Share

บทที่ 33 งานเลี้ยงสกุลสุ่ย

Author: BigM00N
last update Last Updated: 2025-05-23 21:42:50

จวนสกุลสุ่ยสมแล้วที่เป็นจวนสกุลเดิมของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน ไม่เพียงกว้างขวางและใหญ่โตภายในจวนยังได้รับการตกแต่งอย่างดี สวนหินและสวนไม้ดอกสามารถโอ้อวดผู้คนได้อย่างภาคภูมิใจ โม่ชิงเยว่ที่ได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านในยังอดรู้สึกชื่นชมการตกแต่งจวนของจวนสกุลสุ่ยไม่ได้

ยามนี้สิ่งที่ในใจของนางกำลังคิดอยู่ก็คือนางรู้แล้วว่าเพราะเหตุใดสุ่ยอี้โหรวจึงได้คิดว่าตนเองสูงส่งถึงเพียงนั้น จวนของนางหรูหราถึงขั้นนี้แล้วจวนโหวที่ได้รับการดูแลโดยคนแกคร่ำครึอย่างแม่สามีของนางจะสามารถเทียบเคียงกับสกุลสุ่ยได้อย่างไรกันเล่า การที่บุตรสาวที่ถือกำเนิดจากภรรยาเอกเช่นสุ่ยอี้โหรวยอมลดตัวแต่งออกจากจวนไปเป็นอนุ หากไม่ใช่เพราะความรักอันโง่เขลาก็คงเป็นเพราะสกุลสุ่ยมีแผนการที่ไม่ค่อยจะดีนักต่อจวนโหวแล้ว เพราะต่อให้สุ่ยอี้โหรวมีใจต่อซ่งเหวินจิ้งจริงหากผู้อาวุโสในสกุลสุ่ยไม่พยักหน้าแล้วสุ่ยอี้โหรวจะแต่งเข้าไปเป็นแค่เพียงอนุในจวนโหวได้อย่างไร

“คารวะนิ่งอันโหวฮูหยิน เชิญท่านติดตามข้ามาทางนี้เจ้าค่ะ” เด็กสาวรูปร่างอรชร ใบหน้ามีความคล้ายคลึงกับสุ่ยอี้โหรวถึงเจ็ดแปดส่วน แต่ความอ่อนเยาว์และรอยยิ้มอันสดใสของนางทำให้ความงามของนางมีมากกว่าสุ่ยอี้โหรวหลายเท่า สาวใช้ที่เดินผ่านหลายคนต่างก็คำนับนางอย่างให้เกียรติและเรียกนางว่าคุณหนูสามทำให้สุ่ยอี้โหรวมั่นใจว่าเด็กสาวที่งดงามผู้นี้คือสุ่ยอี้เหรินผู้เป็นแม่งานในการจัดงานเลี้ยงน้ำชาในวันนี้

ยามที่โม่ชิงเยว่เดินเข้าไปในงานเลี้ยงบรรดาผู้เข้าร่วมงานที่มาถึงก่อนหน้านี้ต่างก็หันมาจ้องมองนางจนแทบจะเป็นสายตาเดียวกัน วันนี้นางแต่งกายด้วยชุดที่ตัดเย็บมาจากผ้าปักของสกุลเจียง ลายปักอันโดดเด่นนี้แค่มองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าเป็นฝีมือของช่างปักอันดับหนึ่ง สิ่งที่พิเศษมากกว่านั้นก็คือไหมที่ใช้ปักลวดลายเป็นเส้นไหมที่สามารถเปลี่ยนสีได้ในยามที่ต้องแสงตะวัน ดังนั้นทุกครั้งที่โม่ชิงเยว่ขยับตัวเส้นไหมก็จะเปลี่ยนสีไปตามการขยับตัวของนางดึงดูดสายตาของบรรดาสตรีทุกคนที่อยู่ภายในงานเลี้ยงเป็นอย่างมาก

ยังไม่นับสาวใช้ที่ติดตามนางมาทางด้านหลังอีก สาวใช้ที่ติดตามมาทุกนางล้วนมีใบหน้าที่งดงามอีกทั้งยังแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายที่ดูหรูหรากว่าสาวใช้โดยทั่วไป เครื่องแต่งกายของพวกนางมีรูปแบบเดียวกันทั้งงามสง่าและหรูหราราวกับนางสวรรค์ แม้ว่าจะตัดเย็บด้วยผ้าไหมสีเรียบแต่ลวดลายที่ถูกปักอยู่บนชายแขนเสื้อของพวกนางแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นผ้าปักของสกุลเจียง แม้ว่าจะไม่ใช่ฝีมือของช่างปักอันดับหนึ่งของสกุลแต่ลวดลายที่ใช้ก็บ่งบอกได้ว่ามาจากช่างปักที่มีทักษะการปักในระดับต้นๆ ของสกุลเจียง ซึ่งแน่นอนว่าชุดเครื่องแบบสาวใช้นี้จะต้องมีราคาที่ไม่ธรรมดา ความฟุ้งเฟ้อในระดับนี้แม้แต่สาวใช้ที่ติดตามพระชายาของฉินอ๋องมาเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยยังไม่อาจจะเทียบเคียงได้เลย

