใดออกมา ทำได้เพียงทนฟังผู้เป็นมารดาก่นด่านางโดยไร้หนทางโต้แย้ง มารดาของนางมีนามว่า เว่ยจิ่นซาง เป็นบุตรสาวของตระกูลบัณฑิต ตั้งแต่นางจำความได้ ท่านแม่มักจะพูดกรอกหูนางอยู่เสมอว่านางจะต้องเป็นสตรีที่งดงามเพียบพร้อม กิริยามารยาทต้องเป็นเลิศ และจะต้องแต่งเข้าจวนโหวตระกูลหลี่เป็นฮูหยินใหญ่ให้ได้ เดิมทีนางเองก็มิเข้าใจเท่าใดนัก นางพยายามเอ่ยปากถามผู้เป็นมารดาอยู่หลายครา แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบ มีเพียงคำก่นด่าและถากถางเพียงเท่านั้น ข้าให้เจ้าทำสิ่งใดก็จงทำ มิต้องมาถามข้าให้มากความ เจ้าจงจำเอาไว้ ว่าจะต้องมัดใจหลี่รั่วหานให้ได้ ทำให้เขาหลงใหลเจ้า มอบทุกอย่างให้กับเจ้า ข้าอยากจะเห็นมารดาของเขา อกแตกตาย ฮ่า ๆ ๆ ๆ!!! หนิงเสวี่ยได้ยินท่านแม่พูดประโยคนี้จนนางท่องจำได้ขึ้นใจ นางเองมิรู้ว่าท่านแม่และองค์หญิงหงลี่มีความแค้นใดต่อกันมาก่อน คราแรกนางมิได้ชมชอบหลี่รั่วหานเท่าใดนัก แต่เมื่อได้ใกล้ชิดกับเขา นางก็เผลอหลงรักเขาจนหมดห
การแต่งงานผ่านไปอย่างทุลักทุเล ยามที่กำลังยกน้ำชาคำนับฟ้าดิน หลี่รั่วหานก็แกล้งจ้าวไป๋ลู่ โดยการใช้ไหล่ของเขากระแทกไหล่ของนาง จนน้ำชาในถ้วยกระฉอกมาโดนใบหน้าของนางเต็ม ๆ จ้าวไป๋ลู่เองก็มิยอมแพ้ ยามที่ต้องตักขนมมงคลป้อนให้เขากิน นางก็ตักขึ้นมาเต็มช้อนโดยที่ไม่เป่าให้หายร้อนเสียก่อน ก็ยัดเข้าปากเขาในทันที ภาพที่เจ้าบ่าวตาเหลือกช่างสร้างความสุนทรีย์ให้คนในงานไม่น้อย ช่างเป็นงานแต่งที่บันเทิงเสียจริง!!! "เฮ้อ!!! หมิงอวี้ข้าหิวแล้ว" "ฮูหยินน้อยเจ้าคะ บ่าวจะนำหมั่นโถวมาให้ท่านนะเจ้าคะ" ยามนี้นางมานั่งพักในเรือนหอเรียบร้อยแล้ว จ้าวไป๋ลู่ยกมือขึ้นลูบท้องด้วยความหิวโหย ให้ตายเถิด การแต่งงานมันช่างทรมานเสียจริงเชียว ไม่นานหมิงอวี้ก็นำหมั่นโถวมาให้นางสามลูก จ้าวไป๋ลู่กินจนหมดก่อนจะทิ้งกายลงนอนบนเตียง ความอิ่มทำให้นางรู้สึกง่วงงุนไม่น้อย จึงผล็อยหลับไปเสียอย่างนั้น หลังจากส่งแขกเหรื่อเรียบร้อยแล้ว หลี่รั่วหานก็เดินเข้ามาในห้องหอก่อนจะสั่งให้หมิงอวี้ออกไปเสีย เขาเดินเข้าไปหาจ้าวไป๋ลู่ และยกเท้าขึ้นมาเขี่ยขานางอย่างรังเกียจ "อ๊าาาา ซาลาเปาไส้หมูแดง ซดน้ำซุปด้วย เยี่ยม!!!" หลี่รั่วหานรู้สึกห
เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว หลี่รั่วหานจึงเดินออกมาจากด้านหลังต้นสาลี่ แล้วจ้องมองจ้าวไป๋ลู่อย่างเอาเรื่อง "เจ้านี่มารยาเยอะเสียจริง ทำทีมาบอกว่าจะดูต้นทางให้ข้า แต่แท้จริงแล้ว เจ้าคงอยากดูของข้าจนตัวสั่นสินะ!!!" จ้าวไป๋ลู่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็จ้องมองเขาด้วยความตกใจ ให้ตายเถิด!!! นางแค่แวะผ่านมาเองนะ "ซื่อจื่อคงเข้าใจผิดแล้วกระมังเจ้าคะ เดิมทีข้าเพียงรู้สึกเบื่อหน่ายจึงอยากจะออกมาเดินเล่นเพื่อผ่อนคลายอารมณ์เพียงเท่านั้น แต่กลับ ได้ยิน เอ่อ... ชักขึ้นชักลง ชักลงชักขึ้น ฮ่า ๆ ๆ ๆ" "หุบปาก เดี๋ยวนี้นะ!!!" "ซื่อจื่อ ข้าอุตส่าห์มีน้ำใจดูต้นทางให้ท่านนะเจ้าคะ" "ใครขอร้องเจ้ากัน!!!" "ไม่มีเจ้าค่ะ" "จำไว้!!! อย่าเสนอหน้ามายุ่งเรื่องของข้าอีก!!!" "เจ้าค่ะ ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ อุ๊ย ชักขึ้นชักลง ชักลงชักขึ้น ฮ่า ๆ ๆ ๆ"จ้าวไป๋ลู่หัวเราะจนตัวงอ สร้างความโมโหให้แก่หลี่รั่วหานเป็นอย่างมาก เขากระชากแขนนางเข้าหาตัวอย่างสุดแรง ก่อนจะจ้องนางเขม็ง "ท้าทายข้าหรือ!!!" เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น จ้าวไป๋ลู่จึงพยายามดันตนเองออกจากการเกาะกุมของเขา "ข้าเจ็บนะเจ้าคะ!!!" "เจ็บหรือ!!! หึ!!! เมื่อครู่ยัง
หวังเจียหมิ่นเดินถือกล่องใส่อาหารไว้ในมือ ก่อนจะเดินขึ้นไปบนวัดไป๋หม่า เขาทำเช่นนี้มาร่วมปี เขาเองก็เต็มใจทำโดยไม่เคยปริปากบ่นแม้เพียงน้อยเสียงกวาดพื้นดังมาเป็นระยะ หวังเจียหมิ่นจ้องมองสตรีตรงหน้าที่ยามนี้นางเกล้าผมอย่างเรียบร้อย สวมเพียงเสื้อผ้าธรรมดา กำลังถือไม้กวาดกวาดใบไม้อย่างตั้งใจนางคือหลี่หลานฮวา หรือก็คือ หนิงเสวี่ย นั่นเอง นางเสียสติอยู่ร่วมปี กว่าจะทำใจยอมรับเรื่องราวก่อนหน้านี้ได้ มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ ที่นางจะยอมรับว่านางกับหลี่รั่วหานเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน และไม่ง่ายเลยกว่านางจะยอมรับว่าสตรีที่นางเกลียดชังนักหนา แท้จริงแล้วคือมารดาผู้ให้กำเนิดนาง แม้จะเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก แต่ในท้ายที่สุดนางก็ทำใจยอมรับมันได้ แม้จะต้องใช้เวลาบ้างก็ตาม นางอุทิศตัวให้พระโพธิสัตว์ ชาตินี้จะขอสร้างบุญเพื่อไถ่บาปกรรมที่นางเคยทำเอาไว้ทั้งหมด แม่ทัพใหญ่หลี่ องค์หญิงหงลี่และหลี่รั่วหานยังคงมาเยี่ยมนางอยู่เสมอ พวกเขายังคงพูดกับนางเหมือนเช่นทุกครา ว่ายังรอวันที่นางจะยินดีกลับจวนโหวอีกครั้ง ซึ่งนางเองก็ยังไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อใดนางรู้สึกผิดต่อทุกคน ด้วยความรู้สึกผิดในใจนางจึงเล
