บทที่ 56: การกลับมาของความหวัง
การเดินทางผ่านประตูมิติที่นำพาพวกเขากลับมายังโลกมนุษย์เป็นประสบการณ์ที่แตกต่างออกไปจากครั้งก่อน มันไม่ใช่การเดินทางที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย แต่กลับเป็นความเงียบสงบที่น่ากลัว อากิระและเพื่อนๆ คาดว่าจะต้องเผชิญหน้ากับโลกที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายจากการโจมตีของ Void แต่เมื่อพวกเขากลับมาถึง ทุกสิ่งทุกอย่างกลับดูสงบสุข ผู้คนใช้ชีวิตอย่างปกติสุขเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท้องฟ้ายังคงเป็นสีครามสดใส และเสียงหัวเราะของเด็กๆ ก็ยังคงดังแว่วมาตามสายลม ความสงบนั้นทำให้พวกเขาสับสน เพราะมันไม่ใช่ความสงบสุขที่พวกเขาคุ้นเคย แต่เป็นความสงบที่ไร้ชีวิตชีวา “ข้ารู้สึกได้” มิสึกิพูดเสียงแผ่วเบา “ผู้คนกำลังอ่อนแอลง… พวกเขาไม่ได้ถูกทำลายจากภายนอก แต่ถูกกลืนกินจากภายใน” ทุกคนมองหน้ากันด้วยความตกใจ พวกเขารู้แล้วว่า Void ไม่ได้โจมตีพวกเขาด้วยกำลัง แต่ใช้พลังแห่งความเฉยชาและความสิ้นหวังเพื่อทำให้ผู้คนยอมจำนนต่อความว่างเปล่า “เราต้องเตือนทุกคน” เคนจิพูดอย่างร้อนรน “เราต้องบอกพวกเขาถึงหายนะที่กำลังจะมาถึง” “ไม่มีใครเชื่อเจ้าหรอก” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง อากิระและคาเงะหันไปมอง และได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่ดูคุ้นเคย ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสงบแต่ดวงตาของเธอกลับไร้อารมณ์ใดๆ “ชิโนะ…” คาเงะพูดเสียงสั่น “เจ้า…” “ข้ากลับมาแล้ว” ชิโนะตอบด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ “ข้าไม่ต้องการให้ใครต้องเจ็บปวดอีกต่อไป และมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้นที่จะทำให้เรามีความสุขที่แท้จริง” คำพูดของเธอทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนถูกทุบด้วยค้อนหนักๆ พวกเขารู้แล้วว่า Void ไม่ได้หายไปไหน แต่มันได้ฝังรากและเจริญเติบโตในโลกของพวกเขาอย่างเงียบๆ และตอนนี้ พวกเขาต้องต่อสู้กับมันในทางที่ต่างออกไป บทที่่57: การทดสอบแห่งความเชื่อ อากิระและคาเงะเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวง พวกเขาคาดว่าจะต้องเผชิญหน้ากับความสับสนวุ่นวาย แต่กลับพบว่าเมืองยังคงสงบสุข แต่ความสงบนั้นไร้ชีวิตชีวา ผู้คนเดินไปมาอย่างเงียบเชียบและดวงตาของพวกเขาดูว่างเปล่า “เราต้องทำอะไรสักอย่าง” อากิระพูดอย่างร้อนรน “เราต้องบอกพวกเขาถึงหายนะที่กำลังจะมาถึง” พวกเขาเดินทางไปที่ปราสาทของพวกเขา แต่เมื่อเข้าไปในห้องโถงใหญ่ กลับไม่มีใครรอต้อนรับพวกเขาเลย มีเพียงสภาอาวุโสที่นั่งอยู่ตรงกลางห้องโถงอย่างเงียบสงบ “เรากลับมาแล้ว” อากิระพูดเสียงดัง “เรากลับมาเพื่อปกป้องพวกท่าน” แต่สภาอาวุโสกลับมองเธอด้วยสายตาที่ว่างเปล่า “พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ชายชราคนหนึ่งถามด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเฉย “ไม่มีภัยคุกคามใดๆ อีกต่อไปแล้ว” อากิระและคาเงะมองหน้ากัน พวกเขารู้แล้วว่า Void ได้แผ่พลังแห่งความเฉยชาไปทั่วแคว้นแล้ว พวกเขาตัดสินใจที่จะแสดงให้สภาอาวุโสเห็นถึงความจริงที่น่ากลัว อากิระใช้พลังของเธอเพื่อสร้างภาพที่แสดงให้เห็นถึงหายนะที่จะเกิดขึ้นหากพวกเขายังคงนิ่งเฉย ภาพของเมืองที่ถูกทำลายและผู้คนที่ถูกสังหารโดยพลังของ Void ทำให้สภาอาวุโสเริ่มสั่นสะท้าน “นั่นเป็นเพียงภาพลวงตา!” ชายชราคนหนึ่งตะโกน “เจ้าไม่มีทางทำให้พวกเราเชื่อได้!” แต่ในขณะที่พวกเขากำลังโต้เถียงกัน จู่ๆ ก็มีเงาหนึ่งพุ่งออกมาจากเงามืดของห้องโถงใหญ่ เงาที่ดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นจากความว่างเปล่าที่ไม่มีวันสิ้นสุด “เป็นไปไม่ได้!” ชายชราคนหนึ่งร้อง “นั่นมันอะไร?” อากิระและเพื่อนๆ พุ่งเข้าไปขวางทางไว้ พวกเขาใช้พลังทั้งหมดที่พวกเขามีเพื่อต่อสู้กับเงาที่น่าเกรงขาม แต่เงาเหล่านั้นแข็งแกร่งเกินไป มันพุ่งเข้าโจมตีพวกเขาอย่างรุนแรง แต่ในขณะที่พวกเขากำลังจะยอมแพ้ จู่ๆ องครักษ์คนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาช่วยพวกเขา “ข้าไม่รู้ว่านั่นมันอะไร” องครักษ์พูดเสียงสั่น “แต่ข้ารู้ว่าข้าต้องต่อสู้เพื่อปกป้องโลกของข้า” การกระทำขององครักษ์คนนั้นทำให้สภาอาวุโสเริ่มตื่นตัว พวกเขามองดูอากิระและเพื่อนๆ ที่กำลังต่อสู้กับเงาที่น่าเกรงขามด้วยความประหลาดใจ “เราจะช่วยพวกท่าน” ชายชราคนหนึ่งกล่าว “เราจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องโลกของเรา” “เราจะช่วยเจ้า” อากิระพูดอย่างแน่วแน่ “เราจะช่วยเจ้าให้หลุดพ้นจากความว่างเปล่านั้น” ชิโนะยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าทำไม่ได้หรอก” เธอพูด “เพราะพวกเจ้าก็กำลังถูกกลืนกินด้วยความว่างเปล่าเหมือนกัน"“พระที่ล้มแท่น” พระบางคนเผาตำราเก่า และฟังเสียงเด็กแทน “เมื่อศรัทธาถูกใช้เพื่อปิดหู บางคนจึงเลือกปิดตำรา...เพื่อเปิดใจ” วัดโฮเซ็นจิในหุบเขาตะวันตกเฉียงเหนือของโยะริมิยะ เสียงระฆังทองแดงหนักเจ็ดร้อยชั่ง เคยดังก้องทุกเช้าค่ำ เรียกชาวบ้านให้สวดตาม สั่นเตือนให้พระผู้ถือบาตรเดินตามระเบียบ ก้องเตือนให้คนในศาสนจักรจำได้ว่า “คำข้างในตำรา...ศักดิ์สิทธิ์กว่าเสียงใด” แต่วันหนึ่ง เสียงระฆังเงียบ ไม่มีใครตี ไม่มีเสียงสวด มีเพียงกลิ่นควันจากกระดาษที่ถูกเผา พระที่เคยเทศน์จนเลือดเปื้อนหมึก ชื่อของเขาคือ “คันริว” ในวัยหนุ่ม เขาเคยจารึกบทสวดด้วยเลือดตนเอง เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งที่ต้องบูชา ไม่ใช่ตั้งคำถาม เขาเคยลงโทษพระลูกวัดที่ออกเสียงผิด เคยตราหน้าเด็กที่ถามว่า “ทำไมบทสวดไม่พูดชื่อพ่อแม่ข้าเลย” แต่เขาก็เป็นคนเดียวในวัด ที่ทุกคืน…จะออกไปนั่งใต้ต้นสน เขียนสิ่งที่ไม่อยู่ในตำรา “เสียงที่แม่ร้องไห้” “ชื่อของคนที่ถูกฝังโดยไม่มีใครพูดถึง” “เสียงหัวเราะของเด็กที่ตายโดยไม่มีพิธี” เขาไม่เคยเผยสิ่งที่เขียน จนกระทั่งคืนหนึ่ง...ฝนตก เด็กที่เดินฝ่าฝนเข้า
