ログインตอนที่1
คุณหนูจะแต่งงาน
“ป้าศรีฉันล่ะเหนื่อยกับการสอนหนูนาจัง ยังเล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ แล้วเมื่อไหร่จะโตกับเขาเสียที”
กนกวรรณระอากับกนิษฐาลูกสาวคนเล็กของเธอเหลือเกินที่วันๆเอาแต่นั่งเขียนนิยายและวิ่งเล่นเหมือนเด็กๆทั้งที่อายุก็ยี่สิบสามแล้ว
“คุณหนูเธอก็ยังไม่โตนะคะ ป้ามองดูกี่ทีก็ยังเป็นเด็กตัวน้อยๆ ตัวเล็กๆ ที่ชอบวิ่งตามคุณท่านไปทำงานตลอด”
ป้าศรีเป็นคนเก่าแก่ของบ้าน ตั้งแต่สมัยมารดาของกนกวรรณอีกทีและยังเป็นคนเลี้ยงหนูนามาตั้งแต่เกิดอีกด้วย
“ก็เข้าข้างกันแบบนี้ ถึงได้ไม่ยอมฟังฉันเลย” กนกวรรณไม่เคยเถียงสองคนนี้ชนะ เพราะป้าศรี
กับหนูนาจะอยู่ฝ่ายเดียวกันตลอด
“คุณท่านคะแล้วเรื่องที่พ่อเลี้ยงชนินทร์อยากจะให้ลูกชายของเขามาดองกับเรา คุณท่านตัดสินใจหรือยัง ว่าจะเอาอย่าไร”
จากเสียงปกติก็เบาลงเมื่อเรื่องที่พูดยังถูกปิดให้เป็นความลับอยู่
“ฉันลองคุยกับนิ๊กแล้ว ว่าเห็นด้วยไหมที่ทางนู้นเขาอยากได้หนูนาไปเป็นสะใภ้”
กนกวรรณสามีของเธอเสียชีวิตไปนานแล้ว เวลามีเรื่องในบ้านส่วนมากเธอก็จะปรึกษาป้าศรีแล้วก็นิ๊กลูกชายคนโตของเธอ
“แล้วคุณนิ๊กว่าอย่างไรบ้างคะ”
“นิ๊กกับภูษิตลูกชายบ้านนู้นเขาเป็นเพื่อนกันสมัยประถม เขาก็ว่าเพื่อนเขานิสัยดี แต่พอโตมาก็ห่างๆกันไปบ้าง ก็ยกให้ยายหนูนาตัดสินใจเอา”
กนกวรรณคงจะสบายใจกว่านี้ถ้าพ่อเลี้ยงชนินทร์ไม่ได้มีชื่อเสียงไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องการค้าไม้เถื่อน เพราะเธออดคิดไม่ได้ ว่าที่ชนินทร์ต้องการมาดองกับครอบครัวเธอ ไม่ใช่แค่เพียงเพราะเขากับตรีโชคสามีของเธอเคยเป็นเกลอกัน แต่กลัวจะมีเหตุผลอื่นมากกว่า เพราะครอบครัวของเธอเป็นตระกูลเก่าสืบเชื้อสายมาจาเจ้าทางเหนือ ซึ่งข้าราชการหลายคนยังให้ความเคารพอยู่
“เรื่องนี้เกี่ยวกับหนูนาแท้ๆ ทำไมนะถึงมีแต่คนอื่นรู้ยกเว้นหนูนา”
ผู้ใหญ่ทั้งสองคนต่างสะดุ้งด้วยความตกใจ เมื่ออยู่ดีๆ กนิษฐาก็โผล่มาจากหลังประตูห้องรับแขก
“ที่แท้ก็มาแอบฟังผู้ใหญ่เขาคุยกันนี่เอง ไม่น่ารักเลยนะลูก” กนกวรรณเอ็ดลูกสาว
“แล้วมีเรื่องแบบนี้ยังปิดบังลูก เรียกว่าน่ารักไหมคะคุณแม่”
สาวน้อยตาหยีโอบกอดมารดาเพราะอยากฟังเรื่องราวทั้งหมด
“ย้อนแม่เก่งนะเดี๋ยวนี้ สงสัยจะเขียนนิยายมาก”
กนวรรณไม่ค่อยเข้าใจกับอาชีพการเป็นนักเขียนของลูกสาวเท่าไหร่ เพราะวันๆเธอก็เห็นแต่หนูนานั่งทำงานอยู่ในห้อง แต่ก็มีเงินใช้ตลอดแถมมีเหลือจนช่วยค่าใช้จ่ายทางบ้านได้
