“ถูกต้อง โทษใครไม่ได้ ต้องโทษข้าที่ตอนนั้นทั้งโง่ทั้งซื่อบื้อ ที่นึกว่ายังสามารถพูดคุยเหตุผลกับคนอย่างพวกท่านที่จิตใจลำเอียงสุดโต่ง”เวินซื่อนึกถึงตัวเองในตอนนั้นที่ร้องไห้อ้อนวอนพวกเขาแล้วรู้สึกน่าขัน“ดังนั้นตอนนี้ข้าแค่อยากนำสิ่งของที่เป็นของตัวเองคืนมาเท่านั้น มีปัญหาใดหรือ?”“ไม่ได้”เวินเฉวียนเซิ่งยังไม่ทันเอ่ยปากพูด เวินอวี้จือก็ปฏิเสธโดยพลัน“ตอนนี้ที่ดินกุยอวิ๋นกับภัตตาคารเฟิ่งอวิ๋นเป็นของน้องหก เจ้าอยากได้ก็เอาอย่างอื่นมาแลก”เวินอวี้จือยังนึกว่าเขาเจรจากับเวินซื่อได้เวินซื่อพยักหน้า “ได้ เช่นนั้นก็เอาชีวิตท่านมาแลกก็แล้วกัน จู๋เยวี่ย ลงมือ”ระหว่างที่พูดนางออกคำสั่งอย่างไม่ลังเลส่วบ!กระบี่เล่มยาวตวัด พุ่งเข้าหาเวินอวี้จือในเสี้ยววินาทีครั้งนี้เวินอวี้จือเตรียมการไว้แล้ว แต่ก็ไม่อาจต้านทานฝีมือรุนแรงของจู๋เยวี่ยเขาหลบหลีกจุดสำคัญไปได้ ทว่าวินาทีต่อมากระบี่ของจู๋เยวี่ยแทงทะลุแขนของเขาเกิดเสียงดังพรวด ต่อมาเสียงที่ดังขึ้นคือเสียงร้องโหยหวนของเวินอวี้จือ“เวินซื่อ ยังไม่รีบสั่งให้นางหยุดอีก”เวินเฉวียนเซิ่งยังตวาดให้เวินซื่อหยุด แต่เวินซื่อไม่สนใจแม้แต่น้อย
พระราชวังห้องทรงพระอักษร“ใต้เท้าหนิงหย่วนโหวแห่งลู่โจว?”ตอนเวินซื่อได้ยินชื่อบุคคลนี้แปลกใจเล็กน้อยใช่สิ นางนึกขึ้นได้แล้วนั่นคือเจ้าของร้านขายยาของผู้ดูแลที่ช่วยนาง“เนื่องจากผลกระทบในจินโจวก่อนหน้านี้ ทำให้ในสามเดือนนั้นมีผู้ประสบภัยหนีไปลู่โจวไม่น้อย ยามนั้นหนิงหย่วนโหวไม่ปฏิเสธที่จะรับผู้ประสบภัยเหล่านั้น แต่นึกไม่ถึงว่าระหว่างทางผู้ประสบภัยบางส่วนกลับติดโรคระบาด แล้วนำไปแพร่ที่ลู่โจวไม่น้อย”ฮ่องเต้น้อยยิ้ม “จะว่าไปก็แปลกนัก ทั้งที่จินโจวประสบภัยแล้ง แต่ไม่ว่าก่อนภัยแล้งหรือหลังภัยแล้ง เหล่าราษฎรที่อยู่ในจินโจวไม่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาด กลับเป็นพวกที่หนีออกไปดันติดโรคระบาดเสียเอง”เพราะปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้น ตอนนี้ราษฎรในจินโจวจึงเลื่อมใสเวินซื่ออย่างมากทุกคนล้วนบอกว่าเป็นเพราะธิดาศักดิ์สิทธิ์ได้ขอพรให้จินโจวของพวกเขา ดังนั้นจึงปกป้องพวกเขาให้อยู่รอดปลอดภัยเมื่อข่าวลือเกิดขึ้น จินโจวกับลู่โจวที่ติดกันอยู่แล้ว ย่อมมีข่าวแพร่ไปทางลู่โจวดังนั้นจึงมีราษฎรที่ลู่โจวไม่น้อย อยากเรียนเชิญธิดาศักดิ์สิทธิ์ไปขอพรให้พวกเขาบ้าง“หนิงหย่วนโหวหวังว่า จะเรียนเชิญธิดาศั
