Home / มาเฟีย / เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู / ตอนที่ 1 จี้หยกแห่งโชคชะตา

Share

ตอนที่ 1 จี้หยกแห่งโชคชะตา

last update Last Updated: 2025-03-21 19:50:40

หลินซือหยู...

เสียงกระซิบแผ่วเบาเรียกหลินซือหยูให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ เธอรู้สึกถึงความหนักอึ้งในทรวงอกราวกับมีก้อนหินก้อนใหญ่กดทับอยู่ เสียงลมหวีดหวิวที่ข้างหูค่อย ๆ จางลง เหลือเพียงความเงียบที่ปกคลุมความรู้สึกของเธอเอาไว้

เธอพยายามลืมตา แต่เปลือกตาของเธอดูเหมือนจะไม่ยอมทำตามคำสั่งนั้น

มันเปิดยากราวกับถูกเย็บติดกันเอาไว้

ความทรงจำสุดท้ายในหัวของเธอคือมีเสียงร้องเรียกชื่อเธอในขณะที่เธอกำลังเดินตามหลี่เสี่ยวไป เธอจึงหันกลับไปมอง ก่อนจะพบว่ามีแสงสีเขียวสว่างวาบขึ้นจากตู้จัดแสดงที่มีจี้หยกสีเขียววางอยู่ในนั้น เธอจึงรีบวิ่งกลับไปดู

นั่นเป็นภาพสุดท้ายที่เธอได้เห็น...

แสงสีเขียวจากจี้หยกในพิพิธภัณฑ์ กระจกของตู้จัดแสดงต่าง ๆ แตกกระจายเต็มพื้น วัตถุโบราณล้มระเนระนาดไปหมด

แล้วทุกอย่างก็มืดสนิท...

แม้จะพบความยากลำบากในการลืมตาตื่น แต่ก็ไร้ซึ่งความตื่นตระหนก เธอฝืนสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด อากาศเย็นชื้นปนกลิ่นฝนซึมเข้าไปในจมูก เธอขยับนิ้วช้า ๆ สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบจากบางสิ่งในมือ

ฉันยังไม่ตาย... ใช่ไหม...

เธอพึมพำในใจ เสียงในหัวของเธอสั่นเทาตามความรู้สึกหนาวเย็นในเวลานี้ เธอฝืนลืมตาขึ้นอีกครั้ง เปลือกตาของเธอเปิดออกช้า ๆ ไรแดดอ่อน ๆ สาดผ่านเมฆฝนลงมาที่ใบหน้า เธอกะพริบตาเพื่อปรับสายตา มองเห็นท้องฟ้าสีเทาที่คุ้นเคย แต่สิ่งที่ไม่คุ้นเลยคือกลิ่นดินชื้นและเสียงนกร้องที่แว่วดังมาจากไกล ๆ มันแปลกไปจากสิ่งที่เธอเคยรู้จัก

รวมถึงจี้หยกสีเขียวมรกตจากราชวงศ์ถังชิ้นนั้น ที่นอนแน่นิ่งอยู่ในกำปั้นของเธอ...

มันมาอยู่ที่นี่ได้ไง?

เธอขมวดคิ้วมองอย่างสงสัยก่อนจะหันมองไปรอบ ๆ ตัว แล้วพบว่าเธอนอนอยู่บนพื้นหญ้าชื้นข้างพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติ ตึกสูงสีเทายังมองเห็นได้ผ่านสายฝนบาง ๆ แต่ถนนที่เคยคลาคล่ำด้วยรถยนต์เงียบสงัด ไม่มีเสียงแตร ไม่มีกลิ่นไอเสีย

แปลก ๆ

ซือหยูคิดขณะที่ลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล ร่างกายของเธอปวดเมื่อยราวกับเพิ่งวิ่งมาหลายกิโลเมตร เธอหันมองรอบตัวอย่างไม่เข้าใจ

เธอคลายมือแล้วจ้องมองจี้หยกในกำมือ อยู่ ๆ ตัวอักษร林 (หลิน) ที่สลักไว้ด้านหลังหยกก็มีแสงสีเขียวสว่างวาบขึ้นมาเมื่อกระทบกับแสงธรรมชาติ