ตั้งแต่ตรีโชคเสียไป ฐานะทางครอบครัวก็แย่ลง เพราะกนวรรณเองถูกเลี้ยงมาแบบคุณหนูมาตลอดเธอจึงทำอะไรไม่ค่อยเป็น อาศัยเงินจากการถือหุ้นในบริษัทของตระกูลของเธอที่ไม่มากนักแต่ก็พอส่งลูกทั้งสองคนให้เรียนจบได้
“ป้าว่าคุณท่านคุยกับคุณหนูตรง ๆเลยดีกว่าค่ะ ทางนู้นเขาก็คงอยากได้คำตอบแล้ว”
ป้าศรีกลัวอิทธิพลของพ่อเลี้ยง จะสร้างความลำบากให้กับเจ้านายของเธอ ถ้าขืนยังไม่ได้คำตอบเสียที หรือได้คำตอบที่ไม่ถูกใจ
“พ่อเลี้ยงชนินทร์เขาอยากจะให้ลูกชายของเขาแต่งงานกับลูก เขาบอกว่าจะได้ช่วยดูแลครอบครัวของเรา เขาเป็นห่วงเพราะเขากับคุณพ่อเป็นเพื่อนรักกันมา”
เมื่อถึงเวลาต้องพูด กนกวรรณก็เลือกพูดแต่ในแง่มุมดีๆ เพราะไม่อยากให้หนูนาไม่สบายใจ
“พี่ภูษิตใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้นหนูนาตกลงค่ะ แต่งเมื่อไหร่ดีคะ”
ป้าศรีมองหน้าเจ้านายด้วยความแปลกใจ อะไรจะง่ายขนาดนี้ ทั้งคู่หลงกลัวมาเสียหลายวัน ว่าหนูนาต้องไม่ยอมแน่ๆ
“ที่พูดออกมานี่คิดดีแล้วใช่ไหม” คนเป็นแม่ถามอีกครั้ง
“หนูนาว่าพี่เขาก็หล่อดีนะคะ ครอบครัวของเขาก็มีฐานะ หนูนาอยากให้คุณแม่สบาย อยากให้พี่นิ๊กไม่ต้องทำงานหนัก อยากเห็นบ้านเรากลับมามีหน้ามีตาเหมือนครอบครัวญาติๆของเรา”
เจ้าคุณตาของกนกวรรณซึ่งก็คือคุณทวดของหนูนามีภรรยาหลายคน และคุณพ่อของกนกวรรณเป็นเพียงลูกภรรยาน้อยจึงไม่ค่อยได้สมบัติเท่าไหร่ พอถึงคราวลำบากก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากพี่น้อง เพราะความฝังใจว่าเป็นเชื้อสายจากภรรยาที่ไม่ใช่ภรรยาหลวง
“ถ้าลูกแต่งงานไปแล้วไม่มีความสุข แต่ทำเพื่อแม่กับพี่ แม่เองก็คงไม่ยินดีนะ”
“คุณแม่คะอย่าคิดมากไปเลย หนูนาวันๆก็ไม่ได้ไปไหน นั่งนอนเขียนนิยายอยู่บ้าน เต็มที่ก็ไปหาร้านกาแฟนั่ง ถ้าไม่ได้แต่งงานกับพี่ภูษิต รับรองขึ้นคานแน่ๆ”
คนพูดเธอคิดแบบนั้นจริง ๆ เพราะตัวเธอเองไม่ค่อยได้สนใจเรื่องการมีแฟน มัวแต่หลงรักพระเอกในนิยาย แต่เมื่อตอนเด็ก ๆ เธอเคยแอบชอบภูษิตอยู่ จึงคิดว่าแต่งงานกันไปเดี๋ยวก็รักกันไปเองและก็คงต้องมีความสุขแน่ ๆ
“ถ้าอย่างนั้นแม่บอกตกลงกับพ่อเลี้ยงเลยนะ จะมาเปลี่ยนใจทีหลังไม่ได้แล้วนะหนูนา นี่มันชีวิตจริงไม่ใช่นิยาย”
กนกวรรณไม่ไว้ใจลูกสาวเลย เพราะชอบคิดทำอะไรแบบเด็ก และถ้ามาเปลี่ยนใจทีหลังมีหวังได้กลายเป็นศัตรูกับพ่อเลี้ยงชนินทร์แน่ ๆ
“คุณแม่หนูนารักคุณแม่ รักป้าศรี รักพี่นิ๊ก เชื่อใจ หนูนานะคะ”
เมื่อแน่ใจกับคำตอบที่ได้กนกวรรณจึงโทรศัพท์ไปให้คำตอบกับพ่อเลี้ยงชนินทร์ เพื่อตกลงเรื่องวันเวลาและค่าสินสอดต่าง ๆ
“ว่าอย่างไรบ้างคะคุณท่าน”
ป้าศรีตื่นเต้นอยากรู้ว่า พ่อเลี้ยงว่าอย่างไรบ้าง เพราะป้าศรีอดห่วงคุณหนูของเธอไม่ได้