แม้เวลาเร่งรีบ แต่เป่ยเฉินหยวนก็รับปาก “ท่านเพิ่งออกมาจากวัง คิดว่าน่าจะยังไม่ได้เก็บของ ข้าส่งท่านกลับไปก่อน รอให้จัดคนเตรียมการทุกอย่างเสร็จสิ้น พรุ่งนี้เช้าค่อยไปรับท่าน”ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ต่อให้เป่ยเฉินหยวนโกรธแค่ไหนก็รีบจัดการทุกสิ่งทันทีหลังเวินซื่อกลับมาอารามสุ่ยเยว่ ก็จัดการเรื่องของนางเช่นกันนางมอบแปลงสมุนไพรให้ตาเฒ่าหลานดูแล อีกทั้งยังมอบโฉนดของที่ดินกุยอวิ๋นให้ตาเฒ่าหลานพร้อมกันแต่เดิมตาเฒ่าหลานก็เป็นพ่อบ้านสกุลหลานอยู่แล้ว ให้เขาดูแลที่ดินกุยอวิ๋นย่อมไม่มีปัญหาใดส่วนนางมีคำขอเพียงอย่างเดียว นั่นคือนำเมล็ดพันธุ์สมุนไพรและต้นกล้าสมุนไพรไปปลูกให้เต็มบนที่ดินกุยอวิ๋นสำหรับสมุนไพรที่ภูเขาหนานส่วนใหญ่เติบโตเต็มที่แล้ว เวินซื่อจึงเก็บไปทั้งหมด พื้นที่ซึ่งว่างออกมาก็มอบให้ตาเฒ่าหลานดูแลเช่นกันความจริงราษฎรที่จินโจวไม่ติดโรคระบาดหลังภัยแล้ง ในใจเวินซื่อพอรู้สาเหตุอยู่บ้างครั้งนั้นฝนตกลงมาในวันที่สองหลังนางทำพิธีขอฝน เป็นเรื่องบังเอิญทั้งสิ้น และเป็นเรื่องดวงด้วยส่วนเรื่องที่ไม่มีโรคระบาด จะว่าปาฏิหาริย์ก็เกินไปหน่อยแต่เกี่ยวข้องกับนางแน่นอนจำได้ว่ายามนั้นก่อนอ
“ออกเรือนหรือ?”เวินซื่ออึ้งไปครู่หนึ่งอันหลันซินยิ้ม “ถูกต้อง พ่อข้าเป็นคนจัดการเอง อีกฝ่ายคือหลานชายของผู้ว่าการหวัง ญาติห่างๆ ของสกุลอัน”เวินซื่อถามออกไปอย่างลืมตัว “ในเมื่อออกเรือน เหตุใดจึงไม่มีคนของทางนั้นมารับตัว?”อันหลันซินยิ้มมุมปาก “อาซื่อช่างน่ารักเสียจริง ข้าไม่ได้แต่งไปเป็นภรรยาเอก แค่แต่งไปเป็นอนุภรรยาเท่านั้น อีกฝ่ายจะตีฆ้องร้องป่าวมารับได้อย่างไร”เวินซื่อได้ยินดังนั้นจึงเงียบ“อาซื่อ อย่าเสียใจเพื่อข้า อย่างไรข้าก็เป็นบุตรสาวราชเลขาฝ่ายขวา ต่อให้เป็นอนุ พวกเขาก็ไม่กล้ารังแกข้าหรอก”เวินซื่อเบือนหน้าไปทางอื่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ใครเสียใจเพื่อเจ้า ข้ากับเจ้าไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น”อันหลันซินทำหน้าเสียใจผิดหวังทันใด “เอาเถอะ ถือว่าข้าคิดเข้าข้างตัวเองก็แล้วกัน”“แต่หนทางไปจินโจวยาวไกลเหลือเกิน ท่านพ่อก็ไม่ได้ส่งใครมาคุ้มกันข้า ดังนั้นอาซื่อ เห็นแก่ความสัมพันธ์ในวันวานของพวกเรา ให้รถม้าของข้าตามพวกเจ้าไปสักระยะเถอะ เจ้าวางใจได้ หากเจ้าไม่ชอบ ข้าไม่ไปรบกวนเจ้าแน่นอน ข้าสามารถอยู่ในรถม้าตลอด เพื่อไม่ให้รกหูรกตาเจ้า”อันหลันซินมองนางอย่างขอร้องท่าทางเช่นนั้