จ้าวไป๋ลู่ยื่นน้ำตาลก้อนหนึ่งให้หลี่รั่วหานเพื่อให้เขาใช้แก้อาการแสบร้อนในปาก เขารีบยัดน้ำตาลก้อนนั้นเข้าปากทันที ยามนี้ปากของเขาบวมราวกับโดนฝูงผึ้งรุมต่อย สร้างความขบขันให้แก่นางไม่น้อย "หลี่รั่วหาน" "หืม" "ท่านพ่อท่านแม่ข้าบอกข้าว่า พวกเขาชอบท่านมาก" "จริงหรือ?" "จริงสิ แต่จะให้ข้ากลับเข้าจวนไปง่าย ๆ ก็คงจะไม่ดีเท่าใดนัก" "จ้าวไป๋ลู่ เรามาแต่งงานกันอีกรอบเถิด!!!" "ท่านว่าอย่างไรนะ" "ข้าจะแต่งงานกับเจ้าอีกรอบ เรามาแต่งงานกันเถอะ" "หลี่รั่วหาน ท่านแน่ใจแล้วหรือ ว่าจะแต่งกับข้าอีกครั้ง" "แน่ใจสิ""หากข้าไม่ได้อ่อนโยนเหมือนแต่ก่อนเล่า ไม่ใช่คนที่ท่านสามารถเอาเปรียบได้เช่นแต่ก่อนอีกเล่า" "ข้าก็ยังยืนยันที่จะแต่งกับเจ้าเช่นเดิม" "ท่านจะไม่โกหกข้า ไม่ทำร้ายข้าอีกครั้งใช่หรือไม่" "ข้าจะไม่มีวันทำให้เจ้ากับลูกเสียใจอีกเป็นอันขาด" "หากท่านผิดสัญญา ข้าจะไม่กลับไปหาท่านอีก" "ห้าปีที่ข้ารอเจ้า มันเป็นบทเรียนชั้นดีที่สอนข้าอย่างสาหัสแล้วจ้าวไป๋ลู่" "ตกลง เช่นนั้นข้าจะแต่งงานกับท่านอีกครา" "จริงหรือ เจ้าพูดจริงหรือ!!!" "หน้าข้าเหมือนคนโกหกหรือ?" "ก็ข้าคิดว่าเจ้า..." "หุบปาก!!!"
จวนตระกูลจ้าวหลี่รั่วหานมาตามที่ตกลงกับจ้าวไป๋ลู่เอาไว้ ยามนี้เขากำลังนั่งตัวเกร็งอยู่ที่ห้องโถงด้านในจวนตระกูลจ้าว อดทนกับสายตากดดันของจ้าวเยียน ฮูหยินหลิวอิ๋ง และจ้าวเฉียน ที่มองเขาด้วยแววตาที่เย็นเยียบแต่เพื่อนางกับลูกเขายอม จ้าวเยียนปรายตามองหลี่รั่วหานคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา "ซื่อจื่อ ท่านแน่ใจแล้วหรือ ที่จะลดตัวลงมาหาพวกเรา" "แน่ใจขอรับ ข้าเต็มใจทำทุกสิ่งเพื่อจ้าวไป๋ลู่กับลูก" "ก็ดี ท่านทำอาหารเป็นหรือไม่ แม่ครัวเก่าเพิ่งจะลาออกไป ฮูหยินข้ากำลังอยากได้ลูกมือทำครัวอยู่พอดี" "ได้เลยขอรับ" ฮูหยินหลิวอิ๋งปรายตามองหลี่รั่วหานคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดถึงจดหมายที่องค์หญิงหงลี่ส่งมาให้นาง ในจดหมายเขียนเอาไว้ว่า จัดการให้หนัก! ยามนี้นางกับองค์หญิงหงลี่ปรับความเข้าใจกันด้วยดีแล้วหลี่รั่วหานเดินตามฮูหยินหลิวอิ๋งเข้ามาในโรงครัว ก่อนจะจ้องมองนางที่กำลังหยิบมีดคมขึ้นมาถือเอาไว้ ในใจของเขาก็รู้สึกเย็นวาบแปลก ๆ "มีดนี่คมมาก ข้าใช้มันหั่นเนื้อเป็นประจำ เป็นมีดประจำตัวของข้า เดิมทีข้าอยากส่งต่อมันให้กับจ้าวไป๋ลู่ ซื่อจื่อท่านรู้หรือไม่ว่า เหตุใดข้าจึงอยากส่งต่อมีดนี้ให้บุตรสาวของข้า"