แผ่นดินที่ไม่มีตำราเมื่อพื้นที่ที่ไม่มีศาสนจักรเข้าถึง เริ่มจัดพิธีฟังแทนศาสนา“เมื่อบทสวดไม่อาจเข้าถึงผู้คนก็เริ่มฟังกันเองโดยไม่ต้องอ้างคำใดในตำรา”กลางทุ่งอาเคะฮะ แคว้นที่ไม่มีชื่อบนแผนที่แผ่นดินแห่งนี้เคยถูกเรียกว่า "เขตต้องสาป" โดยศาสนจักร เพราะเป็นพื้นที่ที่ไม่เคยสร้างศาลา ไม่เคยมีแท่นสวด และไม่มีพระรูปใดตั้งรกรากยาวนานพอจะจารึกบทบูชาให้ถาวรแต่ในปีแห่งเงาเดินกลา
พิธีจำที่ไม่มีผู้สั่ง— คนทั่วแผ่นดินเริ่มร่วมพิธีจำชื่อผู้ตายแบบไม่มีลำดับชั้นแผ่นดินโยะริมิยะไม่เคยมีเสียงสวดที่ไหลจากทุ่งสู่พระราชวังไม่เคยมีเสียงชื่อชาวนาถูกเอ่ยในที่ที่เจ้าเมืองเคยยืนไม่เคยมีใครกล้าจดจำ “คนที่ไม่มีชื่อ” อย่างเปิดเผย…จนกระทั่งค่ำคืนหนึ่งในต้นฤดูใบไม้ร่วงเมื่อสายลมเย็นพัดมาจากทิศเหนือ และฝุ่นจากพายุฤดูแล้งยังไม่ทันจางมีหญิงชราในหมู่บ้านอิซานะ นั่งอยู่หน้ากองฟืนที่ยังไม่จุดลูบสมุดเก่าเล่มหนึ่ง แล้วพูดขึ้นกลางวงว่า“คืนนี้...ข้าจะอ่านชื่อสามีของข้าที่ศพเขาไม่เคยมีใครเผาให้…เพราะไม่มีใครมาฟัง”ไม่มีพระ ไม่มีเจ้าเมือง ไม่มีผู้อาวุโสมีเพียงคนในหมู่บ้านนั่งเงียบ ฟังเสียงคนชราสะอื้นจากนั้น เด็กชายคนหนึ่งก็ค่อย ๆ หยิบสมุดฟังเล่มใหม่มาเขียนชื่อของ “อาคิระ” — พ่อของเขา ที่เคยหายไปกลางป่าระหว่างทางไปตลาดไม่มีใครสั่งให้ทำไม่มีตำราบอกให้พูดไม่มีเสียงระฆังเริ่มพิธีแต่เมื่อดวงจันทร์ครึ่งดวงขยับพ้นยอดไผ่เสียงชื่อผู้ตายเริ่มถูกอ่านเรียงต่อกัน โดยผู้เป็นลูก ผู้เป็นภรรยา หรือแม้แต่เพื่อนบ้านที่ไม่เคยรู้ว่าคนตายนั้นมีชื่อจริงว่าอะไรมันเริ่มที่หมู่บ้านหนึ่งแล้วต่อมา มี
ผู้เงียบที่เริ่มพูด- เมื่อคนเงียบในตระกูลใหญ่กลายเป็นผู้นำใหม่ในสายลมเย็นของฤดูใบไม้ร่วงต้นปีที่ 17 แห่งยุคโยะริมิยะใหม่เสียงกระดิ่งไม้ของศาลาฟังในหมู่บ้านซุยโฮดังขึ้นอย่างอ่อนโยนไม่ใช่เพื่อเรียกให้ฟังเทศน์ ไม่ใช่เพื่อเริ่มพิธีศักดิ์สิทธิ์แต่เพื่อแจ้งว่ามีเด็กคนหนึ่ง…เริ่มจดประโยคแรกในสมุดฟังเวียนเล่มใหม่ศาลานั้นไม่มีแท่นบูชา ไม่มีคนควบคุม ไม่มีเสื้อผ้าศักดิ์สิทธิ์แต่มีคนมากกว่าสี่สิบคน นั่งเงียบพร้อมกัน โดยไม่มีใครบอกให้ทำเด็กผู้นั้นชื่อว่า "ริสึ"เขาไม่ใช่คนในตระกูลใหญ่ ไม่เคยถูกสอนให้นำแต่เป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่จำชื่อของหญิงชราที่เพิ่งตายได้ครบถ้วนแม้หญิงชรานั้นจะไม่มีหลาน