Teilen

บทที่ 7

โค้กบิ๊กเบิ้ม
ณ คุกหลวง กรมบัญชาการฝ่ายเหนือ องครักษ์เสื้อแพร

นับตั้งแต่ปฐมกษัตริย์หงอู่สถาปนาราชวงศ์ ก็ได้มีการจัดตั้งคุกหลวงไว้ภายใต้สังกัดกรมบัญชาการฝ่ายเหนือ คุกหลวงแห่งนี้มีไว้ขังเฉพาะนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ตามพระราชโองการเท่านั้น

นักโทษในคุกหลวง หากสุ่มลากคอออกมาสักคน ก่อนต้องโทษ อย่างน้อยๆ ก็ต้องเคยสวมหมวกขุนนางขั้นห้าชั้นเอกขึ้นไป

ส่วนลึกในคุกหลวง มี “ห้องสอบสวน” เป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดสามจั้ง การสอบสวนนักโทษขององครักษ์เสื้อแพร ล้วนเกิดขึ้นในห้องสอบสวน

ขณะนี้ ภายในห้องสอบสวนมีคนนั่งอยู่สามคน

คนหนึ่งคือว่านอันเหลียงรองเสนาบดีขวากรมพิธีการ อีกคนคือจินว่านก้วนหรือเจ้าสามในสิบสามองครักษ์หลวงแห่งองครักษ์เสื้อแพร ผู้ดำรงตำแหน่งนายกองพันผู้คุมเรือนจำ และคนสุดท้ายคือ เฮ่อลิ่ว

เฮ่อลิ่วกวาดตามอง “ขุนนางตงฉินผู้ยิ่งใหญ่” ที่อยู่ตรงหน้านี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า เห็นเพียงว่านอันเหลียงผอมแห้งจนหนังหุ้มกระดูก มีใบหน้าที่ดูเป็นขุนนางตงฉิน

ท่านสามจินว่านก้วนที่นั่งอยู่ด้านข้างจิบชาใหม่ก่อนฝนจากกาน้ำชาดินเผาสีม่วง แล้วเอ่ยกับว่านอันเหลียง “ใต้เท้าว่าน เรามาเริ่มกันเถอะ”

จินว่านก้วนคือยอดปรมาจารย์การสอบสวนที่เลื่องชื่อที่สุดในองครักษ์เสื้อแพร ด้านหนึ่งของห้องสอบสวน มีชั้นไม้ตั้งอยู่ บนชั้นไม้วางเรียงรายไปด้วยอุปกรณ์ทรมานชิ้นน้อยใหญ่รวมสี่สิบหกชนิด ท่านสามจินกลับไม่เคยคิดจะหยิบจับอุปกรณ์ทรมานเหล่านั้นมาใช้ ครั้งหนึ่งเขาเคยเมาแล้วคุยโวต่อหน้าผู้บัญชาการลู่ปิ่งว่า อุปกรณ์ทรมานที่ร้ายกาจที่สุดในโลกหล้า คือปากของข้าเจ้าสามผู้นี้!”

จินว่านก้วนในวัยห้าสิบ อาศัยความสามารถในการเดาใจคนของตัวเองในการสอบสวน ค่อยๆ ไต่เต้าจากพลทหารจนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกองพันภายในเวลายี่สิบห้าปี

นอกจากจะเชี่ยวชาญการสอบสวนแล้ว จินว่านก้วนยังเป็นยอดปรมาจารย์การบริหารเงินอีกด้วย

ภายในที่ว่าการองครักษ์เสื้อแพรมีคลังส่วนตัวอยู่แห่งหนึ่ง ปกติแล้วเงินรางวัลสำหรับองครักษ์เสื้อแพร ก็จะถูกเบิกจ่ายออกมาจากคลังส่วนตัวนี้ จินว่านก้วนบริหารจัดการเงินเก่ง ผู้บัญชาการลู่ปิ่งจึงมอบหมายให้เขาดูแลคลังส่วนตัวนี้โดยตรง

