ฤดูใบไม้ร่วง รัชศกเจียจิ้งปีที่สามสิบเก้าแห่งราชวงศ์ต้าหมิง
ณ เรือนสี่ประสานหลังหนึ่งภายในตรอกจินอวี๋ของเมืองหลวง บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งสวมชุดเครื่องแบบปลาบินกำลังนั่งรับประทานอาหารเช้า
ชุดเครื่องแบบปลาบินนั้น หากมิใช่ขุนนางใหญ่ขั้นสองขึ้นไปในหกกรม หรือแม่ทัพใหญ่ที่ถูกส่งไปประจำการตามหัวเมือง ย่อมมิอาจสวมใส่ได้ตามอำเภอใจ ทว่าทุกเรื่องย่อมมีข้อยกเว้น ในหน่วยองครักษ์เสื้อแพร ตั้งแต่ยศนายกองร้อยขึ้นไป ล้วนได้รับพระราชทานชุดเครื่องแบบปลาบินและดาบซิ่วชุน
บุรุษวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้านี้คือเฮ่อลิ่ว นายกองร้อยผู้ตรวจสอบแห่งกรมบัญชาการฝ่ายเหนือขององครักษ์เสื้อแพร
เบื้องหน้าเฮ่อลิ่ว มีเด็กหญิงตัวน้อยวัยสี่ห้าขวบนั่งอยู่ เด็กหญิงคนนี้ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ พวงแก้มแดงระเรื่อ ดูน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก
ตรงหน้าของเด็กหญิงตัวน้อยมีชามผักหนึ่งชาม และเนื้อวัวอีกหนึ่งจาน นางมองเฮ่อลิ่วด้วยสายตาเว้าวอนน่าสงสาร “ท่านพ่อ เซียงเซียงไม่อยากกินผัก”
เฮ่อลิ่วมองลูกสาวด้วยความรักใคร่เอ็นดู “เซียงเซียงเด็กดี เด็กเล็กๆ หากกินแต่เนื้อไม่กินผักจะถ่ายไม่ออกนะ หากถ่ายไม่ออก ท้องก็จะระเบิด! ถึงตอนนั้นนะ ไส้เอย เลือดเอย จะไหลนองเต็มพื้น...”
เห็นได้ชัดว่าเฮ่อลิ่วไม่ค่อยถนัดเรื่องการปลอบโยนลูกสาว เขากำลังใช้กลวิธีที่กรมบัญชาการฝ่ายเหนือใช้ข่มขู่นักโทษมาบีบบังคับให้บุตรสาวกินผัก
เมื่อเซียงเซียงได้ยินดังนั้น ก็ส่งเสียงร้องไห้โฮออกมา
เจ้าหกเฮ่อราวกับเด็กที่เพิ่งทำความผิด ได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ ทำตัวไม่ถูกต่อหน้าลูกสาว
ในขณะที่เฮ่อลิ่วกำลังปลอบลูกสาวอยู่นั้น ประตูเรือนสี่ประสานก็เปิดออก ชายชราวัยหกสิบกว่าปีผู้หนึ่งเดินเข้ามา
ชายชราผู้นี้สวมชุดเครื่องแบบสีดำ ที่เอวห้อยป้ายประจำตำแหน่งกรมบัญชาการฝ่ายเหนือ ในองครักษ์เสื้อแพร ยศนายกองร้อยขึ้นไปจึงจะได้สวมชุดเครื่องแบบปลาบิน ส่วนยศต่ำกว่านั้นต้องสวมชุดเครื่องแบบสีดำ ชายชราเดินเข้ามาอย่างไม่เกรงใจ ตรงดิ่งไปนั่งข้างกายเซียงเซียง มือซ้ายลูบศีรษะของนาง มือขวาคว้าตะเกียบขึ้นมาคู่หนึ่ง
“เซียงเซียงร้องไห้ทำไมกัน?” ชายชราเอ่ยถาม
จะว่าไปแล้วก็แปลก เซียงเซียงที่เมื่อครู่ยังร้องไห้โฮ พอเห็นชายชรา เสียงร้องไห้กลับหยุดลงทันที “ท่านปู่หู ท่านพ่อบอกว่าถ้าเซียงเซียงไม่กินผัก ท้องจะระเบิดเจ้าค่ะ”
ตาเฒ่าหูหัวเราะร่า “โดนพ่อเจ้าหลอกเข้าให้แล้ว!”