“นิ่งอันโหวฮูหยิน ข้าคิดว่าท่านจะไม่มาเสียแล้ว” สุ่ยฮูหยินลุกขึ้นมาจากเก้าอี้แล้วเดินมาต้อนรับนางด้วยตนเอง แม้ว่าใบหน้าของนางจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มแต่สายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังที่สาดประกายออกมาของนางทำให้โม่ชิงเยว่อดยิ้มออกมาอย่างชอบใจไม่ได้ ‘ยิ่งขุ่นเคืองมากก็ยิ่งขาดสติได้ง่าย’ หลักการข้อนี้บิดาของนางมักจะสั่งให้นางท่องจนขึ้นใจเพื่อให้นางรู้จักระงับโทสะของตนเอง แน่นอนว่านางย่อมจะต้องจดจำเอาไว้เตือนตนเองอย่างที่บิดาของนางต้องการและนางก็มักจะชอบเอาหลักการนี้มาใช้กับศัตรูเช่นเดียวกัน

“ต้องขอโทษสุ่ยฮูหยินด้วยที่มาช้า แต่บังเอิญว่าอี๋เหนียงในจวนของข้าเกิดสร้างปัญหาขึ้นมาข้าก็เลยต้องเสียเวลาไปจัดการกับนางสักเล็กน้อย” โม่ชิงเยว่เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม คำว่า "อี๋เหนียง" ที่นางเอ่ยออกมาทำให้สายตาของสุ่ยฮูหยินพลันหวั่นไหว อนุของนายท่านผู้เฒ่าตายไปนานแล้วยามนี้ในจวนนิ่งอันโหวมีแค่เพียงอนุของท่านโหวคนปัจจุบันเพียงเท่านั้นนั่นก็คือสุ่ยอี้โหรวผู้เป็นบุตรสาวของนาง

“บุตรสาวของแม่ทัพที่ไต่เต้ามาจากชาวบ้านธรรมดาเช่นท่านย่อมยากที่จะกำราบและควบคุมดูแลจวนนิ่งอันโหวได้อยู่แล้ว ได้ยินว่ามารดาของท่านคือบุตรสาวจากสกุลเจียงมิใช่หรือ มิน่าเล่าเสื้อผ้าที่ท่านสวมใส่ในวันนี้จึงดูหรูหรายิ่งกว่าเสื้อผ้าของพระชายาของฉินอ๋องเสียอีก” สุ่ยอี้หรงบุตรสาวคนโตของสกุลสุ่ยเอ่ยออกมาท่ามกลางสายตาของผู้คน

สุ่ยอี้หรงผู้นี้โม่ชิงเยว่เคยได้พบอยู่บ่อยครั้งนางมักจะไปเยี่ยมเยียนน้องสาวของนางที่จวนนิ่งอันโหวอยู่เสมอ สามีของนางคือซื่อจื่อของจวนไหวกั๋วกงเหยียนเซียวผู้โด่งดัง เขาไม่เพียงเป็นบัณฑิตที่มีชื่อเสียงแต่ยังได้รับพระราชทานตำแหน่งอาลักษณ์หลวงตั้งแต่อายุยังน้อยและเป็นที่ไว้วางพระทัยจนได้ขึ้นเป็นราชเลขาธิการถวายการรับใช้อยู่ข้างพระวรกายของหลี่เฟยหลงฮ่องเต้ผู้คนต่างก็พากันคาดการณ์กันว่าวันหน้าเหยียนเซียวผู้นี้จะต้องได้เป็นใหญ่ยิ่งกว่าอัครเสนาบดีจากสกุลหยางอย่างแน่นอน

“ซื่อจื่อฮูหยินท่านเอ่ยหนักเกินไปแล้ว ข้าหรือจะกล้าเทียบเคียงพระชายาของฉินอ๋องได้ อย่างที่ท่านเอ่ยชาติกำเนิดของข้าต่ำต้อยยิ่งท่านเอาข้าไปเปรียบเทียบกับพระชายาของฉินอ๋องเช่นนี้ไม่เท่ากับว่าท่านกำลังคิดดูหมิ่นพระชายาอยู่หรอกหรือ” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ทุกสายตาต่างก็ย้ายไปที่พระชายาของฉินอ๋องที่ไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่ด้วย พระชายาทอดถอนพระปัสสาสะออกมาแล้วจึงตรัสด้วยพระสุรเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่ถือสา แม้ว่าสายพระเนตรที่พระนางใช้จ้องมองสุ่ยอี้หรงจะเต็มไปด้วยความไม่พอพระทัยเป็นอย่างมากก็ตาม

