ร่างเล็กขยับพลิกตัวไล่ความขี้เกียจในยามเช้าเหมือนทุกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับปรับระดับการมองเห็นของสายตาให้คุ้นชินกับความสว่างในยามเช้า เมื่อตื่นขึ้นมาเธอก็ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงโดยไม่ได้สังเกตเลยว่าตอนนี้ทุกอย่างรอบตัวของตัวเองเปลี่ยนไปแล้ว
ส่วนคนที่นอนร่วมเตียงเดียวกับหญิงสาวก็ตื่นตั้งแต่เช้าแล้ว และก็ตกใจมากเมื่อตื่นขึ้นมาก็มีหญิงสาวที่เจอในกระจกเมื่อคืนมานอนอิงแอบซุกอกตัวเอง จ้าวซ่านลู่มองสำรวจใบหน้าจิ้มลิ้มและเสื้อผ้าที่นางแต่งแล้วก็เกิดความสงสัย และที่สำคัญนางมาได้ยังไงกัน แล้วนางมาจากไหน แต่จะมาจากไหนไม่สำคัญ สิ่งสำคัญตอนนี้คือเขาชอบแม่นางคนนี้แล้วสิ ปากนิด จมูกหน่อย ผิวแก้มนวลเนียนสีระเรื่อเหมือนลูกท้อมิมีผิดเพี้ยน
“วันนี้ต้องไปเปิดร้าน” ซู่หลิงเถียนพึมพำกับตัวเองแล้วลุกก้าวลงจากเตียงโดยไม่สนใจสิ่งรอบตัวของตัวเองที่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
“เอ๊ะ! กระจกทำไมมาตั้งตรงนี้ แล้วห้องน้ำ แล้ว...ที่นี่ที่ไหนเนี่ย” เธอเพิ่งมองไปรอบๆ ห้องที่ตัวเองตื่นมาในเช้านี้ว่ามันเปลี่ยนไป มันไม่ใช่ห้องของตัวเอง แล้วก็ต้องร้องตกใจอีกครั้งเมื่อมองไปเห็นผู้ชายอยู่บนเตียงที่ตัวเองเพิ่งตื่นนอนลุกมา
กรี๊ด!
“นะ...นายเป็นใคร” เธอกอดตัวเองวิ่งไปหลบที่หลังกระจกโบราณที่เหมือนกับที่ห้องนอนของตัวเอง
“ข้าต่างหากที่ต้องถามแม่นาง ว่าแม่นางเป็นใคร ทำไมถึงมานอนบนเตียงของข้าได้” เขายิ้มกริ่มให้นางพร้อมลุกเดินก้าวยาวๆ ไปหาคนที่ซ่อนตัวเองอยู่หลังกระจก
“ยะ...หยุดเดี๋ยวนี้นะ อย่าเข้ามานะ ไอ้โจรลักพาตัว” ซู่หลิงเถียนชี้มือให้อีกฝ่ายหยุด เธอมองสำรวจร่างสูงตรงหน้าที่แต่งตัวเหมือนคนยุคโบราณแล้วก็มองไปรอบๆ ห้องอีกครั้ง ซึ่งเตียงมันเหมือนเตียงที่เห็นก่อนนอนเมื่อวานตอนเย็นและบนเตียงก็มีเขา ใช่...เธอจำหน้าของเขาได้
“ไอ้หื่น!” เธอร้องออกมาเสียงดังแล้ววิ่งหนีออกจากหลังกระจกวิ่งไปดึงดาบออกจากฝักออกมาชี้ไปยังคนตรงหน้า
หึหึ
“เจ้าจะทำอะไรข้าได้แม่นาง ที่นี่คือจวนสิบสี่ เป็นจวนของข้า เจ้ามาของเจ้าเอง ข้าไม่ได้พาเจ้ามาสักหน่อย” จ้าวซ่านลู่เอ่ยอย่างใจเย็นพร้อมกับมืออีกข้างขัดไขว้หลัง แล้วเสียงหน้าห้องก็ดังขึ้น
“ท่านอ๋องเกิดอะไรขึ้นขอรับ”
“ไม่มีอะไรหรอกเสี่ยวถัง เจ้าจะไปไหนก็ไปเลยไป” เขาตะโกนตอบทหารคู่ใจหน้าห้องที่กำลังทุบประตูอยู่ และเสียงก็เงียบไปเมื่อจ้าวซ่านลู่บอกไปเช่นนั้น
