 LOGIN
LOGINเช้ามืด ประตูหลัง “ขิม” มีพัสดุสีน้ำตาลพิงอยู่บนราวเหล็ก ปรุง แกะเชือกป่านอย่างใจเย็น ข้างในเป็นมีดเชฟดามสตีลเงางาม นอนบนผ้าขาวเรียบ พร้อมการ์ดสั้น ๆ ลายมือคุ้นตา—“ถึงปรุง / จาก ภูมิ” เขาลูบสันมีดช้า ๆ เสียงเหล็กเสียดนิ้วดังแผ่วเหมือนเรียกความทรงจำให้ลืมตา รอยขีดเล็กใกล้สันมีดยังอยู่—ร่องรอยคืนที่ฝึกหั่นหอมด้วยกันเมื่อสิบปีก่อน
“ของสวย” ธาม วางกล่องน้ำแข็งแล้วมอง “ของใคร”
“ของเก่า…จากคนเก่า” ปรุงวางมีดลงบนผ้าขาว “ชื่อ ภูมิ”
ธามพยักหน้า “จะใช้ไหม”
“ใช้ได้—แต่ต้องฟังก่อน” ปรุงยิ้มบาง “มีดเก่าต้องเคารพ เหมือนรอยเก่าในใจ”ก่อนเที่ยง นิก กำลังเขียนตารางล้างตะแกรงดูดควันตามคู่มือสุขาภิบาลที่เพิ่งผ่าน ตรวจเส้นเทาบนพื้นหลังบาร์ให้คมชัดเหมือนเดิม—พื้นที่ฟังไฟโดยไม่กวนมือครัว กล่องไม้ “ฟังห้อง” ถูกเช็ดและวางที่เดิม
รุ่ง โผล่เข้าตรอก หมวกแก๊ปเดิม สมุดปกผ้าอยู่ในมือ เขาเห็นมีดบนผ้าขาวแล้วเงียบครึ่งหายใจ “ของเขา?”
ปรุงพยักหน้า “ใช่”
รุ่งวางสมุดลง เขียนสามคำสั้น ๆ บนกระดาษแผ่นเล็กแล้วคว่ำไว้ “คืนนี้ถ้าอยากได้คำ…ค่อยเปิด”
สิบโมงครึ่ง ชายเสื้อลินินสีอ่อนมายืนหน้าประตูหลัง เคาะ ก๊อง–แก๊ง สองจังหวะ—รหัสที่คนครัวสมัยก่อนจำได้ ข้าวฟ่าง ไปเปิด พบรอยยิ้มแบบคนรู้จักไฟครัวมานาน “มาหาปรุง บอกว่า ภูมิ กลับมาแล้ว”
ปรุงออกมายืนห่างสองก้าว—ไฟกลางพอดี ไม่ใกล้จนไหม้ ไม่ห่างจนเย็น
“มีดถึงแล้ว” ภูมิพยักหน้าไปทางครัว “ยังจำมือมันได้ไหม”
“จำได้—จำรอยด้วย” ปรุงแตะด้ามเบา ๆ
พักไฟหนึ่งจังหวะ ก่อนภูมิพูด “เราเคยเถียงกันเรื่อง ไฟเงียบ นายอยากให้ฟังก่อน ฉันอยากให้ดังก่อน สิบนาทีตอนนั้น…ฉันไม่รอ”
ปรุงยิ้มเศร้า “ตอนนั้นเรารีบ ตอนนี้ฉันทำงานช้าลง—และยาวขึ้น”
“เห็นแล้ว ฉันอ่าน แผนที่ลิ้น ด้วย” ภูมิปรายตามองบาร์ เห็นชายหมวกแก๊ปกำลังเขียนอย่างเงียบ ๆ—รุ่ง—แต่ไม่ถามชื่อ “คืนนี้คุยไหม ฉันอยากขอโทษแบบจริง ไม่ใช่ผ่านมีด”
“คุย—แต่ ในที่ของเรา” ปรุงชี้โต๊ะเหล็กหลังร้าน “ไฟเงียบห้านาที แล้วค่อยพูด”