“อย่าได้เอ่ยเช่นนั้นเลย ผู้ใดจะกล้าดูหมิ่นนิ่งอันโหวฮูหยินกันเล่า บิดาของเจ้าคือแม่ทัพใหญ่ของแคว้นเรายามนี้สามีของเจ้าก็ยังเป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้นอีก ยามนี้กองทัพของแคว้นเหลียนล้วนอยู่ในมือของสามีของเจ้าผู้ใดจะกล้าดูหมิ่นเจ้าได้อีก”

“พระชายาทรงตรัสเช่นนี้ถือว่าเป็นการให้เกียรติหม่อมฉันยิ่งนัก เพียงแต่กองทัพของแคว้นเหลียนคือกองทัพของฝ่าบาท สามีของหม่อมฉันเป็นแค่เพียงผู้ที่ถวายการรับใช้ฝ่าบาทด้วยการควบคุมดูแลกองทัพภายใต้พระดำรัสของฝ่าบาทเพียงเท่านั้น ส่วนคนที่กล้าดูหมิ่นหม่อมฉันนั้นพระยาชายาก็ทรงทอดพระเนตรเห็นแล้วนี่เพคะ แต่หม่อมฉันไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองแต่อย่างใดเพราะซื่อจื่อฮูหยินจากจวนไหวกั๋วกงก็ไม่ได้เอ่ยผิดแต่ประการใด ชาติกำเนิดของหม่อมฉันไม่อาจจะเทียบเคียงผู้อื่นในงานเลี้ยงได้จริงๆ เพียงแต่ทรงทอดพระเนตรสิเพคะว่าข้อดีของชาติกำเนิดอันต่ำต้อยของหม่อมฉันทำให้หม่อมฉันได้ของดีอะไรมาบ้าง” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยพลางเดินเข้าไปใกล้พระชายาเอกของฉินอ๋อง สาวใช้หลายคนของพระนางทำท่าว่าจะเข้ามากั้นขวางเอาไว้แต่พระชายาของฉินอ๋องกลับโบกมือห้ามคนของพระนางเอาไว้ โม่ชิงเยว่หันไปส่งสัญญาณให้สาวใช้นำกล่องไม้ที่แกะลวดลายอันวิจิตรออกมาให้พระชายาทอดพระเนตรแล้วเอ่ยออกมาเสียงเบา

“เดิมทีหม่อมฉันตั้งใจว่าจะนำมาเป็นของกำนัลให้นาง ในฐานะที่นางเคยไปเป็นแขกที่จวนนิ่งอันโหวบ่อยครั้ง แต่ยามนี้คงต้องเปลี่ยนใจแล้ว ในเมื่อซื่อจื่อฮูหยินจากจวนไหวกั๋วกงรู้สึกว่าหม่อมฉันต่ำต้อยก็คงจะไม่ยินดีที่จะรับของกำนัลจากหม่อมฉัน ดังนั้นหากพระชายาไม่ทรงรังเกียจหม่อมฉันขอถวายของกำนัลกล่องนี้ให้แก่พระชายาก็แล้วกันนะเพคะ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยจบชุ่ยเหมยก็เปิดกล่องไม้ออก กลิ่นหอมของเครื่องหอมที่อยู่ในกล่องไม้กรุ่นกำจายออกมา ผ้าไหมที่ปักด้วยลวดลายอันงดงามก็ปรากฏเข้าสู่สายตาของทุกคน

“ผ้าไหมนี้ปักด้วยเส้นไหมประกายรุ้ง เส้นไหมนี้จะเปลี่ยนสีได้เมื่อต้องกับแสงตะวัน ส่วนผงเครื่องหอมที่อยู่ในกล่องหม่อมฉันเป็นคนคิดค้นและผสมด้วยตนเอง กลิ่นหอมของดอกไม้หลากชนิดช่วยให้จิตใจผ่อนคลายนอกจากนี้ยังมีผงแป้งประทินโฉมที่นอกจากจะช่วยให้ใบหน้านวลเนียนดูอ่อนกว่าวัยแล้วยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้ผิวเนื้อมีกลิ่นหอมตลอดทั้งวัน ผงแป้งประทินโฉมนี้หม่อมฉันคิดค้นขึ้นมาเอง หากพระชายาไม่ทรงวางพระทัยเรื่องความปลอดภัยจะให้คนตรวจสอบก่อนก็ได้นะเพคะ” โม่ชิงเยว่ฉวยโอกาสทำให้ผู้คนในงานเลี้ยงได้เห็นผลิตภัณฑ์ที่นางคิดค้นขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม สายตาหลายคู่ที่จ้องมองมาล้วนมีความสนใจต่อของในกล่องไม้อย่างเต็มที่