ยามนี้เหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ในความสงบแล้ว ทุกคนกลับไปใช้ชีวิตปกติเหมือนเช่นเคย และมีเรื่องที่น่ายินดีอีกเรื่องหนึ่งนั่นก็คือ เซียวถงกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับสวีลั่วลั่ว ทั้งสองพบรักกันเมื่อหนึ่งปีก่อนจ้าวไป๋ลู่ยินดีกับทั้งสองเป็นอย่างมาก และนางดีใจที่เซียวถงจะมีสตรีที่ดีพร้อมมาคอยดูแลเสียที ส่วนนางเองก็ยังไม่ได้ใจอ่อนกับหลี่รั่วหาน แม้ว่าเขาจะพยายามตามง้อนางก็ตาม ยามนี้จ้าวหยางอายุได้สี่ขวบปีแล้ว เป็นวัยที่กำลังช่างพูดช่างคุย บางคราเขาตื่นมาชวนนางคุยกลางดึกก็เคยทำมาแล้ว วันนี้เป็นวันมงคลของเซียวถงและสวีลั่วลั่ว จ้าวไป๋ลู่พาจ้าวหยางไปร่วมงานในครานี้ด้วย งานเลี้ยงจัดอย่างยิ่งใหญ่ ผู้คนต่างมาร่วมยินดีกับบ่าวสาวกันมากมายจ้าวไป๋ลู่มองดูเซียวถงกับสวีลั่วลั่วที่หยอกล้อกันตามประสาคู่แต่งงานก็เผลอยิ้มออกมาเล็กน้อย งานแต่งของนางไม่เคยมีความทรงจำเหล่านี้อยู่เลยแม้แต่น้อย "ไป๋ไป๋" จ้าวไป๋ลู่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปพบหลี่รั่วหานที่เดินมาพร้อมกับหลัวเทียนเฉิน นางเพียงมองเขาแต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา "แม่นางไป๋ไป๋ ดีใจที่ได้พบเจ้าอีกครา" "ใต้เท้าหลัว" "อย่าเรียกบ่อย ข้ากลัวจะตกหลุมรักเจ้
เว่ยจิ่นซางหยิบยาพิษออกมาจากในอกเสื้ออีกขวดหนึ่ง ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาองค์หญิงหงลี่ช้า ๆ "ตายซะเถอะ ในที่สุดข้าก็ล้างแค้นได้สำเร็จสักที" ฉึก! ยังไม่ทันที่เว่ยจิ่นซางจะสังหารองค์หญิงหงลี่ได้สำเร็จ มีดเล่มหนึ่งก็แทงเข้ามาที่แผ่นหลังของนางทะลุมาที่หน้าท้อง เมื่อนางหันกลับไปช้า ๆ จึงได้พบว่าเป็นฝีมือของหนิงเสวี่ย "นะ!!! นังชั่ว นังเนรคุณ!!!" "ฮือออออ" หนิงเสวี่ยแทงมีดจนสุดด้าม ก่อนจะทิ้งกายลงนั่งบนพื้นแล้วปิดหน้าร้องไห้โฮออกมาอย่างเจ็บปวดเว่ยจิ่นซางตกตายด้วยมีดเล่มนั้นของหนิงเสวี่ย"ท่านแม่!!!"ด้านนอกมีเสียงการต่อสู้ดังขึ้น ก่อนจะมีคนเปิดประตูพุ่งเข้ามา เป็นหลี่รั่วหานนั่นเอง เขามองสภาพศพของเว่ยจิ่นซางที่นอนตายอยู่บนพื้นดวงตาเบิกกว้าง ข้าง ๆ กันมีหนิงเสวี่ยที่นั่งร้องไห้อยู่ เขาไม่มีเวลาสนใจหนิงเสวี่ยมากนัก เขารีบวิ่งเข้าไปแก้มัดให้องค์หญิงหงลี่ ก่อนจะเดินเข้าไปหาจ้าวไป๋ลู่และลูกที่นอนหลับไม่ได้สติอยู่ข้าง ๆ กัน"ไป๋ไป๋!!!" "นางสลบไม่ได้สติมาหลายชั่วยามแล้ว" เสียงของหลี่รั่วหานปลุกหนิงเสวี่ยให้ตื่นจากความสับสนและหวาดกลัวในจิตใจ นางค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นไปมองเขาช้า ๆ เมื่อเขาหันมาส