“พ่อเลี้ยงจะให้สินสอดยี่สิบล้าน พร้อมปลูกบ้านให้เป็นเรือนหอหนึ่งหลัง แต่จะยกให้เป็นชื่อหลานคนแรกเท่านั้น เรื่องการจัดงานเขาจะจัดการทุกอย่างเอง และเมื่อแต่งงานกันแล้ว หนูนาต้องย้ายไปอยู่ที่บ้านของเขาจนกว่าเรือนหอจะสร้างเสร็จ”
สิ่งที่พ่อเลี้ยงเสนอมันดูรู้ว่าเขาต้องได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากกว่าแน่ ๆถึงได้กล้าให้สินสอดถึงยี่สิบล้าน
“ฉันก็ได้แต่หวังว่า เขาคงแค่ใช้นามสกุลความเป็นเจ้าของฉัน แต่คงไม่เอาหนูนาเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องผิดกฎหมาย”
ความเป็นแม่อดห่วงลูกสาวไม่ได้ แต่ในเมื่อหนูนา ยอมแต่งงานแล้ว เธอคงทำได้แค่เป็นห่วง
“ป้าศรีแต่นิ๊กเขาบอกฉันว่า เรื่องการค้าไม้เถื่อน ทั้งภูษิต น้องสาวและภาวิณี ต่างก็ไม่มีใครรู้ ทุกคนเชื่อว่าพ่อเลี้ยงถูกใส่ร้าย”
“ป้าก็ได้แต่ภาวนาว่า ให้มันเป็นแค่ตัวพ่อเลี้ยงคนเดียว ขอให้คุณภูษิตเป็นคนดี คุณหนูจะได้มีความสุข”
หัวอกของแม่ทั้งสองคน ได้แต่หวังให้การตัดสินใจครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
ตอนที่2งานวิวาห์ของคุณหนู งานแต่งานถูกจัดขึ้นหลังจากที่หนูนายอมตกลงไม่ถึงเดือน เพราะทางภูษิตยินยอมพร้อมใจตั้งแต่แรก เพราะแอบชอบหนูนามาตั้งนาน โดยที่ตัวหญิงสาวไม่เคยรู้เลย กนกวรรณไม่คิดว่าข่าวการแต่งงานของลูกสาวเธอจะโด่งดังไปทั่วภาคเหนือ บรรดาเชื้อเจ้าเก่า พ่อเลี้ยงจากจังหวัดต่าง นักการเมืองท้องถิ่นต่างก็ถูกพ่อเลี้ยงเชิญมาร่วมงาน กนกวรรณอดคิดไม่ได้ ว่านี่คือการประกาศตัวว่าพ่อเลี้ยงชนินทร์กำลังมีใบเบิกทางในวงราชการ “ตื่นเต้นเหรอ” เจ้าบ่าวที่สาวๆทั้งจังหวัดต่างหมายปอง ถามเจ้าสาวเพราะสัมผัสได้ถึงมือที่สั่นของหนูนาเมื่อเขาจับมือเธออยู่กลางเวที “พี่ภูคะ หนูนาตาลายไปหมดเลย” ปกติก็ไม่ใช
ตอนที่5มาทีหลังแต่ถูกต้อง “ได้กี่หน้าแล้ว พี่เห็นเราทำงานเลยยังไม่อยากขึ้นมากวน” ภูษิตคิดแบบที่พูดด้วยส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่ง เขายังไม่กล้าเจอหน้าภรรยาเพราะรู้สึกว่าตัวเองผิดที่ไปแอบคุยโทรศัพท์กับคนรักเก่า “ได้นิดหน่อยค่ะ ยังไม่ค่อยมีสมาธิ” พูดจบหนูนาก็ลุกจากโต๊ะทำงานลงมานอนบนเตียง พร้องกับทำท่ากระดิกนิ้วให้อีกฝ่ายตามมานอนข้าง ๆ เธอ ถึงแม้จะรู้สึกงง ๆ แต่ก็ภูษิตก็ยอมทำตาม เพราะใจจริงก็อยากนอนกอดภรรยาให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้างอยู่แล้ว “หนูนาแค่เรียกมานอนเฉยๆ แต่มาถึงมานอนกอดได้อย่างไรกันคะ” ยิ่งคนตัวเล็กในอ้อม