“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!” เธอเอ่ยพูดออกมาเสียงดังด้วยความไม่เข้าใจ น้ำเสียงของเธอแหบแห้ง เธอหยิบโทรศัพท์มือถือที่ตกอยู่ข้างตัวขึ้นมา หน้าจอแตกเป็นเส้น ๆ แต่ยังคงเปิดติด เธอรีบกดโทรหาหลี่เสี่ยวเพื่อนสนิททันที แต่กลับไม่มีสัญญาณการเชื่อมต่อ

“ห้ะ?! ไม่มีสัญญาณเหรอ!! เป็นไปได้ไง!?” เธอตะโกนออกมาโดยไม่รู้ตัว ความหงุดหงิดปะปนกับความกลัวเริ่มก่อตัวในใจของเธอ

ซือหยูค่อย ๆ ยันตัวยืนขึ้นด้วยขาอันสั่นเทา เธอสังเกตเห็นว่าชุดของเธอยังคงเป็นชุดเดิม เสื้อยืดสีดำกับกางเกงที่เปียกชุ่ม แต่บางอย่างในบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปมากทีเดียว เธอตัดสินใจเดินกลับไปยังพิพิธภัณฑ์ด้วยความหวังว่าจะหาคำตอบได้ที่นั่น ฝนเริ่มซาลงแล้วแต่ลมเย็นยังคงพัดผ่านมาอยู่เรื่อย ๆ เธอกอดตัวเองเพื่อคลายความหนาว ขณะที่สมองก็พยายามคิดหาเหตุผลให้กับสิ่งที่เกิดขึ้น

“บางทีฉันอาจจะฝันไป หรือไม่ก็... คงมีอะไรสักอย่างที่ทำให้ฉันเห็นภาพหลอน...” เธอพูดกับตัวเอง แม้ว่าในความเป็นจริง ลึก ๆ แล้ว เธอจะรู้ว่ามันไม่ใช่แค่ความฝันก็ตาม

เมื่อเธอเดินกลับมาถึงหน้าพิพิธภัณฑ์ ประตูไม้บานใหญ่ที่เคยปิดแน่นถูกเปิดออกครึ่งหนึ่ง เธอผลักมันเข้าไปด้วยความระวัง เสียงฝีเท้าของเธอดังก้องในโถงที่มืดมิด ไม่มีแสงไฟ ไม่มีเสียงเครื่องปรับอากาศ มีเฉพาะกลิ่นอับชื้นที่ลอยอบอวลไปทั่วบริเวณ เธอก้าวเดินไปยังจุดที่เคยจัดแสดงโบราณวัตถุจากราชวงศ์ถัง ตู้กระจกที่เคยใส่จี้หยกว่างเปล่า แผ่นกระจกด้านหน้าหลุดออกกองอยู่ที่พื้น เมื่อเห็นแบบนั้นเธอจึงรีบหยิบจี้หยกในมือขึ้นมาเทียบกับแท่นวางทันที

“นี่มันอันเดียวกันชัด ๆ” เธอเอ่ยพูดพร้อมหัวใจที่เต้นแรง

“หลินซือหยู!!! เธออยู่ไหน!!!” เสียงตะโกนเรียกของหลี่เสี่ยวดังมาจากด้านนอก ซือหยูสะดุ้งโหยงก่อนจะหันไปมองด้วยความดีใจ

“เสี่ยว! ฉันอยู่นี่!!” ซือหยูตะโกนตอบพลางเก็บจี้หยกลงกระเป๋ากางเกงแล้วรีบวิ่งออกไป เมื่อถึงหน้าประตูเธอก็พบหลี่เสี่ยวในชุดกันฝนสีเหลืองยืนรออยู่ที่บันได ยืนมองเธอด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“เธอหายไปไหนมา ฉันโทรหาเธอตั้งนาน” หลี่เสี่ยวน้ำตาคลอ เดินเข้ามากอดเธอแน่น ซือหยูรู้สึกถึงความอบอุ่นที่เพื่อนสนิทมอบให้ แต่ความสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นยังคงไม่จางไป

“ฉัน... ฉันก็ไม่รู้”

“ห้ะ?!

