หวังเยี่ยนหลงไม่เข้าใจสิ่งที่น้องชายพูด ก็แค่ทาสคนหนึ่ง ตายไปก็หาคนใหม่ เพียงแค่ตอนนี้เขาไม่อยากหาคนใหม่ให้วุ่นวายก็เท่านั้น
หางตาเหลือบมองท่าทางของน้องชายแล้วนึกขัน ใครจะไปคิดว่าคุณชายของตระกูลยอมทำทุกอย่างให้คนไร้ค่าได้ถึงเพียงนี้
เซี่ยฟานยังคงนอนไม่รู้สึกตัวเพราะหนอนไหมทำร้ายร่างกายภายในอย่างหนักหน่วง ครั้นไม่เห็นว่าทาสคนนี้ลืมตาตื่นขึ้นมาเสียที หวังเยี่ยนหลงจึงต้องคอยป้อนยาให้เขาสามเวลา หนึ่งเพราะรู้สึกหงุดหงิด สองเพราะไม่อยากให้หวังซีซวนมายุ่มย่าม
เขานั่งมองเซี่ยฟานที่นอนอยู่บนเตียงอย่างไม่ได้สนใจมากนัก แต่สังเกตเห็นไอสีดำจาง
ระหว่างทางกลับไปยังสำนักตระกูลหวัง เขาแวะพักในหมู่บ้านแห่งหนึ่งอันเงียบสงบ เดินเตร็ดเตร่ตามทางจนถึงริมทะเลสาบกว้างใหญ่ หวังเยี่ยนหลงยืนมองดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า มือข้างหนึ่งสัมผัสที่หัวใจเพราะพลังชีวิตของเหลียนเฟินสถิตย์อยู่ตรงนั้น เวลานี้เขารู้สึกเหมือนว่าได้ยืนอยู่กับเหลียนเฟินเพียงลำพัง ในหัวโล่งโปร่งไม่มีสิ่งใดต้องกังวล เขาตั้งใจจะวางมือหลีกเร้นจากเรื่องราวในยุทธภพแล้วใช้ชีวิตอยู่กับเหลียนเฟินที่นี่ บ้านหลังน้อยริมทะเลสาบถูกสร้างขึ้นทีละนิดด้วยสองมือของเขา ผ่านไปวันแล้ววันเล่าก็เริ่มมีเค้าร่
หลายวันต่อมา “เหลียนเฟิน ข้าขอจับมือเจ้าได้หรือไม่” หวังเยี่ยนหลงมาหาเขาที่เรือนต้นสนแต่เช้าตรู่ อ้างว่าปราณมารในตัวผิดปกติจนต้องมาขอความช่วยเหลือ “ข้าไม่อยากรบกวนเจ้า แต่ว่า...” เหลียนเฟินส่ายหน้าแต่ก็ยื่นมือให้เขาจับโดยดี เพราะกลัวว่าถ้าปล่อยปราณมารควบคุมร่างหวังเยี่ยนหลงได้เมื่อใด คงจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นเหมือนครานั้น หวังเยี่ยนหลงกุมมือเหลียนเฟินเอาไว้อย่างรวดเร็วพลางลูบสร้อยข้อมือที่ซื้อให้อย่างแผ่วเบา
เรือนบุปผาของจ้งซูหนี่ว์ ซือหยางนำสำรับอาหารและยามาให้นางเพื่อรักษาบาดแผลที่เกิดจากโลหิตมาร หลายวันที่ผ่านมา จ้งซูหนี่ว์สังเกตได้ว่านิสัยใจคอของคนผู้นี้เปลี่ยนไปมากนัก เดิมทีเขาเป็นคนของจ้งซูเม่ยที่ถูกส่งมาให้จับตาดูนาง จึงไม่เคยแสดงอาการใด ๆ ให้นางเห็นนอกจากสีหน้าเย็นชา แววตาเหี้ยมโหด ยามอยู่กับเขาต้องคิดระแวงอยู่ร่ำไป นั่นก็เป็นเพราะจ้งซูเม่ยกำชับเขามาเช่นนั้น แต่เวลานี้ ซือหยางคอยดูแลนางเป็นอย่างดี สีหน้าแววตาต่างไปจากเดิมจนนางอดแปลกใจไม่ได้ว่าช่วงเวลาที่เขาหายไป เขาพบเจอกับสิ่งใดมา
หวังเยี่ยนหลงได้ยินเหลียนเฟินเรียกเขาเช่นนั้นจึงหยุดทุกสิ่งทุกอย่างใจร้อนรนเมื่อครู่กำลังสงบลงช้า ๆ เขาจึงหันมาหาเหลียนเฟินอยากจะกอดร่างบางไว้ ทว่า เหลียนเฟินถอยหลังห่างไม่ยอมให้เขาแตะต้อง ไม่ว่าหวังเยี่ยนหลงจะพยายามก้าวไปหาเท่าใด อีกคนก็ยิ่งรักษาระยะห่างของเขาไว้ “เหลียนเฟิน มาหาข้า... ได้หรือไม่” เขายื่นมือออกไปหา น้ำเสียงบีบบังคับกลายเป็นขอร้อง “...” เหลียนเฟินไม่พูดสิ่งใด ส่ายหน้าปฏิเสธ
กลางดึกคืนนั้น ขณะที่เหลียนเฟินกำลังนอนหลับใหลในอ้อมกอดของหวังเยี่ยนหลง เขาได้ยินเพลงบางอย่างกล่อมขับขาน จังหวะเอื่อยล่องลอยมาพร้อมกับสายลมยามค่ำคืน เขาจมลงสู่ภวังค์ที่ถูกใครบางคนปิดบังเอาไว้ ภาพในวัยเด็กของเหลียนเฟินในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ไหนสักแห่ง วันหนึ่งมีสตรีในชุดสีขาวน้ำเงินเดินเข้ามาลูบเรือนผมของเขา รอยยิ้มนางทำให้รู้สึกราวกับได้เห็นเซียนสวรรค์ จากนั้นภาพก็เปลี่ยนไปเป็นยามที่เขาได้วิ่งเล่นกับใครหลายคนบนลานน้ำแข็ง ความสุขที่ได้อยู่ใกล้คนเหล่านั้นทำให้เหลียนเฟินเผลออมยิ้มออกมาทั้งที่ยังหลับสนิท
หลายวันต่อมา สตรีที่อยู่ในเรือนดอกโบตั๋นเรียกชายลึกลับเข้าพบเป็นการส่วนตัว นางรู้สึกเสียใจอยู่บ้างที่จะไม่ได้เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยสองตาของนาง แต่หากมันทำให้เขาเจ็บปวดได้มากเท่าใดก็พอจะหยวน ๆ ไปได้บ้าง “ขอรับ” ชายลึกลับโค้งคำนับเตรียมตัวออกเดินทาง “อื้ม” รอยยิ้มมีเลศนัยผุดขึ้น ริมฝีปากแดงแสยะยิ้มรอให้ถึงวันนั้นไม่ไหว หลังจากรอจนเหลียนเฟินหายดีแล้ว หวังเยี่ยนหลงตัดสินใจพาเขากลับมาอยู่ที่สำนักตระกูลหวังตามเดิม อย่างน้อยที่แห่งนั้นก็ห่างไกลจากพรรคมารและสำนักเซียนอื่น ๆ