บ่ายแก่ มีดเก่าถูกลับบนหินช้า ๆ เสียงเฉือน ชรึด—ชรึด เรียบเหมือนประโยคที่เลิกคมเกินจำเป็น ปรุงเทสกับมะเขือเทศ—ใบมีดผ่าเนื้อแดงได้อย่างไม่สะดุด เขาวางมีดไว้แยกจากมีดประจำ ราวกับจัดชั้นโชว์ของความหลังให้ถูกที่
หกโมงเย็น ห้องเริ่มเต็ม นิกเคาะแก้ว “ไฟเงียบ 30 วินาที” รุ่งยืนหลังเส้นเทา สมุดเปิดหน้าใหม่ เขียนหัวเล็ก ๆ รอยมีดเก่า เปลวไฟเลียขอบกระทะ—ปรุงกวักลมสามครั้ง หยุดหนึ่ง แล้วสองครั้ง หัวกะทิหยดเดียวลงหม้อ แต๊ง เหมือนกดเซฟจังหวะทั้งห้อง ภูมิยืนในเงาประตูหลัง มองอย่างคนเคยรู้ทางบันไดนี้ดี แต่เลือกไม่ก้าวขึ้น
คอร์สแรกเดินไปด้วยดี ระหว่างพักไฟ ปรุงพาภูมิไปที่โต๊ะเหล็ก นิกวางชาใบเตยสองถ้วยแล้วถอย “พื้นที่ปลอดภัยนะคะ”ภูมิเริ่ม “ฉันชอบกล้อง ชอบเวที ชอบไฟที่สูงจนร้อง และฉันผลักนาย—ให้สูงตาม ทั้งที่นายชอบไฟกลาง”
“เราโตคนละที่” ปรุงจับถ้วย “และฉันเคยโกรธที่นายพูดว่า ‘ไฟกลางทำให้เราธรรมดา’ จนยื้อรสไหม้”
ภูมิพึมพำ “ขอโทษ—ทั้งคำพูด และการปล่อยมือกะทันหัน”
“ฉันให้อภัย—แต่ไม่คืนรูปเดิม” ปรุงพูดราบ “ตอนนี้มีใครอยู่ข้าง ๆ ฉัน เขาฟังไฟกับฉันได้ดี”
ภูมิยิ้มบาง “ดี ฉันอยากเป็นเพื่อนที่ไม่ทำให้ต้องหลบ ถ้านายให้ ฉันช่วยซ้อมเด็กได้—ไม่ชี้นำ ไม่ยืนหน้าเตา ไม่แย่งไฟ”
“คืนนี้—ช่วยสอนเรื่อง ‘มีดเป็นเพื่อน’ ให้ ข้าวฟ่าง” ปรุงยิ้ม “เธอยังเกร็งมีด”
ครึ่งกะ ภูมิยืนมุมโต๊ะเตรียม เขาวางแตงกวาบนเขียง “ไม่ต้องรีบ หายใจเข้า–ออก แล้วลงน้ำหนัก มีดคมคือมีดปลอดภัย—คมพอไม่ให้มือฝืน” ข้าวฟ่างลองตาม ฉับ–ฉับ เสียงเฉือนเริ่มเสมอ ทีมครัวยิ้มเงียบ ๆ เหมือนเห็นเด็กถีบจักรยานครั้งแรกโดยไม่ส่าย
เหตุสะดุดเล็ก ๆ เกิดขึ้นเมื่อเด็กฝึกอีกคนเผลอบาดนิ้วร้อง อุ๊ย! เบา ๆ ธามชูผ้าขาว “หยุดเท้า!” นิกหยิบชุดปฐมพยาบาล “กด–ยก–พัน” เลือดหยุดในสามนาที ปรุงตรวจซ้ำ “ดีมาก” ภูมิพยักหน้า “นี่คือเหตุผลที่คำว่า กติกา ต้องอยู่ข้างคำว่า คม”
หน้าบ้าน รุ่งเห็นทุกอย่างจากหลังบาร์ เขาไม่ได้พุ่งเข้าไป เขาเขียนเพียงบรรทัด เราไม่กลัวมีด—เราเคารพมัน แล้วสอดกระดาษใส่กล่อง “ฟังห้อง” ให้เหมือนปล่อยธนบัตรเล็ก ๆ แห่งความไว้ใจลงบัญชีของร้าน