ตาเฒ่าหูพูดพลางคีบเนื้อวัวชิ้นหนึ่งป้อนให้เซียงเซียง
เฮ่อลิ่วเอ่ยถามตาเฒ่าหู “ตาเฒ่าหู วันนี้มีภารกิจอันใดหรือ?”
ตาเฒ่าหูตอบกลับ “ไปค้นบ้านว่านอันเหลียงรองเสนาบดีขวากรมพิธีการ”
ในกรมบัญชาการฝ่ายเหนือ เฮ่อลิ่วดำรงตำแหน่งนายกองร้อยผู้ตรวจสอบ ตำแหน่งนายกองร้อยผู้ตรวจสอบนี้ ถูกเพื่อนร่วมงานในกรมบัญชาการฝ่ายเหนือล้อเลียนว่าเจ้าหน้าที่ยึดทรัพย์
นับตั้งแต่ปฐมกษัตริย์หงอู่สถาปนาราชวงศ์ ผู้ใดเป็นขุนนางเมื่อถึงคราวสูญเสียอำนาจ ย่อมมิอาจหลีกเลี่ยงโทษประหาร เนรเทศ หรือโทษโบย และสิ่งที่มักจะตามมาพร้อมกับโทษทัณฑ์เหล่านี้ก็คือ การบุกค้นบ้านยึดทรัพย์ ดังคำกล่าวที่ว่า เป็นเจ้าเมืองผู้ซื่อสัตย์สุจริตสามปี ก็ยังมีเงินเป็นแสนตำลึง ขุนนางที่ถูกค้นบ้านยึดทรัพย์เหล่านี้ มักจะฉ้อราษฎร์บังหลวง และยิ่งไปกว่านั้นคือรู้จักซุกซ่อนเงินทอง วิธีการซ่อนสมบัติของพวกเขานั้นแพรวพราวร้อยเล่ห์พันเหลี่ยม ในยามนี้เอง ถึงคราวที่นายกองร้อยผู้ตรวจสอบแห่งองครักษ์เสื้อแพรต้องออกโรง
นายกองร้อยผู้ตรวจสอบนั้นต่างจากเพื่อนร่วมงานคนอื่นในองครักษ์เสื้อแพร องครักษ์เสื้อแพรทั่วไป หากไม่วรยุทธ์ล้ำเลิศก็ต้องมีสติปัญญาเฉียบแหลม ล้วนเป็นยอดคนในหมู่คน ทว่านายกองร้อยผู้ตรวจสอบกลับเหมือนช่างฝีมือเสียมากกว่า ไร้วรยุทธ์ ไร้เล่ห์เหลี่ยมปัญญาอันล้ำเลิศ มีดีเพียงอย่างเดียวคือ การขุดคุ้ยเงินทุกตำลึง ทุกอีแปะที่ซุกซ่อนอยู่ในเรือนใหญ่อันสลับซับซ้อน ออกมาตีแผ่กลางแสงตะวันได้จนหมดสิ้น
ตำแหน่งนายกองร้อยผู้ตรวจสอบและฝีมือการค้นบ้านยึดทรัพย์นี้เป็นสิ่งที่สืบทอดกันทางสายเลือด บรรพบุรุษของเฮ่อลิ่วหลายรุ่นล้วนหากินกับอาชีพนี้ ส่วนตาเฒ่าหูที่อยู่ตรงหน้านี้ก็คือหูผิง เป็นนายหมู่อยู่ใต้สังกัดของนายกองร้อยผู้ตรวจสอบ