นางกรอกยาพิษทั้งที่มือก็สั่นไม่น้อย ยิ่งได้เห็นแววตาที่แข็งกระด้างขององค์หญิงหงลี่ที่มองมา มือนางก็สั่นมากยิ่งขึ้น จนทำยาพิษหกลงพื้นไปเสียดื้อ ๆ องค์หญิงหงลี่กินยาพิษนั้นไปไม่ถึงครึ่งขวดด้วยซ้ำ แต่นางก็กระอักโลหิตสีดำออกมาไม่น้อย เว่ยจิ่นซางที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะสะใจออกมาอย่างบ้าคลั่ง แปะ แปะ แปะ หนิงเสวี่ยกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนจะหันไปมองเว่ยจิ่นซาง "ท่านแม่" เว่ยจิ่นซางหันมามองหนิงเสวี่ยด้วยสายตาที่เย็นชา "ผู้ใดเป็นแม่เจ้ากัน?" "เอ๋? ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงเอ่ยวาจาเช่นนี้เจ้าคะ ข้าไม่เข้าใจ" เว่ยจิ่นซางปรายตามองหนิงเสวี่ยอย่างดูแคลน แววตาที่เคยมองนางประดุจลูกในไส้ แววตาที่อ่อนโยนเลือนหายไปจนหมดสิ้น ยามนี้มีเพียงความเกลียดชังเข้ามาแทนที่ นางทุ่มเทแรงกายแรงใจ รอเวลานี้มานานเหลือเกิน นางรอจนกระทั่งถึงวันนี้!!! "ฮ่า ๆ ๆ ๆ การได้มองเห็นบุตรสาวกำลังฆ่ามารดาของตนเองกับมือ ช่างเป็นภาพที่งดงามเสียจริง ๆ" เว่ยจิ่นซางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มีความสุข หนิงเสวี่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ด้านองค์หญิงหงลี่ที่ได้ยินเว่ยจิ่นซางเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา ใจของนางก็เต้นแรงอย่างบ
จ้าวไป๋ลู่ถูกลักพาตัวมาที่เรือนโกโรโกโสหลังหนึ่งบนหุบเขา นางกอดจ้าวหยางเอาไว้แนบอก พยายามปกป้องบุตรชายเอาไว้อย่างสุดชีวิต "ลงมา!!! เดินเข้าไป!!!" ชายฉกรรจ์สี่ห้าคนพากันล้อมตัวนางเอาไว้ ก่อนจะบังคับให้นางเดินเข้าไปในเรือนหลังนั้น เมื่อนางมาถึงก็พบกับองค์หญิงหงลี่ที่ยามนี้ถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้ ใบหน้าขององค์หญิงหงลี่บวมเป่งคล้ายกับถูกตบตีมาอย่างหนัก "ท่านแม่!!!" "ไป๋ไป๋" จ้าวไป๋ลู่ถูกนำมาขังรวมเอาไว้กับองค์หญิงหงลี่ นางกอดจ้าวหยางไว้แนบอก ก่อนจะหันมองไปโดยรอบอย่างระแวดระวัง พวกมันจับตัวนางมาด้วยเหตุใดกัน ไม่นานนักความสงสัยของนางก็กระจ่าง เมื่อได้พบกับ หนิงเสวี่ยและมารดาของนาง หนิงเสวี่ยจ้องมองนางด้วยแววตาที่เย็นชา ก่อนจะสลับมองมาที่จ้าวหยางอย่างเกลียดชัง "หึ!!! ตายยากเสียจริงนะจ้าวไป๋ลู่ เจ้าไม่เพียงไม่ตาย แต่ยังคลอดเด็กนรกนี่ออกมาอีกด้วย!!!" "อย่ายุ่งกับบุตรของข้า" "ฮ่า ๆ ๆ ๆ เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาขอร้องข้ากัน" นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน ก่อนจะครุ่นคิดถึงเรื่องที่ท่านแม่บอกเล่าให้ฟัง ท่านแม่บอกว่าจ้าวไป๋ลู่รอดตายกลับมาได้อีกทั้งยังมีบุตรชายที่เกิดจากหลี่รั่วหานตามมาอีกด้