“ว่าแต่... เธอเห็นแสงสีเขียวเมื่อกี๊ไหม” ซือหยูเอ่ยถาม เพราะอยากจะรู้ว่านอกจากเธอมีคนเห็นในสิ่งเดียวกันหรือเปล่า

“แสงอะไร?” หลี่เสี่ยวขมวดคิ้ว “ตอนลงจากรถบัสฉันเห็นเธอรีบวิ่งเข้ามาที่นี่เพื่อหลบฝน แต่พอฉันเดินมาหา เธอก็หายไปไหนไม่รู้ พอโทรหาก็ไม่รับ ทั้งเพื่อนทั้งพ่อฉันก็ช่วยกันตามหา เธอนี่มันน่าตีจริง ๆ อยู่ ๆ ก็หายไปเลย”

“สงสัยจะตื่นเต้นไปหน่อยมั้ง...” ซือหยูเอ่ยตอบก่อนจะเงียบแล้วก้มลงมองกระเป๋ากางเกงของตัวเอง “แต่ฉันเห็นแสงจากตู้จัดแสดง...”

“แปลก ๆ”

“หื้ม?”

“ก็ปกติคนอย่างหลินซือหยูไม่ใช่พวกที่ชอบไปพิพิธภัณฑ์นี่...” หลี่เสี่ยวหรี่ตามองอย่างข้องใจ

“...”

“เธอ... ไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม” เธอเอ่ยถามซือหยูอย่างเป็นห่วง

“ไม่เป็นไร ๆ น่าจะเพราะเครียดเรื่องวิจัยล่ะมั้ง ช่วงนี้เลยไม่ค่อยมีสติ ฉันเหมือนจะทำไม่ทัน เลยไม่ค่อยได้นอนน่ะ”

“แน่ใจนะ หน้าตาเธอดูซีดเซียวมาก”

“อื้อ ไม่เป็นไรจริง ๆ”

“โอเค งั้นเข้าไปข้างในกันเถอะ ทุกคนเป็นห่วงเธอกันแย่ละ”

หลี่เสี่ยวพาซือหยูเดินกลับเข้าไปด้านในพิพิธภัณฑ์เพื่อไปเจอกลุ่มเพื่อนที่รวมตัวกันอยู่ในบริเวณห้องโถงตามคำสั่งของศาสตราจารย์หลี่ พอทุกคนได้เห็นหน้าซือหยูก็ดูจะโล่งใจกันหมด ศาสตราจารย์หลี่เองก็ด้วย

การทัศนศึกษาพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติเริ่มต้นขึ้นหลังจากนั้น พวกเขาเดินไปดูตามจุดต่าง ๆ เพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านหลักฐานมากมายที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี ทุกคนดูสนุกสนาน มีเพียงซือหยูที่อยู่ในท่าทีระแวงและเป็นกังวล เพราะไม่เข้าใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองก่อนหน้านี้

คืออะไรกันแน่

หัวใจของซือหยูกระตุกวูบเมื่อศาสตราจารย์หลี่พาพวกเธอเดินมาถึงตู้จัดแสดงจี้หยกโบราณจากยุคราชวงศ์ถัง ซึ่งเป็นโบราณวัตถุชิ้นล่าสุดที่เพิ่งขุดค้นพบ เธอรีบล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเองทันที แล้วก็ต้องตกใจเมื่อจี้หยกชิ้นนั้นที่เคยอยู่กับเธอมันหายไปแล้ว

“ซือหยู เธอเป็นอะไรหรือเปล่า ปากเธอซีดมากเลยนะตอนนี้” หลี่เสี่ยวหันมาถามอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเพื่อนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มีอาการไม่ค่อยดี

“ปะ... เปล่า” ซือหยูเอ่ยตอบกลับไปอย่างไม่เต็มเสียงนัก พลางยื่นหน้าเข้าไปมองดูที่ตู้กระจกนั้นและพบว่าจี้หยกที่เคยอยู่กับเธอก่อนหน้านี้เป็นชิ้นเดียวกันกับที่จัดแสดงอยู่ภายในตู้ใบนั้น

มันกลับไปอยู่ในนั้นได้ยังไง?!

ก่อนหน้านี้มันยังอยู่ในกระเป๋าฉันนี่!!

ซือหยูไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอมันคือเรื่องอะไรกันแน่ อยากจะเล่าให้หลี่เสี่ยวฟังก็กลัวจะโดนล้อว่าพูดอะไรเพ้อเจ้อ เธอจึงเลือกที่จะเก็บเรื่องนี้เอาไว้เงียบ ๆ คนเดียว

จากนั้นศาสตราจารย์หลี่ก็พาคณะนักศึกษาเดินย้ายไปห้องจัดแสดงอีกห้องที่อยู่ข้างกัน ซือหยูก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเธอเห็นว่าเงาสะท้อนในตู้กระจกที่จัดแสดงชิ้นงานขนาดใหญ่นั้นไม่ใช่ใบหน้าของเธอ แต่เป็นหญิงสาวในชุดผ้าไหมโบราณ ผมยาวสยาย ดวงตาคู่นั้นจ้องมองเธอด้วยความเศร้า

“เสี่ยว เธอเห็นนั่นไหม” ซือหยูชี้ไปที่กระจก

หลี่เสี่ยวหันไปมองตามคำบอก “เห็นอะไร? ก็มีแค่เราสองคนนี่นา”

พรึ่บ!

เงานั้นหายไปในพริบตา ซือหยูหัวใจเต้นแรงในทันที ความรู้สึกหนาวเย็นวาบขึ้นมาทั้งแผ่นหลัง ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองเห็นนั้นเป็นแค่ภาพลวงตาหรือวิญญาณของบรรพบุรุษกันแน่

ฉันต้องรู้ให้ได้ว่ามันคืออะไรกัน...

หลังจบการพามาทัศนศึกษาที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติ ศาสตราจารย์หลี่ก็พาคณะนักศึกษาออกจากที่นั่น เพื่อไปขึ้นรถบัสที่จอดรออยู่ในลานจอดรถ ซือหยูและหลี่เสี่ยวเป็นสองคนสุดท้ายที่รั้งอยู่ปลายแถว ขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะเดินออกจากพิพิธภัณฑ์ อยู่ ๆ ซือหยูก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในกระเป๋ากางเกงของเธอ เธอล้วงมือลงไปจับดูด้วยความสงสัย

นี่มัน...!!!

ทันทีที่ได้สัมผัสเธอรู้เลยว่ามันคือจี้หยกชิ้นเดียวกันกับตอนที่เธอลืมตาฟื้นขึ้นมา แต่ครั้งนี้อุณหภูมิของมันกำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ เธอหยุดเดินในทันที มือเริ่มสั่นเทาเมื่อรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างจากมัน

“ซือหยู เป็นอะไรอีก” หลี่เสี่ยวหันมาถาม เมื่อเห็นว่าเพื่อนของเธอมีท่าทีประหลาดอีกแล้ว

แต่ยังไม่ทันที่ซือหยูจะได้ตอบคำถาม แสงสีเขียวก็พุ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเธอ หายุหมุนเริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง หลี่เสี่ยวเห็นก็ถึงกับกรีดร้องออกมาเสียงดังลั่นด้วยความตกใจ

“ซือหยู!!!!” หลี่เสี่ยวร้องเรียกเพื่อนสนิทของตนดังลั่น แต่ทุกอย่างมันก็สายเกินไปแล้ว

ซือหยูรู้สึกได้ถึงแรงดึงที่รุนแรง ร่างของเธอถูกดูดกลืนหายไปกับแสงนั้น ทิ้งหลี่เสี่ยวให้ยืนตะลึงอยู่คนเดียวท่ามกลางความเงียบ

เธอรู้สึกหมุนคว้าง ภาพรอบตัวเลือนราง...

...

...

...

กรับๆๆๆ!

เมื่อสติอันเลือนรางเริ่มกลับมาชัดเจน ซือหยูรู้สึกตัวอีกครั้ง เธอนอนอยู่บนพื้นดินชื้น ๆ กลิ่นดินและกลิ่นใบไม้จากป่าลอยเข้ามาสัมผัสจมูกของเธอ เสียงฝีเท้าของม้าดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เธอลืมตาขึ้นช้า ๆ พบกับเงาของชายในชุดเกราะสีดำยืนอยู่เหนือร่างของเธอ ดวงตาคู่นั้นจ้องมองลงมาด้วยความเย็นชา

“เจ้าคือผู้ใด...” เสียงทุ้มจากชายหนุ่มแปลกหน้านั้นดังก้องในหู ซือหยูพยายามที่จะตอบคำถาม แต่ลมหายใจของเธอก็ติด ๆ ขัด ๆ จี้หยกในมือของเธอเรืองแสงอ่อน ๆ อีกครั้ง เธอไม่รู้ตัวเลยว่าโลกใหม่ที่เธอไม่เคยรู้จักกำลังจะเผยโฉมต่อหน้าเธอในอีกไม่ช้านี้