“หอมเสียจริง ผ้าปักนี้ก็งดงามมากนับว่าเป็นของที่ล้ำค่ามากทีเดียว” พระชายาเอกของฉินอ๋องตรัสออกมาพลางทอดพระเนตรมองข้าวของในกล่องด้วยสายพระเนตรที่เต็มไปด้วยความพึงพอพระทัย

“โม่ชิงเยว่ อย่าได้คิดว่าข้าไม่รู้ทันเจ้า ลูกสาวแม่ค้าเช่นเจ้าคงคิดจะใช้โอกาสนี้แนะนำสินค้าให้แก่พระชายาสินะ” คำพูดของสุ่ยอี้หรงทำให้โม่ชิงเยว่เลิกคิ้วขึ้นมาแล้วจ้องมองสุ่ยอี้หรงด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง

“ตายจริง! เหตุใดข้าจึงคิดไม่ได้เช่นนี้กันนะ ขอบคุณที่ชี้แนะข้านะฮูหยินซื่อจื่อจวนไหวกั๋วกง” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางเน้นฐานะของสุ่ยอี้หรงด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำแล้วจึงได้เอ่ยกับพระชายาของฉินอ๋องด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อมมากยิ่งขึ้น

“ผ้าปักนี้หากพระชายาทรงโปรดสามารถสั่งให้คนไปสั่งจองที่สกุลเจียงได้นะเพคะ แม้ว่าไหมประกายรุ้งจะหายากแต่หม่อมฉันเชื่อว่าด้วยบารมีของพระชายาสกุลเจียงจะต้องหามาปักเพื่อถวายพระชายาได้แน่นอน ส่วนเครื่องหอมและแป้งประทินโฉมนี้หากพระชายาทรงโปรดก็สามารถส่งคนไปสั่งซื้อที่ร้านฮวาเฟยที่กำลังจะเปิดในอีกไม่กี่วันของหม่อมฉันก็ได้เพคะ เฮ้อ ต้องขอบคุณฮูหยินของซื่อจื่อจวนไหวกั๋วกงจริงๆ ที่ช่วยแนะนำไม่เช่นนั้นหม่อมฉันคงจะคิดไม่ได้จริงๆ ว่าต้องเอ่ยกับพระชายาเช่นนี้” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้สุ่ยอี้หรงกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น แต่เพราะสายตาของสุ่ยฮูหยินที่กำลังจ้องมองนางอย่างตำหนิทำให้นางไม่อาจจะทำสิ่งใดได้ ทำได้แค่เพียงฟังเสียงหัวเราะจากบรรดาสตรีที่ไม่ชอบนาง

“ดูเหมือนว่าสุ่ยอี้หรงจะรู้ดีกว่าลูกสาวแม่ค้าเสียอีกนะ แถมยังชี้แนะนางเสียด้วยสิว่าควรจะขายของเช่นไร” คำพูดของท่านหญิงเจียหลีทำให้สุ่ยอี้หรงแทบจะกระอักโลหิตออกมานางหันไปมองทางกลุ่มของท่านหญิงด้วยสายตาดูแคลนแล้วจึงได้พยายามข่มอารมณ์และคิดในใจว่าวันนี้นางจะต้องเล่นงานโม่ชิงเยว่ให้ได้ และหากเป็นไปได้คนที่นางคิดอยากจะเล่นงานอีกคนหนึ่งก็คือท่านหญิงเจียหลีหลานสาวคนโปรดของหยางเต๋อเฟย หากกำจัดเด็กสาวผู้นี้ไปได้สุ่ยอี้เหรินน้องสาวของนางก็จะได้แต่งเข้าราชวงศ์ได้ดังที่พวกนางวางแผนกันเอาไว้