“ท่านอ๋อง...ดะ...เดี๋ยวนะ นายเป็นใครกันแน่ไอ้หื่น” มือที่จับดาบสั่นเทาพร้อมมองจ้องคนที่กำลังก้าวเดินมาหาตัวเอง
“ข้าคืออ๋องใหญ่จวนสิบสี่ ชื่อของข้าคือจ้าวซ่านลู่ แล้วเจ้าล่ะ แม่นางมีชื่อว่าอะไรฮึ และดาบก็วางลงได้แล้ว คนสวยอย่างแม่นางไม่เหมาะกับดาบในมือหรอกเจ้า” เขาเอ่ยเสียงพร่าอย่างใจเย็นและมองชุดที่แม่นางใส่แล้วก็อดขำไม่ได้ มันคือชุดอะไร เขามิรู้ แต่มันดูเหมาะกับตัวเธอมาก
ซู่หลิงเถียนมองตามสายตาของคนที่อ้างตัวเองเป็นอ๋องใหญ่กับตัวเองแล้วก็อดขำไม่ได้ มันจะเป็นไปได้ยังไง ท่านอ๋องมันมีแต่ในซีรีส์และในยุคสมัยโบราณเท่านั้นแหละ และเธอมองตาของเขาที่จดจ้องมาทางตัวเองแล้วก็รู้สึกเขินอายเมื่อคนที่มองนั้นหน้าหล่อแบบขึ้นปกนิตยสารได้เลย ใบหน้าสวยได้รูปตอบรับกับคิ้วสวยและริมฝีปากเป็นกระจับ จมูกโด่งเป็นสัน ผิวขาวผุดผ่องยามใส่ชุดโบราณสีดำและผมที่ยาวรัดขึ้นพร้อมมีปิ่นปักผม นี่มันเหมือนฉากในละครชัดๆ แต่ความรู้สึกอีกเสียงบอกว่ามันคือเรื่องจริงไม่ใช่ฉากในละครหรือซีรีส์ที่เคยดูมา
ระหว่างที่แม่นางแปลกหน้าแสนงามกำลังขบคิดอะไรอยู่นั้น จ้าวซ่านลู่ก็อาศัยจังหวะนี้ใช้วรยุทธของตัวเองเคลื่อนไหวรวดเร็วแย่งดาบมาถือไว้ อีกมือคว้าเอวเล็กกอดรั้งเข้ามาแนบอกตัวเอง
กรี๊ด!
“ไอ้หื่น นะ...นายอย่าทำอะไรฉันนะ มาคุยกันดีๆ ก่อน ใช่สิ ท่านอ๋องใช่ไหม ท่านอ๋องใหญ่ปะ...ปล่อยฉัน...ข้า...ก่อนได้ไหม” ตอนนี้ซู่หลิงเถียนคิดอย่างเดียวว่าต้องหนีรอดออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน แต่แรงกอดที่เอวช่างแน่นเหลือเกิน จะขยับหนีก็ไม่ได้และมือเล็กก็ยกมือเท้าดันหน้าอกของอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้อกตัวเองแนบถูไถไปกับอกของชายที่อ้างตัวว่าเป็นอ๋องใหญ่
“แม่นางพูดแปลกๆ แต่ก็พอเข้าใจได้ คุยกันแบบนี้แหละ เดี๋ยวปล่อยแม่นางก็หนีและหาของมาจะทำร้ายข้าอีกหรอก ว่าแต่แม่นางคนงามชื่ออะไร มาจากไหน บอกข้ามาเถิด” เขาโน้มหน้าลงมาชิดแก้มนวลที่แดงระเรื่อ และจ้าวซ่านลู่ก็มองออกว่าตอนนี้แม่นางคนงามกำลังขวยเขินตัวเอง
“คะ...คือฉัน...ข้าชื่อซู่หลิงเถียน หรือจะเรียกเถียนเถียนก็ได้ ปะ...ปล่อยได้แล้ว ส่วนมาได้ยังไง ข้าไม่รู้เหมือนกัน ข้านอนอยู่ดีๆ ตื่นมาก็มาโผล่ที่นี่ ว่าแต่ที่นี่ที่ไหน” เธอแหงนเงยหน้าขึ้นถามเขา แล้วจังหวะนั้นเองปลายจมูกของเธอก็ชนกับปลายจมูกโด่งของเขาที่ก้มโน้มลงมาพอดีทันที
อุ๊ย!