คอร์สหลักท้าย ๆ เดินได้ตามแผนที่ลิ้น เสียงฉ่ากลับมาสม่ำเสมอ ภูมิยังยืนในเงา ไม่แตะงาน ไม่แอบชี้มือ เขาเพียงโน้มศีรษะให้ทีมหนึ่งครั้งตอนจานสุดท้ายผ่านบาร์ รุ่งชำเลืองเห็น—ความคมเมื่อก่อนเคลือบด้วยความนุ่มชนิดใหม่
ร้านปิดไฟทีละดวง เหลือไฟส้มจากทางเดินหลังครัว ลมฝนหอบกลิ่นดินเปียกเข้าตรอก ปรุงลากเก้าอี้นั่งขั้นบันได รุ่งนั่งต่ำกว่าหนึ่งขั้น “เขา…ใช่ไหม คนที่ทำให้นายมีรอยมีดในใจ”
“ใช่ เราเคยเป็นมากกว่าเพื่อน แล้วแยกกันแบบคมเกินไป” ปรุงหัวเราะเบา “คืนนี้คมกลับมา แต่ไม่บาด”
รุ่งมองตา “ฉันกลัวนิดหน่อย—กลัวไฟในห้องจะดังขึ้นเพราะชื่อของเขา”“กลัวได้—แต่ซื่อ” ปรุงเลียนคำที่รุ่งสอน “และถ้าฉันจะไปปรับไฟคนเดียว…ฉันจะบอกนายก่อน”
“ตกลง” รุ่งยิ้มตาอุ่น—ยิ้มของคนอ่านแผนที่เดียวกัน
คืนเงียบกว่าปกติ รุ่งหยิบมีดเชฟเก่าขึ้นมาดูใต้แสงโคม รอยลายดามสตีลสะท้อนเงาสองคนซ้อนกัน “มันคม…แต่ไม่ต้องบาดใครอีกแล้ว” เขากระซิบกับทั้งมีดและหัวใจ
ปรุงเข้ามาข้างหลัง โอบจากเอวแน่น–ละมุน รุ่งวางมีดบนผ้า แล้วหันหา จูบครั้งนี้ไม่รีบชิงชัย เป็นจูบขอโทษแทนอดีตทั้งหมดที่เคยทิ่ม ใต้ฝ่ามือของรุ่ง กล้ามเนื้อหลังของปรุงค่อย ๆ คลายเหมือนเชือกถูกแก้ปม เขาผละสั้น ๆ เพื่อมองตา “ขอบคุณที่ไม่เอาอดีตมาคุมปัจจุบัน”
“ขอบคุณที่วางมีดก่อนกอด” รุ่งยิ้มตา ก่อนซุกใบหน้าลงกับซอกคอกลิ่นควันอ่อน ๆ ปลายนิ้วสอดชายเสื้อเชฟแค่พอให้ผิวสัมผัสผิว ปรุงกดหลังมือเขาไว้—เป็นคำว่า อยู่ตรงนี้ แบบไม่ใช้เสียง ทั้งสองปล่อยให้คืนค่อย ๆ ปิดประตู และเปิดพื้นที่ใจให้กันอย่างเงียบ นุ่ม และยาว
หลังลมหายใจยาวสงบ รุ่งเปิดกระดาษที่เขียนตั้งแต่เช้าให้ปรุงดู—สามคำเรียง “ยืน / ซื่อ / ใจดี” ปรุงพยักหน้า “และเพิ่มอีกคำ—กติกา—สำหรับมีดและหัวใจ” ทั้งคู่หัวเราะเบา ๆ ราวกับมีใครปักหมุดใหม่บนแผนที่ลิ้นให้เห็นทางกลับบ้านใกล้ขึ้น