ไม่มีลูกหลงเหลือและศาสนจักรไม่ยอมจัดพิธีให้ผู้ไม่มีตระกูลริสึยืนหน้าศาลามือสั่นเทาแต่พูดอย่างมั่นคง:“ข้าขอให้เราจำเธอ…แม้เธอไม่มีใครเหลือให้จำเพราะถ้าชื่อของเธอเงียบหายวันหนึ่งชื่อของพวกเราก็จะหายไปเช่นกัน”ในห้องใต้ดินของตระกูลยามาโนะขณะเดียวกัน ที่แคว้นกลางของโยะริมิยะในห้องใต้ดินลับของตระกูลยามาโนะ — หนึ่งใน 12 ตระกูลใหญ่หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่หน้าสมุดฟังที่ไม่มีชื่อผู้เขียนดวงตาของนางมืดแน
บทที่ไม่มีผู้เขียนสมุดฟังถูกเวียนเขียนโดยไม่ลงชื่อในเช้าวันหนึ่งที่ไร้หมอก...ศาลาหลังใหม่ในหมู่บ้านอิซุระเต็มไปด้วยเสียงกระซิบ แต่ไม่มีใครพูดเสียงดังเด็กหญิงคนหนึ่งเปิดสมุดอ่านชื่อแม่ของเพื่อน แล้วปิดตาไว้ครู่หนึ่งไม่มีพิธีไม่มีใครสั่งให้ทำและที่สำคัญ…ไม่มีใครบอกว่าต้องเขียนอะไรสมุดฟังเล่มนั้น วางอยู่กลางศาลาใครจะเขียนก็ได้จะเขียนแค่ชื่อจะวาดรูปหรือจะเล่าเรื่องบางอย่างก็ได้ที่ข้างปก…มีเพียงคำเดียวที่ถูกเขียนไว้ในหมึกจาง“เพื่อผู้ที่ไม่มีใครเขียนถึง”เสียงที่ไม่มีเจ้าของความเปลี่ยนแปลงไม่ได้เริ่มจากเสียงใหญ่โตแต่มาจากการเวียนกันอ่าน…เวียนกันเขียน…เวียนกันฟังเมื่อไม่กี่เดือนก่อน สมุดฟังยังเป็นของ “ใครบางคน”อิโตะมีสมุดของเขาซาโยะมีเล่มของพ่อฮากุโร่เคยถือสมุดที่เขียนชื่อศัตรูแต่ตอนนี้ ทุกสมุดกลายเป็นสมุดเดียวกันไม่มีผู้เขียนไม่มีคนถือครองไม่มีแม้กระทั่งลายเซ็นเด็กคนหนึ่งจะเขียน แล้วทิ้งไว้คนถัดไปก็จะเติมเรื่องของตนแล้วส่งให้คนอื่นบางครั้งสมุดก็หายไปเป็นสัปดาห์แต่วันหนึ่ง…มันจะกลับมา พร้อมชื่อใหม่หนึ่งชื่อ และเรื่องเล่าใหม่หนึ่งเรื่องศาลาในหมู่บ้านอิซุระจึงกลา
บ้านที่ไม่มีประตู - เด็กสร้างศาลาฟังใหม่ที่ทุกคนเข้าได้หุบเขาตะวันตกของโยะริมิยะ เคยเป็นพื้นที่ต้องห้ามของศาสนจักรแต่วันนี้ กลายเป็นที่แรกที่มี “บ้าน” หลังหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่บ้านของใครคนใดคนหนึ่งไม่มีประตูไม่มีระฆังไม่มีแท่นมีเพียงเสาสี่ต้น หลังคาฟาง และพื้นดินเปล่าตรงกลางปูเสื่อไม้ไผ่สานหยาบ ๆ วางสมุดฟังเล่มหนึ่ง ซึ่งหน้าแรกยังว่างเปล่าและมีป้ายไม้เก่าเขียนไว้ด้วยลายมือเด็กว่า:“ศาลาฟัง – ไม่มีผู้นำ ไม่มีผู้อนุญาต”พวกเขาไม่ได้รอใครให้สั่งไม่ได้ขอพระรูปใดมาเปิดพิธีไม่ได้ถือธงตระกูล หรือสัญลักษณ์ทางศาสนาพวกเขาคือกลุ่มเด็กสิบสองคนจากหมู่บ้านรอบนอกบางคนเคยเป็นลูกกำพร้าที่พ่อแม่ถูกประหารโดยคำสั่งศาสนจักรบางคนเป็นหลานของผู้ถูกลืมบางคนเคยเขียนชื่อคนตายด้วยดินเพราะไม่มีหมึกและวันนี้ พวกเขามีหมึกพอมีมือที่สั่นแต่แน่นพอมีใจที่ยังจำ“เราจะไม่เปิดประตู…เพราะเราไม่เคยปิด”— ยามาโกะ, เด็กหญิงคนหนึ่งที่เขียนป้ายเสียงแรกในศาลาฟัง“ท่านเคยได้ยินชื่อ ฮานาโกะหรือไม่?”เสียงของเด็กชายชื่อโคจิ เอ่ยขึ้นกลางวงไม่มีใครตอบไม่มีใครรู้ว่าเธอคือใครแต่ทุกคนฟัง“เธอเป็นคนที่เคยให้ขนมฉันโดยไม่ถ