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 40 ปิดล้อมจวนสกุลสุ่ย

    ยามที่ขบวนแห่โลงศพของสุ่ยอี้หรงเคลื่อนผ่านไปแล้ว โม่ชิงเยว่จึงได้หันมาทางบุตรชายและบุตรสาวของตนเอง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบเจอกับขบวนแห่เช่นนี้พวกเขาจึงได้จ้องมองด้วยความสนใจ“อย่าได้มองอีกเลย เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นเรื่องธรรมดา” โม่ชิงเยว่เอ่ยกับลูกๆ ของนางด้วยน้ำเสียอ่อนโยน ซึ่งเด็กๆ ก็พยักหน้าแล้วหันไปให้ความสนใจกับของเล่นในร้านค้าอีกครั้ง“เขาคือคนที่สังหารสุ่ยอี้หรงเองกับมือ ข้าขอเตือนเจ้าว่าเหยียนเซียวไม่ใช่คนที่เจ้าควรจะข้องแวะด้วย” เสียงกระซิบของคนที่มายืนข้างหลังทำให้โม่ชิงเยว่กะพริบตาแล้วจึงได้ยิ้มออกมา“เหตุใดวันนี้ใต้เท้าจึงได้ออกมาเดินเที่ยวเล่นได้” คำถามของนางทำให้สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่เขา ชายหนุ่มที่มีหน้ากากโลหะบนใบหน้าย่อมจะดูแปลกตาในสายตาของผู้อื่น“ข้ามาทำงานแต่บังเอิญเห็นฮูหยินเข้าก็เลยแวะเข้ามาทักทาย” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยแล้วจ้องมองบุตรสาวและบุตรชายที่กำลังจ้องมองเขาด้วยแววตาที่ฉายความสนใจ เขาจึงได้ย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกับสายตาของเด็กๆ แล้วเอ่ยกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน“คุณหนูและคุณชายอยากได้ของชิ้นไหนบอกข้าได้เลยนะ อืม หุ่นไม้ตัวนั้นดีไ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 39 สาสม

    แม้ว่าในใจจะกล่าวโทษตนเองที่ก่อนหน้านี้ทั้งโง่เขลาและอ่อนแอ แต่ส่วนลึกของใจโม่ชิงเยว่ก็ยังอดรู้สึกกล่าวโทษซ่งเหวินจิ้งไม่ได้ ดังนั้นการนิ่งเฉยของนางอาจจะดูเหมือนว่านางให้โอกาสเขาแต่โม่ชิงเยว่ก็ยังคงไม่อาจจะให้อภัยเขาได้ดังที่ซ่งเหวินจิ้งต้องการ นางจึงไม่ได้ละทิ้งเป้าหมายของตนเอง นางไม่ต้องการพึ่งพาผู้ใดและไม่ต้องการที่จะเฝ้ารอคอยและร้องขอความเมตตาจากผู้อื่นอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่สะสางธุระภายในจวนเสร็จเรียบร้อยแล้วนางจึงได้เตรียมตัวที่จะออกไปสำรวจตลาดด้วยตนเอง“ท่านแม่ให้ข้าสองคนติดตามไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ” ซ่งจื่อเหยาเอ่ยถามออกมาเมื่อเห็นว่าโม่ชิงเยว่และชุ่ยเหมยเตรียมตัวที่จะออกจากจวนเสร็จแล้ว“ท่านแม่พวกข้าสองคนไม่ค่อยจะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาภายนอกสักเท่าไหร่ ท่านให้ข้าและพี่หญิงติดตามท่านออกไปด้วยได้ไหมขอรับ” เมื่อซ่งจื่อเยว่เอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็นิ่วหน้า แต่เมื่อคิดได้ว่านางไม่ค่อยจะได้พาลูกๆ ออกไปเที่ยวข้างนอกเลยสักครั้งนางจึงได้ยินยอมพยักหน้าแล้วตอบตกลงลูกทั้งสองไป“พวกเจ้าจะติดตามแม่ไปด้วยก็ได้แต่จงจำเอาไว้ว่าถ้าหากพวกเจ้าดื้อรั้นไม่ฟังคำของแม่ แม่จะส่งพวกเ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 38 ขอโทษ

    ยามที่โม่ชิงเยว่ได้รับข่าวการสิ้นชีวิตของสุ่ยอี้หรงนางก็นิ่งงันไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อคิดถึงว่าสกุลบัณฑิตอย่างสกุลเหยียนย่อมไม่อาจจะรับสะใภ้ที่แปดเปื้อนกลับสกุลได้อยู่แล้วนางจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา ซื่อจื่อกั๋วกงเหยียนเซียวผู้นี้ก่อนที่นางจะแต่งงานนางเคยได้พบกับเขาอยู่หลายครั้ง ทั้งดูสูงส่งภูมิฐานสง่างามและเข้าถึงได้ยาก เนื่องจากเขาอยู่ในสกุลบัณฑิตผู้สูงศักดิ์ส่วนนางอยู่ในสกุลของแม่ทัพที่หยาบกระด้างย่อมไม่มีเรื่องใดให้ข้องแวะกันได้อยู่แล้ว“อยากจะเข้าก็เข้ามา จะยืนอยู่ด้านนอกนั่นให้ยามจับได้หรือไร ข้ายังไม่อยากได้ขึ้นชื่อว่าลักลอบนัดแนะให้บุรุษเข้ามาหาตอนที่สามีไม่อยู่หรอกนะ” เสียงของโม่ชิงเยว่ทำให้คนที่ยืนจ้องมองนางอยู่ตรงระเบียงทอดถอนใจออกมาแล้วจึงได้เดินเข้ามาในห้องผ่านประตูระเบียง“ที่เจ้ากำลังทำอยู่ไม่ใช่การเชื้อเชิญให้บุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้องของเจ้าหรอกหรือ” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า แต่โม่ชิงเยว่กลับไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับเขานางชี้ไปที่ประตูระเบียงแล้วจึงได้เอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ถ้าเช่นนั้นท่านเข้ามาทางไหนก็เชิญกลับไปทางนั้นได้เลย” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 37 โจรป่า