ก่อนแยกย้าย โทรศัพท์ของรุ่งสั่น—เมลจาก กวิน “บท ‘แผนที่ลิ้น’ ขึ้นหน้าแรก ยอดอ่านพุ่ง อยากนัดคุยสัญญารวมเล่ม–ปก–โทนวันพรุ่งนี้บ่าย ถ้าได้ ขอที่ร้าน ‘ขิม’ ผมจะเคารพกติกาเหมือนเดิม” ปลายเมลมีประโยคส่วนตัว “เวลาอ่าน คุณ…น่าฟัง” รุ่งกระพริบตาช้า ๆ เขารู้ว่ากวินหวังดีกว่าเดิม แต่หัวใจเขายืนข้างเตา—ตรงนั้นคำของเขาทำงานได้มากกว่า
เช้ามืดวันถัดมา กล่องข้อความเพจร้านเด้ง—บัญชีไม่ระบุชื่อแนบรูปเก่า: ปรุงกับภูมิยืนหลังเตาในครัวต่างเมืองเมื่อสิบปีก่อน ใต้ภาพพิมพ์ดีด “ไฟสูงดีนะตอนนั้น” พร้อมอีโมจิรูปส้อมจิ๋ว นิกวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะสนทนา “ศุกร์นี้คุยหัวข้อ กล้องกับความทรงจำ ดีไหม” ปรุงพยักหน้า รุ่งพลิกสมุดไปหน้าว่าง เขียนหัว บทบก.ในเงา—เตรียมคำที่จะปกป้องห้อง โดยไม่บาดใคร
บ่ายวันนี้ กวิน จะก้าวเข้ามาคุยปก–สัญญาที่ร้าน—ในแสงพอดี ขณะเดียวกัน ภูมิตอบข้อความ “ยินดีช่วยซ้อมเด็กต่อแบบไม่ยืนหน้าเตา” เสียงเมืองเริ่มดังขึ้นทีละชั้น แต่ในครัว “ขิม” ไฟกลางยังนิ่ง คม—แต่ไม่บาด

เช้าอากาศใส ลมคลองพัดกลิ่นสนิมเปียกมาชนประตูเหล็ก “ขิม” นิก แขวนโปสเตอร์ใหม่บนบานไม้: ยืนในที่สว่าง — ช้อนกับปากกา ประกาศพาร์ตเนอร์ (เวทีเงียบ 10 วินาที) ใต้โปสเตอร์คือป้ายเล็กสามบรรทัด—เส้นเทา = ที่ยืนของลิ้น / คำที่ปกป้อง / เราไม่ล่าดาว เราหุงข้าว เธอวางกล่อง “ฟังห้อง” ข้างประตูเหมือนวางสมุดเยี่ยมหน้าบ้านรุ่ง มาถึงพร้อมถุงผ้าที่มีต้นฉบับบทความ “ยืนในที่สว่าง (ที่ตั้งเอง)” เขาวางลงบนโต๊ะสนทนา กลอกตายิ้มกับตัวเองเมื่อเห็นสติ๊กเกอร์จากพี่ชาย “บ้านภูมิใจ” แปะอยู่บนปก ปรุง เดินออกจากครัว ยกถาดเครื่องเทศวางบนบาร์ กลิ่นโหระพา–พริกคั่วผสานอากาศเช้า “คืนนี้คอร์สสั้น ชัด และซื่อ—เหมือนคำของนาย” เขาพูดเรียบ รุ่งตอบด้วยการแตะหลังมือเบา ๆ เหมือนเซ็นรับของสำคัญสิบโมง ดาว—ทีมสารคดีชุมชน—มาถึงพร้อมกล้องตัวเดียว “เราจะเก็บเสียงเวทีเงียบสิบวินาทีแรกเหมือนเดิมนะคะ” เจ้าหน้าที่สุขาภิบาล แวะตรวจตามนัด “ตะแกรงดูดควันโอเค ป้ายทางหนีไฟชัด ขอให้เวทีคืนนี้มี ‘ไฟสะอาด’ เท่านี้พอ” น้ำเสียงเธอเป็นเหตุเป็นผลจนทั้งทีมยิ้มง่ายขึ้นเที่ยงกว่า กวิน แบกหลอดโปสเตอร์กับกล่องสติ๊กเกอร์โลโก้ช้อน–ปากกามา “ประกาศพรีออเดอ