ตาเฒ่าหูเป็นนายหมู่มาตั้งแต่สมัยพ่อของเฮ่อลิ่ว คลุกคลีอยู่ในกรมบัญชาการฝ่ายเหนือมาค่อนชีวิต ก็ยังคงเป็นเพียงนายหมู่เล็กๆ อยู่วันยังค่ำ
ตาเฒ่าหูปรายตามองกล่องไม้หนานมู่ที่วางอยู่ข้างมือเฮ่อลิ่ว ภายในกล่องไม้หนานมู่นั้น มีปกหนังสือที่ยับยู่ยี่วางอยู่แผ่นหนึ่ง บนปกเขียนอักษรตัวใหญ่สี่ตัวว่า ‘ตำรารวมขุมทรัพย์’
‘ตำรารวมขุมทรัพย์’ ว่ากันว่าเป็นตำราที่ถงก้วนจอมทุจริตสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ บันทึกกลวิธีซุกซ่อนเงินทองในจวนไว้นับร้อยวิธี ทว่าเมื่อครั้งชาวหยวนรุกรานลงใต้ ตำราต้นฉบับ ‘ตำรารวมขุมทรัพย์’ ได้สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย
สีหน้าของตาเฒ่าหูเปลี่ยนไปทันที “เจ้าหก นี่เจ้าเริ่มสืบคดีบ้านผีสิงอีกแล้วหรือ? ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไร? ลืมไปแล้วหรือว่าพ่อของเจ้าตายอย่างไร? ลืมไปแล้วหรือว่าตอนนั้นแม่ของเซียงเซียงตายอย่างไร?”
ยี่สิบปีก่อน เฮ่อเฉวียนบิดาของเฮ่อลิ่วถูกคนสังหารเพราะเข้าไปพัวพันกับคดีบ้านผีสิงอันสะเทือนขวัญไปทั่วราชสำนัก ก่อนตาย ในมือของเฮ่อเฉวียนยังกำปกหนังสือ ‘ตำรารวมขุมทรัพย์’ นี้ไว้แน่น
สามปีก่อน เฮ่อลิ่วได้เบาะแสคดีบ้านผีสิง จึงสืบสาวราวเรื่องต่อหมายจะหาสาเหตุการตายของบิดา ใครจะคาดคิดว่าภรรยาของตนกลับต้องมาถูกคนลอบวางเพลิงจนตายตกไป
ปกหนังสือ ‘ตำรารวมขุมทรัพย์’ แผ่นนี้ คือเบาะแสเพียงหนึ่งเดียวของคดีบ้านผีสิงที่หลงเหลืออยู่
เฮ่อลิ่วปิดฝากล่องไม้หนานมู่ลง “ข้าล้มเลิกการสืบคดีบ้านผีสิงไปนานแล้ว เพียงแค่คิดถึงท่านพ่อ ก็เลยหยิบปกหนังสือ ‘ตำรารวมขุมทรัพย์’ นี้ออกมาดูเท่านั้น”
ตาเฒ่าหูถอนหายใจยาว “เช่นนั้นก็ดี คนเราน่ะ ควรรู้ตัวเองว่าอะไรแตะต้องได้ อะไรแตะต้องไม่ได้” เขาหันมาถามต่อ “เจ้าหก มีเหล้าหรือไม่?”