    เสียงขยับไหว เสียงหอบหายใจและเสียงร้องครวญครางที่ดังเล็ดลอดออกมาจากด้านในของรถม้า ทำให้เสี่ยวเหยาผู้เป็นสาวใช้ของสุ่ยอี้หรงวุ่นวายใจจนต้องเดินไปเดินมารอบๆ รถม้า ส่วนคนขับรถม้าและผู้ติดตามคนอื่นๆ ยามนี้ได้พากันถอยออกไปเพื่อเว้นระยะห่างจากรถม้าแล้ว แม้ว่าทุกคนจะไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่ทุกสายตาที่จ้องมองมาที่รถม้ากลับเต็มไปด้วยสายตาดูหมิ่นดูแคลนทั้งสิ้น ยามนี้เสี่ยวเหยาได้แต่คิดว่าเจ้านายของนางจะต้องถูกคนเล่นงานแล้วแน่ๆ แม้ว่าจะคาดเดาได้แล้วแต่นางก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดียามนี้นางจึงได้แต่เฝ้าวนเวียนอยู่รอบๆ รถม้า เพื่อรอให้เจ้านายของนางได้สติกลับคืนมาเสียงฝีเท้าม้าหลายตัวที่ถูกควบขี่มาทางด้านนี้ทำให้เสี่ยวเหยารีบหันไปออกคำสั่งกับองครักษ์ที่ยืนห่างออกไปให้รีบไปปิดทางเอาไว้ไม่ให้คนเหล่านั้นเข้ามา องครักษ์เหล่านั้นก็รีบไปดำเนินการตามคำสั่งของนางในทันที แต่เมื่อเห็นว่าคนที่กำลังมาเป็นผู้ใดทุกคนก็ต่างมีสีหน้าลนลานจนคนบนหลังม้ารีบเร่งรุดมายังจุดที่รถม้าที่จอดเอาไว้ในทันที“ฮูหยินเป็นอะไร เหตุใดจึงได้มาจอดรถม้าอยู่แถวนี้” คำถามของซื่อจื่อจวนไหวกั๋วกงเหยียนเซียวทำให้เสี่ยวเหยาตัวสั่นงันงกด้วยความหว

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 36 เล่นงานสุ่ยอี้หรง

    หลังจากเกิดเรื่องที่งานเลี้ยงน้ำชาในจวนสกุลสุ่ย สุ่ยเม่าเจ้ากรมพิธีการของแคว้นเหลียนก็ถูกตามตัวกลับมาที่จวนอย่างเร่งด่วน เมื่อเขาเข้าไปในโถงหลักของสกุลก็เห็นว่าในยามนี้ฮูหยินและบุตรสาวทั้งสองของเขากำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้านายท่านผู้เฒ่าผู้เป็นบิดาของเขาอยู่ เขาจึงรีบเข้าไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้าบิดาของเขาเพื่อแสดงออกถึงความสำนึกผิดในทันที“ท่านพ่อเรื่องในวันนี้พวกนางล้วนทำเต็มที่แล้ว แต่เพราะเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นทำให้แผนการที่วางเอาไว้เสียหาย” คำแก้ตัวของสุ่ยเม่าทำให้นายท่านผู้เฒ่าสกุลสุ่ยตวาดออกมาในทันที“เหตุสุดวิสัยหรือเจ้าลองสอบถามบุตรสาวและภรรยาของเจ้าให้ดีว่าแท้จริงแล้วเป็นเหตุสุดวิสัยหรือเป็นเพราะความโง่เขลาของพวกนาง หากบุตรสาวของเจ้าไม่โง่เขลาจนทำแผนการที่วางเอาไว้ของข้าแตกป่านนี้ข้าก็คงจะสามารถทำให้ชื่อเสียงขององค์ชายรองด่างพร้อยได้ดังที่ข้าเคยรับปากกับองค์ชายใหญ่เอาไว้แล้ว ถึงยามนั้นเรื่องการแต่งงานของลูกสาวคนเล็กของเจ้าก็คงจะสามารถคว้าตำแหน่งพระชายาเอกขององค์ชายใหญ่เอาไว้ได้ดังที่ข้าหมายมั่นปั้นมือเอาไว้” คำพูดของนายท่านผู้เฒ่าทำให้สุ่ยเม่าก้มหน้าลงเพื่อปิดบังสีหน้าของตนเอง“ท่านพ่