สายลมจากคลองพัดกลิ่นใบตองและสนิมเปียกเข้าตรอก “ขิม” ตั้งแต่เช้า นิก เขียนบรรทัดหนา ๆ บนไวต์บอร์ดหน้าบ้าน วันอ่านออกเสียง — เรื่องเล่าจากครัว ใต้หัวข้อมีสามกติกาคล้ายคำสาบานของห้อง—ไฟเงียบ 10 วินาที / เส้นเทา = ที่ยืนของลิ้น / ถ่ายหลังไฟฟังเสร็จ ด้านขวามีป้ายเล็ก “โต๊ะเงา 5 นาที / ไม่ถ่าย–ไม่พูด—พักไฟให้ใจตั้งตัว”รุ่ง แกะกล่องหนังสือทดลองพิมพ์ ช้อนกับปากกา วางเรียงบนโต๊ะไม้เก่า ใจเขาเต้นแรงพอ ๆ กับเสียงปั๊มน้ำท้ายตรอก “คำคืนนี้ไม่ควรแค่เล่า ต้อง ยืน ให้ได้ด้วย” เขาพึมพำกับตัวเอง เหลือบเห็นโน้ตจากพี่ชายในไลน์—พ่อกับแม่อ่าน “คืนครู” แล้ว เขาบอกว่าเข้าใจคำว่าไฟยิ้ม—เขายิ้มบาง ๆ เหมือนมีใครวางมือหนักแน่นบนหลังปรุง ออกมาจากครัวพร้อมถาดเครื่องเทศ กลิ่นโหระพาและควันถ่านอุ่นจังหวะห้องให้คงที่ “คืนนี้เลย์เอาต์คอร์สจะสั้นแต่ชัด—เปิดด้วยหัวปลีลวก พักไฟหนึ่งเพลง เขียวหวานหนึ่งดัชนี แล้วจบด้วยกล้วยเชื่อมกะทิอ่อน”“ระหว่างยกจาน ผมจะอ่านย่อหน้า—ไฟพูดก่อน, สูตรที่ไม่มีในตำรา, แผนที่ลิ้น” รุ่งชูสมุดปกผ้า “เราจะสลับไฟกับคำให้เดินคู่—ไม่แย่งเตา ไม่แย่งไมค์”บ่ายแก่ ทีมสารคดีชุมชนของ ดาว ตั้งกล้องตัวเดี
เช้าอากาศใสผิดฤดู ลมจากคลองพัดกลิ่นใบตองและดินชื้นมาถึงตรอกข้าง “ขิม” รุ่ง วางโทรศัพท์ลงหลังได้ยินเสียงพี่ชายย้ำชัด “พวกเราอยู่ข้างนาย” ประโยคสั้นเหมือนมือใหญ่ ๆ มาวางหลัง ช่วยให้ไหล่ที่ตั้งรับคำท้าตลอดสัปดาห์คลายตัวลง เขาสะพายถุงผ้าพาบท “คำที่ปกป้อง (ฉบับบ้าน)” มาวางให้ นิก ที่เคาน์เตอร์ “ฝากติดหน้าร้านเย็นนี้หน่อย—คืนนี้ คืนครู อยากให้บ้านของไฟรู้ว่าบ้านของคำยืนอยู่ด้วย”นิกชูนิ้วโป้ง “เรียบร้อยค่ะ—และฉันทำป้ายเล็กเพิ่ม ‘ฟังไฟก่อน—ฟังครูก่อน’ วางทุกโต๊ะ”สิบโมงครึ่ง รถกระบะเก่าแต่สะอาดจอดชิดปากตรอก หญิงสูงวัยรูปร่างเล็ก ผิวสีอุ่นดั่งหม้อกะทิที่ตั้งไฟกลาง เดินลงมายิ้มเห็นฟันขาว—แม่เอียด