เจ้าหกเฮ่อยิ้มอย่างขมขื่น “เช้าตรู่ป่านนี้จะดื่มเหล้าอะไรกัน? ตาเฒ่าหูเอ๊ยตาเฒ่าหู ตาแก่อย่างท่านนี่ เมื่อไรจะเลิกขาดจากเหล้าเสียที! เพราะเหล้านี่ไม่ใช่หรือที่ทำให้ท่านเสียงานเสียการไปตั้งเท่าไร? หากไม่ใช่เพราะท่านติดเหล้าจนเป็นนิสัย ป่านนี้คงไม่ต้องจมปลักเป็นแค่นายหมู่กระจอกๆ ทั้งที่อยู่ในองครักษ์เสื้อแพรมาสี่สิบปีหรอก! พี่น้องที่เข้าองครักษ์เสื้อแพรมาพร้อมท่านอย่างน้อยๆ ตอนนี้ก็เป็นนายกองพันกันหมดแล้วกระมัง? แม้แต่ใต้เท้าหลิว ผู้บัญชาการกรมบัญชาการฝ่ายเหนือคนปัจจุบัน ก็เคยเป็นลูกศิษย์ท่านมาก่อนแท้ๆ ”
ตาเฒ่าหูก้มหน้ากินข้าวพลางเอ่ยขึ้น “มิน่าล่ะเซียงเซียงเห็นเจ้าทีไรถึงได้ร้องไห้ เจ้านี่มันบ่นมากเหมือนอีกา ผ้าอ้อมของเจ้าเมื่อก่อนข้าตาเฒ่าหูก็เป็นคนซักให้! ถึงคราวที่เจ้าต้องมาสั่งสอนข้าแล้วหรือไร! ไปๆ ๆ อย่าพูดมาก รีบไปเอาเหล้ามาให้ข้า!”
เจ้าหกเฮ่อส่ายหน้า เดินเข้าครัวไปหยิบเหล้ากาหนึ่งมาให้ตาเฒ่าหู
สุราหนึ่งจอกตกถึงท้อง บนใบหน้าของตาเฒ่าหูก็ปรากฏสีเลือดฝาด พอจอกที่สามตกถึงท้อง ตาเฒ่าหูก็รำพึงรำพัน “เฮ้อ เหล้าดีจริงๆ เจ้าหก คนเราน่ะต้องรู้จักประมาณตน เมื่อครู่เจ้าพูดถึงพี่น้องที่เข้าองครักษ์เสื้อแพรมาพร้อมข้าใช่หรือไม่? ถูกต้อง คนครึ่งหนึ่งได้ดิบได้ดี แต่อีกครึ่งหนึ่งล่ะ? ฝังรวมกันอยู่ที่สุสานร้างแถบชานเมืองทิศตะวันตกนู่น! งานขององครักษ์เสื้อแพรภายนอกดูมีเกียรติ แต่หากพลาดนิดเดียวหัวก็หลุดจากบ่า! พวกเราไม่มีสมองปราดเปรื่องอย่างพวกยอดคน ก็เป็นนายหมู่ของพวกเราไปซื่อๆ นี่แหละ อย่างไรเสียแค่ได้สวมชุดองครักษ์เสื้อแพร ก็ไม่มีใครกล้ายุ่งแล้ว รับเบี้ยหวัดมาแลกเหล้ากินสักสองสามจอก ใช้ชีวิตอิสระเสรี ก็ดีอยู่แล้วมิใช่หรือ?”
เจ้าหกเฮ่อส่ายหน้า “ตาเฒ่าหู ท่านปู่หูของข้า อีกแค่หกเดือนก็จะถึงวันเกิดอายุหกสิบของท่านแล้ว กฎขององครักษ์เสื้อแพร ยศต่ำกว่านายกองร้อยพออายุครบหกสิบก็ต้องปลดเกษียณ เดือนหน้ากรมบัญชาการฝ่ายเหนือจะเลื่อนยศนายหมู่กลุ่มหนึ่งขึ้นเป็นผู้บังคับหมู่ ท่านทำงานเป็นนายหมู่ขั้นแปดมาทั้งชีวิต อย่างน้อยก่อนเกษียณก็น่าจะขวนขวายให้ได้เป็นผู้บังคับหมู่สักหน่อย? หากเกษียณด้วยยศผู้บังคับหมู่ เบี้ยหวัดรายเดือนจะได้รับเพิ่มจากกรมฝ่ายเหนืออีกตั้งห้าตำลึง!”