จินว่านก้วนพลิกดูสำนวนคดี “ใต้เท้าว่าน ตอนนี้ข้ายังคงเรียกท่านว่าใต้เท้า ตอนนี้ข้ายังคงเรียกท่านว่าใต้เท้า ในใจข้า ท่านจึงยังไม่ใช่ขุนนางต้องโทษ”

ว่านอันเหลียงแค่นหัวเราะ “ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ ย่อมไม่มีความผิดให้ยอมรับ”

จินว่านก้วนพยักหน้า “ย่อมเป็นเช่นนั้น ใต้เท้าว่านเป็นผู้นำกลุ่มขุนนางตงฉิน ในเมืองหลวงใครบ้างไม่รู้กิตติศัพท์ความซื่อสัตย์ของท่าน? ข้อหาที่ว่ายักยอกภาษีธูปเทียน เป็นความผิดที่ถูกยัดเยียดให้ชัดๆ จะหาเหตุผลมาเอาผิดคน ก็ย่อมหาเรื่องได้เสมอ”

ว่านอันเหลียงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ดูท่าท่านผู้แทนพระองค์จะเป็นคนรู้ความ เงินภาษีธูปเทียน เดิมทีก็เป็นบัญชีที่คลุมเครือ ไม่อาจอธิบายได้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว มหาอำมาตย์เหยียนคิดจะใช้เรื่องนี้มาเอาผิดข้า ก็ไม่ต่างอะไรกับตอนที่ฉินฮุ่ยยัดข้อหาอาจจะมีก็ได้ เพื่อใส่ร้ายเยว่เฟย

จินว่านก้วนลุกขึ้นบิดขี้เกียจ “นั่นสิ ก็แค่ข้อหาลอยๆ วันนี้ข้ามาสอบสวนท่าน ก็แค่ทำไปตามพิธีเท่านั้น ขุนนางตงฉินคนหนึ่ง มีอะไรให้สอบสวนกัน?”

เฮ่อลิ่วที่นั่งอยู่ข้างๆ รู้ทันทีว่า ท่านสามจินกำลังเล่นบทแสร้งปล่อยเพื่อจับในการสอบสวนอีกแล้ว ว่านอันเหลียงทุจริตเงินกว่าแสนตำลึงได้อย่างไร หรือจะยอมรับสารภาพหรือไม่นั้น เฮ่อลิ่วไม่สนใจ สิ่งเดียวที่เขาสนใจคือ ว่านอันเหลียงหลอมเงินเป็นเสายักษ์สี่ต้นได้อย่างไรโดยไม่มีใครระแคะระคาย!

จินว่านก้วนเริ่มชวนว่านอันเหลียงคุยสัพเพเหระ “ใต้เท้าว่าน ข้าไปดูประวัติการรับราชการของท่านที่กรมขุนนางมา น่าสนใจมาก ข้าเป็นองครักษ์เสื้อแพรมายี่สิบห้าปี ท่านเองก็สอบได้จิ้นซื่อเข้าสู่ราชการเมื่อยี่สิบห้าปีที่แล้ว ภายในยี่สิบห้าปีนี้ ข้าไต่เต้าจากพลทหาร นายกอง นายหมู่ ผู้บังคับหมู่ รองนายกองร้อย นายกองร้อย รองนายพัน นายกองพัน ส่วนท่านก็เริ่มจากนายอำเภอ ผู้ช่วยเจ้าเมือง เจ้าหน้าที่อาวุโสกรมพิธีการ รองหัวหน้าฝ่ายกรมพิธีการ แล้วออกไปเป็นเจ้าเมือง ก่อนจะถูกเรียกกลับเมืองหลวงเป็นผู้ตรวจการ จนได้เลื่อนเป็นรองเสนาบดีกรมพิธีการ เฮ้อ ข้ากับใต้เท้าต่างก็ไต่เต้ามาทีละขั้นอย่างยากลำบาก กว่าจะมารับตำแหน่งปัจจุบันได้”