ครูเก่าของ ปรุง หาบถาดเครื่องเทศและหม้อดินสองใบเหมือนทหารถือธง “หลาน ๆ อยู่ไหน” เสียงคมใสกว่าที่คิด“ในครัวครับแม่” ปรุงออกมารับหม้อดิน สีหน้าเข้มที่คนในเมืองคุ้นเปลี่ยนเป็นเด็กบ้านเดียวกันในทันที เขาเอาผ้าขาวรองก้นหม้อ “แม่เอา ‘ไตปลา’ มาด้วยเหรอครับ”“เอา น้ำแกงใต้ มาเผื่อ—แต่วันนี้แม่อยากให้ฝั่งนี้ได้กิน ‘แกงคั่วหัวปลีปลาย่าง’” แม่เอียดเคาะฝาหม้อเบา ๆ “หัวปลีมันเหมือนหัวใจคน—ถ้าซอยบาง ๆ พอดี แล้วพัก
เช้าอังคาร กล่องอินบ็อกซ์ของ “กำเนิดเงา” มีดีเอ็มสั้น ๆ จากบัญชีส้อมจิ๋ว—“ถ้าอยากปกป้องจริง ลองปกป้องครอบครัวนายดู” ไม่มีรูปหยาบคาย ไม่มีคำด่าโต้ง ๆ แต่คมพอจะบาดใจ รุ่ง นั่งมองหน้าจอเงียบ ๆ สองลมหายใจก่อนปิดมันลง ร่างกายเบนไปทางประตูอัตโนมัติราวกับห้องทั้งห้องรู้ว่าเขาควรไปที่ไหน—ร้าน “ขิม”ปรุง กำลังชั่งเครื่องเทศอยู่หลังกำแพงเหล็กสเตนเลส พอเห็นสีหน้าของรุ่ง เขาวางช้อนตักลงช้า ๆ “เจ็บตรงไหน บอกเป็นคำ”“มีคนส่งท้า—แตะครอบครัว” รุ่งตอบตามตรง ปรุงพยักหน้า ไม่เร่งปลอบ ไม่เร่งโกรธ “งั้นวันนี้เราตั้งไฟกลางให้คำก่อน—ให้คำปกป้องเรา ไม่ใช่เราปกป้องตัวเองด้วยความหัวร้อน”นิก ผู้จัดการลากไวต์บอร์ดออกมาตรงบาร์ “งั้นเรามีสองอย่าง—แผนครัว กับแผนคำ” เธอเขียนหัวข้อใหญ่ คำที่ปกป้อง แล้วแตกข้อย่อยเป็นบรรทัดคมสั้น ๆฟัง—ก่อน—ตอบคุยงาน ไม่คุยชีวิตคนอื่นที่ไม่ได้ให้สิทธิ์ถ้าคำก้าวล้ำ—เชิญออกอย่างสุภาพ แต่ชัด ข้างล่างเธอวงคำ ไฟเงียบ 30 วินาที และขีดเส้นเทาบนพื้นให้คมขึ้นอีกชั้น “เส้นนี้—ที่ยืนของลิ้น และที่ยืนของคำสุภาพ”บ่ายวันเดียวกัน กวิน โผล่มาพร้อมปกเล่มเวอร์ชันใหม่ “ผมขอหยิบภาษาคุณไปขึ้นหน้าเว็บ
เช้าตรู่วันอังคาร “ขิม” เปิดครึ่งบานให้ลมเย็นพาดพื้นสเตนเลส นิก เขียนหัวข้อบนไวต์บอร์ดตัวโต—กล้องกับความทรงจำ (ซ้อมคุย) ใต้หัวข้อมีสามบรรทัด ไฟเงียบ 30 วินาที / เส้นเทา = ที่ยืนของลิ้น / ถ่ายหลังไฟฟังเสร็จ เธอหันไปทางทีม “วันนี้สำนักพิมพ์จะมาคุยปกกับเรา และทีมสารคดีชุมชนจะเก็บภาพเบื้องหลัง