ตาเฒ่าหูยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “ขุนนางขั้นเจ็ดหรือขั้นแปด เบี้ยหวัดเกษียณแต่ละเดือนเจ็ดตำลึงหรือสิบสองตำลึง มันจะต่างอะไรกันนักเชียว?”
เจ้าหกเฮ่อยิ้มอย่างขมขื่น “คนอื่นเขาพยายามแทบตายเพื่อเลื่อนขั้น ท่านกลับทำตัว... ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น เอาแค่ว่าใต้เท้าหลิวผู้บัญชาการกรมบัญชาการฝ่ายเหนือเคยเป็นลูกศิษย์ท่าน การจะเลื่อนเป็นผู้บังคับหมู่ ก็เป็นเรื่องง่ายแค่ท่านเอ่ยปากทักทายเขาสักคำ ตอนนี้เขาเป็นคนโปรดของลู่ปิ่งท่านผู้บัญชาการลู่เชียวนะ!”
ตาเฒ่าหูส่ายหน้า “เจ้านั่นมันคนอกตัญญู พอได้เลื่อนขั้น เป็นลูกศิษย์ ก็ไม่เคยโผล่หัวมาคารวะอาจารย์ช่วงเทศกาลเลย! ข้าไม่ไปขอพึ่งใบบุญมันหรอก”
ในองครักษ์เสื้อแพรนั้น มีธรรมเนียมอาจารย์และศิษย์ ตัวอย่างเช่นตอนที่ผู้บัญชาการหลิวเพิ่งเข้าร่วมองครักษ์เสื้อแพร เคยเป็นพลทหารติดตามรับใช้ตาเฒ่าหูอยู่ไม่กี่วัน ตาเฒ่าหูก็นับว่าเป็นอาจารย์ของผู้บัญชาการหลิว กฎบ้านขององครักษ์เสื้อแพรนั้นเข้มงวด อาจารย์เปรียบเสมือนบิดา แม้ศิษย์จะได้ดีเป็นใหญ่เป็นโตในภายภาคหน้า ก็ต้องให้ความเคารพอาจารย์ของตน
เฮ่อลิ่วกล่าวด้วยความร้อนใจเล็กน้อย “ต่อให้ไม่ไปหาผู้บัญชาการหลิว ด้วยความอาวุโสของท่าน เพียงแค่นำเงินสักสองร้อยตำลึงไปคารวะใต้เท้าทังรองผู้บัญชาการ เรื่องนี้ก็สำเร็จแล้ว! อย่าบอกนะว่าท่านไม่มีเงิน! ถ้าไม่มี ข้าจะจ่ายให้เอง!”
ตาเฒ่าหูกลับไม่รับน้ำใจเฮ่อลิ่วแม้แต่น้อย “หยุดเลย! มีเงินสองร้อยตำลึงนั่น สู้เจ้าเอามาให้ข้าตรงๆ เลยดีกว่า! ข้าจะเอาไปซื้อเหล้าจากหมู่บ้านซิ่งฮวาชั้นดีสักห้าสิบไห ฝังไว้หลังเรือนดื่มได้ยันตาย! พอแล้ว อย่าพูดเรื่องเลื่อนตำแหน่งของข้าเลย เจ้าเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ? เป็นนายกองร้อยผู้ตรวจสอบมาตั้งยี่สิบปี ค้นบ้านมาเป็นพันหลังแล้วกระมัง? เงินที่ยึดมาได้กองรวมกันคงสูงเท่าภูเขา ช่วงก่อนผู้บัญชาการลู่อยากจะสนับสนุนเจ้า เลื่อนขั้นให้เป็นรองนายพัน คุมงานสืบสวนจับกุม เจ้ากลับปฏิเสธ อ้างว่าความรู้น้อยด้อยปัญญา ปล่อยตำแหน่งขุนนางขั้นห้าหลุดมือไปให้เจ้าเจ็ดสวีเสียอย่างนั้น”
เฮ่อลิ่วหัวเราะ “เมื่อครู่ท่านยังสอนข้าอยู่เลยไม่ใช่หรือ? คนเราต้องรู้จักประมาณตน ข้ามีดีแค่ไหนข้ารู้ตัวดี นอกจากค้นบ้านยึดทรัพย์แล้ว ข้าทำอย่างอื่นเป็นเสียที่ไหน? ขืนรับตำแหน่งไป แล้วทำงานที่เบื้องบนสั่งลงมาไม่ได้ อย่าว่าแต่ตำแหน่งรองนายพันจะรักษาไว้ไม่ได้เลย ดีไม่ดีหัวที่ตั้งอยู่บนบ่านี่จะหลุดเอา!”