ว่านอันเหลียงโบกมือ “เฮ้อ แล้วจะมีประโยชน์อันใด? ตอนข้าเป็นนายอำเภอ ก็ขึ้นชื่อว่านายอำเภอผู้ซื่อสัตย์ ตอนเป็นผู้ช่วยเจ้าเมือง ก็ขึ้นชื่อว่าผู้ช่วยเจ้าเมืองที่ซื่อสัตย์... จนถึงทุกวันนี้ ข้ากล้าพูดได้เลยว่า ในบรรดาขุนนางหกกรม ข้าคือคนที่ซื่อสัตย์สุจริตที่สุด!”

จินว่านก้วนพยักหน้า ถูกต้อง! ตอนพวกเราไปค้นบ้านท่าน ปรากฏว่าในถังข้าวสารมีแต่ข้าวกล้อง! เราถึงกับไปสืบจากร้านขายเนื้อแถวบ้านท่าน พวกเขาบอกว่าครอบครัวรองเสนาบดีว่าน ปีหนึ่งซื้อเนื้อกินแค่หนหรือสองหนเท่านั้น!”

ว่านอันเหลียงยิ้มอย่างขมขื่น “ราษฎรต้าหมิงยากแค้นนัก ชาวบ้านบางคนแค่จะได้กินข้าวกล้องทุกมื้อยังเป็นเรื่องเพ้อฝัน เบี้ยหวัดของข้าส่วนใหญ่ข้านำไปแจกจ่ายให้คนยากจน ข้ามีข้าวกล้องกินก็พอใจแล้ว! เป็นขุนนางต้องสร้างประโยชน์ให้แผ่นดิน ตอนข้าเป็นนายอำเภอที่เหอหนาน หรือเป็นเจ้าเมืองที่ซานตง ข้าก็ทำเช่นนี้มาตลอด จริงสิ ถ้าพวกท่านค้นบ้านข้า ก็คงเจอ ‘ภาพริมแม่น้ำในเทศกาลชิงหมิง’ ของจางเจ๋อตวนชาวซ่ง ภาพนั้นเป็นของปลอม”

เฮ่อลิ่วเริ่มสนใจ “ใต้เท้าว่านรู้หรือว่าภาพนั้นเป็นของปลอม?”

ว่านอันเหลียงพยักหน้า “บิดาข้าหลงใหลในภาพอักษรศิลป์ น่าเสียดาย ภาพปลอมใบเดียวกลับหลอกเอาทรัพย์สินที่บรรพบุรุษตระกูลว่านสั่งสมมาในเจียงหนานไปจนหมดสิ้น เฮ้อ นั่นเป็นภาพปลอมฝีมือชาวเขตหมิ่น”

จินว่านก้วนเอ่ยถาม “ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าเป็นภาพปลอม เหตุใดใต้เท้าว่านยังเก็บไว้ที่บ้าน?”

ว่านอันเหลียงส่ายหน้า ถอนหายใจพลางเอ่ยขึ้น “เฮ้อ ก็ถือเสียว่าเป็นของดูต่างหน้าท่านพ่อก็แล้วกัน”

จินว่านก้วนฉวยโอกาสประจบประแจงว่านอันเหลียง “ตงฉิน ท่านช่างเป็นขุนนางตงฉินจริงๆ! องครักษ์เสื้อแพรค้นบ้านยึดทรัพย์ท่าน เจอแค่เสื้อผ้าเก่าๆ ข้าวกล้องหนึ่งถัง ภาพวาดปลอมหนึ่งม้วน... แล้วก็...”

เฮ่อลิ่วรู้ว่าถึงคราวตนเองพูดต่อแล้ว เขาเอ่ยปาก “แล้วก็เสาเงินสี่ต้น หึ เสาเงินขนาดหนึ่งคนโอบ สูงสามจั้ง! รวมแล้วน่าจะแสนกว่าตำลึง!”

