สายหมอกยังไม่จางจากสนามรบแห่งทาคิซึเมะ
ไม่มีเสียงสวด
ซาโยะไม่ร้องไห้
“เจ้าฆ่าผู้คนมากมาย...”
“แต่เจ้าก็ไม่เคยบังคับให้ใครหยิบดาบขึ้นมา”
เสียงเงียบ
ในมือเธอ มีซองจดหมายเก่า ๆ ที่พบซ่อนในพัดไม้ไผ่ของเขา
“ถึง...ผู้ที่กล้ายอมแพ้เพื่อหยุดสงคราม”
เธอเปิดจดหมาย
มีเพียงคำบรรยายถึง...
“ดอกไม้ที่เบ่งบานจากเถ้าถ่าน”
“ถ้าศพของข้าจะมีความหมาย
ก็ขอให้มันเป็นดินให้สิ่งใหม่งอกขึ้น
แม้เพียงดอกเดียว
แม้มันจะบานแค่วันเดียวก็ตาม”
ซาโยะพับจดหมายช้า ๆ
หนึ่งในนั้นคือทายาทของอิซึมิ
เธอยิ้มบาง ๆ ครั้งแรกในรอบหลายบท
“ถ้ามีสิ่งใดจะเกิดหลังจากสงคราม” เธอพึมพำ
“ก็ขอให้มันไม่ใช่ชัยชนะ แต่คือชีวิต”
และในตอนจบของวันนั้นเอง...
ใต้ต้นไม้เก่า
เงานั้นสูงน้อยกว่าปกติ
ตอนถัดไปอาจเป็น “บทที่ 25: คนตายที่เดินอยู่ในเงา” หรือ "ทางเลือกสุดท้ายของฮากุโร่"
บทที่ 42 — บทเรียนสุดท้ายของดาบที่ไม่เคยฟันณ ลานไม้กลางวิหารร้างบนยอดเขาอันห่างไกลฮากุโร่ยืนอยู่หน้าพี่ชาย—อาคุริวไม่มีผู้ชม ไม่มีกลองรบ ไม่มีเสียงพร่ำสอนของคาเงะมีเพียงกลิ่นฝนก่อนพายุและคำถามในใจที่ไม่อาจฟันด้วยดาบเล่มใดในโลก“เจ้าฝึกดาบมากับข้า...แต่เจ้าคือคนเดียวที่ไม่เคยฟันใครจริง ๆ”อาคุริวยิ้มอย่างเจ็บลึกเขาชักดาบช้า ๆ ปล่อยให้แสงจันทร์สะท้อนใบมีด“วันนี้ข้าจะให้บทเรียนสุดท้าย...ว่าดาบที่ไม่ฟั
เบื้องหลังพี่ชาย: “อาคุริว” — เงาที่เงาก็ไม่ไว้ใจในอดีต เขาถูกเรียกขานในหมู่สายลับว่า “ดาบเบื้องหลังธง”ชื่อจริงคือ “อาคุริว” (悪竜) พี่ชายแท้ ๆ ของฮากุโร่บุตรคนโตแห่งบ้านคามิโนะ ตระกูลนักรบที่เสื่อมชื่อเสียงเพราะอยู่ผิดข้างในศึกใหญ่เมื่อ 17 ปีก่อนต่างจากฮากุโร่ที่เงียบขรึมและยึดอุดมการณ์อาคุริว เติบโตมาท่ามกลางความเคียดแค้น และถูกฝึกให้เป็น "เครื่องมือ" มากกว่าคนจุดเปลี่ยนเมื่ออายุ 20 ปี เขาถูกส่งเข้าหน่วยลับ “อุรายามิ” (裏闇)หน่วยที่ไม่ได้ขึ้
บทที่ 41 — เงาที่ล้มเงาค่ำคืนบนลานหินสูงเหนือหุบเขาไม่มีผู้ชมไม่มีเสียงกลองมีเพียงแสงจันทร์ และเงาของชายสองคนที่ยืนเผชิญหน้ากันราวเงาสะท้อนในบ่อสระฮากุโร่ กับ คาเงะศิษย์ กับอาจารย์ทายาทแห่งเงา กับผู้ที่สร้างนิยามของมัน“เจ้าสร้างเงา เพื่อทำลายระบบ” ฮากุโร่กล่าว“แต่เจ้ารู้ไหม...เงาที่เจ้าทิ้งไว้ มันกลายเป็นอีกระบบที่ผู้คนเกรงกลัว”คาเงะมองเขานิ่ง ๆ ก่อนพยักหน้า
