การเดินทางยาวนานต่อเนื่องเข้าสู่วันที่ห้าลู่เหยียนซินเหตุเพราะก่อนหน้านี้ร่างกายของนางเพิ่งถูกโบยมาบาดแผลยังไม่ทันหายดี อีกทั้งการนั่งอยู่บนรถม้าทั้งวันเป็นเวลาห้าวันติดกันโดยไม่สามารถขยับไปทางไหนได้ทั้งการสั่นสะเทือนของรถม้าที่โครงเครงตลอดทางส่งผลให้ร่างกายของนางบอบช้ำขึ้นมาอีกระลอก
เนื้อด้านหลังกระแทกกับแผ่นไม้หลายต่อหลายครั้งนางทำได้เพียงแค่อดทนมาตลอด แต่วันนี้ความเจ็บปวดกำเริบขึ้นมาอีกครั้งความรู้สึกปวดหนึบตามร่างกายเริ่มตีตื้นขึ้นมาและดูเหมือนจะส่งผลให้พิษไข้ค่อยๆ กำเริบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
นางกินยาแก้อักเสบไว้แล้วแต่เพราะแผลด้านหลังนั้นลึกเกิน แม้จะกินยาหรือทายาทุกวันเพื่อให้ทุเลาลงไปบ้างแล้วแต่แผลก็ยังหายช้าอยู่ดี
ความเจ็บของบาดแผลส่งผลให้นางได้รับพิษไข้ที่รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่านัก เหงื่อที่ผุดขึ้นก็ไหลย้อยลงจากศรีษะไหลไปตามกรอบหน้าของนางแล้วหยดลงบนเสื้อผ้าจนเปียกชุ่ม นางหลับตาลงพยายามฝืนความเจ็บปวดเอาไว้
“พระชายาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
“ข้ายังไหว” นางตอบลี่ถิงด้วยเสียงอันสั่นเครือ
“ให้ข้าบอกท่านอ๋องหรือไม่”
“ไม่ต้อง ข้าไม่ใช่คนที่อย่างอ๋องฉินจะเห็นใจหากรู้ว่าข้าไม่สบายมีแต่จะสมน้ำหน้าข้าเสียมากกว่า เขาอาจจะหาวิธีทรมานข้ามากไปกว่านี้ก็เป็นได้”
“พูดอะไรเช่นนั้นท่านอ๋องไม่ได้ใจร้ายถึงเพียงนั้นหรอกนะเพคะ”
“เจ้าอยู่เงียบๆ ก็พอแล้วข้าจะพักเสียหน่อย จำไว้ว่าอย่าให้ใครรู้เด็ดขาด”
“เพคะพระชายา”
รถม้าขับเคลื่อนไปเรื่อยๆหนทางข้างหน้าทุลักทุเลพอสมควร ยามที่รถม้าตกหลุมโคลงเคลงอย่างหนักส่งผลไปยังบาดแผลของนางโดยตรง
ลู่เหยียนซินฝืนทนต่อไปนางนอนตะแคงบนพื้นรถม้าโดยมีลี่ถิงนั่งอยู่ด้านข้าง คอยใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดใบหน้าให้นางอยู่ตลอดเวลา
“พระชายาอดทนอีกนิดนะเพคะจวนจะพลบค่ำแล้ว หากขบวนกองทัพหยุดพักเมื่อใด ท่านก็จะได้นอนพักสบายๆ แล้วเพคะ”
“อืม” ลู่เหยียนซินตอบกลับนางด้วยเสียงอันแผ่วเบาก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง
ไม่ช้ากองทัพของอ๋องฉินก็หยุดพักตรงเขตชายป่า เขาสั่งให้ทหารตั้งกระโจมพักและให้ทหารส่วนหนึ่งออกล่าตะเวนบริเวณรอบๆ หากมีกลุ่มโจรแอบซุ่มโจมตีอยู่นั่นเอง
หลังจากทหารตั้งกระโจมและกระจายกำลังตรวจสอบพื้นที่บริเวณโดยรอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว อ๋องฉินจึงสั่งให้ชิงอีไปเรียกลู่เหยียนซินลงจากรถม้า
“พระชายา”
“ท่านชิงอี คือว่าพระชายาหลับอยู่เจ้าค่ะ”
“หลับอย่างนั้นหรือ” ชิงอีแอบมองลอดผ่านผ้าม่านประตูแม้ลี่ถิงจะเปิดออกมาเพียงเล็กน้อยและรีบปิดม่านลง แต่ด้วยสายตาอันแหลมคมขององค์รักษ์หนุ่มก็สามารถประเมินสถานการณ์ได้ว่ามันไม่ปกติ!
หลังจากชิงอีเดินจากไปแล้วลี่ถิงก็ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางหันไปมองนายสาวของตนเองสีหน้าพระชายาไม่ดีขึ้นเลยนางลังเลอยู่นานสองนาน ‘จะบอกท่านอ๋องดีหรือไม่นะ…'
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“มีอะไร” อ๋องฉินที่กำลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าต้องหันกลับมามององค์รักษ์คนสนิทของเขาทันทีที่ได้ยินเสียงเขาเรียก
“คือว่า..ข้าน้อยคิดว่าพระชายาน่าจะมีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ”
“นางก่อเรื่องอะไรอีกล่ะ” อ๋องฉินพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย เขาคิดถูกหรือไม่นะที่นำนางมาด้วยก่อเรื่องไม่เว้นวันจริงๆ
“ไม่ได้ก่อเรื่องอะไรแต่ข้าน้อยคิดว่าพระชายาน่าจะมีไข้ เมื่อครู่ข้าน้อยไปเรียกที่รถม้าสาวใช้ของพระชายาบอกว่านางนอนหลับอยู่ แต่ข้าน้อยแอบลอบมองเข้าไปกลับพบว่าสีหน้าของพระชายาดูไม่สู้ดีเลยพ่ะย่ะค่ะ”
อ๋องฉินที่ตอนนี้ยังสวมใส่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยสาบเสื้อแยกออกจากกันจนมองเห็นแผงอกแกร่งที่มีขนประดับเบาบางอยู่รำไร เพราะที่แห่งนี้มีแต่เหล่าชายฉกรรจ์ซึ่งเป็นทหารใต้บังคับบัญชาของเขาจึงไม่จำเป็นต้องสนใจสิ่งใด
เขาเดินมุ่งหน้าไปยังรถม้าของนาง เมื่อเปิดม่านออกลี่ถิงถึงกลับสะดุ้งตกใจก่อนจะรีบลนลานลงจากรถม้าไปยืนด้านข้างถัดจากชิงอีด้วยความรวดเร็ว
อ๋องฉินก้าวขึ้นไปบนรถม้าใช้หลังมือสัมผัสไปยังหน้าผากมนหากแต่หลังมือของเขายังไม่ทันแตะถึงผิวเนื้อของนางก็รับรู้ได้ถึงไอร้อนระอุที่แผ่ออกมาจากตัวนาง
เขารีบช้อนตัวนางขึ้นแล้วอุ้มไว้ในอ้อมแขนแกร่งวิ่งตรงไปยังกระโจมพักทันที อ๋องฉินสั่งให้ทหารนำอ่างน้ำสำหรับเช็ดตัวและทำการต้มยาให้นางโดยเร็ว
เขาสั่งให้ลี่ถิงเช็ดตัวให้นางเมื่อเสร็จเรียบร้อยจึงนำยามาป้อนนางต่อ ลู่เหยียนซินลืมตาขึ้นมาได้นิดเดียวก็ต้องหลับตาลงต่อเพราะรู้สึกถึงความหนักอึ้งของศรีษะ
“กินยาเข้าไปเจ้าจะมาตายกลางป่าไม่ได้ หน้าตาน่าเกลียดถึงเพียงนี้เกิดใครมาพบเห็นเข้าคงต้องหลอนติดตาไปชั่วชีวิตแน่ๆ น่าสงสารจะตายไป”
ลี่ถิงถึงกลับเบิกตากว้างมองไปยังอ๋องฉินทันที นั่นใช่คำพูดปลอบประโลมคนป่วยหรืออย่างไรกัน ท่านอ๋องเหตุใดถึงได้กล่าวหาพระชายาเช่นนั้นกันเล่า
อ๋องฉินป้อนยาเข้าปากนาง นางกลืนลงแต่โดยดีแต่ก็ต้องสำลักออกมาเพราะความขมของยาทั้งยังพยายามเบือนหน้าหนี เขาจำต้องอมยาไว้ในปากแล้วป้อนให้นางโดยตรงแทน ลี่ถิงกับชิงอีถึงกลับเบือนหน้าหนีกันแทบไม่ทัน
“เจ้าดูแลพระชายามาทั้งวันไปพักได้แล้ว กระโจมของเจ้าอยู่ถัดออกไปทางด้านหลังเฟยหยาจะเป็นคนนำทางเจ้าไป” ชิงอีบอกกล่าวกับลี่ถิง นางพยักหน้าตอบรับและรีบเดินออกจากกระโจมไปทันที ‘พระชายายังมีท่านอ๋องดูแลอยู่คงไม่เป็นไรหรอกกระมัง’
อ๋องฉินปล่อยให้นางนอนพักต่อส่วนเขาออกไปนั่งลงตรงกองไฟข้างกระโจม พวกเหล่าทหารกล้าทั้งหมดนั่งกินอาหารมื้อค่ำพร้อมๆ กันกับอ๋องฉิน เขาไม่ถือสาสิ่งใดเพราะนับว่าทหารกล้าที่ร่วมรบด้วยกันต่างก็มีเกียรติเท่ากันทุกคน
ปกติยามไฮ่[1] อ๋องฉินจะนำทหารบางส่วนออกล่าตระเวนในระยะที่พวกเขาตั้งกระโจมในทุกๆ คืนตั้งแต่ที่เดินทางกันมาแต่เพราะคืนนี้พระชายาของเขาป่วยจึงทำได้เพียงมอบหมายให้ชิงอีและเฟยหยาทำหน้าที่แทน
เขาเดินเข้ามาในกระโจมแล้วนั่งลงบนเตียงข้างๆ นาง ลู่เหยียนซินนอนขดตัวอยู่บนเตียงปากเรียวบางสั่นสะท้านพลางเอ่ยเสียงสั่นเบาๆ ออกมา
“หนะ..หนาว แม่จ๋าข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน”
มือหนายื่นออกไปจับหน้าผากมนรับรู้ได้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาจากตัวนาง เขาสั่งทหารรับใช้นำอ่างน้ำมาให้ที่กระโจมอีกครั้ง ดึกมากแล้วจึงไม่ได้ให้คนไปตามลี่ถิงมาดูแลนาง
“ยังไม่ถึงจี้โจวก็จับไข้เสียแล้ว อ่อนแอเสียจริง!”
- - - - - - - - - - - -
[1] ยามไฮ่ = 21.00-22.59 น.
-อารามชิงเหยียน-“ท่านอาจารย์อยากพบท่านแม่เจ้าค่ะ”“อยากพบข้างั้นหรือ”เยว่เหวินหลิงพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากตัวอารามเพื่อไปเล่นฟันดาบกับผู้เป็นพี่ชายฝาแฝดและฮั่วเฟิงอวี้ลู่เหยียนซินเดินเข้าไปในอารามชิงเหยียนอารามเก่าแก่ที่ผู้อาวุโสมาพำนักในที่แห่งนี้เป็นเวลากว่าหกปีมาแล้ว“หลิงเอ๋อบอกว่าท่านเรียกหาข้าหรือเจ้าคะ”“ไม่ผิด ที่ข้าเรียกท่านมานั้นไม่เกี่ยวข้องอันใดกับท่านหญิงเลยแม้เพียงนิดอย่ากังวลใจไปเลย”“แล้วท่านมีอะไรจะสนทนากับข้าอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”“ข้าคิดว่าน่าจะได้เวลาที่ควรจะต้องบอกท่านแล้ว”“หืม”“พระชายาหลายปีมานี้เพราะใจของท่านนั้นปล่อยวางไปจนหมดสิ้นจึงไม่ทันได้สังเกตสิ่งใดที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวของท่านเลยสินะ”“ท่านหมายถึงอะไรหรือเจ้าคะ”“ยังจำแหวนหยกสองวงที่ข้ามอบให้ท่านได้อยู่หรือไม่”“เจ้าค่ะ”“ยังเก็บเอาไว้อยู่สินะ”“อยู่ที่สามีของข้าเอง”“ครั้งที่ท่านเดินทางมาที่จี้โจวครั้งแรกสิ่งที่ท่านเคยถามข้าว่าจะได้กลับบ้านหรือไม่ ท่านคงได้คำตอบนั้นแล้วสินะ”ลู่เหยียนซินไม่ได้ตอบเขาไปนางกำลังครุ่นคิดว่าผู้อาวุโสผู้นี้ต้องการจะสื่อสารสิ่งใดกับนางอยู่กันแน่“ไม่เสียดายเลยหรือ”
-เจ็ดวันผ่านไป-“ท่านหญิง”“หือ”เยว่เหวินหลิงที่กำลังหยอกล้อกับเสี่ยวจ้านเสือขาวหิมะที่ได้รับมาจากผู้เป็นมารดาอยู่นั้นก็ได้หันไปมองคนที่เพิ่งเรียกขานนาง เมื่อเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นก็ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัยทันที‘นั่นไม่ใช่คุณชายหลี่หรอกหรือมาที่นี่ได้อย่างไรกันนะ’และดูเหมือนเขาจะรู้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่จึงได้เอ่ยออกมาว่า“ข้ามาหาพี่ชายของท่านน่ะ”“อ้อ งั้นหรอกหรือเจ้าคะพี่ชายของข้าน่าจะอยู่ด้านหลังจวน ท่านเดินไปแล้วเลี้ยวขวาอีกนิดก็ถึงลานประลองแล้วล่ะเจ้าค่ะ”“ลานประลองงั้นหรือ? ท่านจะบอกว่าเขากำลังประลองยุทธ์อยู่อย่างนั้นหรือขอรับ”“ก็น่าจะใช่ ท่านพี่ของข้าคงกำลังฝึกกระบี่กับท่านพี่เฟิงอวี้อยู่ อืมม...หากว่าท่านไปไม่ถูกต้องการให้ข้านำทางไปหรือไม่”“ไม่เป็นไรขอรับข้าไปเองได้”เขาพูดจบก็หันไปยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยนทั้งยังสบตานางอย่างลึกซึ้ง เยว่เหวินหลิงก็ยิ้มรับอย่างเป็นมิตรโดยไม่ได้สนใจเลยว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใดท่ามกลางการเฝ้ามองของผู้ใหญ่ทั้งสี่คนที่อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของเรือนใหญ่“ท่านอ๋องจะไปไหนหรือเพคะ”“เจ้าก็ดูสิ เจ้าเด็กคนนั้นกล้าดีอย่างไรมาเกี้ยวลูกสาวของข้า”“ท่านคิดมากไปห
“พระชายา”“ฮูหยินฮั่วไม่พบกันนานเลยนะเจ้าคะ”“ข้าคิดถึงท่านเหลือเกินเมื่อรู้ว่าท่านเดินทางมาถึงที่นี่แล้วก็รีบออกมาพบท่านทันทีเลยเพคะ”ฮูหยินฮั่วพูดพลางนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างของนาง ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นบ่งบอกว่านางดีใจเพียงใดที่ได้พบลู่เหยียนซินอีกครั้ง“แล้วลูกชายของท่านล่ะไม่ได้มาด้วยหรอกหรือ”“ไม่ทันได้พูดอะไรด้วยเลยสักคำแค่เท้าแตะถึงพื้นก็วิ่งไปหาคุณชายเยว่เหวินหลงเสียแล้วเพคะ”“ฮ่าๆๆ ช่างเถอะข้าไม่ถือสาหรอกปล่อยเด็กๆ เล่นกันไปเถอะ”“เพคะพระชายา”ทั้งสองยิ้มให้แก่กัน มิตรภาพระหว่างสตรีทั้งสองคนนี้นั้นแน่นแฟ้นยิ่งไปกว่าผู้เป็นสามีของทั้งคู่ที่คบหากันมาตั้งแต่เยาว์วัยเสียอีก“ฮูหยินของเจ้าดูจะตัวติดกับชายาของข้ามากเลยนะซื่อเหลียน”“ข้าก็คิดเช่นนั้นก่อนหน้านี้นางเอาแต่ถามว่าเมื่อไหร่พระชายาจะมาที่จี้โจวเสียที เมื่อรู้ว่าพวกท่านมาถึงแล้วก็รบเร้าให้ข้าพามาทันทีเลยน่าน้อยใจเป็นบ้า”“เอาน่าพวกนางรักใคร่กันก็ดีแล้วจะว่าไปเจ้าจัดการอนุผู้นั้นอย่างไร ส่งนางกลับบ้านไปแล้วงั้นหรือ?”ฮั่วซื่อเหลียนส่ายหน้าเบาๆ ใบหน้าของเขาไม่มีความกังวลหรือโกรธเกลียดใดๆ หลงเหลืออยู่เลย“นางพบรักกับชาวบ้านคนหนึ่
-6 ปีต่อมา-เมืองจี้โจวเด็กๆ ทั้งสองเดินทางมาที่เมืองจี้โจวล่วงหน้าก่อนผู้เป็นบิดามารดาเนื่องจากพวกเขายังจัดการงานที่เมืองหลวงไม่เรียบร้อยนั่นเอง แม้อ๋องฉินจะห่วงเด็กๆ ไม่น้อยแต่เพราะพวกเขามีสัตว์เลี้ยงคู่ใจคอยดูแลอยู่ข้างกายจึงเบาใจไปได้แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น“ท่านพี่จะให้ข้าไปด้วยหรือไม่” เยว่เหวินหลิงเอ่ยถามพี่ชายฝาแฝดของนางด้วยเสียงอันเบา“ไม่ต้องหรอก”เยว่เหวินหลิงแม้จะดูแก่นๆ ไปบ้างแต่นางเชื่อฟังผู้เป็นพี่ชายมาโดยตลอดได้ยินแบบนั้นก็เกาหัวแกรกๆ“อ้อ เช่นนั้นข้าจะกลับไปรอที่จวนก่อนท่านพี่ก็กลับไวๆนะเจ้าคะ”เยว่เหวินหลงพยักหน้าให้นาง หลังจากส่งน้องสาวขึ้นรถม้าแล้วเขาก็ยืนดูอยู่สักพักก่อนจะหันหลังแล้วเดินตรงไปในตรอกถัดไปไม่ไกล เดินต่อไปอีกยี่สิบกว่าเก้าก็ถึงรถม้าของฮั่วเฟิงอวี้ เขากระโดดขึ้นไปบนรถม้าแล้วเข้าไปนั่งลงด้านในข้างๆ เด็กหนุ่มผู้นั้น“ท่านพี่เฟิงอวี้รอข้านานหรือไม่”“ไม่เลย ทีแรกข้าคิดว่าท่านจะพาหลิงเอ๋อร์มาด้วยเสียอีก”“นางพูดมากเกินไปเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง”“ฮ่าๆๆ เหตุใดถึงได้กล่าวหาน้องสาวของตนเองเช่นนั้นกันเล่า นางน่ารักถึงเพียงนั้นท่านก็ชอบพูดจาทำร้ายจิตใจนางอยู่เรื
-สี่ปีผ่านไป-วันเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่าตลอดระยะเวลาสี่ปีมานี้เด็กทั้งสองคนเติบโตขึ้นมาภายใต้การเลี้ยงดูของทุกคน ฟังไม่ผิดแล้ว! ทุกคนช่วยกันเลี้ยงดูเด็กๆ แทนนางจริงๆพักนี้ท่านหญิงน้อยดูจะตัวอวบอ้วนขึ้นมามากเพราะไม่ว่าผู้ใดที่แวะมาเยี่ยมนางที่จวนล้วนหยิบเอาขนมหวานและของกินต่างๆ ติดมือมาให้นางด้วยทั้งนั้นคนในวังยิ่งแล้วใหญ่ขนมหวานมากมายตระการตาถูกประเคนใส่ปากนางไม่ยั้ง ฮองเฮาเองดูจะมีความสุขมากที่เห็นปากน้อยๆ ของนางเคี้ยวขนมอย่างเอร็ดอร่อยรัชทายาทก็ไม่น้อยหน้าเช่นกันทรงเสด็จไปต่างเมืองเมื่อกลับมาก็มักจะนำของเล่นขนมแปลกๆ มาฝากเด็กๆ ที่ขาดไม่ได้เลยคือขนมหวานของโปรดของนาง‘ทุกคนล้วนต้องการให้ลูกของนางอ้วนเป็นหมูใช่หรือไม่นะ’ลู่เหยียนซินใช้วิชาความรู้ของนางเปิดสถานศึกษาวิชาการแพทย์ นางนำความรู้ของนางที่มีอยู่ออกมาถ่ายทอดให้แก่เหล่าบัณฑิตและผู้ที่ต้องการเรียนรู้วิชาแพทย์แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีหมอหลวงในวังหลวงแห่กันมาร่ำเรียนวิชาจากนางกันมากมายเช่นกันในสถานศึกษาแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสอนวิชาแพทย์แต่เป็นสถานศึกษาสำหรับเด็กๆ ทั้งในเมืองหลวงและเมืองต่างๆ ใกล้เคียงกัน สถานศึกษาแห่งนี้มีอาจารย
“เสด็จพ่อ!”เป็นฮ่องเต้ที่เดินเข้ามาทันได้ยินที่หมอหลวงรายงานการตรวจครรภ์ของลู่เหยียนซินพอดี“พวกเจ้าต้องวางแผนการทำคลอดครั้งนี้ให้ดีอย่าให้ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ข้าจะส่งหมอหลวงไปประจำที่จวนอ๋องฉินจงจำเอาไว้ว่าต้องระมัดระวังทำให้ดีที่สุด”“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”“เอาล่ะเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะชายาฉิน ท้องของเจ้าใหญ่เกินไปน่าจะเดินเหินไม่สะดวกนักจากนี้ไปก็จงอยู่แต่ในจวนจนกว่าจะคลอดไม่ต้องเข้าวังมาถวายพระพรแล้ว”“เพคะเสด็จพ่อ หม่อมฉันทูลลาเพคะเสด็จปู่”“อืม ไปเถอะ”- - - - - - - - - - -เพราะลู่เหยียนซินที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกจากจวนก็รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก วันเวลาผ่านไปจนครรภ์ของนางก็เข้าสู่เดือนที่เก้านางกำลังเดินออกมาจากห้องอาบน้ำขณะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก็รู้สึกได้ว่ามีของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากต้นขาของนางเมื่อก้มมองดูถึงกับต้องรีบสูดหายใจเข้าปอดช้าๆ เพื่อลดอาการตื่นเต้น‘ถุงน้ำคล่ำของนางแตกแล้ว!’“ลี่ถิงมาช่วยข้าที”ลี่ถิงที่กำลังนั่งจัดของขวัญต้อนรับคุณหนูคุณชายน้อยอยู่นั้นก็ตกใจเสียงตะโกนเรียกของพระชายา นางรีบวิ่งเข้าไปในห้องอาบน้ำด้วยความรวดเร็วเกือบสะดุดขอบพักประตูไปแล้ว“พระชายาเกิดอะไรขึ