“เจ้าช่างสวยยิ่งนักแม่นาง ที่นี่แคว้นหยวน แล้วแม่นางเล่ามาจากที่ใด”
“ขะ...ข้ามาจากตุนหวง” เธอตอบเขาสั้นๆ และประมวลความคิดตามสิ่งที่ได้รับรู้มาแล้วก็เบิกตากว้างเมื่อแคว้นหยวนนั้นล่มสลายไปเมื่อสามร้อยปีที่แล้ว ‘อย่าบอกนะเถียนเถียน เธอย้อนกลับมาในอดีต’ เธอคิดในใจและดิ้นรนขัดขืนในวงแขนแข็งแรงเพื่อหาอิสระให้ตัวเอง
“ตุนหวงคือที่ใดรึ ข้ามิเคยได้ยินเลยเถียนเถียน” ยิ่งได้ฟังแม่นางคนสวยพูดยิ่งงงและคำพูดของนางช่างประหลาดนัก
“นะ...เอ้ย! ท่านชื่ออะไรนะ ข้าลืมแล้วที่บอกเมื่อกี้” เธอดิ้นยังไงก็ดิ้นไม่หลุด ยิ่งดิ้นวงแขนแข็งแรงยิ่งกอดรัดแน่น
“จ้าวซ่านลู่ ข้าชื่อจ้าวซ่านลู่” เขาบอกย้ำนางอีกครั้งพร้อมกับอีกมือที่ถือดาบอยู่ก็ยื่นไปเสียบไว้ในฝักของมันเหมือนเดิม แล้วนำมือมากอดรัดเอวเล็กบางเหมือนมืออีกข้าง
“อือ...นั่นแหละ ท่านปล่อยข้าก่อนได้ไหม เรามาคุยกันก่อนจ้าวซ่านลู่”
“โอเค ฉันรู้แล้วว่านายชื่อจ้าวซ่านลู่ งั้นปล่อยฉันก่อนได้ไหม” ซู่หลิงเถียนเผลอพูดแบบปกติออกมาอีกครั้ง และทำให้คนที่โอบกอดอยู่ด้านหลังมึนงงแม้จะเข้าใจบางคำ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร
“โอเคคืออะไร?” เขาถามนาง เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน
“คือ...ยังไงดีล่ะ หมายความว่าเข้าใจน่ะ นายปล่อยฉันก่อนได้ไหมจ้าวซ่านลู่”
“คุยกันแบบนี้แหละ ข้าชอบกลิ่นตัวเจ้าเถียนเถียน หอมไม่เหมือนหญิงใดที่ข้าเคยได้สูดดม” เขาพูดพร้อมโน้มลงมาแนบปลายจมูกกับซอกคอระหงของนาง
เมื่อบ้านเมืองสงบ หน้าด่านนอกก็สงบ ตอนนี้ชู่เอ๋อก็ตั้งครรภ์ได้สามเดือน และท่านหญิงหมิงเทียนก็เช่นกัน ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกันนับตั้งแต่นั้นมา ท่านหญิงหมิงเทียนก็แวะเวียนมาที่จวนอ๋องตู้บ่อยๆ “ท่านอ๋องตู้” ชู่เอ๋อเอ่ยเรียกพระสวามีที่เพิ่งกลับมาจากด่านหน้าเมือง และคล้อยหลังตู้เหลียงเฉิงก็คือบิดาของนาง “ท่านพ่อ” “ชู่เอ๋อเป็นอย่างไรบ้าง ท่านอ๋องตู้บอกว่าเจ้าแพ้ท้องยังมิหาย” ชู่เว่ยเอ่ยถามบุตรสาวที่ตอนนี้อวบอิ่มกว่าแต่ก่อนเพราะเจ้าตัวเล็กในครรภ์ “ก็เพลียเจ้าค่ะท่านพ่อ กินอะไรก็อาเจียน” นางเอ่ยตอบบิดาของนางที่เดินมานั่งเก้าอี้ข้างๆ นาง “ก็อย่างที่ท่านอาจารย์เห็นนั่นแหละ ข้าล่ะสงสารชู่เอ๋อที่ต้องมาลำบากเพราะลูกของข้า หากเป็นไปได้ข้าอยากแพ้ท้องแทนนาง” ตู้เหลียงเฉิงเอ่ย “ท่านอ๋องตู้ก็...มิลำบากหรอกเพคะ หม่อมฉันทนได้