ขณะพูด เฮ่อลิ่วก็จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของว่านอันเหลียง เขาจับสังเกตได้ทันทีว่า ในแววตาของว่านอันเหลียง “ขุนนางตงฉิน” ผู้นี้ มีความตื่นตระหนกผ่านไปแวบหนึ่ง

ในที่สุดท่านสามจินก็เผยคมดาบเข้าใส่ว่านอันเหลียง “ใต้เท้าว่าน เท่าที่ข้าทราบ รองเสนาบดีกรมพิธีการขั้นสามชั้นเอก เงินเดือนนั้นเป็นข้าวสี่สิบตั้น คิดเป็นเงินก็แค่สามสิบตำลึง ปีหนึ่งก็ได้แค่สามร้อยหกสิบตำลึง แน่นอนว่าขุนนางขั้นสามชั้นเอกที่ไร้ยางอาย ในช่วงเทศกาลปีใหม่ เทศกาลไหว้พระจันทร์ ก็มีเงินของกำนัลตามเทศกาลที่ขุนนางท้องถิ่นนำมามอบให้ และในช่วงเหมายันกับครีษมายัน ก็ยังมีเงินสินน้ำใจที่ขุนนางท้องถิ่นนำมามอบให้อีก ปีหนึ่งอย่างน้อยก็กอบโกยได้สามถึงห้าพันตำลึงเงิน แต่ท่านเป็นขุนนางตงฉิน ย่อมไม่รับเงินสกปรกพวกนั้น แต่เสาเงินอันมโหฬารสี่ต้นที่บ้านท่าน รวมแล้วน่าจะมีสักแสนกว่าตำลึงกระมัง?”

หลังจากตื่นตระหนกเพียงครู่เดียว ว่านอันเหลียงก็กลับมาสงบนิ่งได้อย่างรวดเร็ว “ผิดแล้ว เสาเงินสี่ต้น รวมเป็นเงินสองแสนแปดพันตำลึง! นั่นเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษตระกูลว่าน!”

“มรดกบรรพบุรุษ? หึ...” จินซานหลุดหัวเราะออกมา หลายปีมานี้ นักโทษที่เขาไต่สวน หากอธิบายที่มาของทรัพย์สินไม่ได้ ก็มักจะอ้างเหตุผลเดียวกันนี้ทั้งสิ้น มรดกจากบรรพบุรุษ

เฮ่อลิ่วกำลังจะเอ่ยปาก แต่จินว่านก้วนยกมือห้ามไว้

จินว่านก้วนเอ่ยปาก จากนั้นถามต่อ “ในเมื่อเป็นมรดกจากบรรพบุรุษ เหตุใดท่านไม่นำไปฝากที่โรงเงิน แต่กลับใช้วิธีพิลึกพิลั่นเก็บซ่อนไว้ในบ้านเช่นนั้น?”

ว่านอันเหลียงหลับตาลง “ง่ายมาก ข้าพอใจ”

“พอใจ? นี่เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นทีเดียว” จินว่านก้วนยิ้ม

ในที่สุดเฮ่อลิ่วก็เอ่ยปาก “ใต้เท้าว่าน ข้าไม่ได้สนใจที่มาของเงินแม้แต่น้อย ข้าอยากรู้แค่ว่า ท่านทำอย่างไรถึงหลอมเงินกว่าสองแสนตำลึงให้กลายเป็นเสาเงินได้อย่างเงียบเชียบโดยไม่มีใครสังเกตเห็น?”

ว่านอันเหลียงหลับตานิ่ง ไม่ปริปากพูดแม้แต่คำเดียว

จินว่านก้วนผายมือให้เฮ่อลิ่วทำท่า “เชิญ” เฮ่อลิ่วเข้าใจความหมาย จึงลุกขึ้นพร้อมกับเขา แล้วเดินออกมานอก “ห้องสอบสวน”

จินว่านก้วนบิดขี้เกียจอีกครั้ง “เจ้าหก กลับบ้านไปก่อนเถอะ ดูท่าคืนนี้ข้าคงต้องนั่งคุยกับท่านขุนนางตงฉินผู้นี้ทั้งคืน วางใจเถอะ พรุ่งนี้เช้าเจ้ามาที่ห้องสอบสวน ข้ารับรองว่าทุกคำที่ออกจากปากเขา จะมีแต่ความจริง”

เฮ่อลิ่วเอ่ยขึ้น “ท่านสามจิน ฝีมือการสอบสวนของท่านเลื่องลือไปทั่วองครักษ์เสื้อแพรก็จริง แต่คนข้างในนั่น ดูท่าทางจะเป็นคนหัวแข็งยิ่งนัก ท่านไม่ลองใช้อุปกรณ์ทรมานดูหน่อยหรือ?”

“ฮ่าๆ ๆ” จินว่านก้วนหัวเราะลั่น “เจ้าหก เจ้านี่ช่างมีอารมณ์ขันจริงๆ ถ้าข้าใช้อุปกรณ์ทรมาน ข้ายังจะเป็นจินซานอยู่อีกหรือ? ข้าขอพนันกับเจ้าเลย ข้าใช้แค่การนั่งคุยกับเขาคืนเดียว เขาก็จะยอมคายความลับออกมาจนหมดเปลือก ทั้งเรื่องที่ควรพูด และไม่ควรพูด!”
Lies dieses Buch weiterhin kostenlos
Code scannen, um die App herunterzuladen

Aktuellstes Kapitel

  • องครักษ์เสื้อแพรสยบปฐพี   บทที่ 30

    เครื่องมือทำมาหากินของเฮ่อลิ่วคือ “หีบชิงไป๋” ที่บรรจุอุปกรณ์ยึดทรัพย์ต่าง ๆ เอาไว้ส่วนเครื่องมือทำมาหากินของเจ้าสิบสองจ้าวฉือ คือ “กล่องยมราช” ขนาดหนึ่งฉื่อ ที่บรรจุอุปกรณ์ลงทัณฑ์กว่าสิบชนิดจ้าวสือเอ้อร์เดินเข้ามาในห้องสอบสวนเขาพูดกับติงว่างว่า “นักโทษ ข้าคือรองนายกองพันผู้ตรวจตราแห่งองครักษ์เสื้อแพร จ้าวฉือ”ติงว่างเอ่ยปากขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย “ที่แท้ก็ใต้เท้าจ้าว ใครบ้างในเมืองหลวงจะไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของ ‘คนบ้าศพ’ แห่งองครักษ์เสื้อแพร? ได้ยินชื่อเสียงมานานขอรับ”จ้าวสือเอ้อร์วาง “กล่องยมราช” ลงบนโต๊ะ “โอ้ นึกไม่ถึงว่าทหารเฝ้าคลังคนหนึ่ง จะเคยได้ยินฉายา ‘คนบ้าศพ’ ของข้าด้วย เช่นนั้นเจ้าก็น่าจะรู้สินะว่าของสิ่งนี้เรียกว่าอะไร?”ติงว่างเอ่ยขึ้นโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัว “หากเดาไม่ผิด นี่น่าจะเป็นกล่องยมราชกระมังขอรับ ว่ากันว่าอุปกรณ์ทรมานในกล่องนี้ หากใช้กับนักโทษ... ต่อให้ผู้ถูกไต่สวนเป็นพญายมราชเอง ก็ยังต้องรีบรับสารภาพขอรับ”จ้าวสือเอ้อร์ยิ้มแล้วกล่าว “เจ้านี่มีความรู้กว้างขวางดีนี่”เขาชี้ไปที่อุปกรณ์ทรมานบนชั้นวางสองข้างของห้อง “อุปกรณ์ทรมานพวกนี้ ข้าไม่เคยนึกอย