บทที่ 40 — คนตายที่เดินอยู่ในเงาค่ำคืนหนึ่งหลังพิธีศพขณะสายหมอกไหลจากภูเขาสู่พื้นราบฮากุโร่ยืนอยู่ริมหน้าผา ที่เดิมที่เขาเคยฝึกดาบกับอาจารย์ในวัยเยาว์เสียงสายลมในคืนนี้แตกต่างไปจากทุกคืนที่ผ่านมาเหมือนเสียงหายใจของใครบางคนที่เคยถูกลืมแต่ยังไม่เคยจากไปเขาหยิบจดหมายฉบับหนึ่งจากในแขนเสื้อม้วนกระดาษนั้นบางเฉียบ เขียนด้วยลายมือสั่นเทา... แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่ของเขา“ข้าฆ่าคนมาเกินกว่าจำนวนวันในชีวิตข้า”“แต่มีเพียงเจ้าคนเดียวที่ข้
บทที่ 39 — ดอกไม้ที่เบ่งบานในวันศพสายหมอกยังไม่จางจากสนามรบแห่งทาคิซึเมะแต่ในเช้าวันถัดมา บนเชิงเขานอกเมืองมีพิธีศพเล็ก ๆ ถูกจัดขึ้นอย่างเงียบงันไม่มีเสียงสวดไม่มีธงตระกูลใดมีเพียงหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งพับเพียบในชุดดำและร่างไร้วิญญาณที่ปกคลุมด้วยผ้าขาว — คาเงะซาโยะไม่ร้องไห้แต่สายตาเธอเหมือนทะเลที่แห้งไปแล้วเธอวางดอกซากุระสีซีดหนึ่งดอกลงข้างร่างเขา“เจ้าฆ่าผู้คนมากมาย...”
บทที่ 38 — สนามรบที่ไม่มีผู้ชนะเสียงลมที่พัดผ่านภูเขาในยามบ่ายวันนั้น ไม่ได้นำกลิ่นของดอกไม้ ไม่ได้นำกลิ่นของเหล็กดาบ แต่นำเพียงกลิ่นดินที่เปื้อนเลือด กลิ่นที่แม้แต่ผีในป่าก็เงียบงันสนามรบแห่งทาคิซึเมะเคยเป็นทุ่งข้าว บัดนี้เต็มไปด้วยธงฉีกขาด ร่างไร้วิญญาณที่ไม่มีใครจำแนกได้ว่าเป็นของตระกูลใด และเสียงร้องไห้ของผู้ที่รอด แต่ไม่เหลือใครให้กลับไปหาฮากุโร่ยืนอยู่กลางเถ้าถ่าน เขาถือดาบที่ไม่ได้ชักจากฝักมาตลอดสามบทที่ผ่านมา ดาบนั้นยังสะอาด... แต่หัวใจเขากลับเปื้อนเกินกว่าดินบนพื้นข้างกายเขา ซาโยะคุกเข่าข้างร่างของเด็กชายวัยสิบสองปี ผู้สวมปลอกแขนตระกูลอิซึมิ แต่ถือดาบที่สลักตราอาโอบะ เขาตายด้วยสายตาที่เบิกกว้าง เพราะไม่รู้ว่า...ตนควรฟันใคร“นี่คือจุดจบของกลยุทธ์ไร้สีงั้นหรือ?” ซาโยะถามเสียงแห้ง “ฆ่ากันเองจนไม่มีใครเหลือ?”ฮากุโร่เงียบอยู่ครู่ แล้วกล่าวช้า ๆ“...ไม่ใช่จุดจบ แต่นี่คือ คำตอบที่แท้จริงของสงคราม”“สงครามที่ไม่มีฝ่ายไหนผิด เพราะไม่มีฝ่ายไหนเข้าใจเลยว่า... พวกเขาสู้เพื่ออะไร”ทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าเดียวดังขึ้นจากปลายแนวป่า ชายในผ้าคลุมเทาเดินผ่านกองศพ ไม่