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 35 ลงมือกับสกุลสุ่ย

    เมื่อสุ่ยฮูหยินเห็นว่าโม่ชิงเยว่ทรุดลงไปเช่นนี้ก็ได้แต่คิดในใจว่ายาคงจะออกฤทธิ์แล้ว เพียงแต่การที่พิษออกฤทธิ์ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่รู้ว่าเป็นผลดีหรือว่าผลเสียต่อสกุลสุ่ยของนางกันแน่ นางจึงได้เอ่ยแก้ตัวออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและจริงจังแม้ว่าในใจจะสั่นไหวมากเพียงใดก็ตาม“นิ่งอันโหวฮูหยินอย่าได้เข้าใจผิด ชาถ้วยนั้นไม่น่าจะมีปัญหาอันใดส่วนสาเหตุที่ท่านสิ้นไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะไม่คุ้นชินต่อการออกมาข้างนอกจวนหรือเปล่า” คำพูดของสุ่ยฮูหยินทำให้โม่ชิงเยว่แสร้งลืมตาขึ้นมาแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการกล่าวหา“ข้าหาใช่คนร่างกายอ่อนแอเช่นนั้น สุ่ยฮูหยินเสียทีที่ข้าไว้ใจจึงได้ยินดีมาที่นี่ตามคำเชิญของท่าน คิดไม่ถึงว่าสกุลสุ่ยของพวกท่านจะข้างนอกสุกใสแต่ภายในเน่าเหม็น เมื่อก่อนข้าก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดสุ่ยอี๋เหนียงในจวนข้าที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีจึงได้มีพฤติกรรมต่ำช้าเลวทรามเช่นนั้น ที่แท้ก็เป็นเพราะจวนแห่งนี้มีสภาพแวดล้อมที่ต่ำตมเช่นนี้นี่เอง ชุ่ยเหมยเก็บชาถ้วยนั้นมาข้าจะนำไปให้กรมอาญาตรวจสอบ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้สาวใช้ของสุ่ยฮูหยินก็รีบขัดขวางชุ่ยเหมยในทันที แต่กลับ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 34 ราคะกำจาย

    สายตาที่ปิดบังอารมณ์เอาไว้ไม่มิดของสุ่ยอี้หรงทำให้โม่ชิงเยว่ลอบสังเกตสีหน้าของสุ่ยฮูหยินในทันที นางแอบเห็นว่าสาวใช้สองนางที่อยู่ข้างกายของสุ่ยฮูหยินหายไปจึงได้หันไปส่งสายตาให้ชุ่ยเหมยซึ่งชุ่ยเหมยก็พยักหน้ารับเพื่อส่งสัญญาณว่านางรับรู้แล้ว โม่ชิงเยว่จึงได้หันไปส่งมอบรอยยิ้มให้กับบรรดาสตรีที่อยู่ในบริเวณงาน สาวใช้ที่ติดตามติดตามนางมาต่างก็แยกย้ายกันไปมอบถุงหอมให้แก่บรรดาสตรีที่มาเป็นแขกภายในงาน ชุ่ยเหมยจึงใช้จังหวะที่เดินไปมอบถุงหอมเร้นกายไปยังทิศที่สาวใช้ข้างกายของสุ่ยฮูหยินเดินจากไป“ถุงหอมเหล่านี้ล้วนได้รับการปักลวดลายจากช่างปักที่มากฝีมือของสกุลเจียง ส่วนเครื่องหอมที่อยู่ด้านในเป็นเครื่องหอมที่ข้าลงมือปรุงเองกับมือ หวังว่าทุกท่านคงจะไม่รังเกียจของขวัญชิ้นนี้ของข้า” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางยิ้มออกมาซึ่งบรรดาสตรีที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงต่างก็ลังเลที่จะรับถุงหอมจากสาวใช้ของนางแต่เมื่อท่านหญิงเจียหลีรับเอาไปแล้วเอ่ยชื่นชมออกมาทำให้สตรีหลายคนรับเอาไว้ มีเพียงคนของสกุลสุ่ยและบรรดาที่สตรีที่สนิทสนมกับสกุลสุ่ยเพียงเท่านั้นที่ไม่กล้ารับถุงหอมเอาไว้ปฏิกิริยาเช่นนี้ทำให้โม่ชิงเยว่ลอบยิ้มออกมา ด้วยนาง