เมื่อหลี่รั่วหานกลับมาถึงจวน เขาก็ได้พบข่าวร้ายว่าท่านแม่ของเขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ยามนี้ท่านพ่อออกไปตรวจตราชายแดนยังไม่กลับเมืองหลวง เขาเองก็เอาแต่ตามติดจ้าวไป๋ลู่และลูก ระยะนี้จึงไม่ได้สนใจมารดาของตนมากเท่าใดนัก"เจ้าเล่ามา ท่านแม่หายไปได้เช่นไร!!!" "บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ เดิมทีฮูหยินกำลังเดินเล่นอยู่ที่ริมสระบัวท้ายจวน แล้วเกิดอยากกินขนมกุ้ยฮวา จึงให้บ่าวมาทำ ฮูหยินบอกว่าอยากอยู่เงียบ ๆ เพียงลำพังจึงให้สาวใช้ปลีกตัวออกมาจนหมด พอบ่าวกลับไปก็ไม่พบฮูหยินแล้วเจ้าค่ะ" หลี่รั่วหานที่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีดเผือดขึ้นมาทันที เขาสั่งให้คนค้นหาท่านแม่จนทั่วจวน เผื่อว่าจะเป็นลมอยู่ที่ใดสักแห่ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่พบตัวขององค์หญิงหงลี่ เขาจึงรีบเข้าวังกราบทูลฮ่องเต้หงหยวนในทันที ด้านจ้าวไป๋ลู่นั้น เมื่อเสร็จธุระจากร้านอาหารแล้ว นางจึงสั่งให้คนขับรถม้ามุ่งหน้าไปยังวัดไป๋หม่า เพื่อจะพาจ้าวหยางไปไหว้พระขอพรแต่ระหว่างทาง รถม้าของนางก็เกิดหยุดลงกะทันหัน จู่ ๆ ก็มีชายชุดดำสี่ห้าคนเข้ามาลักพาตัวของนางและจ้าวหยางไป ข่าวที่องค์หญิงหงลี่หายตัวไปยังไม่ทันได้สืบทราบ หลี่รั่วหานก็ได้รับข่าวร้ายจากจวนต
ยามนี้เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ เหล่าราษฎรต่างพากันออกมาทำมาหากิน บ้างก็ทำเรือกสวนไร่นา บ้างก็ออกมาขายของที่ตลาด ช่างเป็นบรรยากาศที่คึกคักเป็นอย่างมาก วันนี้จ้าวไป๋ลู่พาจ้าวหยางที่มีอายุสองขวบกว่าแล้ว มาที่ร้านอาหารของท่านปู่ท่านย่า นางอยากให้เขาเรียนรู้การใช้ชีวิตให้มาก ๆ จึงตั้งใจให้เขาเรียนรู้ทุกอย่างในชีวิต "นี่ เต้าหู้ เด็กดีพูดตามแม่สิ เต้าหู้" "เต้าหู้ ท่านแม่ ท่านแม่ เต้าหู้" "เก่งมากเลยจ้ะลูกรัก" จ้าวไป๋ลู่ตบมือให้จ้าวหยางด้วยความชื่นชม เด็กน้อยที่เห็นเช่นนั้นก็กระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข "ขอหม้อไฟสองที่ ซุปซี่โครงหมูหนึ่งที่" "เชิญ..." จ้าวไป๋ลู่หันไปมองก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าจะจางหายไป มาอีกแล้ว!!! "แม่นางคนงาม ข้ารอหม้อไฟอยู่นะ" หลัวเทียนเฉินเอ่ยด้วยท่าทียั่วเย้า หลี่รั่วหานที่เห็นเช่นนั้นจึงแอบยื่นมือไปหยิกบั้นท้ายหลัวเทียนเฉินจนเขาสะดุ้งโหยง หึ!!! ถึงข้าจะเหลือแขนเดียวแต่ข้าก็สู้นะ!!! "ใต้เท้ารอสักครู่ พี่เซียวถงนั่งก่อนเถิด" จ้าวไป๋ลู่เดินกลับเข้าไปในโรงครัวพักใหญ่ ก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับจ้าวหยาง นางวางหม้อไฟลงบนโต๊ะ พร้อมกับซุปกระดูกหมูที่มีพริกสีแดงสดลอยเต็ม