“ชู่เอ๋อ”ตู้เหลียงเฉิงรีบวิ่งไปหาพระชายาที่นั่งคุกเข่ากับพื้นทันที พร้อมกับผลักทหารสองนายที่ยืนขนาบข้างนางออก “ชู่เอ๋อ ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้” อ๋องหนุ่มรีบแก้มัดที่มือและผ้าที่ปิดปากนางออกอย่างรวดเร็ว “ข้าจะไม่ทำโทษพวกเจ้า เพราะพวกเจ้าทำตามคำสั่งของท่านหญิง ไสหัวไปซะ ก่อนที่ข้าจะตัดหัวพวกเจ้า” เมื่อให้อิสระแม่ยอดดวงใจแล้วเขาก็หันมาตวาดเสียงแข็งใส่ทหาร และทหารทั้งสองก็รีบไปอย่างรวดเร็วด้วยรู้ดีว่าท่านอ๋องตู้เป็นคนเลือดเย็น “ท่านอ๋องตู้” ชู่เอ๋อโอบกอดชายคนรักแน่น “ปลอดภัยแล้ว ต่อจากนี้เราจะอยู่ด้วยกัน จักไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้อีกชู่เอ๋อของพี่” เขาดันนางออกห่างพร้อมพรมจูบดวงหน้างามแล้วมาหยุดที่แก้มนวลเนียนที่ฟกช้ำ “ใครทำเจ้าชายาข้า” “หม่อมฉันโดนท่านหญิงหมิงเทียนตบเพคะ” นางตอบเสีย
ภาพที่ตู้เหลียงเฉิงตวัดดาบตัดหัวของมู่เหลียงเฉิงทำให้หลิงหลิงสาวใช้ของท่านหญิงหมิงเทียนแทบก้าวขาไม่ออก ความโหดเหี้ยมของท่านอ๋องตู้นั้นสังหารพี่ชายเพียงดาบเดียว หลิงหลิงก้าวเท้าออกมาจากที่ซ่อนของตัวเองเดินเข้าไปหาท่านอ๋องตู้ที่กำลังจะเดินไปทางม้าของท่านอ๋อง “เจ้าหลิงหลิง คนของท่านหญิงหมิงเทียนนี่” เขามองไปทางคนที่เดินตัวสั่นมาทางตนเองพร้อมเอ่ยถาม “เพคะท่านอ๋องตู้ หม่อมฉันมาส่งข่าวเพคะ” “ข่าวอะไรของเจ้า” “ท่านหญิงหมิงเทียนให้หม่อมฉันมาทูลท่านอ๋องตู้ว่าตอนนี้พระชายาชู่เอ๋อนั้นอยู่กับท่านหญิงที่ตำหนักเพคะ” นางเอ่ยเสียงสั่นเบาในลำคอ “ขอบใจเจ้าที่มาบอกข้า หากเจ้าไม่มาบอก ข้าคงตามหาพระชายาแบบไร้จุดหมาย” น้ำเสียงเข้มห้าวเอ่ยพร้อมกับเหวี่ยงตัวโหนขึ้นหลังม้า “ฟ่านตง เจ้าเข้าไปในวังหลวงก่อน เราจะไปหาพ
ฮือ!เสียงหอบเหนื่อยของทั้งสองดังขึ้นพร้อมกับสองเท้าหยุดวิ่งเมื่อคิดว่าหนีมาไกลจนปลอดภัยแล้ว แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งตัวเกร็งเมื่อมีดาบยื่นมาจากด้านหลังจ่อที่ลำคอของนาง“คิดเหรอว่าจะหนีรอด หากไม่มีเจ้า ท่านพี่อ๋องตู้ก็คงเลือกข้าเป็นพระชายา” เสียงเล็กแหลมดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับเจ้าของต้นเสียงเดินมาหยุดตรงหน้านาง ชู่เอ๋อมองเจ้าของน้ำเสียงเล็กแหลมน่าเกลียดด้วยความเดือดดาล แต่ทำอะไรไม่ได้เมื่อที่คอมีดาบจ่ออยู่“ทหารจับตัวมันไป” ท่านหญิงหมิงเทียนเอ่ยสั่งทหารของตนเองให้จับชู่เอ๋อและหลันหลงพร้อมสั่งมัดมือมัดปากของทั้งสองก่อนจะพาขึ้นรถม้าตัวเอง“อือ...