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 33 งานเลี้ยงสกุลสุ่ย

    จวนสกุลสุ่ยสมแล้วที่เป็นจวนสกุลเดิมของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน ไม่เพียงกว้างขวางและใหญ่โตภายในจวนยังได้รับการตกแต่งอย่างดี สวนหินและสวนไม้ดอกสามารถโอ้อวดผู้คนได้อย่างภาคภูมิใจ โม่ชิงเยว่ที่ได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านในยังอดรู้สึกชื่นชมการตกแต่งจวนของจวนสกุลสุ่ยไม่ได้ยามนี้สิ่งที่ในใจของนางกำลังคิดอยู่ก็คือนางรู้แล้วว่าเพราะเหตุใดสุ่ยอี้โหรวจึงได้คิดว่าตนเองสูงส่งถึงเพียงนั้น จวนของนางหรูหราถึงขั้นนี้แล้วจวนโหวที่ได้รับการดูแลโดยคนแกคร่ำครึอย่างแม่สามีของนางจะสามารถเทียบเคียงกับสกุลสุ่ยได้อย่างไรกันเล่า การที่บุตรสาวที่ถือกำเนิดจากภรรยาเอกเช่นสุ่ยอี้โหรวยอมลดตัวแต่งออกจากจวนไปเป็นอนุ หากไม่ใช่เพราะความรักอันโง่เขลาก็คงเป็นเพราะสกุลสุ่ยมีแผนการที่ไม่ค่อยจะดีนักต่อจวนโหวแล้ว เพราะต่อให้สุ่ยอี้โหรวมีใจต่อซ่งเหวินจิ้งจริงหากผู้อาวุโสในสกุลสุ่ยไม่พยักหน้าแล้วสุ่ยอี้โหรวจะแต่งเข้าไปเป็นแค่เพียงอนุในจวนโหวได้อย่างไร“คารวะนิ่งอันโหวฮูหยิน เชิญท่านติดตามข้ามาทางนี้เจ้าค่ะ” เด็กสาวรูปร่างอรชร ใบหน้ามีความคล้ายคลึงกับสุ่ยอี้โหรวถึงเจ็ดแปดส่วน แต่ความอ่อนเยาว์และรอยยิ้มอันสดใสของนางทำให้ความงามของ

  • ฮูหยินผู้ถูกลืมเลือน ณ. เรือนเหมันต์   บทที่ 32 แผนการในใจ

    ยามที่ชุ่ยเหมยได้พบกับหรงมามาเดิมทีนางก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใดด้วยรู้ดีว่าโม่ชิงเยว่ต้องการคนที่สามารถไว้ใจได้มาคอยช่วยดูแลอยู่ข้างกาย แต่เมื่อได้รู้ว่าหรงมามาได้รับการแนะนำมาจากผู้ใดทำให้นางอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้จนต้องสอบถามโม่ชิงเยว่ออกมาตามตรง“ในเมื่อนางเป็นคนที่ท่านโหวพามา แล้วฮูหยินก็ยังยินดีที่จะให้นางมาอยู่ข้างกายอีกหรือเจ้าคะ” คำถามของชุ่ยเหมยทำให้โม่ชิงเยว่พยักหน้า“เขาจะมาไม้ไหนข้าเองก็อยากจะรู้ อีกไม่กี่วันข้าก็ต้องไปที่สกุลสุ่ยแล้ว ข้ากำลังขาดคนข้างกายที่จะคอยแนะนำเรื่องการคบค้าสมาคมกับบรรดาสตรีที่อยู่ในเรือนหลังของบรรดาขุนนางชั้นสูงพอดี เจ้าก็รู้ว่าเมื่อก่อนเพราะท่านแม่ชาติกำเนิดไม่สูง อีกทั้งท่านพ่อก็ไม่ได้ถือกำเนิดในแวดวงเดียวกันกับชนชั้นสูงเหล่านั้น ข้าจึงแทบจะไม่ได้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงของบรรดาสตรีที่เป็นชนชั้นสูงของแคว้นเหลียนดังเช่นบุตรสาวของแม่ทัพคนอื่นๆ เลย” โม่ชิงเยว่เอ่ยออกมาพลางจ้องมองด้านนอกหน้าต่างด้วยรอยยิ้มแล้วจึงได้เอ่ยต่อ“คนสกุลสุ่ยมีแผนการเช่นไรกับข้า ตัวข้าเองก็อยากจะรู้เช่นกัน คิดจะเหยียบย่ำข้าเพื่อแก้แค้นให้สุ่ยอี้โหรวหรือว่าคิดจะใช้ข้าเป็นข

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status