เวินซื่อเปิดผ้าม่านดู เห็นว่าเป็นเจิ้นเป่ยหยวน“ลงมาสูดอากาศหน่อยเถอะ วันนี้กินอาหารเร็วหน่อย”“ได้”เวินซื่อพยักหน้าเบาๆ ลุกขึ้นมุดตัวออกมาจากรถม้าหลังจากลงรถ จู่ๆ นางนึกถึงบางอย่าง จึงหันมองไปท้ายสุดของขบวนรถแวบหนึ่งเป่ยเฉินหยวนสังเกตเห็นท่าทีของนาง จึงหันมองไปตามสายตาของนาง ในไม่ช้าก็หันกลับมา แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “วางใจเถอะ พวกนางนำอาหารแห้งมาเอง ไม่หิวตายหรอก”เวินซื่อไม่ได้กล่าวอะไร เดินตามเขาไปนั่งลงริมลำธาร เหล่าทหารพ่อครัวของกองทัพธงดำลงมืออย่างรวดเร็ว อาหารหม้อใหญ่เหล่านั้นไม่นานก็ทำเสร็จกลิ่นหอมกรุ่น แน่นอนว่าเป็นถ้วยของเป่ยเฉินหยวนในถ้วยเวินซื่อยังคงเป็นอาหารและน้ำแกงเจนางกินอย่างเอร็ดอร่อย เป่ยเฉินหยวนกลับรู้สึกสงสารทว่าเวินซื่อมักจะดื้อดึงสำหรับบางอย่าง ต่อให้เป่ยเฉินหยวนเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่ฟังดังนั้นจึงได้แต่มองนางกินอาหารเช่นนี้เป่ยเฉินหยวนถือถ้วยของตัวเอง กินเข้าไปคำใหญ่จนหมดลงภายในไม่กี่ครั้ง จากนั้นนั่งอยู่ตรงข้ามเวินซื่อมองดูนางกินเมื่อรอให้นางกินเสร็จ หยิบเอาถ้วยของนางไปทันที “พอดีข้าจะไปล้างถ้วย ให้ข้าเอาไปพร้อมกันเถอะ”ทุกครั้งเขาจะรวดเร็ว
“พลธนูเตรียมพร้อม!”แทบจะเป็นวินาทีที่ได้ยินเสียงร้องโหยหวน เกาเย่าสั่งการทันทีกองทัพธงดำกว่าร้อยนายดึงธนูใส่ลูกดอก เล็งไปที่ป่าแห่งนั้น“ช้าก่อน! พวกเรายอมแพ้! พวกเรายอมแพ้!”คนที่อยู่ในป่านึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายยังไม่ทันเข้าไปในป่าด้วยซ้ำก็สังเกตเห็นพวกเขาแล้ว กระทั่งธนูดอกเดียวยังยิงจนคนของพวกเขาบาดเจ็บเมื่อนึกว่าวินาทีต่อไปฝนธนูจะพุ่งใส่หัว พวกคนที่อยู่ในป่ารีบตะโกนเสียงดังทันที“พวกโจรสามหาว กล้าซุ่มโจมตีขวางทางอยู่ที่นี่ ยังไม่รีบไสหัวออกมาอีก!”เกาเย่าตะโกนเสียงดัง ทำให้โจรที่ซ่อนอยู่ในป่าตกใจจนรีบล้มลุกคลุกคลานออกมาเป่ยเฉินหยวนมองแวบหนึ่ง เหมือนจะเป็นโจรป่าจากป่าสักแห่งเขาหรี่ดวงตาทั้งคู่ลง “พวกเจ้าคือโจรป่าจากที่ใด?”หัวหน้าโจรป่ารีบคุกเข่าลงพื้นแล้วตอบคำถาม “เรียนนายท่าน แต่เดิมพวกข้าเป็นชาวบ้านหมู่บ้านเสือดำ แต่ช่วงก่อนหมู่บ้านเสือดำถูกโจรซุ่มโจมตี หัวหน้าใหญ่ในหมู่บ้านตายอย่างอนาถ พี่น้องคนอื่นก็ถูกฆ่า เหลือเพียงพวกข้าที่มีกันร้อยกว่าคน ตอนนี้อดอยากเหลือเกิน เดิมอยากจะปล้นสะดมภ์พวกอาหาร ไม่คิดจะฆ่าใคร! ขอนายท่านโปรดไว้ชีวิต ไว้ชีวิตด้วย! ต่อไปพวกข้าไม่กล้าทำอีกแล้