ต้องใช้ภาษาเดียวกันทั้งห้อง”ปรุง วางถาดเครื่องเทศบนบาร์ “ครัวคุมไฟกลางตามเดิม ถ้ากล้องขอ—อย่าเร่งไฟเพื่อภาพ เราพักไฟเพื่อคน”ธาม ชูป้ายผืนเล็กที่เพิ่งทำ “We listen first.” ตัวอักษรคู่ไทย–อังกฤษดูขำ ๆ แต่พอวางใกล้เส้นเทาแล้วกลายเป็นโล่ข้าวฟ่าง ยกมือ “ถ้าลูกค้ายื่นกล้องล้ำเส้น หนูขอใช้คำ ‘ช่วยเป็นทีมเดียวกับครัว’ ได้ไหมคะ” นิกยิ้ม “ได้เลย คำนั้นของกำเนิดเงา—ใช้อย่างสุภาพและแน่น”สายหน่อย รุ่ง มาพร้อมสมุดปกผ้า เขาวางแผ่นพิมพ์ คำที่ปกป้อง (ฉบับครัว) ลงบนโต๊ะสนทนา ข้อความสั้น ๆ กระชับ: เราไม่ได้ทำไฟเงียบเพื่อโชว์ เราทำเพื่อฟังกัน / เราไม่ปิดหน้าเพื่อหลบ แต่เพื่อให้คำทำงาน / ถ้าอยากรู้จัก ใส่หูมาก่อนใส่เลนส์ นิกอ่านแล้วพยักหน้า “น้ำหนักดี—ไม่บาด”เที่ยงครึ่ง กวิน มาถึงในเชิ้ตสีงาขาวถือหลอดโปสเตอร์ยาว เ
เช้ามืด ประตูหลัง “ขิม” มีพัสดุสีน้ำตาลพิงอยู่บนราวเหล็ก ปรุง แกะเชือกป่านอย่างใจเย็น ข้างในเป็นมีดเชฟดามสตีลเงางาม นอนบนผ้าขาวเรียบ พร้อมการ์ดสั้น ๆ ลายมือคุ้นตา—“ถึงปรุง / จาก ภูมิ” เขาลูบสันมีดช้า ๆ เสียงเหล็กเสียดนิ้วดังแผ่วเหมือนเรียกความทรงจำให้ลืมตา รอยขีดเล็กใกล้สันมีดยังอยู่—ร่องรอยคืนที่ฝึกหั่นหอมด้วยกันเมื่อสิบปีก่อน“ของสวย” ธาม วางกล่องน้ำแข็งแล้วมอง “ของใคร”“ของเก่า…จากคนเก่า” ปรุงวางมีดลงบนผ้าขาว “ชื่อ ภูมิ”ธามพยักหน้า “จะใช้ไหม” “ใช้ได้—แต่ต้องฟังก่อน” ปรุงยิ้มบาง “มีดเก่าต้องเคารพ เหมือนรอยเก่าในใจ”ก่อนเที่ยง นิก กำลังเขียนตารางล้างตะแกรงดูดควันตามคู่มือสุขาภิบาลที่เพิ่งผ่าน ตรวจเส้นเทาบนพื้นหลังบาร์ให้คมชัดเหมือนเดิม—พื้นที่ฟังไฟโดยไม่กวนมือครัว กล่องไม้ “ฟังห้อง” ถูกเช็ดและวางที่เดิมรุ่ง โผล่เข้าตรอก หมวกแก๊ปเดิม สมุดปกผ้าอยู่ในมือ เขาเห็นมีดบนผ้าขาวแล้วเงียบครึ่งหายใจ “ของเขา?”ปรุงพยักหน้า “ใช่”รุ่งวางสมุดลง เขียนสามคำสั้น ๆ บนกระดาษแผ่นเล็กแล้วคว่ำไว้ “คืนนี้ถ้าอยากได้คำ…ค่อยเปิด”สิบโมงครึ่ง ชายเสื้อลินินสีอ่อนมายืนหน้าประตูหลัง เคาะ ก๊อง–แก๊ง สองจังหวะ—รห