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู   ตอนที่ 30 เงาจันทร์นิรันดร์ (END)

    แสงจันทร์เต็มดวงสาดส่องลงบนระเบียงไม้ของบ้านชนบทใกล้เมืองหลัวหยาง ราวกับผ้าคลุมสีเงินที่ทอจากแสงนวลตา ลมเย็นยามค่ำพัดพากลิ่นดอกไม้ป่าและใบไม้จากสวนหลังบ้านมากระทบใบหน้าของหลินซือหยู เธอยืนพิงราวระเบียง มือบางของเธอจับขอบไม้แน่น ขณะที่สายตาของเธอจับจ้องไปยังดวงจันทร์ที่สว่างเจิดจ้าบนท้องฟ้าดำสนิท ร่างกายของเธอยังคงอ่อนแอ อาการหน้ามืดและความชาที่ลามจากแขนขาของเธอยังเกิดขึ้นบ้าง แต่การดูแลของหย่งเฉินและสมุนไพรจากหมอหลวงช่วยให้เธอแข็งแรงขึ้นจนแทบจะกลับมาเป็นปกติแล้ว ชุดคลุมสีขาวบางของเธอปลิวไสวตามสายลม ผมยาวสีดำของเธอที่ปล่อยสยายลงมาถูกพัดให้ปัดปอยไปตามไหล่ เธอสูดลมหายใจลึก ๆ และรู้สึกถึงความสงบที่แผ่ซ่านในอกของเธออยู่ๆ ซือหยูก็นึกถึงจี้หยกที่เคยห้อยคอไว้ เธอยกมือขึ้นแตะที่คอของเธอตามสัญชาตญาณ จี้หยกที่เคยร้อนผ่าวและเรืองแสงสีเขียวเข้มนั้นแตกสลายไปแล้วในวันที่เธอใช้มันดูดพิษจากร่างของหย่งเฉิน แต่ถึงอย่างนั้น บางครั้งในยามที่เงียบสงบเช่นนี้ เธอกลับรู้สึกถึงเงาของมันราวกับมันยังคงส่งพลังบางอย่างมาถึงเธอ ความทรงจำของยุคปัจจุบันผุดขึ้นในหัวของเธอ ทั้งที่มันห่างหายไปนานมากแล้ว ตั้งแต่ที่จี้หย

  • เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู   ตอนที่ 29 คำสัญญา

    แสงแดดยามเย็นระยิบระยับราวทองคำหลอมเหลวสาดส่องลงบนสวนเล็ก ๆ หลังบ้านชนบทใกล้เมืองหลัวหยาง ดอกไม้ป่าที่หย่งเฉินปลูกลงดินเมื่อหลายวันก่อนผลิดอกสีเหลืองและสีขาวเล็ก ๆ ลมเย็นยามเย็นพัดผ่านใบหลิวที่ปลูกไว้ริมลำธาร เสียงน้ำไหลดังกรุบกริบกลมกลืนกับเสียงนกที่ร้องเจื้อยแจ้ว หลินซือหยูนั่งอยู่บนม้านั่งไม้ใต้ร่มเงาของต้นหลิว ผ้าคลุมไหล่สีครามที่หย่งเฉินหยิบมาให้ยังคลุมไหล่ของเธอ ร่างของเธอยังอ่อนอแม้จะผ่านไปหลายวัน อาการหน้ามืดและความชาที่ลามจากแขนและขาของเธอยังเกิดขึ้นบ่อยครั้ง บางครั้งเมื่อลมเย็นพัดมาแรง ๆ เธอก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ข้อต่อและกล้ามเนื้อจากพิษที่ยังสะสมอยู่ในร่าง แต่ใบหน้าซีดเผือดของเธอกลับมีรอยยิ้มบาง ๆ ขณะที่มองไปยังจ้าวหย่งเฉินที่ยืนรดน้ำต้นไม้ด้วยถังน้ำไม้ที่เขาทำเองจ้าวหย่งเฉินอยู่ในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มเรียบง่าย ผมยาวสีดำของเขาถูกรวบไว้หลวม ๆ ใบหน้าคมเข้มของเขามีสีแดงระเรื่อจากแสงแดดยามเย็น บาดแผลที่หน้าอกของเขายังคงต้องพันด้วยผ้าสะอาด แต่เขาก็ยังเคลื่อนไหวด้วยความแข็งแกร่ง เขาหันมามองซือหยูและเห็นรอยยิ้มของเธอ ความอบอุ่นที่ฉายอยู่ในดวงตาคู่สวยของเธอทำให้หัวใจของเขาเต้นแร

  • เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู   ตอนที่ 28 บ้านหลังใหม่

    หลินซือหยูนั่งอยู่บนเกวียนไม้ที่เคลื่อนไปตามถนนดินสีน้ำตาลเข้มนอกเมืองหลัวหยาง ลมเย็นยามเช้าพัดผ่านใบหน้าของเธอ พาเอาดอกไม้ป่ามากระทบจมูก เธอยังรู้สึกถึงความอ่อนแอจากพิษงูเขี้ยวแดงที่ยังหลงเหลือในร่าง ร่างกายของเธอเหนื่อยล้าง่าย เธอต้องคอยระงับอาการหน้ามืดด้วยการหลับตาและสูดลมหายใจลึก ๆ ทั้งแขนและขาของเธอมีรอยชาที่คอยเตือนถึงผลกระทบระยะยาวจากพิษนั้น แต่หมอหลวงบอกว่าเธอแข็งแรงขึ้นมากแล้ว และหากดูแลตัวเองดี ๆ อาการบางอย่างอาจค่อย ๆ จางลงเมื่อเวลาผ่านไป เธอห่มผ้าคลุมไหล่สีครามที่หย่งเฉินหยิบมาให้ มีอาการอ่อนล้าจากการเดินทางไกล แต่ในอกของเธอกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อมองไปยังจ้าวหย่งเฉินที่ขับเกวียนอยู่ข้างหน้าใบหน้าคมเข้มของหย่งเฉินเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น ผมสีดำของเขาที่ถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อย มีเพียงปลายผมเล็กน้อยที่ปลิวไสวตามสายลม ชุดเกราะที่เขาเคยใส่ถูกแทนที่ด้วยชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มเรียบง่าย บาดแผลที่หน้าอกของเขายังคงต้องพันด้วยผ้าสะอาด แต่เขาดูแข็งแรงขึ้นมากหลังจากหยุดพักหลายวัน“ใกล้ถึงแล้ว” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ขณะที่หันมามองเธอด้วยสายตาที่อ่อนโยน“ค

  • เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู   ตอนที่ 27 บาดแผลและความหวัง

    หลินซือหยูนอนอยู่บนเตียงไม้ในบ้านพักของแม่ทัพจ้าวในเขตขุนนางของเมืองฉางอาน กลิ่นสมุนไพรต้มและกลิ่นไม้ชื้นลอยคละคลุ้งในอากาศ แสงแดดยามบ่ายสาดผ่านหน้าต่างไม้ที่เปิดไว้บางส่วน กระทบลงบนใบหน้าซีดเผือดของเธอ เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วจากด้านนอกผสมกับเสียงฝีเท้าของทหารที่เดินไปมา ร่างของเธอยังอ่อนแอจากพิษที่ไหลผ่านเส้นเลือดในวันนั้นบนสนามรบ แม้จี้หยกจะดูดพิษส่วนใหญ่ออกไป แต่ร่องรอยของพิษจากงูเขี้ยวแดงที่ยังฝังลึกในร่างกายของเธอราวกับเงามืดที่ไม่อาจขจัดออกได้ง่าย ๆเธอรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านจากปลายนิ้วไปถึงแขนและขา ความชาที่ลามขึ้นจากฝ่าเท้าจนถึงเข่าทำให้เธอแทบไม่อาจขยับตัวได้โดยไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เหมือนเข็มทิ่มแทง แผลที่แขนซ้ายของเธอที่เกิดจากการไหลของพิษนั้นยังคงแดงและบวม รอยสีดำบาง ๆ คล้ายเส้นใยแมงมุมแผ่ออกมาจากแผลนั้น บางส่วนเริ่มหมองลง แต่ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจถึงอันตรายที่ยังไม่หมดไป เธอรู้สึกถึงลมหายใจที่ตื้นเขิน ทุกครั้งที่หายใจเข้า ความร้อนที่แผ่วเบาในอกของเธอเต้นระริกเหมือนไฟที่ยังไม่ดับสนิท และบางช่วงเธอรู้สึกถึงอาการหน้ามืดที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ผลกระทบระยะยาวจากพ

  • เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู   ตอนที่ 26 ชัยชนะของราชสำนัก

    หลินซือหยูยืนอยู่ในห้องโถงราชสำนักแห่งเมืองฉางอาน แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างไม้แกะสลักลงบนพื้นหินอ่อนที่เงางาม กลิ่นกำยานจากกระถางทองแดงลอยคละคลุ้งในอากาศ บรรยากาศเงียบสงัดแต่เต็มไปด้วยความตึงเครียด ขุนนางในชุดผ้าไหมสีสันฉูดฉาดยืนเรียงแถวสองฝั่ง ขณะที่ทุกสายตาจับจ้องไปยังแท่นสูงที่จักรพรรดิถังเต๋อจงประทับนั่ง จ้าวหย่งเฉินยืนเคียงข้างเธอ ใบหน้าคมเข้มของเขายังคงมีรอยคล้ำจากความเหนื่อยล้า บาดแผลที่หน้าอกของเขาถูกพันด้วยผ้าสะอาดใต้ชุดเกราะ เขายืนตัวตรง ดวงตาเย็นชาของเขามองไปยังแท่นสูงด้วยความเคารพ“วันนี้ทุกอย่างจะต้องจบ” เขาหันไปกระซิบกับซือหยูด้วยน้ำเสียงทุ้ม ขณะที่บีบมือของเธอเบา ๆซือหยูพยักหน้าก่อนจะยกมือขึ้นสัมผัสที่คอของเธอตามความเคยชิน แต่จี้หยกชิ้นนั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงความว่างเปล่าที่ย้ำเตือนเธอถึงการเสียสละในสนามรบครั้งที่ผ่านมา เธอยังคงรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากพิษที่ยังหลงเหลือในร่าง แต่มันจางลงมากเมื่อเทียบกับความรู้สึกสงบที่เริ่มก่อตัวในอกของเธอ“ใช่ วันนี้เราจะปิดฉากทุกอย่างกัน” เธอมองไปยังหย่งเฉินด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ความรักที่เธอมีให้เขาทำให้เธอรู้สึกถึงความแข็งแกร่ง แม

  • เงาจันทร์ซ่อนพันฤดู   ตอนที่ 25 ทางเลือกสุดท้าย

    หลินซือหยูรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่ซึมผ่านผิวของเธอ ขณะที่ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ในโรงหมอสนามใกล้ชานเมืองหลวงฉางอาน กลิ่นสมุนไพรฉุนปนกลิ่นยาต้มลอยคละคลุ้งในอากาศ แสงตะเกียงสลัวส่องผ่านผ้าม่านหยาบ ๆ ที่กั้นเตียงของเธอ เสียงฝนตกลงมาแผ่วเบาดังจากด้านนอก เธอรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านจากแขนและอก ความทรงจำของสนามรบผุดขึ้นในหัว ลูกธนูพิษที่ปักเข้าที่หน้าอกของหย่งเฉิน เธอใช้จี้หยกดูดพิษออกจากร่างของเขา และจี้หยกที่แตกเป็นเสี่ยง ๆเธอยกมือขึ้นสัมผัสที่คอของเธอด้วยความหวัง จี้หยกที่เคยร้อนผ่าวและเรืองแสงได้หายไปแล้ว เธอรู้สึกถึงความว่างเปล่าที่คอและหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้น “ฉัน... ยังไม่ตาย” เธอพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่สั่น“ซือหยู!” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นจากข้างเตียง เธอหันไปมองและเห็นจ้าวหย่งเฉินนั่งอยู่ที่นั่น ใบหน้าคมเข้มของเขาเต็มไปด้วยรอยคล้ำใต้ตาและคราบโคลนที่ยังไม่เช็ดออก บาดแผลที่หน้าอกของเขาถูกพันด้วยผ้าสีขาวสะอาด เขาดูซีดเผือด แต่ดวงตาของเขาสว่างขึ้นเมื่อเห็นเธอตื่น“เจ้า... เจ้าตื่นแล้ว!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นสะท้านจากความโล่งใจ เขาคว้ามือของเธอแน่นด้วยมือที่หยาบกร้านและเย็

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status