ยัยท่านหญิง อ่ะ...อื้อ” แล้วเสียงชู่เอ๋อก็หลุดหายไปในลำคอเมื่อมีผ้าปิดปากเผียะ!“ตอนนี้ชีวิตของเจ้าอยู่ในกำมือข้า นังชู่เอ๋อ” มือเล็กตวัดตบหน้าของชู่เอ๋อก่อนจะเดินขึ้นรถม้าตัวเองไปแล้วชู่เอ๋อและสาวใช้ก็ถูกทหารของนางลากดึงขึ้นรถม้าตามหลังไป และทันทีที่ทุกคนขึ้นมาบนรถม้าแล้ว รถม้าก็เคลื่อนตัวไปทันที“หลิงหลิง เจ้าไปดักรอที่หน้าจวนอ๋องตู้เพื่อส่งข่
“ลุย!” ตู้เหลียงเฉิงร้องสั่งทหารของตัวเองและเหล่าแม่ทัพของตัวเองให้บุกโจมตีกบฏในยามเช้ามืดเฮ!เสียงทหารและเสียงม้าศึกได้วิ่งควบบุกเข้าโจมตีค่ายของกบฏด้วยความห้าวหาญ เสียงดาบดังกระทบกันหนักหน่วงพร้อมเสียงร้องโหยหวนของกบฏและทหารที่พลาดพลั้งเสียท่าเพล้ง! ฉัวะ! เพล้ง! ฉัวะ! เสียงคมดาบกระทบกระทั่งกันพร้อมเสียงร้องทรมานของผู้เสียท่า“ท่านอ๋องตู้มิต้องห่วงทางนี้ ท่านนำทหารของเราไปในเมืองจับกุมท่านอ๋องมู่เถอะพ่ะย่ะค่ะ” เสียงเข้มทุ้มของแม่ทัพใหญ่ชู่เว่ยเอ่ยดังขึ้น“งั้นทางนี้ข้าฝากท่านอาจารย์ด้วย ข้ากับฟ่านตงจักไปจับท่านอ๋องมู่ก่อนที่ทางนั้นจะไหวตัวทัน”“พ่ะย่ะค่ะ” ชู่เว่ยรับคำแล้วควบม้าไปร่วมต่อสู้กับทหารคนอื่น“ตามข้ามาฟ่านตง และพวกเจ้าด้วย” เสียงเข้มเอ่ยเหี้ยมพร้อมควบม้าวิ่งไปอีกทางทันที โดยมีฟ่านตงและเหล่าทหารศึกควบม้าวิ่งตามเขาไปกุก กุดุดุก กุดุมู่เหลียงเฉิงไม่รู้เลยว่าตอนนี้ค่ายลับของตัวเองได้ถูกตู้เหลียงเฉิงปราบ
ปึก! เสียงประตูปิดแนบสนิทพร้อมกับเพลิงกามสวาทได้เริ่มบรรเลงขึ้น เมื่อเสื้อผ้าอาภรณ์ของชู่เอ๋อถูกปลดเปลื้องออกด้วยมือของพระสวามี ตู้เหลียงเฉิงปลดเปลื้องอาภรณ์ของนางยอดรักและของตนออกทิ้งแล้วอุ้มนางไปยังเตียงนอนนุ่มที่อยู่ห่างจากหน้าประตูมิไกลนัก “อ่ะ...อื้อ ท่านอ๋องตู้ ท่าน...อ่า...ท่านกำลังแกล้งหม่อมฉันใช่รึไม่เพคะ” ตอนนี้ชู่เอ๋อรู้แล้วว่าแท้จริงแล้วพระสวามีหาได้เกรี้ยวโกรธตัวเองไม่ “หึหึ...ข้าแกล้งอันใดเจ้ายอดรักของข้า” ปากหนาที่เคลื่อนไล้จูบขบเม้มลำคอระหงผละออกมาเอ่ยถามนางในดวงใจ “ก่อนหน้านี้ท่านมิได้โกรธหม่อมฉันใช่รึไม่เพคะ” หึหึ เขาทำเพียงขำตอบ และนั่นก็ยิ่งทำให้ชู่เอ๋อรู้สึกขุ่นเคืองเมื่อโดนอ๋องตู้ร้อยเล่ห์หลอกอีกครั้ง “ท่านมันคนร้อยเล่ห์”&nbs