  • องครักษ์เสื้อแพรสยบปฐพี   บทที่ 29

    เฮ่อลิ่วกล่าว “ข้าขอเสนอให้องครักษ์เสื้อแพรของเราลงมือสอบสวนคดีของติงว่างด้วยตัวเองขอรับ”ลู่ปิ่งถูมือไปมา “เอาอย่างนี้ ให้เจ้าสามจินว่านก้วนไปคุยเล่นเป็นเพื่อนเขาก่อน ถ้าคุยแล้วไม่ได้ความ ค่อยให้เจ้าสิบสองจ้าวฉือลงทัณฑ์ทรมานเขา!”เจ้าสามจินว่านก้วนในกลุ่มสิบสามองครักษ์หลวง เป็นที่ยอมรับกันในหมู่องครักษ์เสื้อแพรว่าเป็นยอดฝีมือด้านการสอบสวน มีฉายาว่าสามารถพูดหว่านล้อมจนปลาในน้ำกระโดดขึ้นฝั่งได้ ว่านอันเหลียงเองก็ยอมปริปากบอกเรื่องขโมยเงินต่อหน้าจินว่านก้วนผู้นี้นี่เองส่วนเจ้าสิบสองจ้าวฉือ ถูกเพื่อนร่วมงานในองครักษ์เสื้อแพรเรียกว่า ‘คนบ้าศพ’ คนผู้นี้ชื่นชอบการศึกษาสรีระศพเป็นที่สุด ได้รับคำชมจากผู้บัญชาการลู่ปิ่งว่าเป็น “นักชันสูตรศพอันดับหนึ่งในใต้หล้า” ในขณะเดียวกัน จ้าวฉือก็เป็นยอดฝีมือด้านการลงทัณฑ์ ทัณฑ์สถานเบากว่าสองร้อยชนิดขององครักษ์เสื้อแพร ครึ่งหนึ่งตกทอดมาจากรุ่นก่อน ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง จ้าวฉือเป็นผู้คิดค้นขึ้นเองเฮ่อลิ่วส่งมอบตัวติงว่างให้จินว่านก้วน แล้วพาเข้าไปใน ‘ห้องสอบสวน’ จินว่านก้วนตบหน้าอกรับรองกับน้องหกของตน “เจ้าหก วางใจเถอะ เวลาแค่คืนเดียว ข้าจะทำให้ทหารเฝ้าคลั

  • องครักษ์เสื้อแพรสยบปฐพี   บทที่ 28

    ห้าวันต่อมา ณ โถงว่าการสำนักตรวจการเหนือบัลลังก์ศาล มีเจ้ากรมตรวจการฝ่ายซ้ายจากสำนักตรวจการหยางหมิงนั่งอยู่ หยางหมิงผู้นี้ขึ้นชื่อว่าเป็นขุนนางตงฉินและนักปราชญ์ผู้เคร่งครัด กิตติศัพท์เรื่องความกล้าพูดกล้าทัดทานอย่างตรงไปตรงมานั้นเลื่องลือไปทั่วราชสำนักต่างจากรองเสนาบดีฝ่ายขวากรมอาญาสวี่หย่วนจวี๋ และตุลาการศาลต้าหลี่ซุนเฮ่อหนาน ใต้เท้าหยางแห่งสำนักตรวจการผู้นี้มีท่าทีเย็นชาต่อเฮ่อลิ่วผิดปกติ หยางหมิงถือตนว่าเป็นขุนนางตงฉิน จึงดูถูกเหยียดหยามองครักษ์เสื้อแพรที่เป็นดั่งสุนัขรับใช้มาโดยตลอดผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรลู่ปิ่งเคยวิจารณ์หยางหมิงไว้ว่า ตาแก่หยางหมิงนั่น ทั้งสะอาด ทั้งเหม็นโฉ่ แล้วก็ทั้งแข็งกระด้างเบื้องล่างโถง เฮ่อลิ่วยืนรออย่างแห้งเหี่ยวตามธรรมเนียมพิธีการ เฮ่อลิ่วที่เป็นเพียงนายกองร้อยขั้นหกชั้นเอก เมื่ออยู่ต่อหน้าขุนนางใหญ่ขั้นสองชั้นเอกอย่างหยางหมิง ก็มีสิทธิ์เพียงแค่ยืนเท่านั้นหยางหมิงลูบเคราของตนเอง ส่งสำนวนคดีฉบับหนึ่งให้ผู้ตรวจการคนหนึ่ง ผู้ตรวจการก็นำสำนวนนั้นมามอบให้เฮ่อลิ่วที่อยู่ด้านล่างเฮ่อลิ่วรับสำนวนมาเปิดดู “ติงว่างไม่มีความผิด?”หยางหมิงไม่แม้แต่