นางสามารถเข้าไปในจวนอ๋องผู้สำเร็จราชการก่อน เพื่อปูทางให้อาซื่อต่อไปรอให้อาซื่อศึกออกมาแล้วเข้าจวน อาซื่อเป็นใหญ่ นางเป็นน้อย พวกนางยังคงเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม!ส่วนนางจะกำจัดทุกอย่างให้อาซื่อ!อันหลันซินเดาใจเป่ยเฉินหยวนได้แต่แรกแล้วนางกระทั่งมีลางสังหรณ์ วันหนึ่งเป่ยเฉินหยวนต้องสู่ขอเวินซื่อเข้าจวนอ๋องผู้สำเร็จราชการแน่นอนแต่นางไม่เชื่อบุรุษที่ผ่านมาบุรุษมักมีสามเมียสี่อนุ ประชาชนทั่วไปยังเป็นเช่นนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอ๋องผู้สำเร็จราชการที่ยิ่งใหญ่?บุรุษเช่นนี้ต่อให้เขารักอาซื่อมากเพียงใด ภายหน้าย่อมเปลี่ยนใจแน่นอนหากให้เขาทรยศอาซื่อในภายหน้า ไม่สู้ทำให้อาซื่อมองเห็นธาตุแท้ของชายคนนี้ตั้งแต่ตอนนี้ทำให้อาซื่อมองเห็นสัจธรรมของโลก ไม่ศึกออกมาอีกหรือไม่ก็ศึกออกมาแล้วเข้าจวน จากนี้ต่อให้เป่ยเฉินหยวนมีหญิงอื่น อาซื่อจะได้ไม่ต้องเสียใจมากส่วนตัวเองยังสามารถเป็นเบี้ยของอาซื่อหลายปีมานี้ นางอยู่ในสกุลอันถูกแม่ใหญ่กับพี่สาวรังแกมานาน เรียนรู้ฝีมือโหดเหี้ยมมาไม่น้อยอาซื่อทั้งโง่ทั้งเซ่อ ไม่รู้ว่าจะแย่งชิงความรักอย่างไรแต่นางเป็น !นางสามารถช่วยให้อาซื่อได้มาทุกสิ่ง!
ตอนอันหลันซินยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นาง ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ จึงเปิดเผยปลายนิ้วที่โดนเข็มทิ่มไปหลายจุดให้ได้เห็นเวินซื่อกวาดมองหนึ่งครั้งสีหน้าพลันเรียบเฉยแล้วละสายตา “ข้าบอกแล้ว ข้าไม่โกรธเจ้านานแล้ว เหตุใดเจ้ายังต้องทำเรื่องที่ไร้ความหมายเช่นนี้อีก”อันหลันซินยิ้มเจื่อน “ไม่ อย่างน้อยสำหรับข้า ตอนนี้สามารถมอบให้มันให้เจ้าได้ถือว่ามีความหมาย ต่อจากนี้ชีวิตของข้าไม่น่าจะมีความหมายใดแล้ว”บรรยากาศเงียบสงัดดำเนินไปสักพักแต่น่าเสียดายสุดท้ายเวินซื่อไม่ได้รับผ้าเช็ดหน้านางไว้“ทำไมยังยืนอยู่ที่นี่?”เป่ยเฉินหยวนที่เพิ่งสั่งการกองทัพธงสำเสร็จ กลับมาก็เห็นภาพนี้พอดีเขาก้าวเข้าไป แล้วขวางเวินซื่อกับอันหลันซินออกจากกันอย่างเงียบเชียบแล้วหันไปเอ่ยกับเวินซื่ออย่างห่วงใย “ตอนนี้ดึกดื่นน้ำค้างลง รีบเข้าไปกันเถอะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะเป็นหวัด”เป่ยเฉินหยวนรบเร้า แล้วพาเวินซื่อเข้าไปด้านในอันหลันซินที่ยืนอยู่จุดเดิมไม่ขยับ หันไปจ้องร่างของเป่ยเฉินหยวนที่ใช้ร่างกายบังเวินซื่อเอาไว้วินาทีนั้น แววตาของนางมีความโหดเหี้ยมอำมหิตแวบผ่านบุรุษที่สมควรตายผู้นี้ไม่ เขาตายไม่ได้ยังต้องใช้ประ
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม