เขื่อนดึงเก้าอี้ข้างเตียงเบาๆ ก่อนจะนั่งลงอย่างระมัดระวัง ดวงตาเขาไม่ละจากใบหน้าของขุนเขาเลยสักวินาทีเดียวขุนเขาเอียงหน้ามองเขาอย่างสุภาพ แต่ก็ยังดูระวังตัวนิดๆ เหมือนคนที่ยังไม่คุ้นกันจริงๆ“คุณชื่อเขื่อนใช่ไหมครับ?”เสียงทุ้มนุ่มถามขึ้น พลางขยับผ้าห่มคลุมหน้าท้องให้เรียบร้อยกว่าเดิม“ใช่ครับ… เขื่อน” เขาตอบพลางยิ้มอ่อน “คุณชื่อขุนเขาใช่ไหมครับ?”ขุนเขาพยักหน้าเบาๆ“ครับ เรียกขุนเฉยๆ ก็ได้”“ขุน… ฟังดูเหมาะกับคุณดีครับ” เขื่อนตอบ น้ำเสียงเจือความเอ็นดูที่ไม่อาจซ่อนขุนเขาหัวเราะเบาๆ“ปกติคนจะชมว่าชื่อแปลกนะครับ ไม่คิดว่าจะมีคนชมว่าดี…”เขื่อนสบตา“ผมว่าเหมาะดีครับ มันดูเข้มแข็ง แต่ก็ฟังแล้วอบอุ่น”ขุนเขานิ่งไปครู่หนึ่ง มองมือตัวเองที่วางบนหน้าท้อง“คุณเป็นเพื่อนกับพี่แผนมานานแล้วเหรอครับ?”“ก็…พอสมควรครับ เจอกันที่ทำงานบ่อย แต่ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณแผนมีน้องชาย” เขื่อนว่า พยายามให้เสียงฟังดูธรรมดาที่สุดขุนเขายิ้มจางๆ ก่อนจะมองหน้าต่าง“อาจเพราะช่วงก่อนหน้านี้…ผมไม่ค่อยได้เจอใครนอกจากคนในบ้านครับ พี่แผนคงไม่พูดถึงผมเท่าไหร่”เขื่อนพยักหน้าเงียบๆ แล้วถามต่อด้วยรอยยิ้มอบอุ่น“ตอนนี้ค
เสียงครึกครื้นจากภายในงานยังดังลอดออกมา แต่เขื่อนกลับยืนนิ่งอยู่ตรงระเบียงด้านข้างของฮอล์หรู แสงไฟจากสวนแต่งแต้มบรรยากาศให้ดูอบอุ่น แต่ในใจเขากลับเย็นเยียบ ดวงตากวาดมองไปในความมืดเบื้องหน้าเหมือนพยายามหาคำตอบอะไรบางอย่าง เขายกมือขึ้นกดหว่างคิ้ว ลมหายใจหนัก ๆ ผ่อนออกมาทีละนิด รู้ตัวอีกที น้ำตาก็ไหลอาบแก้มเงียบ ๆ มันใช่จริง ๆ ใช่ไหม…เขาพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง ร่างสูงยืนนิ่ง ดวงตาสั่นไหวเต็มไปด้วยความปั่นป่วน ความรู้สึกทั้งหมดในอกปะทุขึ้นมาไม่ทันตั้งตัว ทั้งคิดถึง ทั้งเสียใจ ทั้งดีใจจนแทบล้ม “แล้วนั่นใคร… เด็กในท้อง…” เขาพูดกับตัวเอง เขื่อนกัดฟันแน่น กลืนก้อนสะอื้นกลับเข้าไป เสียงรองเท้าของใครบางคนเดินเข้ามาใกล้จากทางด้านหลัง แต่เขาไม่ได้หันไปมอง รู้ดีว่าเป็นแม็กซ์ “มึงโอเคไหม?” “…ไม่ กูไม่โอเค” เขื่อนตอบเบา ๆ น้ำเสียงแหบแห้ง แม็กซ์ถอนหายใจ ยืนข้าง ๆ พร้อมมองท้องฟ้าที่ไม่มีดาวเหมือนคืนนี้จะมีพายุ “แล้วจะทำไงต่อ?” “กูไม่รู้ กูแค่…อยากกอดเขา อยากรู้ว่าเขาโอเคไหม แต่อีกใจก็กลัว กลัวรู้คำตอบทุกอย่างจริง ๆ…” “มึงรักเขามากเลยนะ” เขื่อนหลุบตาลงช้า ๆ ยิ้มจาง ๆ ทั้งน้ำตา “มากจนกูยังฝ
เดือนที่ผ่านมา ขุนเขาดูเปล่งประกายขึ้นผิดหูผิดตา ผิวเนียนละเอียด ผ่องขึ้นเหมือนคนสุขภาพดี แววตาก็อ่อนโยนขึ้น รอยยิ้มหวานแบบที่ไม่ค่อยมีใครเห็นก็ปรากฏให้คนรอบตัวได้เห็นบ่อยขึ้น ส่วนอาการแพ้ท้องที่เคยทรมานหนักในช่วงเดือนก่อนก็ค่อย ๆ เบาบางลง ขุนเขาดูสดใสและสบายตัวขึ้นเรื่อย ๆ แม่บ้านต่างรักและเอ็นดูดูแลไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งหาของเปรี้ยวของหวาน ทั้งพาเดินเล่นยืดเส้นยืดสาย พี่ชายอย่างขุนแผนก็ใจเย็นและดูแลน้องเป็นพิเศษ ไม่เคยปล่อยให้น้องเหงาหรือทำอะไรหนักไปมากกว่ายกจานข้าว ดูสิว่าพี่ชายของขุนเขาเวอร์วังสักแค่ไหน สัปดาห์ก่อน ขุนแผนพาขุนเขาไปเยี่ยมหลุมศพของพ่อแม่ที่สุสานประจำตระกูล สองพี่น้องยืนเงียบงันหน้าหลุมศพคู่ที่ประดับด้วยดอกไม้ขาวสะอาด ขุนเขาค่อย ๆ ทรุดตัวลง นั่งพับเพียบก้มกราบหลุมศพ น้ำตาเงียบไหลซึมออกมาโดยไม่รู้ตัว “พ่อ…แม่…ผมกลับมาแล้วนะครับ” เสียงขุนเขาเบาแต่สั่น เขายกมือไหว้แนบอก ยังคงพูดกับแผ่นป้ายชื่อที่ตั้งนิ่งตรงหน้า “ผมขอโทษที่หายไปนาน ผมคิดถึงพ่อกับแม่มาก ผมจะดูแลตัวเอง นี่ลูกของผม เป็นเด็กผู้ชาย…” ร่างบางพูดพลางลูบท้องที่ยื่นออกมา “จะดูแลลูกให้ดี…ไม่ต้องห่ว
หลายวันผ่านไปเพนต์เฮ้าส์ของเขื่อนเงียบสงัดกว่าทุกครั้ง แสงแดดจาง ๆ จากปลายฤดูฝนทอดผ่านกระจกบานใหญ่ เขื่อนนั่งนิ่งอยู่ที่โซฟา ดวงตาจ้องมองกระดาษและแฟ้มเอกสารที่วางกระจัดกระจายบนโต๊ะ กระจกแก้วใสที่มีคราบน้ำแข็งละลายค่อย ๆ ซึมออกจากแก้วกาแฟเย็นที่ถูกลืมไว้ ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีโทรทัศน์ มีเพียงเสียงลมที่ลอดผ่านหน้าต่างสูงของเพนต์เฮ้าส์ใจกลางกรุง เสียงเคาะประตูดังขึ้นแผ่วเบา ประตูเปิดออกเผยให้เห็นทิวา เขาเดินเข้ามาช้า ๆ ก่อนวางซองเอกสารสีน้ำตาลลงบนโต๊ะตรงหน้าเขื่อน สายตาของทิวาหนักแน่นและจริงจังกว่าทุกครั้ง ทิวานั่งลงพลางสูดลมหายใจลึก เงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเริ่มพูด น้ำเสียงแผ่วต่ำเหมือนระวังไม่ให้ใครนอกห้องได้ยิน “ข่าวที่กูบอกว่ากำลังตามอยู่…เรื่องขุนเขา กูเพิ่งได้มา” เขื่อนเงยหน้ามองเพื่อนสนิท สายตาคมกริบเริ่มมีประกายขึ้นมาเล็กน้อย ทิวาค่อย ๆ ดึงเอกสารออกจากซอง รูปถ่ายสองสามใบปรากฏบนโต๊ะ เป็นภาพถ่ายจากมุมไกลเบลอเล็กน้อย แต่ก็พอมองออกว่าเป็นขุนแผนที่กำลังพูดคุยกับคนกลุ่มหนึ่งที่แต่งตัวคล้ายลูกน้องเก่าแก๊งประจิม “มีข่าวลือว่าขุนแผนเป็นคนสั่งฆ่าล้างบางพวกแก๊งประจิม ญาติของขุน
— หนึ่งสัปดาห์ต่อมา บ้านหลังใหญ่ยามเช้า แสงแดดอ่อนกระทบกระจกบานใหญ่ภายในโถง ขุนเขาในชุดเสื้อคลุมบ้านสีขาวสะอาดเดินออกจากประตูบ้านอย่างระมัดระวัง มือหนึ่งประคองหน้าท้องที่เริ่มนูนชัด เข้าเดือนที่ 4 แล้ว อาการแพ้ท้องยังคงหนักหน่วงกว่าปกติ ตรงหน้าบันได ขุนแผนยืนแต่งตัวเต็มยศ — สูทสีกรมท่าตัดเข้ารูป รองเท้าหนังขัดเงา ผมจัดทรงเนี้ยบผิดจากวันปกติ ใบหน้าคมเข้มมีแววลังเลกับการต้องออกไปโดยทิ้งน้องชายไว้ที่บ้าน ขุนเขาเดินมายืนตรงหน้าเขา ใบหน้ายิ้มจางๆ แม้ร่างกายจะอ่อนแรง “ไปเถอะพี่แผน เดี๋ยวงานฉลองบริษัทเดือนหน้า ผมไปด้วยแน่นอน” ขุนแผนสบตาน้องนิ่งอยู่ครู่ ก่อนพยักหน้าอย่างจำยอม มือหนายกขึ้นลูบหน้าท้องนุ่มของขุนเขาอย่างเบามือ ริมฝีปากกระซิบเสียงนุ่ม “ไม่ต้องขอโทษนะ… อยู่บ้านพักผ่อนให้ดี เป็นเด็กดีนะครับตัวเล็ก ลุงจะรอหนูออกมา” ขุนเขาหัวเราะน้อยๆ ยิ้มอ่อนโยนให้คนพี่ ก่อนจะยืนมองแผ่นหลังกว้างของขุนแผนเดินออกจากบ้านขึ้นรถไป เช้านั้น ขุนเขาเดินเข้าครัวบอกป้าแม่บ้านเสียงใส “ป้า ผมอยากกินของเปรี้ยวมากๆ เลย มะม่วงเปรี้ยวมีไหม” ป้าแม่บ้านหัวเราะเอ็นดูแล้วจัดมะม่วงเปรี้ยวแช่เย็นมา
หนึ่งเดือนต่อมา ร่างกายของขุนเขาฟื้นตัวเร็วกว่าที่แพทย์คาดการณ์ไว้มาก แผลผ่าตัดสมานดี กล้ามเนื้อเริ่มกลับมาแข็งแรง แม้ยังต้องระวังแผลลึกกับอาการอ่อนเพลีย แต่หมออนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วในที่สุด เช้านั้น ขุนแผนในชุดสูทสีเข้มเรียบหรู ยืนรอรับน้องชายที่หน้าโรงพยาบาลเช่นเคย รอยยิ้มอ่อนโยนแตะมุมปาก ร่างสูงโปร่งผึ่งผายสะท้อนแสงแดดอ่อนของฤดูหนาว ขุนเขาเดินออกมาช้า ๆ ด้วยท่าทางสงบในเสื้อเชิ้ตบางคลุมทับด้วยคาร์ดิแกนไหมสีอ่อน ใบหน้าหวานซีดจางแต่มีรอยสีชมพูระเรื่อกลับคืนมาเล็กน้อย “กลับบ้านกันนะ” เสียงนุ่มของขุนแผนเอ่ย ขณะยื่นมือมาช่วยประคองน้อง รถยนต์เบนท์ลีย์สีดำเงาวาวแล่นผ่านถนนส่วนตัวที่ทอดยาวเกือบหนึ่งกิโลเมตร สองข้างทางเป็นแนวต้นสนและไม้ประดับนับสิบสายพันธุ์ที่ตัดแต่งอย่างประณีต แดดยามสายกระทบยอดไม้เป็นประกายระยิบระยับ บ้านหลังใหญ่…ไม่สิ คฤหาสน์ 4 ชั้นตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ตัวอาคารสไตล์นีโอคลาสสิก ผนังหินอ่อนสีขาวอมเทา แกะสลักลวดลายงดงาม ซุ้มโค้งและเสาคอรินเธียนเรียงรายอย่างสง่างาม รอบบ้านมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ น้ำใสจนเห็นพื้นกระเบื้องโมเสก สวนหย่อมกว้างมีศาลาไม้สักและเส้นท