  • องครักษ์เสื้อแพรสยบปฐพี   บทที่ 27

    เงินสองแสนตำลึง หากต้องใช้ซื้อตัวขุนนางกรมอาญาตั้งแต่ระดับรองหัวหน้าฝ่ายไปจนถึงระดับรองเสนาบดีหลายสิบคน อีกทั้งยังต้องซื้อตัวขุนนางศาลต้าหลี่ตั้งแต่ระดับผู้ดูแลงานทั่วไปไปจนถึงตุลาการศาลต้าหลี่อีกหลายสิบคน... เงินจำนวนนี้ย่อมไม่เพียงพออย่างเห็นได้ชัดหรือว่า... ติงว่างจะเป็นผู้บริสุทธิ์จริง ๆ?เฮ่อลิ่วถามซุนเฮ่อหนาน “ศาลต้าหลี่ปล่อยตัวติงว่างไปแล้วหรือขอรับ?”ซุนเฮ่อหนานพยักหน้า “คนไม่มีความผิด ย่อมต้องปล่อยตัวให้พ้นข้อกล่าวหา ตอนนี้เขากลับบ้านไปแล้ว”เฮ่อลิ่วพาตาเฒ่าหู ไปรายงานผลกับผู้บัญชาการลู่ปิ่ง“อ้อ? ศาลต้าหลี่ก็บอกว่าติงว่างเป็นผู้บริสุทธิ์หรือ?” ลู่ปิ่งจิบชาไปพลาง เอ่ยถามเฮ่อลิ่วไปพลางเฮ่อลิ่วพยักหน้า “ตุลาการศาลต้าหลี่ซุนเฮ่อหนานยืนกรานหนักแน่นว่าติงว่างเป็นผู้บริสุทธิ์ขอรับ”ลู่ปิ่งเป็นองครักษ์เสื้อแพรมากว่ายี่สิบปี มีสัญชาตญาณอันเฉียบแหลมต่อทุกคดี และสัญชาตญาณนั้นก็ร้องเตือนว่า เขามั่นใจว่าติงว่างไม่มีทางขาวสะอาดไร้มลทินดุจดอกบัว เหมือนอย่างที่กรมอาญาและศาลต้าหลี่กล่าวอ้างลู่ปิ่งหัวเราะเบา ๆ “น่าสนใจ น่าสนใจจริง ๆ ทหารเฝ้าคลังตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง กลับได้รับการปกป้องจ