เมื่อทั้งสองกินข้าวเสร็จ เฮ่อลิ่วก็พาเซียงเซียงไปที่ห้องปีกทิศใต้ของเรือนสี่ประสาน
หญิงชราวัยหกสิบเดินออกมาจากห้องปีกทิศใต้
“ป้าจาง ข้าไปทำงานแล้ว ฝากท่านดูแลเซียงเซียงด้วย”
ป้าจางผู้นี้เป็นผู้เช่าเรือนสี่ประสานของเฮ่อลิ่ว จะว่าไปแล้วเดิมทีนางก็เป็นภรรยาเศรษฐีจากตระกูลใหญ่ แต่โชคร้ายสามีตายจาก ครอบครัวตกต่ำ ต้องใช้ชีวิตตามลำพังกับลูกชายวัยสิบแปดปี เฮ่อลิ่วเห็นนางน่าสงสาร จึงให้นางเช่าห้องปีกทิศใต้ของเรือนสี่ประสาน ปกติเวลาเฮ่อลิ่วไปทำงาน ป้าจางก็จะช่วยดูแลเซียงเซียงให้แทนค่าเช่า
ป้าจางรีบตอบ “ท่านหก พูดอะไรอย่างนั้น เรื่องนี้เป็นสิ่งที่สมควรทำอยู่แล้ว ท่านไปดีมาดีเถิด”
หลังจากฝากฝังลูกสาวเรียบร้อย เฮ่อลิ่วและตาเฒ่าหูสององครักษ์เสื้อแพรผู้ไม่ปรารถนาเลื่อนตำแหน่ง ก็เดินเอื่อยเฉื่อยตามกันออกจากตรอกจินอวี๋ มุ่งหน้าไปยังที่ว่าการองครักษ์เสื้อแพรนอกประตูเฉิงเทียนเพื่อไปทำงาน
“เจ้าหกเอ๊ย แม่ของเซียงเซียงตายไปสามปีแล้วกระมัง? พ้นช่วงไว้ทุกข์สามปีแล้ว เจ้าควรจะแต่งงานใหม่ได้แล้ว เรื่องนี้ข้าจัดการให้เจ้าเอง” ตาเฒ่าหูพูดไปพลางเดินไปพลาง
“คนอายุสี่สิบอย่างข้า หากจะไปสู่ขอหญิงสาวบริสุทธิ์จากตระกูลดีๆ มาแต่งงานอย่างเป็นทางการ มิเท่ากับเป็นการทำลายนางหรอกหรือ? จะใช้เงินซื้อนางคณิกาจากหอนางโลมหรือนางระบำจากหอสุรามาเป็นภรรยา ข้าก็กลัวว่านางจิ้งจอกพวกนั้นจะไม่ดีกับเซียงเซียง เรื่องนี้ไว้ค่อยว่ากันเถอะ” เฮ่อลิ่วตอบ
reviews