ตอนที่1คุณหนูจะแต่งงาน “ป้าศรีฉันล่ะเหนื่อยกับการสอนหนูนาจัง ยังเล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ แล้วเมื่อไหร่จะโตกับเขาเสียที” กนกวรรณระอากับกนิษฐาลูกสาวคนเล็กของเธอเหลือเกินที่วันๆเอาแต่นั่งเขียนนิยายและวิ่งเล่นเหมือนเด็กๆทั้งที่อายุก็ยี่สิบสามแล้ว “คุณหนูเธอก็ยังไม่โตนะคะ ป้ามองดูกี่ทีก็ยังเป็นเด็กตัวน้อยๆ ตัวเล็กๆ ที่ชอบวิ่งตามคุณท่านไปทำงานตลอด” ป้าศรีเป็นคนเก่าแก่ของบ้าน ตั้งแต่สมัยมารดาของกนกวรรณอีกทีและยังเป็นคนเลี้ยงหนูนามาตั้งแต่เกิดอีกด้วย“ก็เข้าข้างกันแบบนี้ ถึงได้ไม่ยอมฟังฉันเลย” กนกวรรณไม่เคยเถียงสองคนนี้ชนะ เพราะป้าศรีกับหนูนาจะอยู่ฝ่ายเดียวกันตลอด “คุณท่านคะแล้วเรื่องที่พ่อเลี้ยงชนินทร์อยากจะให้ลูกชายของ
ตอนที่3เพื่อนหญิงคนสนิท วันนี้ภูชิตตั้งใจจะพาหนูนากลับบ้านไปหาแม่ของเธอ เพื่อค่อยๆให้เธอหายคิดถึง เพราะชายหนุ่มเข้าใจดีว่าภรรยาของเขาเป็นคนอ่อนไหว “แม่ฝากขนมไปให้กนกวรรณด้วยนะ เมื่อเช้าแม่ไปตลาดมาเจอขนมโบราณหลายอย่าง” ภาวิณีมารดาของภูชิตเธอเป็นแม่บ้านตัวจริง ที่ชีวิตมีแต่งานบ้านดูแลลูกและสามี ส่วนเรื่องนอกบ้านต่าง ๆพ่อเลี้ยงชนินทร์ไม่เคยให้เธอเข้าไปยุ่งเกี่ยวเลย “ขอบคุณนะคะ” ลูกสะใภ้ยกมือไว้อย่างนอบน้อม “คุณแม่ครับน้องล่ะ” ภูชิตถามหาสมิตา เพราะตั้งแต่ตื่นเช้ามายังไม่เห็นน้องสาวเลย “น้องกลับไปมหาวิทยา
ตอนที่6คนที่ถูกต้อง “ภู ในที่สุดคุณก็มาเยี่ยมเมย์” หญิงสาวหน้าตาสวยในชุดคนป่วย รีบลุกจากที่นอนขึ้นมานั่งเมื่อเห็นอดีตคนรักมาเยี่ยม “เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะหนูเมย์” ยังไม่ทันที่ภูษิตจะได้ตอบอะไร ภาวิณีก็ทำหน้าที่แม่สามีที่ดี ส่งเสียงตามมา “สวัสดีค่ะคุณแม่ เมย์คิดว่าภูมาคนเดียว” คนป่วยชักสีหน้าไม่พอใจ “เข้ามาเลยหนูนา” ภาวิณีหันไปข้างหลังและกวักมือเรียกลูกสะใภ้ที่กำลังถอดรองเท้าอยู่ “มากันหมดเลยทั้งแม่และเมียตาภู ตอนงานแต่งงานหนูเมย์ไม
ตอนที่4เมื่อคนเก่าอยากมีบทบาท “ขนของอะไรเยอะเลย” ภาวิณีรีบเดินออกมาที่หน้าบ้าน เมื่อได้ยินเสียงรถของลูกชายวิ่งเข้ามาจอดที่โรงรถ “หนังสือนิยายของหนูนาเองค่ะ” ลูกสะใภ้ส่งยิ้มหวานให้แม่สามี เพราะเธอคิดว่า ภาวิณีคงรู้สึกขำที่เธอขนนิยายมาเสียหลายลัง “เป็นนักเขียนก็ต้องชอบอ่านก่อนใช่ไหม ไว้วันหลังแม่จะขออ่านผลงานของหนูนาบ้างนะลูก” บ้านของครอบครัวพ่อเลี้ยงชนินทร์ วันทั้งวันแทบจะดูเงียบเหงา หนูนาแอบคิดไม่ได้ว่า ถ้าเธอไม่เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ ช่วงกลางวันคงมีแค่ภาวิณีกับแม่บ้านเท่านั้นที่อยู่ด้วยกัน&nb