  • องครักษ์เสื้อแพรสยบปฐพี   บทที่ 26

    ในใจของหลิวต้าผู้บัญชาการกรมฝ่ายเหนือยังคงมีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่อีกหนึ่งประการ ในสายตาเขา เฮ่อลิ่วเป็นคนประเภทปล่อยเลยตามเลยกับทุกเรื่อง แต่กับคดีของติงว่าง เฮ่อลิ่วกลับแสดงท่าทีผิดปกติ... ดูใส่ใจมากจนเกินไปในเมื่อติงว่างถูกคนของกรมอาญาสอบสวนจนได้สถานะ “ผู้บริสุทธิ์” แล้ว ด้วยนิสัยปกติของเฮ่อลิ่ว ควรจะแกล้งทำเป็นปิดตาข้างหนึ่งเสียมากกว่า เหตุใดเขาถึงได้ใส่ใจคดีนี้นักหนา?หลิวต้าอายุเพียงสามสิบปี จะไปเคยได้ยินเรื่อง “คดีบ้านผีสิง” อันลึกลับพิสดารเมื่อยี่สิบปีก่อนได้อย่างไร รวมถึงเบาะแสเดียวของคดี... ตำรา ‘รวมขุมทรัพย์’ เล่มนั้น?ตอนนี้เฮ่อลิ่วสงสัยว่า วิธีซ่อนเงินในเสา เป็นสิ่งที่ติงว่างเรียนรู้มาจาก ‘ตำรารวมขุมทรัพย์’ ติงว่างคือเบาะแสในการตามหาสาเหตุการตายของบิดาและภรรยาของเขา!แม้เฮ่อลิ่วจะยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะกับตาเฒ่าหูว่า ไม่ได้มีความคิดที่จะรื้อฟื้นคดีบ้านผีสิง แต่ชีวิตบิดาหนึ่งชีวิต ชีวิตภรรยาหนึ่งชีวิต เขาจะละทิ้งการตามหาความจริงไปได้อย่างไร?เที่ยงวันถัดมา เฮ่อลิ่วและตาเฒ่าหูคุมตัวติงว่างมายังศาลต้าหลี่ท่านหกแห่งองครักษ์เสื้อแพรมาส่งคดีด้วยตนเอง ศาลต้าหลี่ไม่กล้าชั

  • องครักษ์เสื้อแพรสยบปฐพี   บทที่ 25

    เฮ่อลิ่วรู้สึกตกใจ...คดีของติงว่าง กลายเป็นคดีที่จับมือใครดมไม่ได้แล้ว! พยานแวดล้อมเพียงหนึ่งเดียวอย่างว่านอันเหลียงตายแล้ว กรมอาญาก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกัน ว่าติงว่างเป็นผู้บริสุทธิ์ ตอนนี้ติงว่างสามารถเดินออกจากกรมบัญชาการฝ่ายเหนืออย่าง ‘สะอาด’ แล้วเฮ่อลิ่วไปรายงานภารกิจกับผู้บัญชาการฝ่ายเหนือหลิวต้าผู้บัญชาการองค์ครักษ์เสื้อแพรลู่ปิ่งกำลังนั่งดื่มชากับหลิวต้าในห้องเวรพอดีลู่ปิ่งกล่าว “เจ้าหกมาแล้วหรือ วันนี้เที่ยง หลี่ว์กงกงชมเจ้าให้ข้าฟังว่าเจ้าทำงานดีมาก! มีแต่เจ้าที่มีวิธีขนเสาเงินสี่ต้นนั้นไปตำหนักหลิงจี้”เฮ่อลิ่วกล่าว “หลี่ว์กงกงชมข้าน้อยเกินไปแล้ว แต่ว่าท่านผู้บัญชาการ เหมือนว่าคดีนี้ยังไม่สิ้นสุดนะขอรับ”“อ้อ? ผู้กระทำความผิดว่านอันเหลียงถูกตัดหัวแล้ว ยังมีอะไรไม่สิ้นสุดอีก?” ลู่ปิ่งถามเฮ่อลิ่วเล่าเรื่องของติงว่างให้ผู้บัญชาการลู่ปิ่งฟังอย่างละเอียดลู่ปิ่งถามหลิวต้า “หยวนเจิ้ง เจ้ามองอย่างไร?”หลิวต้ากล่าว “ในเมื่อกรมอาญายืนยันเป็นเสียงเดียวกัน ข้าน้อยคิดว่า บางทีติงว่างผู้นี้ อาจถูกปรักปรำจริงๆ”จากนั้นลู่ปิ่งถามเฮ่อลิ่ว “เจ้าหก เจ้าล่ะรู้สึกอย่างไร?”เฮ่อลิ่

Weitere Kapitel
Entdecke und lies gute Romane kostenlos
Kostenloser Zugriff auf zahlreiche Romane in der GoodNovel-App. Lade deine Lieblingsbücher herunter und lies jederzeit und überall.
Bücher in der App kostenlos lesen
CODE SCANNEN, UM IN DER APP ZU LESEN
DMCA.com Protection Status